ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทวาปณิธาน

    ลำดับตอนที่ #3 : อบายภูมิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 301
      0
      11 พ.ค. 56

               

                ห้องสี่เหลี่ยมไม้กระดานที่พระภูมินำเขาเข้าไปนั้น มีแสงสว่างเรื่อเรืองไม่ต่างจากด้านนอก ผิดกันตรงที่ความเงียบสงัด วิเวก และสมถะ

               

    มุ้งเก่าๆถูกม้วนตลบเก็บไว้ในส่วนหนึ่ง มีหมอนสองใบวางพิงผนังอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น หน้าต่างไม้ถูกแง้มเปิดโดยอัตโนมัติทั้งสองด้าน ลมละเอียดพัดพาความชุ่มชื่น นิ่งเย็นเข้าสู่ภายในดวงจิตของปรีย์ ผู้วิเศษทรงคุณมองเขาด้วยแววเอ็นดู ชายหนุ่มสัมผัสถึงความสงบ และรักสันโดษของชายวัยกลางตรงหน้า

               

    ผู้ทรงศีลยอบกายลงนั่งขัดสมาธิท่าเดิมตรงบริเวณกลางห้อง แต่คราวนี้ไม่มีผืนพรมเนื้อละเอียดมารองรับอย่างที่เขาเคยเห็น ชายหนุ่มกระพริบตาเนิบช้าอย่างไม่เข้าใจการกระทำของท่านพระภูมิ

     

                “นั่งลงสิพ่อหนุ่ม เราจะได้ไปกัน”

                ปรีย์ทำตามคำบอกทั้งที่ยังสงสัยไม่เลิก

                “ความจริงถ้าฉันคนเดียว มันคงจะง่ายกว่านี้”  ชายในอีกมิติอธิบายเรื่อยๆ

                “ฉันจะน้อมจิตเข้าหาภูมินั้น แล้ววูบลงไปได้เลย..แต่นี่มีเธอมาร่วมเดินทาง”

                นัยน์ตาสีนิลนิ่งตรง ปรีย์ตั้งใจฟังทุกคำราวกับเป็นประโยคทอง

     

                “อินทรีย์เธอยังอ่อนนัก จำเป็นต้องอาศัยผู้นำทางในเบื้องต้น”

                ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจความต่ำต้อยของตัวเองดี

                “ยื่นมือมาแตะขาฉัน แล้วหลับตา หยุดความคิดทุกอย่างลงเสีย”

     

                ผู้สูงวัยหลับตานิ่งสนิท ความสงัดเงียบทวีตัวปกคลุมไปทั่วห้อง ปรีย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของท่านผู้นั้น

     

     

                เขาค่อยๆหลับตาลง พยายามตัดความกังวล และความหวาดกลัวที่เคยมี ยื่นมือข้างขวาไปแตะขาข้างซ้ายของพระภูมิที่ขัดสมาธิอยู่

     

                “ไม่ต้องกลัว..ภยันตรายใดๆจะไม่มีทางเข้ามากล้ำกรายตัวเธอ”

                ท่านผู้วิเศษกล่าวปลอบอย่างรู้ทันความคิดในหัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดี

     

                “อบายภูมิคืออะไรหรือครับท่าน”

                เขาถามทั้งที่หลับตานิ่ง

     

                ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากของผู้ทรงศีล ชายหนุ่มขยับตัวคลายความอึดอัดในท่าทางที่ไม่คุ้นชิน หายใจเข้าออกลึกยาว ความคิดในหัวปิดฉากลงไปชั่วขณะ

     

                เพียงไม่กี่อึดใจ ปรีย์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ กระแสเย็นฉ่ำถักทอเป็นสายราวกับน้ำตกธรรมชาติไหลเรียงอาบอิ่มรดผ่านกลางใจ ขณะเดียวกันก็มีความอบอุ่นจากพื้นผิวภายนอกสัมผัสกายเนื้อ มันขยายเป็นคลื่นเล็กๆรอบตัวออกเป็นระลอกกว้าง ก่อนจะบันดาลแสงสว่างเสมือนสะท้อนออกมาจากกระจกแผ่นบางฉากใหญ่

     

                เบื้องหลังปีติสุขเหล่านั้นเพียงพริบตาเดียว ความมืดดำอันน่าขนลุกก็ถาโถมเข้ามาจนปรีย์ตั้งตัวแทบไม่ทัน  ชายหนุ่มรู้สึกน้ำหนักกายทวีคูณเป็นสิบเป็นร้อย เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นจากเบื้องล่างฉุดกระชากให้หล่นร่วงลงสู่ก้นเหวยิ่งกว่าแรงโน้มถ่วงของโลก เหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับเหนือศีรษะ บดขยี้จนเขารู้สึกมึนทึบไปทั้งหัว กระดูกหลายร้อยชิ้นเหมือนถูกบีบอัดจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ  ความสะอิดสะเอียนซัดสาดอยู่รายรอบ..ทั้งกลิ่นน่าคลื่นเหียน แลส่ำเสียงโหยหวน ชวนให้เขาอยากอาเจียนออกมาในนาทีนั้น

     

                ความรู้สึกดีร้ายนานาประการดับวูบลงไปเพียงเศษเสี้ยววินาที เสียงเรียกกังวานทุ้มปลุกให้ปรีย์ลืมตาขึ้นมาเต็มตื่น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองได้หลุดออกจากฝันร้ายอันน่ารังเกียจนั้นเสียที

     

                “ถึงแล้วพ่อหนุ่ม..”

                รอยยิ้มใจดีปรากฏแก่สายตาให้ได้อุ่นใจ..พระภูมิยังอยู่ข้างๆเขาตามคำสัญญา

                “ทำไมมันทรมานอย่างนี้ครับท่าน”

                ปรีย์ขยับปากถามทันทีเมื่อมีโอกาส

     

                “ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกให้เตรียมตัวล่วงหน้า” ผู้ทรงศีลเอ่ยด้วยความเห็นใจ

                “อินทรีย์ของเธอยังอ่อนนัก นรกภูมิเต็มไปด้วยความทุกข์แสนสาหัส กระแสทึบหนักเหล่านั้นจึงพุ่งตรงมากระทบจิตสัมผัส” ดวงตาทอประกายอ่อนๆ ทอดมองปรีย์อย่างต้องการจะปลอบใจ

     

                “เป็นปกติที่มนุษย์ธรรมดาจะต้านทานไม่ไหว”

                ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาเลือกตามมาเอง

     

                ณ จุดที่ปรีย์ยืนอยู่กับพระภูมิเทวา ชายหนุ่มมองเห็นลานดินแตกระแหงโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา หาขอบเขตที่สิ้นสุดไม่เจอ..ไอร้อนรอบกายจางคลายลงบ้างแล้ว ด้วยฤทธิ์แห่งจิตตานุภาพของผู้วิเศษที่แผ่ปกคลุมรอบตัวเขาอยู่  กระแสความสะพรึงกลัวคละคลุ้งทั่วอาณาบริเวณ  แม้ส่ำเสียงร้องระงมเหล่านั้นจะซาลงไปมาก แต่กระไอแห่งความน่าขยะแขยงยังคงกระจัดกระจายครอบผืนนภาสีแดงฉานแห่งนี้ไว้ไม่จาง

     

                “นี่แค่เพียงทางปากทางหรอกนะพ่อหนุ่ม ของจริงหนักกว่านี้”

     

                ชายหนุ่มหลับตาปี๋ ห่อไหล่สองข้างขึ้นเทียบใบหู เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีอะไรที่หนักกว่านี้ได้อีก คิดแล้วก็ต้องถามตัวเองย้ำๆซ้ำๆว่าบ้าไปแล้วหรือเปล่า ที่หาเรื่องลงมาให้เจอเรื่องแหยงๆเล่นแบบนี้

     

                ปรีย์ยืนขวัญผวาอยู่ตรงนั้นไม่นาน เงาร่างดำทะมึนของใครบางคนก็แฉลบผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลังงานแห่งอำนาจบางอย่างทำให้ปรีย์ต้องเปิดตามองอย่างยากจะควบคุม

     

                ชายฉกรรจ์ผิวดำมะเมื่อมผู้นั้นร่างกายกำยำสูงใหญ่กว่าเขาเกือบสองเท่า โจงกระเบนสีแดงสดยาวแค่เข่า กับศาสตรวุธที่อยู่ในครอบครอง ทำให้ปรีย์ขนลุกชันไปทั้งตัว มืออีกข้างที่เขาเหลือบไปเห็นนั้นตรึงเชือกเส้นโตไว้แน่น มองตามเส้นเชือกสีดำสนิทเข้ากับสีผิวนั่นไปก็พบ มนุษย์ผู้หญิงร่างผอมบาง ความสูงไล่เลี่ยกับเขากำลังพยายามดิ้นรนหาทางรอด

    สองมือซึ่งเต็มไปด้วยเลือดปัดป่ายเชือกเส้นนั้นที่พันรอบคอเอาไว้หลวมๆ ทว่ามือแบบบางก็ไม่สามารถแกะพันธนาการรัดรึงเส้นนั้นออกจากคอตัวเองได้ เสียงร่ำไห้เริ่มหวยหวนอ้อนวอน ปรีย์มองหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นด้วยแววตาสงสารเวทนาจับหัวใจ...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ยากเหลือเกินสำหรับคนอย่างเขา แต่วินาทีนี้มันเกิดขึ้นแล้ว

     

                “นั่นคือยมทูต มีหน้าที่นำดวงวิญญาณชั่วร้ายมาให้พญามัจจุราชตัดสินโทษ”

                พระภูมิเทวาอธิบายเมื่อเห็นชายหนุ่มทำหน้าเหมือนกล้ำกลืนฝืนทนเหลือคณา

     

                “ผมสงสารเธอ ผมอยากช่วยเธอ”

                เขาร้องบอกเสียงเครือ

     

                “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม..รักษาตัวเองให้รอดพ้นจากอกุศลเสียก่อนเถิด”

     

                ผู้ทรงศีลกล่าวเตือน ท่านมองหญิงผู้นั้นด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยอุเบกขา ปัญญาเหนือระดับมนุษย์สามัญบอกให้รู้ว่านั่นเป็นเพียงเหตุและผลที่สอดคล้องซึ่งกันและกันอย่างเหมาะสมแล้ว

     

                ปรีย์ก้มหน้าสลด เวลานี้เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

     

                “ไปกันต่อเถิด เรามีเวลาไม่มาก”

     

                กล่าวจบ พระภูมิก็เอื้อมไปแตะหลังมือขาวซีดของปรีย์แล้วเดินนำสู่ทางเบื้องหน้า อำนาจศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้ชายหนุ่มต้องเดิมตามไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนฝ่าเท้าตัวเองสัมผัสอยู่บนอากาศ เคลื่อนไหวได้เองโดยแทบไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย

     

                “นรกนี่อยู่ใต้พื้นโลกใช่ไหมครับ”

                เมื่อเริ่มชินกับระยะทางยาวที่เต็มไปด้วยส่ำเสียงคร่ำครวญของสัตว์นรก ปรีย์จึงมีแก่ใจไถ่ถามข้อสงสัย

     

                “เข้าใจผิดแล้วพ่อหนุ่ม” ท่านพระภูมิส่ายศีรษะ มีแววยิ้มขันกับความเชื่อดั้งเดิมของเหล่ามนุษย์

                “อ้าว..แต่ผมรู้สึกเหมือนดิ่งลงเหวยังไงยังงั้นเลยนะครับท่าน ถ้าไม่ได้อยู่ใต้ดินแล้วมันตั้งอยู่ที่ไหนหรือครับ”

     

                “ไม่ว่าสวรรค์..นรก แดนเปรต หรืออสุรกาย เหล่านี้มันเป็นมิติที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่กับโลก” พระภูมิเทวาอธิบายเสียงนิ่ง นัยน์ตาทอดมองออกไปราวกับกำลังรำลึกความทรงจำแห่งสัจธรรมทั้งหลาย

     

                “ซ้อนยังไงหรือครับ” ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจอยู่ดี

     

                “สมมติว่าพื้นผิวน้ำคือโลก เธอโยนก้อนหินลงไป มันก็เกิดคลื่นใช่ไหม”

                ปรีย์พยักหน้าเห็นด้วยว่าใช่

     

                “สสารวัตถุ อินทรียธาตุทั้งหลายมันมีความว่างอยู่ตรงศูนย์กลาง”

     

                คราวนี้คนฟังขมวดคิ้วมุ่น มึนงงไปอีกระลอก

     

                “เดิมทีโลกคือความว่างเปล่า แต่เมื่อมีรูปก็ต้องมีนามปรากฏคู่กัน เพราะมีการเคลื่อนอยู่ไม่คงที่ เมื่อมีรูป ธาตุรู้ก็ปรากฏ เมื่อสัตว์เกิดขึ้นก็เบียดเบียนกัน ก้อนหินที่หล่นลงไปในน้ำ ก็ก่อคลื่นใต้น้ำ เปรียบเหมือนอบายภูมิซึ่งมีนรกเป็นหนึ่งในนั้น ภูมิเหล่านี้เกิดจากจิตที่หยาบไปรับรู้อารมณ์ มีการกระทำทางกาย วาจา ใจ อันเป็นอกุศลคือหนีทุกข์ จึงเบียดเบียนกัน ทำลายกัน  สุดท้ายเลยมาเสวยกรรมที่เป็นจิตหยาบ ในภพที่จิตของสัตว์เหล่านั้นสร้างขึ้นเองจากความไม่รู้”

     

                ผู้ทรงศีลอธิบายยาว ปรีย์ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง พยักหน้ามึนงงกันไป

     

                “ส่วนสุคติภูมิ อย่างเช่นสวรรค์ เปรียบเหมือนคลื่นบนผิวน้ำเกิดจากจิตละเอียดที่สั่งสมไปด้วยกุศลธรรม มีความโปร่ง โล่ง เบา กระจายแผ่เป็นวงกว้างเหลื่อมซ้อนออกไปนอกแกนกลาง ..แกนกลางก็คือโลกที่เธออาศัยอยู่นั่นแหละ”

     

                พระภูมิเทวาอธิบายเพิ่มเติม เหลือบมาเห็นชายหนุ่มมองหน้าตาลอยๆ ท่านจึงหยุดอธิบายความรู้ไว้เพียงเท่านั้น

     

                “ฉันจะพาเธอไปดูการตัดสินของจ้าวนรก และการลงทัณฑ์ของนายนิรยบาล”

     

                กล่าวจบกายทิพย์ของผู้วิเศษก็นำพาดวงจิตของปรีย์หายลับเข้าไป โดยทะลุผ่านกำแพงเหล็กร้อนแข็งแกร่งหน้าด่านขุมนรกแห่งนั้น..ผู้คุมสองนายหน้าปากประตูไม่มีใครได้เห็นเงาร่างของผู้มาเยือนจากต่างมิติเลยสักคน

     

                เบื้องหน้าที่ชายหนุ่มยืน มีแต่ความอึงอลและกระแสโศกเศร้าเหลือพรรณนา ที่แห่งนั้นกว้างใหญ่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมแต่แออัดไปด้วยดวงวิญญาณมากมายเต็มแน่นอยูในเขตเชือกกั้นยาวสองฟากฝั่ง ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่งว่าง เงยหน้ามองเหนือศีรษะขึ้นไปคือบัลลังก์โปร่งแสง มีบุรุษผู้ทรงอิทธิฤทธิ์นั่งประทับอย่างโดดเด่นเพียงผู้เดียว ปรีย์คิดในใจตอนนั้นว่าถ้ามองเผินๆ เขาคงนึกว่าชายคนนั้นลอยคว้างบนแท่นอากาศว่างเปล่าเสียอีก

     

                ชายแปลกหน้า หรือบุรุษที่ทรงประทับอยู่เบื้องหน้านั้น มีรูปกายใหญ่โตยิ่งกว่ายมทูตด้านนอกที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว ใบหน้าและแววตาดุดันมีประกายแห่งความเกรี้ยวกราดฉายชัดออกมาจนปรีย์สัมผัสได้ ขนแขนลุกชันทั่วสรรพางค์กายราวกับว่าชายหนุ่มกำลังถูกจ้องเสียเอง เรือนร่างของท่านผู้นั้นมีสีประภัสสรเหมือนพระอาทิตย์อ่อนๆ ใสเหมือนแก้ว ทรงมงกุฎ นุ่งห่มผ้าสีแดงเลือด มือถือบ่วง และไม้ยมทัณฑ์ มีมหิงสาหรือควายดำตัวใหญ่ซึ่งเป็นพาหนะหลบหมอบอยู่ด้านข้างบัลลังก์นั้นเอง

     

                ครู่เดียว พื้นที่ตรงกลางลาดยาวซึ่งเคยโล่งกว้างปราศจากสิ่งมีชีวิตก็ปรากฏแสงลุกโพลงกระจายเป็นวงใหญ่ ปรีย์สะบัดหน้า กระพริบตาถี่ๆไล่ความแสบสันต์ที่เกิดขึ้นจะไอร้อนบางอย่างออกไป แล้วพยายามเบิกตาขึ้นเพื่อมองผู้มาเยือนตรงหน้า..ไกลจากตำแหน่งที่เขากับท่านพระภูมิยืนอยู่หลายสิบเมตร ทว่าภาพทุกอย่างกลับปรากฏชัดราวถูกซูมเข้ามาประชิดจอตาให้เห็นอย่างคมชัด

     

                เสียงอื้ออึงที่เคยคร่ำครวญสนั่นหูเงียบลงฉับพลัน ราวกับใครสั่งกดปุ่มดับเครื่องเล่นเสียงอัตโนมัติ ยมทูตปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเชือกดำในมือและวิญญาณชั่วร้ายที่ถูกจับกดบริเวณหัวไหล่ทั้งสองข้างให้ทรุดกายลงคุกเข่า บนพื้นดินแตกระแหงตรงนั้น

     

                “ที่แห่งนี้คือบริเวณตัดสินคดีของท่านยมบาลหรือพญามัจจุราชผู้มีอำนาจสูงสุดประจำขุมนรก วิญญาณของมนุษย์ผู้มีบาปอันสมควร มาปรากฏที่นี่ได้หลายวิธี “ พระภูมิเทวาอธิบายเสียงกังวานอยู่ด้านข้างชายหนุ่ม เสียงของท่านและการตอบโต้ของปรีย์ไม่มีใครในนั้นได้ยินเลยสักคน เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุ บางทีก็มียมทูตผู้มาใหม่เดินทะลุผ่านร่างทิพย์ของเขาไปหน้าตาเฉย ดวงตาเจ็บร้าวของว่าที่สัตว์นรกเหล่านั้นไม่มีมองผ่านมายังเขาและท่านพระภูมิเทวาเลยแม้แต่นิดเดียว

     

                “ดวงจิตที่ประมวลกรรมทั้งหลายทั้งก่อนต่าย ทั้งกรรมที่ทำเป็นประจำ และกรรมหนักทั้งหมด ลงภวังคจิต ในขณะที่วาโยธาตุ หรือธาตุลมหมดสิ้นไปจากการประชุมในมหาภูตรูปทั้งสี่ วิญญาณบางดวงสรุปแล้วว่าชั่วร้ายสุดขีดไม่ต้องชั่งตวงวัด ก็สามารถผุดขึ้นแบบโอปปาติกะเลยในนรกขุมที่เหมาะกับตน”

     

                ผู้ทรงศีลหันมาเห็นคิ้วผูกโบว์ของปรีย์เข้าพอดีจึงยิ้มเย็นก่อนอธิบายให้กระจ่างขึ้นกว่าเดิม

     

                “โอปปาติกะ คือสัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นเองแบบโตเต็มตัว ไม่ต้องหยั่งลงครรภ์มารดา หรืออาศัยแดนเกิดฟูมฟักตั้งแต่เด็กอย่างโลกมนุษย์”

     

                ปรีย์รีบพยักหน้าเร็วๆเป็นเชิงบอกว่าถึงบางอ้อ

     

                “แต่ส่วนมาก ที่มายืนร่ำร้องโหยหวนกันอยู่ในนี้คือพวกทำกรรมดีมาบ้าง หรือเข้าขั้นมาก แต่มาพลาดตอนช่วงใกล้ ช่วงก่อนตาย”

     

                “พลาดยังไงหรือครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

     

                “อย่างเช่นมีความผูกโกรธพยาบาทกับใคร แล้วมีเรื่องเข้าหู หรือมีหน้าตาคู่อริลอยมาให้เห็น มีความคิดกังวล ติดห่วงกับทรัพทย์สมบัติ คนรัก ยึดติดโลกไม่อยากจากไป ก็จะทุกข์ทรมาน จิตที่เศร้าหมองก่อนตาย พระพุทธองค์ตรัสว่ามีทุคติเป็นที่หวังในคติเบื้องหน้า”

     

                “แย่เลยครับอย่างนี้ น่าเสียดาย”

                ปรีย์รู้สึกสงสารบุคคลเหล่านั้นขึ้นมาจับใจ

     

                “ไม่แปลกหรอก เธอเองก็มีสิทธิ์ตายแบบน่าเสียดายเหมือนเขานั่นแหละ ถ้าไม่ศึกษาธรรม ฝึกฝนจากเจริญสติให้ดี”

                “ผมจะรีบขัดเกลาจิตใจตัวเองให้พร้อมกับการภาวนาครับ ผมสัญญา”

     

                ชายหนุ่มรีบปฏิญาณ พระภูมิพยักหน้าพอใจ แววตาศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นมีอะไรบางอย่างที่ยืนยันว่าเชื่อในคำสัญญาของเขา

     

                “คนเหล่านั้นก็เลยต้องมาที่นี่ เพื่อให้ยมบาลตัดสินคดีชี้ขาดว่าควรไปต่อในอบาย หรือสุคติภูมิ”

     

                ปรีย์ทอดสายตามองไกลออกไปจับอยู่ตรงแท่นบัลลังก์โปร่งแสง เห็นบุรุษผู้ทรงอำนาจขยับปากขมุบขมิบอยู่เป็นนาน สักพักดวงวิญญาณที่กำลังถูกพิพากษาก็ขมุบขมิบปากขึ้นมาบ้าง ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ยินส่ำเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากบริเวณนั้นเลย จึงหันมาถามให้หายข้องใจ

     

                “ท่านครับ นั่นเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันหรือ”

                “ยมบาลกำลังโน้มน้าวให้หนุ่มน้อยคนนั้นนึกถึงความดีที่เคยทำ”

     

                ปรีย์ตาเบิกกว้าง เลิกคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

     

                “ท่านใจดีขนาดนั้นเลยหรือครับ..”

     

                พระภูมิเทวาพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงตอบรับ

     

                “ยมบาลจะพยายามไต่สวนเพื่อช่วยให้สัตว์นรกระลึกถึงความดี ด้วยการถามถึง เทวทูต ๕ คือ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนถูกลงทัณฑ์ และคนตาย เพื่อให้เกิดธรรมสังเวช หากผู้ใดระลึกได้จะส่งให้ไปเกิดในสวรรค์หรือสุคติภูมิอื่นๆ แต่หากไม่สามารถระลึกได้ต้องอยู่ชดใช้กรรมในนรกขุมนั้นๆ” บุรุษผู้เปี่ยมเมตตาอธิบายแจ่มชัด เนิบช้า เพื่อให้คนฟังเข้าใจในรายละเอียด

     

                ได้ยินเช่นนั้น ปรีย์จึงเพ่งสายตาไปยังจำเลยผู้นั้นพร้อมกับส่งแรงใจอันแรงกล้าไปให้เขา ชายหนุ่มหวังอย่างยิ่งว่าความดีที่หนุ่มน้อยผู้นั้นได้สั่งสมมา จะทำให้เขาระลึกได้แล้วไปต่อในสุคติภูมิ

     

                เวลาผ่านไปพักใหญ่ ปรีย์ก็มีเรื่องสงสัยเอ่ยถามขึ้นอีกท่ามกลางความเงียบอันชวนขนลุก

                “เอ..แล้วท่านยมบาลรู้ความดี ความชั่วที่มนุษย์ทำได้ยังไงครับ ผมไม่เห็นมีนายสุวรรณยืนอ่านบัญชีหนังหมาอยู่แถวนั้นเลยสักคน”

     

                พระภูมิเทวาถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆในข้อสงสัยนั้นของปรีย์ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเขินๆ..ก็เขาเคยได้ยินมาอย่างนั้นจริงๆนี่นา

     

                “จิตที่เกิดดับแต่ละขณะของมนุษย์นั่นแหละ เป็นตัวบันทึกการกระทำทั้งกาย วาจา ใจ ทันทีที่ได้ก่อกรรมดี กรรมชั่วต่างๆลงไป ยมบาลท่านเห็นพลังงานและสีสันต่างๆที่เก็บสะสมไว้ใจจิตของหนุ่มคนนั้น ท่านก็รู้หมดนั่นแหละว่าทำอะไรมาบ้าง”

     

                ปรีย์กระพริบตาปริบๆ เมื่อได้ฟังคำแถลงไขที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อน..มันช่างแตกต่างจากความเชื่อเดิมๆที่คนโบราณเล่าต่อกันมาก

     

                “แล้วยมบาลท่านเกิดขึ้นมาจากไหนครับ หรือว่ามีอยู่เดิมในขุมนรก”

     

     

                “เป็นโอปปาติกะเหมือนกันนั่นแหละ ท่านผุดขึ้นมาจากกรรมที่เคยทำไว้สอดคล้องกับเหล่ามนุษย์ผู้ชั่วช้า บางท่านเคยเป็นเพชฌฆาตประหารชีวิตนักโทษบนโลกมนุษย์ หรือผู้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตผู้กระทำผิดจำนวนมาก จึงมีเหตุปัจจัยนำมาเกิดเพื่อตัดสินลงทัณฑ์สัตว์นรกในขุมนั้นๆ”

     

                ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรต่อ เพียงแต่พยักหน้ารับทราบข้อมูลแปลกใหม่ที่เขาไม่วันได้ล่วงรู้หากไม่โชคดีมาพบท่านพระภูมิเทวาองค์นี้

     

                “แม้จะเป็นถึงพญายม แต่ยังต้องชดใช้กรรมอยู่ คือทุกๆ เที่ยงคืน จะมีเจ้าหน้าที่นรกตักน้ำทองแดงมาให้ดื่มวันละ ๓ ถ้วย จนกว่าจะหมดกรรม แล้วจึงไปเกิดในภพภูมิอื่นๆต่อไป”

     

                ผู้ทรงศีลอธิบายต่อ คนฟังอย่างปรีย์ถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แค่นึกภาพตามก็แสบร้อนไปทั่วถ้วนทั้งคอหอย

     

                “โอ..น่ากลัวจังครับ”

                ชายหนุ่มอุทานเสียงแผ่วเบา

     

                พระภูมิเอื้อมมือมาแตะบ่าชายหนุ่ม ก่อนเอ่ยชวน

     

                “ฉันจะพาเธอไปดูของจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่า เสร็จแล้วเราจะได้ไปพบญาติของเธอที่อื่นต่อ”

                “อ้าวญาติผมไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือครับ”

     

                พระภูมิสั่นศีรษะน้อยๆ เพียงพริบตาเดียวร่างทิพย์ทั้งสองก็กลืนหายไปกับความว่างในอากาศ

     

     

                กระไอร้อนในสถานที่แห่งใหม่แผ่ขยายความรุนแรงทวีคูณขึ้นหลายเท่าตัว ด้วยอุปาทานที่ยังมีอยู่เหนียวแน่น ยึดว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตน จึงทำให้ปรีย์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง ผิวหนังแสบสันต์ราวกับเนื้ออ่อนๆกำลังจะหลุดลอกอยู่ในไม่ช้า

     

                ภาพที่ปรากฏตรงหน้ายิ่งชวนให้ขยาดกลัว ความจริงอันสยดสยองที่มนุษย์หน้าโง่อย่างเขาไม่มีวันได้เห็น หากไม่ใช่เพราะผู้วิเศษที่ยืนอยู่ข้างกายท่านนี้นำพามาให้พบเจอ

     

                นรกขุมนี้มีเปลวไฟนรกผุดขึ้นท่วมตัวแผดเผาสัตว์นรกตลอดเวลา พวกมันมีรูปร่างใหญ่โต ตามร่างมีแผลเหวอะหวะสยดสยอง และส่งเสียงร้อยโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน

     

                “ที่นี่เรียกว่า กาฬสุตตมหานรก หรือแดนเชือกดำ” เสียงทุ้มกังวานบรรยายประกอบภาพที่ชายหนุ่มกำลังทอดมองอยู่เบื้องหน้า

     

                “นายนิรยบาลจะจับสัตว์นรกให้นอนลงบนแผ่นเหล็กร้อน แล้วใช้เชือกเหล็กสีดำติดไฟลุกโชน ขนาดเท่าต้นตาลวางทาบลงบนตัวสัตว์นรก จากนั้นใช้ของมีคม เช่น เลื่อย หั่นร่างให้ขาดเป็นท่อนๆ ตามรอยเส้นที่ตีไว้” คำอธิบายของท่านพระภูมิเทวาช่างเหมาะเจาะกับความเคลื่อนไหวของบุรุษตรงหน้า ราวกับเรียบเรียงคำพูดมาจากภาพที่เห็น

     

                “บางทีก็ใช้ด้ายหรือเชือกเหล็กสีดำนั้น หั่นร่างกายให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตั้งแต่ส้นเท้าถึงเอว หรือตั้งแต่เอวลงมาถึงส้นเท้า ในขณะที่บางตนวิ่งหนี จะถูกด้ายหรือเชือกเหล็กสีดำร้อนระอุร่วงหล่นลงมาพันร่างกายให้มอดไหม้เป็นจุณ” ผู้ทรงศีลเว้นจังหวะพอควร ให้คนฟังพิจารณาตาม “สัตว์นรกขุมนี้ต้องชดใช้กรรมนานถึง ๑,๐๐๐ ปีนรก...๓๖ ล้านปีมนุษย์เท่ากับ ๑ วันนรก”

     

                ปรีย์ถึงกับต้องปิดตาในบางฉากที่เห็น ชายหนุ่มไม่สามารถทนมองความเจ็บปวดแสนสาหัสเหล่านั้นได้อย่างต่อเนื่อง แผ่นหนังที่หลุดล่วงลงมาเป็นชิ้นๆ พร้อมโลหิตสีแดงฉานที่หลั่งรินลงมาเป็นสายน้ำ กลิ่นสาบสางและคาวเลือดทำให้เขาเกือบอาเจียนออกมาในบางครั้ง

     

                “เขาทำกรรมอะไรมาหรือครับ ถึงต้องมาเจอบทลงโทษสาหัสขนาดนี้”

     

                “พวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนทำร้าย ด้วยการทรมานเฆี่ยนตี ใช้เชือกผูกมัดสัตว์ให้ดิ้นทุรนทุรายจนตาย รวมถึงพระภิกษุสามเณรที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย หรือพวกทุศีล แต่ยังครองเพศบรรพชิตอยู่ไม่ยอมลาสิกขา นุ่งห่มผ้าจีวร ฉันภัตตาหาร อาศัยเสนาสนะที่ญาติโยมถวายด้วยจิตศรัทธา” พระภูมเทวาช่วยแถลงความกระจ่างให้กับชายหนุ่ม

     

                “เวลาใกล้หมดแล้ว..ฉันต้องรีบพาเธอไปพบญาติ”

     

                ผู้ทรงคุณกล่าวเตือน ก่อนจะนำเขาข้ามผ่านมิติไปยังสถานที่แห่งใหม่..

     

                ฉากนั้นปรากฏขึ้นราวกับเฟรมหนังสยองขวัญที่ฉายขึ้นติดกันกับภาพเมื่อไม่กี่อึดใจที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่าคราวนี้ความทรงจำในวัยเด็กกับผุดขึ้นมาให้เขาระลึกได้ลางๆ

     

                “นั่นมัน..”

     

                ปรีย์อุทานเสียงหลง เมื่อเห็นร่างยับเยินของบุคคลซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักกันมาก่อน นอนหงายหน้าแผ่อยู่บนแท่นเหล็กร้อนสูงระดับเอว บริเวณรอบๆมีแต่ความมืดมิดอับชื้น และกลิ่นไม่พึงประสงค์

     

                ยิ่งกว่านั้นคือความสะอิดสะเอียดอันชวนคลื่นไส้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆในขุมนรกคราวนี้ บรรดาหนอนหน้าตาน่าเกลียดน่าขยะแขยงเป็นแสนเป็นล้านชอนไชเข้าออกตามรูโหว่ ช่องว่างต่างๆของร่างกาย ผมเผ้าสยายรุงรังของหญิงชราผู้นั้นเปียกแฉะ เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังไม่น่ามอง

     

                “ป้าศรีไงล่ะ เธอจำได้ไหม”

     

                พระภูมิเทวาช่วยย้ำเตือนความทรงจำของชายหนุ่มให้กระจ่างชัด

     

                ปรีย์พยักหน้ารัวเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกใจหายวาบ ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้มาพบญาติที่ห่ายหายไปเกือบแปดปีด้วยสภาพอันน่าสังเวชเช่นนี้

     

                “ผมจำได้ว่า สมัยเรียนม.ต้น ป้าศรีแกช่างขยันเอาของแปลกๆมาเยี่ยมแม่ แล้วก็ชอบนั่งนินทาพระสงฆ์ รูปนั้นรูปนี้ให้แม่ฟัง ผมเด็กขนาดนั้นยังกลัวแทนแกเลย ว่าตายไปนรกจะกินกบาล” ปรีย์รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ตรงลำคอ กลืนน้ำลายหลายอึกกว่าจะพูดต่อไปได้ “ไม่นึกเลยว่า แกจะโดนอะไรแบบนี้”

     

                หนอนไหน่ชอนไชไปทั่ว แถมยังเพิ่มทวีจำนวนขึ้นอีกเป็นกองเพียงพริบตาเดียว แผลหนองไหลย้อยลงมาตามรูโหว่ต่างๆบนเรือนร่างชวนสะอิดสะเอียด บริเวณช่องปากมีกองทัพหนอนสีขาวสีน้ำตาลดำปะปนจำนวนมาเป็นพิเศษกว่าบริเวณอื่น มันไชยุบยับกัดกินเนื้อเน่าๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า สัตว์นรกตนนั้นร่ำร้องจนเสียงแผดก้องได้ยินทั่วไปทั้งขุม ความดิ้นรนหาทางรอด ความทรมานแสนสาหัส ทว่าขยับไปตรงไหนก็มีแต่หนอน แผ่นหลังกระดกหนีเหล็กร้อนที่นอนทับอยู่อย่างไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด แต่พยายามอย่างยิ่งยวดเพียงใด ก็ไม่อาจเร้นรอดจากพันธนาการที่มองไม่เห็นไปได้แม้แต่วินาทีเดียว

     

                หลุมโพรงของบาดแผลใหญ่มีหนอนยั้วเยี้ยอยู่เป็นกระจุก อดีตมนุษย์ชื่อศรีกำลังควานมือเหี่ยวย่นเละเทะเข้าไปล้วงหยิบกลุ่มหนอนน่าเกลียดเหล่านั้นออกจากหลุมแผลใหญ่น้อย สองมือสะเปะสะปะปัดป่ายไปทั่วสรรพางค์กาย ทว่าต่อให้ล้วงควักเท่าไหร่ก็มีหนอนกลุ่มใหม่ผุดขึ้นแทนที่ทุกครั้ง น้ำตาสัตว์นรกหลั่งเป็นสายเลือดออกมาอย่างน่าสลดเวทนา

     

                ผ่านไปนานหลายชั่วอึดใจ ปรีย์จึงมีโอกาสได้เห็นป้าศรีแผ่วเสียงร่ำไห้ลงบ้าง หนอนกองพะเนินเหล่านั้นมีบางช่วงที่เหือดหายไปให้เรือนร่างเบาคลายจากความทุกข์ทน ไอร้อนระอุจากแผ่นเหล็กลดระดับความแสบร้อนลงในบางขณะ หญิงชราหยุดดิ้นรนหาทางรอด ความสงบนิ่งแผ่วเบาที่เขาเห็นนั้นคงอยู่ไม่นานนัก สภาพสาหัสสากรรจ์ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติที่ชายหนุ่มเห็นตั้งแต่ทีแรก ดวงตาของป้าศรีมีแต่ความเจ็บปวดและเริ่มด้านชา นัยน์ตาคู่นั้นมีสีขาวโพลนเลือดซึมลงมาเป็นทาง หามีแก้วนิลสีดำตรงกลางเหมือนมนุษย์ทั่วไปไม่

     

                ชายหนุ่มหันมาถามท่านพระภูมิด้วยแววตาบอบช้ำ

                “ป้าผมทำกรรมอะไรนักหนาครับท่าน ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

     

                ผู้ทรงศีลนิ่งมองสภาวะของสัตว์นรกตรงหน้าด้วยแววตาเปี่ยมอุเบกขา

                “การใส่ร้าย นินทาพระอริยสงฆ์เป็นบาปมหันต์ ป้าของเธอไม่เพียงแค่นินทาสนุกปากเท่านั้น แต่ยังประกาศชี้ชวนให้ผู้ใจบุญทั้งหลายหันมาเกลียดพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายท่าน ไปที่ไหนก็ชวนเขาคุยเป็นเรื่องสนุกปาก หัวเราะเหยียดหยันผู้สืบทอดพระศาสนา อันมีทรงคุณธรรมขั้นเหนือโลก จนเป็นเรื่องเคยชิน ทำตั้งแต่สาวจนแก่ ก็ไม่เคยสำนึกในบาป”

     

                ปรีย์ก้มหน้าคอตกด้วยความสลดสังเวชใจ แค่คำพูดไม่รู้คิดเพียงอย่างเดียวก็สามารถก่อโทษให้ตนได้มากเจียนใจจะขาดถึงเพียงนี้เชียวหรือ..ยิ่งหวนนึกถึงความเป็นตัวตน และความเคยชินของตัวเขาเองก็ให้หวาดเสียง ขนลุกไปทั้งร่าง เขาก็เป็นมนุษย์อีกคนที่ไม่ค่อยระวังคำพูด ไม่รู้จักยั้งคิด ถึงแม้จะไม่ถึงขนาดด่าว่าพระสงฆ์อย่างป้าศรี แต่ชายหนุ่มก็สำเหนียกได้ชัดว่า บาปกรรมทางวาจาที่เขาเคยทำคงไม่ใช่น้อยๆอยู่หรอก

     

                “นี่แค่ขุมนรกระดับกลางเท่านั้นนะพ่อหนุ่ม  ยังมีอีกหลายขุมที่ทรมานสาหัสกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า”

                ชายหนุ่มถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความสยดสยอง

     

                “มีหนักกว่านี้อีกหรือครับท่าน”

                พระภูมิพยักหน้าเนิบช้า ก่อนถ่ายทอดความทรงจำแห่งสัจธรรม

     

                “มีสิ..นรกโลกันตร์เป็นนรกขุมพิเศษที่อยู่นอกจักรวาลและมีลักษณะแปลกประหลาดกว่านรกขุมอื่นๆทั้งหมด นรกขุมนี้อยู่ระหว่างขอบจักรวาลทั้งหลาย มีสภาพมืดมิด ไร้แสงสว่าง เบื้องล่างเป็นทะเลน้ำกรดเย็นยะเยือก ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งเต็มไปด้วยซากศพ”

     

                ปรีย์นึกภาพตามไปด้วยจึงทำตาหยี เบะปากด้วยความหวาดกลัว

     

                “สัตว์นรกขุมนี้จะมีเล็บมือเล็บเท้ายาวแหลมคม ใช้เป็นอาวุธต่อสู้ทำร้ายกัน อาศัยเกาะอยู่ตามขอบจักรวาลห้อยหัวลงมาเหมือนค้างคาว กรรมจะชักนำให้สัตว์นรกทั้งหลายอดอยาก หิวโหย เมื่อเจอสัตว์นรกด้วยกัน จึงคิดว่าเป็นอาหาร พยายามต่อสู้ฉีกเนื้อกันกินเป็นอาหาร” ผู้ทรงคุณทอดสายตาไปไกลอย่างนึกสงสารสัตว์โลกที่ยังเวียนว่ายตายเกิดด้วยความไม่รู้ “ ขณะต่อสู้กันอยู่มือที่ใช้เกาะขอบจักรวาลจะหลุดออก ทำให้ร่วงตกลงในทะเลน้ำกรด น้ำกรดจะกัดกร่อนร่างนั้นกลายเป็นจุณชั่วพริบตา”

     

                ปรีย์ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ พระภูมิเทวาจึงรีบรวบรัดตัดความเอาแต่สาระสำคัญมาอธิบายให้เขาฟัง

                “ผู้ที่ต้องมาชดใช้กรรมในนรกขุมนี้ เพราะทำอนันตริยกรรม..กรรมหนักที่ส่งผลทันที หรือประพฤติอกุศลกรรมบถข้อฆ่าสัตว์ตัดชีวิตขั้นรุนแรงเป็นประจำ”

     

                “ทำไมมันน่ากลัวยังงี้ครับท่าน “ ปรีย์ถามอย่างไม่อยากเชื่อ

     

                “ฝีมือเราเองล้วนๆ ที่ไปทำชั่วสะสมเอาไว้ จิตหยาบมันสร้างภพนรกขึ้นมาเอง ไม่มีใครเป็นผู้สร้างอยู่ก่อนหรอกนะ ถ้าสั่งสมกรรมดี จิตของเธอก็จะละเอียด ได้เลื่อนภูมิขึ้นไปอยู่ในภพที่ละเอียด มีแต่ความสุขถ่ายเดียว ตัวเธอเองนั่นแหละเป็นผู้สร้างภพ..ตราบใดที่ยังมีอวิชชาสืบเนื่องให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่เลิกแบบนี้”พระภูมิเห็นปรีย์จ้องมองผู้ลงทัณฑ์ด้วยแววตาเจ็บแค้น ท่านจึงอธิบายให้เขาเข้าใจ “นายนิรยบาลเหล่านั้นก็ต้องทุกข์เหมือนกัน ท่านได้รับความแสบร้อนในขุมนรก มีกรรมร่วมกันกับสัตว์นรก เมื่อมันผุดขึ้นมาในขุมของท่าน ท่านก็รู้แต่ว่าต้องทรมานสัตว์ตนนั้นไปตามกรรมให้พินาศ ตามแรงชักจูงของจิตใต้สำนึกจนกว่าจะสิ้นกระแสกรรมของท่าน”

     

     

                ผู้เปี่ยมคุณธรรมกล่าวสอนด้วยความเมตตา ชายหนุ่มได้แต่ยืนหน้าจ๋อยรับฟัง นึกเท่าไหร่ก็มีแต่ภาพการกระทำชั่วๆลอยเข้ามาในห้วงมโนสำนึก

     

                “เป็นไงล่ะ..แรงกระตุ้นของฉัน แค่นี้พอไหม”

     

                ปรีย์เงยหน้าขึ้นมองท่านพระภูมิเต็มตา พลางพยักหน้ารัวเร็วแทนคำร้องขอว่าให้หยุดแรงกระตุ้นไว้เพียงเท่านี้!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×