ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรือนกุหลาบ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.34K
      11
      29 ก.ค. 58

                ปลายเดือนมกราคม ฤดูหนาวหอบเอาลมเย็นพัดผ่านไปทุกพื้นที่ เช่นเดียวกับหลังโรงเรียนแห่งนี้ เด็กหญิงผิวขาวจัดคนหนึ่งกำลังนั่งจมอยู่กับความรู้สึกหวาดกลัวทางใจ คละเคล้าความเจ็บปวดทางกายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

                ไอหนาวผะผ่าวผิวหน้าจนแก้มขึ้นสีเลือดฝาด เด็กหญิงกอดเข่าตัวสั่นเทิ้ม เสียงสะอื้นไห้ของเธอเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ นิ้วโป้งข้างซ้ายถูกกุมไว้แน่น รอยแยกของเนื้อหนังมีโลหิตสีแดงข้นไหลลงมาเป็นทาง ยามเย็นเช่นนี้ผู้คนเบาบางเพราะเริ่มทยอยกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแต่นักเรียนรุ่นพี่บางคนเดินผ่านร่างเธอ แต่ไม่มีใครสนใจจะเข้ามาถามความทุกข์ร้อนของเธอเลยแม้แต่คนเดียว

                กวิน..นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามเพิ่งเสร็จจากการช่วยงานติดบอร์ดนิทรรศการที่ห้องแนะแนว เขาเดินลงบันไดมาพร้อมกับกระเป๋าหนังสีดำใบกะทัดรัด เด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินออกจากโรงเรียนโดยใช้เส้นทางโปรด คือประตูด้านหลัง วันนี้ไม่มีพี่เลี้ยงมารอรับเขาเหมือนเช่นทุกวัน แต่เด็กหนุ่มผมทรงนักเรียนก็ไม่หวาดหวั่นที่ต้องกลับบ้านเพียงลำพัง

                เสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงตัวเล็กร่างผอมคนนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ กวินยืนมองเธอตัวแข็งทื่ออยู่ตั้งนานแล้วตัดสินใจอยู่นานว่าจะเข้าไปปลอบหรือไปช่วยเธอดีหรือไม่ เสื้อนักเรียนเครื่องแบบเด็กชั้นประถมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด กวินเป็นคนกลัวเลือด เขารู้สึกหวาดเสียวทุกครั้งที่ได้เห็นสีแดงฉานของมัน เด็กหนุ่มสงสารเธอมาก แต่ก็ต้องชั่งใจหนักหน่อยกว่าจะกล้าขยับขาออกเดินเข้าไปหาเธอในครั้งนี้

                “เลือดไหลเต็มเลย ไปโดนอะไรมา” เขาถามเสียงสั่น ใจหนึ่งก็อยากช่วย ใจหนึ่งก็กลัวเลือด

                เด็กหญิงผมหยักศกล้อมกรอบใบหน้าเล็กผุดผ่องคนนั้นหันมาตามเสียง ดวงตากลมราวไข่มุกลูกเล็กดวงนั้นเบิกกว้างด้วยความดีใจ ทั้งที่น้ำตายังอาบสองแก้ม

                “คัตเตอร์บะ..บาด ค่ะ พี่” คำตอบนั้นค่อยๆหลุดออกมาจากริมฝีปากแดงจิ้มลิ้ม สลับกับเสียงสะอื้นเป็นจังหวะติดต่อกัน มือน้อยยังกุมนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายไว้แน่นอย่างพยายามจะห้ามเลือด

                “หนะ..หนู ล้างน้ำก๊อกแล้ว แต่ มะ มัน ไม่ยอมหยุดซะที” เด็กหญิงอธิบายต่อ กวินมองเลือดที่ไหลเป็นทางด้วยความหวาดเสียวในใจ มือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำเงินออกมายื่นให้เธอ

                “เอามือปิดยังงั้น เลือดมันไม่หยุดหรอก อะนี่ เอาผ้าไปพันซะ” เด็กหญิงตากลมแหงนหน้าขึ้นมองสิ่งที่เขายื่นให้เธอ แต่ก็ยังคงนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ไม่เอื้อมมือมารับ ดวงตากลมใสไร้เดียงสาส่งสายใยบางอย่างมาผูกมัดหัวใจเด็กหนุ่มเอาไว้ กวินยอบตัวลงนั่งยองๆ ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

                “มา..พี่พันให้ดีกว่า”

                บอกพลางคลี่ผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดออก แล้วพับม้วนให้แน่นเป็นปึกก่อนจะพันรอบนิ้วโป้งอาบเลือดสดให้กระชับ

                “ต้องใช้ผ้าพันยังงี้รู้ไหม ไม่งั้นเลือดออกหมดตัว ถึงตายนะน้อง” กวินขู่อย่างหวังจะให้เธอสำเหนียกรู้อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเสียบ้าง ทว่าเด็กหญิงกลับหยุดร้องไห้ ระบายยิ้มน้อยๆออกมาด้วยความอุ่นใจ

                “ขอบคุณค่ะพี่”

                เด็กหนุ่มชะงักกึก  นัยน์ตาสุกสกาวคู่นั้นจ้องมองเขาอย่างจะขอบคุณ ความไร้เดียงสาที่มาพร้อมกับความใสซื่อของเธอ ทำให้ชายหนุ่มต้องผงะถอยไปเล็กน้อยโดยไม่ทันรู้ตัว กวินรีบปล่อยมือที่สัมผัสผิวนุ่มของเด็กหญิงออก ยกมือปัดป่ายเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ เสียงหัวเราะสดใสเล็ดลอดไรฟันน้ำนมขาวสะอาดออกมาเมื่อมองเห็นกิริยาแบบนั้นจากรุ่นพี่ตัวโต

                “ไปทำอะไรมาน่ะเรา เลือดถึงได้โชกแบบนี้”

                กวินถามแก้เขิน

                “หนูกรีดก้นกระป๋องพัดติกจะทำโคมไฟส่งครูอะค่ะ แต่มันกรีดแรงไปหน่อยเลยกินมือหนูไปด้วย”

                นัยน์ตายิ้มได้เริ่มเหือดแห้งจากรอยน้ำตา เด็กหญิงแก้มแดงตอบอย่างไม่กล้าสบตา กลัวถูกรุ่นพี่ว่าเหมือนมารดาที่เพิ่งห้ามเธอไม่ให้กระทำการดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน

                “กระป๋องอะไรนะ ฟังไม่ถนัด” กวินเงี่ยหูฟังอีกครั้งเมื่อรู้สึกทะแม่งๆกับคำบางคำในประโยค เสียงหัวเราะใสดังขึ้นอีกคำรบ

                “พลาด สะ ติก ค่ะพี่ “

                “แหม..พูดซะย่อ พี่ก็งงสิครับ”

                “อูย ซี้ด..” เจ้าหญิงตัวบางหยีตาพลางกระชับมือลงบนผ้าด้วยความเจ็บปวด

                “เอ้า เจ็บไหมล่ะนั่น ใช้คัตเตอร์ไม่เป็นทีหลังอย่าทำเองอีกนะ อันตราย เอามาให้พี่ช่วยก็ได้”

                กวินเสนอตัวทั้งที่เพิ่งรู้จักกับเด็กหญิงครั้งแรก

                “ก็หนูกลัวถูกครูตีอะค่ะ วันนี้ครูบอกเป็นวันสุดท้าย ถ้าใครไม่ส่งจะถูกตี” เด็กหญิง เงยหน้าขึ้นจากความเจ็บปวดชั่วคราว แววตาของเธอบอกชัดว่าเกรงกลัวคุณครูคนดังกล่าวมาก ดวงตาที่โตอยู่แล้วแทบจะถลนเมื่อเอ่ยถึง

                “แล้วทำไมไม่รีบทำตั้งแต่แรก มาทำเอาป่านนี้ก็ลนน่ะสิ เห็นไหมเจ็บตัวเลย” กวินแกล้งทำเสียงดุ แต่ก็หลุดอมยิ้มอย่างไม่เหลือความน่ากลัวแบบที่ตั้งใจไว้เลย

                “คือว่า..อูย ซี้ด” รุ่นน้องหน้าเริ่มซีด พลางส่งเสียงโอครวญเป็นระยะ “หนูหมกงานเองอะค่ะ เพิ่งนึกออกวันนี้ คุณแม่ว่าใหญ่เลย แล้วก็ห้ามไม่ให้หนูแอบทำเองด้วย ปกติคุณแม่จะเป็นคนทำงานประดิษฐ์ยากๆให้ค่ะ”

                “นั่นไง เด็กชอบหมกงาน” กวินแกล้งแหย่ แล้วก็ได้ผลคือเด็กหญิงยืดตัวขึ้นทันทีพร้อมกันสั่นศีรษะระรัว

                “ไม่ใช่นะคะ หนูไม่ได้ชอบหมกงาน แต่วันนี้ลืมจริงๆ นี่ก็กลัวครูว่า กลัวถูกตี เลยต้องรีบมานั่งทำไงคะ”

                “นี่ก็เลิกเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรเอาป่านนี้” เสียงที่เริ่มแตกห้าวประสาวัยรุ่นแกล้งเอ็ดต่อ

                “คือ..หนูโดดเรียนคาบสุดท้าย มานั่งทำตั้งนาน” เด็กหญิงยิ้มแหยๆ แต่ก็เปิดเผยความจริงตาประสาคนซื่อ”หนูกะว่ามาทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเอาไปส่งที่ห้องพักครู”

                “เฮ้อ..คนเรา” กวินส่ายหน้าเมื่อได้ฟังคำตอบ “ไม่โดนครูตีเรื่องส่งงานช้า ก็ต้องโดนครูว่าเรื่องโดดเรียนเหมือนกันน่ะแหละ”

                เด็กหญิงคนเดิมขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่าง พักเดียวก็ทำคอตกเบะปากอยากจะร้องไห้

                “นั่นสิ..เอ๋อจริงๆเลยเรา”

                กวินได้แต่ส่ายหน้าเอ็นดู เด็กคนนี้นอกจากจะน่ารักใสซื่อแล้ว ยังแอบเป๋อบ๊องๆระคนกัน

                “อูย..ซี้ด” โลหิตสีแดงเริ่มซึมออกมาจนเกือบจะชุ่มฉ่ำถึงเนื้อผ้าด้านนอก กวินรีบลุกขึ้นยืนพร้อมประคองตัวเด็กหญิงขึ้นมาด้วย

                “รีบไปห้องพยาบาลเถอะ พี่ว่าเราต้องหาหมอเย็บแผลแล้วล่ะ”

                คนเจ็บรีบส่ายหัวดิก

                “ไม่เอาอ่ะ หนูกลัว ไม่อยากหาหมอ”

                กวินทำตาดุใส่ทีเล่นทีจริง พลางเอ่ยแกมบังคับ

                “ไม่ได้ ปล่อยไว้งี้บาดทะยักกินแหง ไม่หาหมอ นิ้วเน่านะจะบอกให้”

                เด็กหญิงทำท่าละล้าละลัง

                “อย่างงั้นเลยเหรอคะพี่”

                เมื่อเห็นเจ้าหล่อนยังขืนตัวเกร็งไม่ยอมเดินตามเขามา เด็กหนุ่มจึงขู่สำทับเข้าไปอีก

                “ไม่ใช่แค่นั้น..นิ้วเน่าแล้วต้องโดนตัดนิ้ว เป็นผู้หญิงนิ้วด้วน”

                “หา! จริงง่ะ” เด็กหญิงอ้าปากค้าง ตาแทบถลนออกจากเบ้า

                “จริง! เพราะงั้นต้องรีบไปห้องพยาบาล ให้คุณครูพาไปหาหมอ คุณหมอจะได้เย็บแผล นิ้วจะได้ไม่โดนตัด”

                กว่ากวินจะพาตัวเด็กขี้แยไปส่งคุณครูฝ่ายพยาบาลได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยปาก ต้องปลอบแล้วปลอบอีกกว่าเด็กหญิงคนนั้นจะยอมก้าวขาออกมาทีละก้าวสองก้าว เด็กหนุ่มไม่ทราบข่าวคราวเรื่องบาดแผล และการส่งพบแพทย์อีกเลยหลังจากมอบตัวเด็กหญิงหน้าตาพริ้มเพราให้อยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ เขาเดินกลับบ้านคนเดียว กว่าจะถึงก็ปาไปสองทุ่มเศษๆ โดนเอ็ดจากบิดาอีกเล็กน้อย

                ทว่ากวินไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้เลย ค่ำคืนแสนสั้นสำหรับเด็กนักเรียนที่กำลังเตรียมสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้ากลับเป็นราตรีอันยาวนานสำหรับเขา ตลอดเวลาที่นอนก่ายหน้าผากก็มีแต่ภาพเด็กหญิงผิวขาวจัดน้ำตาอาบหน้า เด็กหนุ่มเป็นกังวลอย่างมากว่าแผลของเธอจะเป็นอย่างไร ถูกหมอเย็บไปกี่เข็ม เจ็บปวดกี่มากน้อย

     กวินไม่รู้อะไรเลย เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่ได้ขอไว้ แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถาม เขาจึงได้แต่ภาวนาให้ค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้นไปโดยเร็ว พรุ่งนี้จะรีบตามข่าวคราวของเธอมาให้ได้ แม้ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเพื่อให้ได้พบกันอีกครั้งก็ตาม

    และเพียงไม่นาน เวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ระหว่างนั่งแกร่วอยู่บนเก้าอี้หลังโรงเรียน กวินนึกว่าตัวเองจะผิดหวังเสียแล้วที่ตามหาเด็กหญิงคนนั้นไม่พบ ช่วงเวลาเกือบจะพอดีกับที่เขาตัดสินใจลุกขึ้นแล้วออกเดินกลับบ้านคนเดียวอีกวัน เสียงกระจ่างใสก็ดังขึ้นทางด้านหลัง ปลุกหัวใจเด็กหนุ่มผู้เงียบเหงาให้โลดเต้นได้ในพริบตา

    “พี่คะ!

    กวินเอี้ยวตัวกลับมาหาต้นเสียงก็พบเด็กหญิงในดวงใจคนนั้นยืนยิ้มน้อยๆ เธอยื่นบางสิ่งในมือมาให้เขาตรงหน้า เด็กหนุ่มเลยเห็นผ้าก๊อซพันแผลที่หัวแม่มือข้างซ้ายไว้อย่างเรียบร้อย เขาถอนหายใจโล่งอก บาดแผลนั้นที่เขานอนกังวลอยู่ทั้งคืนคงถูกเย็บด้วยแพทย์ฝีมือดีเรียบร้อยแล้วสินะ..

    “หนูซักผ้าเช็ดหน้ามาคืนพี่ค่ะ” เด็กหญิงชั้นประถมขยับเท้าเข้ามาใกล้เขาอีกนิดหนึ่ง ผ้าสีน้ำเงินไร้ลวดลายนั้นถูกพับไว้อย่างดี กลิ่นหอมจางๆของน้ำยาซักผ้าที่เขาไม่เคยสัมผัสลอยเตะจมูก กวินยื่นมือออกไปรับทั้งที่ยังยิ้มกว้าง

    “ขอบใจนะ ความจริงไม่ต้องเอามาคืนก็ได้”

    เด็กหญิงรีบสั่นหัวดิก ก่อนบอกด้วยเสียงใสซื่อ

    “ไม่ได้ค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะผิดศีลข้อสอง คุณแม่สอนไม่ให้เอาของที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของตัวเอง”

    สาวน้อยยังอธิบายต่อไม่สนใจคนฟังที่ทำท่าเหมือนกำลังกินยาผิดขนาน

    “ถูกคุณหมอเย็บมาซะน่วม เลยนอนเหนื่อยอยู่กับเตียง พอนึกขึ้นได้ก็รีบคุ้ยหาผ้าผืนนี้ขึ้นมาจากตะกร้าเลยค่ะ เยินมาก เหม็นเลือดเกือบอ้วกไปแล้ว เลยต้องเอาไปซัก..นี่เป็นครั้งแรกที่หนูหัดซักผ้า..ร่วมกันซักกับพี่สาวเพราะมือหนูเจ็บ แหะๆ”

    “จริงเหรอ..โหย ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้” กวินทำหน้าผวาๆ สายตาไม่อยากเชื่อ ขณะก้มมองผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดในมือที่เรียบแปล้

    “แต่ตอนเช้าเอาไปให้พี่เขียวช่วยรีดให้ แหะๆ ไม่งั้นยับยู่ยี่ น่าเกลียดแน่เลยค่ะ”

    เด็กหญิงเฉลยที่มาของความเรียบร้อยในมือรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงอายๆ

    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แค่นี้ก็ขอบใจมากแล้ว..ว่าแต่แผลเราเย็บเรียบร้อยแล้วสิ”

    เด็กหญิงพยักหน้าแทนคำตอบ

    “เราชื่ออะไรน่ะ เมื่อวานมัวแต่เป็นห่วงไม่ทันแนะนำตัว..พี่ชื่อวินนะ”

    กวินถือโอกาสรีบแนะนำตัวเอง พร้อมๆกับรอฟังชื่อเสียงเรียงนามของสาวน้อยผู้ทำให้เขาต้องนอนไม่หลับทั้งคืน

    “หนูชื่อ..”

    ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงเรียกทุ้มนุ่มจากหญิงวัยกลางคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา

    “คุณหนูคะ คุณแม่มารับแล้วค่ะ”

    เด็กหญิงหันไปก็พบพี่เลี้ยงเดินต้วมเตี้ยมใกล้เข้ามา ทอดสายตามองผ่านไปก็เห็นมารดาเพิ่งก้าวลงจากรถเก๋งสีดำ

    “หนูต้องกลับบ้านแล้วค่ะ ไว้คุยกันใหม่วันหลังนะคะพี่”

    “อ่าว..ดะ เดี๋ยวสิ”

    กวินพยายามรั้งไว้อีกนิด

    “ไข่มุก..มานี่เร็วลูก”

    เสียงเรียกสำทับจากมารดาดังมาอีกระลอก เด็กหญิงจึงจำใจต้องผละจากรุ่นพี่ไปอย่างเสียดาย

    “แล้วคุยกันใหม่นะคะ “

    เธอทิ้งความทรงจำทั้งมวลเอาไว้ในรอยหยักของเขาเพียงด้วยประโยคนั้น เด็กหนุ่มอยากจะย้อนเวลาวิ่งตามไปถามรายละเอียดของเธอเพื่อทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว นับจากวันนั้น กวินไม่ได้พบเด็กหญิงหน้าหวานคนนั้นอีกเลย แม้จะสืบเสาะด้วยความพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ความจำเลือนรางบอกเขาจากคำเล่าขานของเพื่อน..เธอย้ายโรงเรียนไปแล้ว

    แต่เอาเถิด..

    อย่างน้อยข้อมูลสำคัญที่สุดที่เขาไม่มีวันลืมก็อยู่ในใจนี้แล้ว..เธอชื่อไข่มุก!


     

    ในภาพฝันอันขมุกขมัวของค่ำคืนวันคล้ายวันเกิดครบขวบปีที่ยี่สิบหก..กวินมองเห็นเรื่องราวบางอย่าง ที่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะฟุ้งซ่านเก็บไปฝันได้ถึงขนาดนี้

     

    เด็กหญิงผิวขาวจัดริมฝีปากสีชมพูสดจิ้มลิ้มกำลังมุดหัวผ่านรั้วพู่ระหงนั่นเข้ามาในเขตเพื่อนบ้าน กวินเดินเข้าไปมองหน้าใกล้ๆเพราะรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด พอเด็กหญิงตัวเล็กกลมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากคลานมุดรั้วได้สำเร็จ ชายหนุ่มก็ถึงบางอ้อ..ที่ว่าหน้าคุ้นก็เพราะเหมือนไข่มุกเมื่อตอนอายุสักสี่ห้าขวบนั่นเอง

    ชายหนุ่มเห็นเด็กน้อยคนนั้นกระโดดเหย็งๆ ตบมือดีใจที่ลักลอบเข้ามาในถิ่นใหม่ได้สำเร็จ ยืนมองอยู่ครู่เดียวเขาก็นึกขึ้นมาได้เองว่าเด็กคนนี้ชื่อ..มะลิ

    มะลิน้อยใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวขนาดพอดีตัว นุ่งโจงกระเบนสีแสด ความสูงของเธอเทียบได้ประมาณระดับเอวของกวิน เด็กหญิงหันซ้ายหันขวาเหมือนจะหาของเล่นชิ้นใหม่ กวินดูท่าแวบเดียวก็รู้ว่าคุณหนูมะลิต้องหนีพี่เลี้ยงและมารดามาเล่นไกลๆ ชายหนุ่มนึกขันระคนเอ็นดูในความแก่นเซี้ยวของเด็กน้อย

    เสียงโหวกเหวกจากเบื้องหลัง เหมือนมีคนกำลังทะเลาะกัน ทำให้กวินหยุดกึก ก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งตาม “คุณหนูมะลิ” ไปติดๆ ทำเอาหอบจับได้เหมือนกัน เห็นตัวเล็กอย่างนั้น ฝีเท้าเร็วใช่เล่น

    มะลิน้อยอำพรางตัวด้วยการหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ลำธารเบื้องหน้า กวินยอบตัวสูงโหย่งของเขาลงหลังเด็กน้อย เสียงห้าวใหญ่ของเด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างท้วมคนหนึ่งตะโกนด่าคู่กรณีรัวเร็ว

    “ไม่ต้องมาสอนข้า เอ็งมันแค่เด็กตัวกะเปี๊ยก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”

    กวินมองลอดช่องใบไม้ออกไปเห็นหนุ่มอ้วนคนนั้นกอดถุงผ้าใบใหญ่เอาไว้แน่นหนา เห็นผลมะม่วงพูนออกมาเหนือปากถุง เยื้องออกไปไม่ไกลกันนัก..คือคู่กรณีของเขา กวินเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ

    “หน้าเหมือนเราเปี๊ยบเลย!

    พอได้ยินเสียงตัวเองตะโกนออกไปแบบนั้นก็รีบยกมือขึ้นอุดปาก หันซ้ายแลขวา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทว่าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขา ชายหนุ่มยกมือลูบอกด้วยความโล่งใจ

    ใกล้สระน้ำธรรมชาติแห่งนั้น กวินเพิ่งสังเกตว่ามีต้นมะม่วงปลูกอยู่ริมฝั่งหลายต้น เห็นสีหน้าแววตาโกรธแค้นของ ตัวเอง ตอนเด็ก..เขาเดาว่าคงอายุห่างกับมะลิไม่เกินห้าปี และหนุ่มแรกรุ่นร่างอ้วนหอบถุงมะม่วงคนนั้น ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ ว่าผู้ที่ตะโกนเสียงดังอยู่นี้คงเป็นนักเลงหัวขโมยรุกล้ำเข้ามาปีนเก็บมะม่วงในบ้านของเขา หรือจะเรียกให้ถูกคือฝาแฝดของเขา

    “พี่นั่นแหละหน้าไม่อาย เข้ามาขโมยของบ้านคนอื่นเขา แล้วยังมาทำนักเลง”

    เขาได้ยินตัวเองตอบโต้นักเลงหัวไม้อย่างใจเด็ด แววตาเขาจดจ้องอีกฝ่ายเหมือนจะคาดคั้นให้ยอมรับผิด..

    “พูดยังงี้อยากเจอดีหรือไอ้น้อง ได้..อยู่ดีๆไม่ว่าดีใช่ไหม”

    ไม่ทันขาดคำ นักเลงร่างท้วมวางถุงมะม่วงลงกับพื้น ก่อนจะโถมตัวเข้าไปแทบประชิดเด็กชายร่างผอม หมัดลุ่นๆจากกำปั้นกลมโตเสมือนค้อนอันใหญ่ซัดเปรี้ยงเข้าไปที่ใบหน้าโครงเล็กของเขา ไม่ต้องเดาเลยว่าจะเห็นตัวเองในร่างเด็กผงะหงายลงไปลอยคออยู่ในน้ำเรียบร้อย

    นักเลงวัยรุ่นคนนั้นยืนมองผลงานตัวเองด้วยรอยยิ้มสะใจเพียงครู่เดียว ก่อนจะชี้หน้าเป็นเชิงหมายหัว ว่าหากลองดีเขาอีก คราวหน้าต้องโดนหนักกว่านี้ เมื่อจัดการเจ้าของบ้านเสร็จสรรพ หนุ่มคนนั้นก็หอบถุงมะม่วงขึ้นบ่าก่อนจะวิ่งไปยังกำแพงรั้วด้านตรงข้าม กวินเห็นลิบๆว่าเด็กหนุ่มส่งทอดถุงใบใหญ่ใบนั้นให้กับเพื่อนอีกคนที่นั่งรออยู่แล้วบนสุดกำแพง พอส่งของเรียบร้อยก็พาร่างอ้วนๆของตนไต่เชือกขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว..ดูท่าจะไปขโมยของบ้านใครๆบ่อยจนรู้ช่องทางจัดเจน

     “คุณหนูมาอยู่นี่เอง รีบกลับบ้านเถิดค่ะ ประเดี๋ยวคุณนายใหญ่ท่านว่าเอา”

    เสียงใสแจ๋วทว่าร้อนรนของเด็กหญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหูทำให้กวินหันกลับมามอง เธอเป็นเด็กผู้หญิงผิวคล้ำตัดผมสั้นแค่ใบหู ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่ามะลิไม่เกินสองปี คงจะเป็นเด็กรับใช้หน้าห้องของมะลิน้อยนี่เอง.กวินนึกเดาไปตามรูปการณ์

    “กลับได้ที่ไหน ไม่เห็นหรือชะเอม คนกำลังจะจมน้ำอยู่แล้ว เราต้องช่วยเขาก่อน เร็วเข้า!

    ไม่ทันขาดคำ คุณหนูมะลิ ก็กึ่งลากกึ่งจูง เด็กรับใช้ที่ชื่อชะเอมไปใกล้ริมสระ เวลานั้นกวินถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำ เมื่อศีรษะของเขากำลังลดต่ำลงเรื่อยๆจนเกือบจมมิดลงไปในน้ำ มีมือขาวซีดโผล่ขึ้นมาเหมือนเรียกร้องความช่วยเหลือเป็นระยะ...

     แทนที่มะลิจะยื่นมือลงไปเป็นหลักให้มือซีดเซียวของเด็กหนุ่มยึดเอาไว้แล้วออกแรงดึง คุณหนูตัวน้อยกลับชี้ชวนชะเอมให้ไปหาท่อนไม้มาผูกกับเถาวัลย์ต่อๆกันแล้วโยนลงไปในน้ำ เด็กหนุ่มยังพอมีเรี่ยวแรงและมีสติพอที่จะคว้าเอาไว้ได้ เด็กน้อยทั้งสองคนช่วยกันออกแรงดึงเถาวัลย์อยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลากจมลงไป พอท่อนไม้เข้าใกล้ริมสระพอที่เด็กหนุ่มจะตะเกียกตะกายขึ้นมาเองได้ คุณหนูมะลิก็ปล่อยมือจากเถาวัลย์ พากันนั่งลงหอบแฮกกับเด็กรับใช้ใต้ต้นมะม่วงนั้นเอง

    “ขอบใจที่ช่วยฉัน...เธอชื่ออะไร”

    เสียงเด็กชายค่อนข้างแห้งแล้ง อ่อนโรยเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงจากการเอาชีวิตรอด เขาขึ้นมาพักตัวอยู่บนผืนหญ้าลาดต่ำลงไปจากปลายเท้าของเด็กหญิง ใบหน้าซีดเผือด ทว่ายังฝืนยิ้ม ยันตัวขึ้นนั่ง มะลิลืมความเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เข้ามาสัมผัสเนื้อตัวและเอามืออังลมหายใจของผู้ที่เธอเพิ่งช่วยเหลือขึ้นมาด้วยน้ำใจและแรงกาย เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าเขารอด เธอบอกเสียงใส ดวงตากลมโตสุกสกาว

    “ชื่อ..หนูลิ”

     

    ภาพฝันในคืนนั้นค่อยๆเลือนรางจนลับหายไปในความทรงจำส่วนลึก กวินจำได้เพียงเขาหลับสนิทโดยไม่ได้ฝันอะไรต่ออีกเลย

     

     

     

     

     

                   

                   

     

    บนชั้นสองของบ้านทรงตะวันตก เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา..

    “ยังไม่ลืมตำนานผ้าเช็ดหน้าอีกหรือคะ”

    สุ้มเสียงอ่อนหวานของหญิงสาวผู้เคยคุ้นปลุกชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างให้ตื่นจากภวังค์ กวินละสายตาจากผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าในมือขึ้นมามองสาวสวยตรงหน้าก่อนจะรับถ้วยกาแฟมาถือไว้

    “ผมมันโง่งมงายเนอะแพร เรื่องผ่านมาตั้งนานแล้ว ยิ่งกว่าความฝัน”

    กวินส่ายหน้าให้กับตัวเองด้วยความระอา

    สาวหน้าไทยในชุดเดรสสีชมพูหวานนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ติดกันพลางเอื้อมมือไปแตะหลังมือของคนสนิทเบาๆอย่างให้กำลังใจ

    “อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ แพรเชื่อค่ะว่าสักวันคุณต้องได้พบเธอ” รอยยิ้มอ่อนๆที่ระบายออกมาในดวงหน้ากับนัยน์ตาจริงใจที่มีให้เขาไม่เคยเปลี่ยน ทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธไม่ได้กับความอบอุ่นในสายใยที่หล่อนมอบให้..อย่างคงเส้นคงวาตลอดห้าปีที่รู้จักกัน

    “ความฝันของคุณไม่เคยเป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับแพร ไม่มีอะไรที่คนอย่างวินจะทำไม่สำเร็จ” ดวงตาเฉี่ยวเก๋ตัดกับความอ่อนหวานของเครื่องแต่งกายของดีไซเนอร์สาวมองตอบเขาด้วยความมั่นคงในคำพูด “คุณไม่ได้งมงายค่ะ แพรสัญญาว่าจะช่วยตามหาคุณไข่มุกอีกแรงตอนกลับเมืองไทย”

    “ขอบคุณนะแพร..คุณเป็นคนเดียวจริงๆที่พิเศษสำหรับผม”

    คำกล่าวนั้นทำให้คนฟังถึงกับแอบหัวใจพองโต ทว่าก็เก็บซ่อนอารมณ์นั้นได้มิดชิดภายใต้รอยยิ้มบางเบา

    “คุณเป็นเพื่อนที่ดี..เพื่อนที่เข้าใจผมทุกอย่าง”

    หากแต่คำขยายในตอนสุดท้ายกลับทำให้หญิงสาวคนเดิมแทบจะหุบยิ้มลงได้ในชั่วพริบตา ความรู้สึกรุนแรงบางอย่างฉายวาบผ่านเงาในนิลแก้วดวงนั้น มันเกิดขึ้น และดับไปอย่างรวดเร็วจนชายหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็น

    “เรื่องนี้ผมว่าช่างมันเถอะ ไร้สาระนะ” กวินสะบัดความคิดในวังวนเดิมๆของตนออกไป เมื่อนึกถึงงานใหญ่ที่เขาเคยคุยไว้กับแพรวา “เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า บ้านของคุณน่ะ ที่ว่าจะให้ผมดูรูป”

                ดีไซเนอร์สาวปรับสีหน้าให้เป็นปกติจริงจังมากขึ้นเมื่อวางอัลบั้มรูปเก่าๆที่ตัวเองถือติดมือมาด้วยลงบนโต๊ะกระจกกลม

                “นี่ค่ะ คุณลองเปิดดูภาพรวมก่อน เป็นภาพสมัยเด็กๆที่มีคนเคยถ่ายไว้ แล้วบังเอิญฉันยังเก็บติดตัวมาถึงที่นี่”

                กวินพลิกอัลบั้มปกเหลืองนั้นดูเร็วๆ สีสันและทัศนียภาพที่ปะทะสายตาทำให้เขาต้องชะลอมือให้พลิกหน้าถัดไปช้าลงกว่าเดิม ดอกกุหลาบหลากสายพันธุ์ในสวนรอบบ้านสะดุดใจเขาอย่างจัง โดยเฉพาะกุหลาบขาวที่ดูจะปลูกไว้มากเป็นพิเศษกว่าสีอื่น

                แพรวาทอดมองร่างสูงโปร่งที่ลุกขึ้นเดินไปพิงหลังตรงกระจกด้วยสายตาอ้อยอิ่งระคนชื่นชม รอยยิ้มไม่เคยจางไปจากใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจยิ้ม แต่ก็เหมือนยิ้มออกมาจากใจอยู่ตลอดเวลา เรื่องเครียดแค่ไหน งานหนักเท่าใด เพื่อนร่วมงานร่วมเรียนทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีความสุข..เวลาอยู่ใกล้เขา กวินมีวิธีคลายเครียดให้ทุกคนได้เสมอ

     และแพรวาก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่หลงเสน่ห์เขาสุดๆ ขนาดยอมเปลี่ยนแปลงทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองไปตั้งหลายอย่าง ชุดเดรสสีหวานนี่ก็ด้วย หล่อนไม่ได้อยากใส่มันเลย แต่รู้ดีว่าเขาเกลียดผู้หญิงแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดเป็นชีวิตจิตใจ จึงยอมฝืนใจแต่ง

    “เรือนกุลาบ..” กวินเอ่ยเบาๆ พลางเอี้ยวตัวมามองคนบนโซฟา ในอัลบั้มรูปหน้าหนึ่งถ่ายหญิงสาวที่ยืนเด่นอยู่หน้าบ้าน มีป้ายกรอบทองลวดลายไทยๆ บอกชื่อดังกล่าวเอาไว้เหนือประตู

    “ชื่อบ้านคุณเหรอแพร” เขาเอ่ยถามอย่างที่สงสัย

    แพรวาพยักหน้าเนิบช้าพร้อมยิ้มเก๋

    “ใช่ค่ะ”

    “ชื่อเพราะจังครับ..” นัยน์ตาของชายหนุ่มบ่งบอกอย่างที่พูด “บ้านคุณสวยมากนะ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคุณถึงเสนอขายให้ผม เสียดายแทนนะเนี่ย”

    “สวยจริงค่ะ แพรชอบ..แต่ว่ามันคงจะเล็กแล้วก็เก่าเกินไปสำหรับสมาชิกในบ้าน”

    แววตามีความทอดอาลัยเมื่อนึกถึงบ้านที่ตนเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กๆ

    “บ้านแพร..ไม่ใช่สิ บ้านคุณป้ามีสมาชิกตั้งสี่คน ถ้ารวมแพรด้วยก็เป็นห้า อายุของมันก็เกือบร้อยปี เก่ามากค่ะ แล้วลูกๆคุณป้าก็โตเป็นสาวกันหมดแล้ว แพรอยากให้น้องอยู่สบายกว่านี้”

    หล่อนอธิบายเสียงเศร้า

    “อีกอย่าง บ้านที่แพรซื้อใหม่ก็ปล่อยทิ้งไว้ตั้งนาน อยากให้พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่เร็วๆนี้แล้ว อาจจะพอดีกับช่วงที่แพรกลับไทย”

    “ครอบครัวคุณไม่ว่าอะไรแน่นะ บ้านอายุขนาดนี้ ผมว่าเขาคงรักมันน่าดู”

    แพรวาส่ายหน้าเป็นการยืนยัน

    “ไม่เลยค่ะ แพรคุยกับคุณป้าไว้หลายปีแล้ว ท่านเห็นดีด้วย และท่านก็ชอบสปา สนับสนุนกิจการที่คุณวางแผนไว้เสียอีกนะคะ”

    “หรือครับ..แปลกนะ”

    คำสุดท้ายเขารำพึงเหมือนจะเอ่ยกับตัวเองมากกว่า แต่หล่อนได้ยินชัดเจน

    “บ้านนี้ชื่อเรือนกุหลาบ..เหมาะมากเลยรู้ไหมคะวิน”

    หญิงสาวเฉพูดไปอีกเรื่องเพื่อเบนความสนใจของหนุ่มตรงหน้า

    “บ้านนี้เหลือแต่สมาชิกผู้หญิง..ตั้งสี่คน ลูกพี่ลูกน้องแพรก็เป็นลูกของคุณป้าเจ้าของบ้าน ชื่อเหมือนอัญมณีกันทั้งหมด เพราะแต่ก่อนบรรพบุรุษเคยค้าอัญมณี คุณป้าเองก็ชอบเรื่องพรรค์นี้เป็นชีวิตจิตใจ”

    แพรวาเล่าถึงความหลังที่ยังตกตะกอนอยู่ในความทรงจำ ดวงตาโฉบเฉี่ยวคู่นั้นเลื่อนลอยเมื่อเอ่ยถึง แฝงเงาความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย

    “คุณเองก็เป็นหนึ่งในกุหลาบสีสวยนั้นด้วยใช่ไหม” กวินเอ่ยถามทีเล่นทีจริง เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องที่ได้ฟัง ทว่าหญิงสาวตวัดสายตากลับมาจ้องเขาอย่างจริงจังก่อนบอกเสียงเรียบ

    “อย่าไปรวมกับเขาเลยค่ะ..มันดีเกินไปสำหรับแพร”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×