ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แค่วางทุกข์ก็สุขแล้ว :: (ตีพิมพ์กับ สนพ.อักขระบันเทิง)

    ลำดับตอนที่ #2 : อาชีพที่ใฝ่ฝัน การงานที่ไขว่คว้า

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 54


    โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร...

    คำถามนี้คุณเคยให้คำตอบตัวเองจากใจจริงมากน้อยแค่ไหน?

     

    ในแง่ของมนุษย์ที่เกิดมาแล้วปรารถนาที่จะให้ตัวเองมีความสุข ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่ลืมว่าการทำงานเพื่อสังคม สร้างประโยชน์กับคนหมู่มาก เป็นการสร้างตนให้มีคุณค่าอย่างเต็มรูปแบบ

     

    สำหรับค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ก็คงอยากมีอนาคตเป็นคุณหมอ จนกลายเป็นว่า แบบแผนของคนดีมีความก้าวหน้าในสังคมนั้น หาได้จากคำว่า “หมอ”ในสายตาของเด็กวัยรุ่น เด็กมัธยมหลายคนที่ถูกปลูกฝังและมองเห็นภาพพจน์อันสวยหรูต่อมวลมนุษย์อย่างนายแพทย์ หรือแพทย์หญิงทั้งหลาย จึงมุ่งหน้าขวนขวายกันแทบเป็นแทบตาย เพื่อสอบแข่งขันเข้ามาเรียนในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งมีที่นั่งอยู่อย่างจำกัดในมหาวิทยาลัยเพียงสิบกว่าแห่งของประเทศ

     

    อุดมคติที่เหล่าผู้ใหญ่ และภาพรวมเหล่านั้นได้ฝังความคิดแก่เด็ก ทำให้ความสนใจที่อยู่ลึกๆ การงาน..ความชอบ ที่เด็กทำได้ถนัดที่สุด และก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าอาชีพไหน หากทำไปด้วยใจรัก และปรารถนาประโยชน์สุขแก่ส่วนรวมเป็นหลัก

    น่าเสียดายที่เด็กหลายคนไม่อนุญาตให้ตัวเอง หรืออาจไม่ได้รับการอนุญาตจากพ่อแม่ให้เปิดกว้างกับโลก และความถนัดของตนมากกว่านี้

     

                หลายคนสอบเข้าหมอมาได้ แต่อาจไม่มีความสุขเลย ที่แม้รู้ว่าจบไปจะได้สร้างประโยชน์ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ระหว่างเรียนกลับทุกข์ทรมานกระอักกระอวนใจ ทั้งที่ตนเลือกเข้ามาด้วยความตั้งใจจริงๆ แต่ก็ต้องมาพบว่า เรี่ยวแรงมหาศาลทั้งกายและใจทุ่มเทลงไปกับการเรียนแล้วผลที่ได้แทบไม่คุ้มเหนื่อย นั่นก็เพราะ “อิทธิบาท ๔” ของคนเหล่านั้นกับงานที่ทำไม่อาจบรรจบกันโดยสมบูรณ์

     

                ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ โดยถือหลัก เพื่อต้องการความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความโดดเด่นมีตัวตนเป็นสำคัญ พูดสั้นๆว่า เพื่อสนองอัตตา นั้น ก็เป็นใจรัก แต่เป็นใจรักที่ศาสนาพุทธเรียกว่า “มานะ” ไม่ใช่ “ฉันทะ” ที่เป็นไปเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

     

    ฉันเองก็เคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่ทำเพื่ออุดมคติ ถึงแม้ในแง่การฝังความคิดจากพ่อแม่จะมีมานาน แต่แรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันขยันอ่านหนังสือ ฝึกฝนแทบตายช่วงโค้งสุดท้ายเพื่อสอบเข้าหมอ คือการได้ไปฝึกงานที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งรับเด็กมัธยมปลายเข้าไปลองสัมผัสชีวิตหมอ เพื่อดูว่าใช่อาชีพที่ตนใฝ่ฝันและมีแนวโน้มจะอยู่กับมันได้จริงหรือไม่

     

    ยอมรับตามตรงว่า ก่อนหน้านั้น ฉันออกจะชอบทำอะไรศิลป์ๆเสียมากกว่า แม้จะเรียนมาทางสายวิทย์และค่อนข้างวิชาการแบบถูกบังคับให้เลือกเล็กน้อยก็ตาม ฉันไม่เคยอยากเป็นหมอ แต่พ่อก็พูดกรอกหูตั้งแต่เด็กว่าหมอดีที่สุด นั่นไม่เท่ากับการที่ฉันได้ไปฝึกงานในครั้งนั้น ฉันไม่เคยคิดจะเตรียมตัวอ่านหนังสือหนักเพื่อให้สอบติดคณะดีๆอะไร คิดไปว่ายถากรรมสั่งให้เรียนอะไร ก็คงได้เรียนอย่างนั้นเอง ชีวิตวัยเด็กก็ถูกตีกรอบเสียจนไม่ได้เหลียวมอง หรือสนใจว่าตนเองถนัดและชอบทำสิ่งใดมากที่สุด ไม่รู้ว่าสิ่งที่ใจรักคืออะไร..

     

    โลกของฉันค่อนข้างแคบ นอกจากความคิดที่ถูกฝังให้มาแนววิทยาศาสตร์สายสุขภาพ ฉันเองก็เป็นคนไม่เห็นความจำเป็นของการหาเป้าหมายในชีวิต หรือการไต่ตามฝันอย่างใครเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

     

    การเข้าไปฝึกงานที่ศิริราชนั้น ก็ไม่ได้ต้องการจะเป็นหมอ แต่ทำตามแฟชั่นไปอย่างนั้นเอง เห็นเพื่อนไปกันเยอะ ก็เลยขอเอี่ยวกับเขาด้วย นึกไม่ถึงเลย พอเข้าไปอยู่ กลับรู้สึกแตกต่าง เข็มชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงแทบจะฉับพลัน เห็นพี่หมอดูแลคนไข้ เหล่าพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ช่วยกันรักษาให้คนหายทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย เห็นคนแก่นอนร้องไห้เป็นงานอดิเรกทุกครั้งที่ลูกเต้าไม่มาเยี่ยม ความสงสารจับใจ ทำให้ฉันอยากมีส่วนร่วมแบบพี่หมอเหล่านั้น โดยไม่ทันคิดอะไร หรือหยุดทบทวนใจให้ดีก่อน เตรียมจัดตารางอ่านหนังสือแน่นเอี้ยดในวันนั้นเอง ปักธงแน่วแน่ว่า...ฉันจะต้องสอบหมอให้ติด

     

    การตั้งต้นทำอะไรด้วยใจที่เป็นกุศลพอจะส่งผลดีให้กับตัวฉันไม่น้อย แต่ฉันก็จำไม่เคยลืมว่าต้องใช้ความพยายามแทบเลือดตากระเด็นขนาดไหน กว่าจะสอบแพทย์ได้ ไม่ใช่งานที่นึกอยากทำก็ทำได้แบบสบายตัวเหมือนคนสมองเพชรหลายคน ที่เข้ามาเรียนด้วยความไม่ยากลำบากอันใด ฉันรู้สึกต้องใช้พลังใจอย่างมากมายเกินเหตุทุกครั้งที่คิดว่าจะต้องอ่านหนังสือ ตั้งใจฟังเลคเชอร์ ปฏิบัติกิจภาคสนามต่างๆ แม้เข้ามาเรียนในคณะแพทย์ได้แล้วก็ตาม ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความมีใจรัก เพียรพยายาม ตั้งใจแน่วแน่ และหมั่นตรวจสอบตามหลักของอิทธิบาทสี่ในแต่ละครั้งนั้น มันแฝงไปด้วยความอึดอัดรำคาญใจที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละน้อยอย่างแนบเนียน

     

    ฉันยังถือว่าตัวเองไม่ได้โชคร้ายเกินไปนัก แม้จะปิดกั้นตัวเองจากการค้นหาสิ่งที่ใจรักในวัยเด็ก แต่เมื่อเริ่มเรียนหมอได้ปีสองปี เพื่อนสนิทในคณะเดียวกันคนหนึ่งก็ได้จุดประกายให้ฉันค้นพบความจริงว่างานที่ใจรัก และทำได้อย่างไม่ต้องเข็นหัวใจนัก คือ งานเขียนหนังสือ งานเขียนที่เริ่มต้นมาจากการเขียนนิยายรูปเล่ม ซึ่งได้ตีพิมพ์กับสนพ.แห่งหนึ่ง งานที่ฉันภาคภูมิใจว่า ฉันมีพร้อมทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องบีบเค้นหัวใจอย่างการทำอะไรอย่างอื่น

     

    อันที่จริง ฉันทะในครั้งนั้น เป็นความสำคัญผิดของฉันเอง ที่แท้มันก็เป็นมานะอัตตาของตัวเอง ที่สุดท้ายปลายทางคือหวังให้ตัวเองได้ดี สำเร็จ มีคนมาชื่นชมผลงาน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อ่านอย่างแท้จริงเลย

    แต่ก็ไม่ได้เสียหายไปทั้งหมด มานะครั้งนั้นอย่างน้อยก็เป็นรากฐานให้ฉันค้นพบสิ่งที่ใจต้องการ และสามารถอยู่กับมันได้ทั้งชีวิต อะไรที่นำพาไปด้วยใจใหญ่ มักให้ผลใหญ่ได้ไม่ยากเสมอ มานะครั้งนั้นนำฉันมาพบพระพุทธเจ้า จากการที่ต้องขวนขวายอ่านหนังสือหลายๆประเภทจนมาอ่านเจอหนังสือของคุณดังตฤณ ทำให้ฉันเปลี่ยนแนวการเขียนมาเขียนอะไรที่เป็นความจริง เป็นสัจธรรม ช่วยเป็นประชาสัมพันธ์ให้คนหันมาพบความจริงที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยความตั้งใจของฉันคือสื่อธรรมะให้คนอ่านเข้าใจง่ายๆ และนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

     

    ฉันค้นพบโดยไม่ต้องถามผู้รู้ ว่าสิ่งที่ใจรักนั้น มีคุณลักษณะอย่างไร ในเมื่อใจประจักษ์เอง ว่างานที่รักนั้น ไม่ต้องมีแรงกระตุ้นผลักดันมากมายจากใครหรือสิ่งไหน ก็อยากที่จะทำได้ไม่จำกัดเวลา ไม่มีหยุดพักว่า หมดเวลาแล้วพักเที่ยงกินข้าวก่อน สามทุ่มต้องเข้านอนก่อนแล้วค่อยตื่นมาทำต่ออะไรอย่างนั้น คือมันทำไปได้เรื่อยๆ เท่าที่ใจยังปรารถนา ไม่ต้องมีผลตอบแทนใดมาเป็นเหยื่อล่อให้ต้องรีบขวนขวายทำ

     

    ฉันเรียนหมอมาจวบจนเข้าปีสุดท้ายใกล้จบแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ทั้งหมดหรอกว่าฉันไม่มีอิทธิบาทสี่ในการเรียนคณะนี้ ฉันมีใจรัก มีความตั้งใจดี มีความเพียรพยายามไม่น้อย อาจด้อยการปรับปรุงข้อบกพร่องไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าขาด และที่สำคัญที่สุดคือ..ฉันไม่ได้เกลียดวิชาชีพนี้ โอเค..ฉันจบไปเป็นหมอ ฉันก็มีความสุขด้วยซ้ำที่ได้เห็นคนเจ็บหายป่วย

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกัน ว่าถ้าให้ฉันทุ่มกายทุ่มใจไปกับสิ่งนั้นทั้งหมดตลอดชีวิต ความอึดอัด ขรุขระย่อมแฝงอยู่ในนั้นทุกอณูแห่งกาลเวลา ฉันพยายามมาเท่าไหร่ ก็รู้แก่ใจว่ามันไม่ใช่ทางถนัดของฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุด ผลจากการพยายามไม่เคยคุ้มแรงเลย ทำไปสิบได้มาสอง หรืออย่างมากที่สุดก็ได้สักครึ่งหนึ่งของทั้งหมดอะไรทำนองนั้น

    ฉันมีฉันทะแน่..ไม่ใช่มานะ หวังประโยชน์ส่วนรวมแน่ไม่ได้เถียง แต่ความพยายามที่จะทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดจริงๆ บางครั้ง ประโยชน์ที่ได้มันก็ไม่ควรแก่งานอย่างเต็มที่ หากไม่ระมัดระวังรอบคอบทุกวินาทีแล้ว ฉันอาจสร้างโทษให้ผู้คนไปแบบไม่ตั้งใจก็ได้ ฉันไม่ได้จะลาออกจากการเป็นหมอ เพียงแต่ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะเลือกเรียนสาขาเฉพาะทางที่เอื้อต่องานเขียน ซึ่งเป็นงานเขียนที่เน้นเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนชีวิต วิธีคิดของคนอ่านให้สว่างไสวขึ้น เป็นงานเขียนที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนในรูปของเงินเป็นหลัก แต่ประโยชน์ที่คนอ่านได้รับนั้นสำคัญกว่ามาก

    สาขาที่ฉันตั้งใจจะเลือก จึงเน้นไปทางด้านจิตใจ ฉันค้นพบว่าตนเอง มีความสุขที่จะได้ทำอะไรให้จิตใจของผู้คนดีขึ้น ความทุกข์ ปัญหาชีวิต ได้รับการแก้ไข และเป็นที่พึ่งตนเองได้ ไม่ว่าสถานการณ์เลวร้ายจะมารุมเล่นงานอีกในภายภาคหน้า สาขาที่ฉันเลือกนั้น สำคัญที่สุดต้องไม่รัดตึงเวลาส่วนตัว จนไม่สามารถจะแบ่งมาเขียนงานที่ใจฉันรัก และมาฝึกฝนพัฒนาจิตใจตนเองให้พ้นจากความทุกข์ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ ดังนั้นบทสรุปที่ลงตัวของอนาคตฉันคือ “จิตแพทย์”

    แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าให้ฉันย้อนเวลากลับไป ฉันจะไม่ปล่อยโอกาสให้สิ่งที่ฉันถนัดและมีใจรักด้วยฉันทะอย่างแท้จริง ถูกค้นพบช้าแบบนี้อีกแล้ว อุดมคติของผู้ใหญ่ หรือค่านิยมใดๆของสังคมก็ไม่มีอิทธิพลทางใจเพียงพอที่จะทำให้ฉันยอมฆ่าสิ่งที่ตัวเองทำออกมาได้ดีที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคม

     

    เพื่อนๆ น้องๆที่รัก..ค้นหา “ฉันทะ” ของตัวเองเจอหรือยัง?

    ถ้าเจอ..อย่าปล่อยให้สิ่งล้ำค่าเหล่านั้นหลุดลอยไป

    ถ้ายังไม่เจอ..ตั้งใจหาให้เจอจนได้

    การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสรรพชีวิต และต่อตนเอง

    ไม่ได้อยู่ที่ อาชีพการงานมั่นคง เป็นที่นับหน้าถือตาอย่างหรูในสังคม

    แต่สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ที่ว่า..คุณได้นำศักยภาพในตัวเองมาใช้อย่างเต็มที่ ค้นพบตัวเอง สิ่งที่ทำแล้วไม่ทุกข์ โดยที่คนอื่นก็เป็นสุขไปกับเราด้วย ทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ รับผิดชอบต่อผลที่เกิดกับสังคมเป็นหลัก

    เชื่อไหมว่า..เมื่อเทียบกับ คุณหมอ คนใหญ่โต..ขุนนาง เจ้านายระดับประเทศ ที่ไม่รู้จักบทบาทหน้าที่ของตัวเอง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม คุณค่าของความเป็นมนุษย์นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
    แต่กับคนอย่างคุณ..ที่รู้จัก “ฉันทะ” ปฏิบัติเพื่อให้ตนเองและผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ นั้น..ประมาณค่าไม่ได้..แม้ตายลง ก็ไม่เสียใจที่ได้เกิดมา

    เหนืออื่นใด ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพไหน..อย่าลืมหัวใจของพุทธศาสนา ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐาน..เป็นรากฐานของการกระทำกรรมใดๆ ทั้ง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

    อย่าลืม...

    “ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธ์”

     

    มาฆบูชา ๒๕๕๓

    ขอให้ทุกชีวิตมีฉันทะงดงามในใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×