เคยเลวแค่ไหน ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการทำความดีและการเริ่มต้น
เรื่องราวในพุทธกาลที่นำมาเทียบเคียงกับความจริงในชีวิต
ผู้เข้าชมรวม
796
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องราวของพระพุทธเจ้ากับองคุลิมาล ในหนังสือ “คือเมฆสีขาว..ทางก้าวเก่าแก่ เล่ม๒” ประพันธ์โดย ท่านติช นัท ฮันห์ แปลโดย รสนา โตสิตระกูล และ สันติสุข โสภณสิริ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับมายังวัดเชตวันช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับฆาตกรผู้โด่งดัง ชื่อ องคุลิมาล และทรงทำให้โจรผู้นี้สำนึกกลับใจได้ เช้าวันหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่กรุงสาวัตถี ปรากฏว่าบ้านเมืองเงียบสงบ เงียบราวกับเป็นเมืองร้าง ประตูทุกบ้านปิดหมด ไม่มีใครออกมาเดินบนท้องถนน พระบรมศาสดาทรงยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่งซึ่งพระองค์ทรงเคยมารับอาหารบิณฑบาตตามปกติ ประตูแง้มออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นพระสมณโคดม เจ้าของบ้านรีบออกมานิมนต์พระองค์ให้เสด็จเข้าไปในบ้าน ทันทีที่เข้าบ้านเจ้าของบ้านปิดประตูลั่นดาลทันที แล้วจึงนิมนต์พระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง อุบาสกคนนี้ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตตาหารภายในบ้านของเขา
“พระผู้เป็นเจ้า วันนี้เป็นวันอันตรายมาก ไม่ควรออกไปข้างนอก มีคนเห็นจอมฆาตกรองคุลิมาลป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ เขาพูดกันว่า องคุลิมาลฆ่าคนมากมายในหลายเมือง ทุกครั้งที่มันฆ่าคน มันจะตัดนิ้วหนึ่งนิ้วของเหยื่อแล้วนำมาร้อยกับเชือกเป็นพวงมาลัยคล้องคอ ว่ากันว่ามันจะมีอำนาจชั่วร้ายและน่ากลัวยิ่งขึ้น แต่แปลกที่มันไม่เคยขโมยทรัพย์สินสิ่งใดจากคนที่มันฆ่าเลย ตอนนี้พระเจ้าปเสนทิได้จัดกองทหารหลายชุดออกตามล่าองคุลิมาลแล้ว”
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เหตุใดพระราชาจึงทรงใช้ทหารทั้งกองเพื่อตามล่าโจรเพียงคนเดียว”
“พระสมณโคดมที่เคารพ องคุลิมาลนั้นอันตรายมาก มันมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ ครั้งหนึ่งมันสามารถเอาชนะคนถึง ๔๐ คนที่เข้ามารุมล้อมมันบนถนน ปรากฏว่าองคุลิมาลฆ่าคนพวกนั้นเกือบหมด ที่รอดชีวิตก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ว่ากันว่ามหาโจรคนนี้หลบซ่อนอยู่ในป่าชาลินี ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปใกล้ป่าแถวนั้น เมื่อไม่นานมานี้ ตำรวจอาวุธครบมือ ๒๐นาย เข้าไปในป่าพยายามจับตัวองคุลิมาล ปรากฏว่ามีสองคนที่รอดชีวิตออกมาได้ ตอนนี้มีคนเห็นมหาโจรคนนี้เพ่นพ่านอยู่ในเมืองจึงไม่มีใครกล้าออกไปทำงานหรือซื้อข้าวของ”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขอบพระทัยชายเจ้าของบ้านที่เล่าเรื่ององคุลิมาลแก่พระองค์ จากนั้นทรงยืนขึ้นเพื่อเสด็จออกไป เจ้าของบ้านทูลขอร้องให้พระองค์อยู่ในที่ปลอดภัย แต่ก็ทรงปฏิเสธ ทรงกล่าวว่า พระองค์ต้องรักษาความศรัทธาของประชาชน โดยการเดินบิณฑบาตตามปกติ
พระพุทธองค์ทรงพระดำเนินไปตามทางอย่างแช่มช้าเปี่ยมด้วยพระสติ ทันใดนั้นทรงได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาทางเบื้องพระปฤษฎางค์ในระยะไกล ทรงรู้ดีว่า เขาผู้นั้นคือองคุลิมาล แต่มิทรงกลัวแต่ประการใด ทรงก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ ทรงรู้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกพระองค์
องคุลิมาลตะโกนลั่น “หยุด พระหยุดก่อน”
พระพุทธองค์ทรงก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ และมั่นคง ทรงรู้จากเสียงฝีเท้าขององคุลิมาลว่าเขาชะลอฝีเท้าลงและอยู่ไม่ห่างจากพระองค์นัก แม้บัดนี้พระบรมศาสดาทรงมีพระชนมายุ ๕๖ พรรษาแล้ว แต่สายพระเนตรและการได้ยินของพระองค์ยิ่งคมชัดกว่าแต่ก่อน พระองค์มิทรงถือสิ่งใด นอกจากบาตรใบเดียว พระองค์ทรงพระสรวล ขณะที่ทรงย้อนรำลึกถึงอดีตว่าทรงมีความคล่องแคล่วว่องไวเพียงใดในศิลปะการต่อสู้สมัยยังเป็นเจ้าชายหนุ่ม ไม่เคยมีคู่ต่อสู้คนใดที่สามารถล้มพระองค์ได้เลย พระพุทธองค์ทรงรู้ว่า ขณะนี้องคุลิมาลเข้ามาใกล้มากแล้วและคงถือดาบอยู่ในมือ แต่ก็ทรงพุทธดำเนินต่อไปตามสบายไม่สะทกสะท้าน
เมื่อองคุลิมาลวิ่งไล่ทันพระพุทธเจ้าแล้ว เขาเดินเคียงไปกับพระองค์พร้อมกับพูดว่า
“นี่พระ ข้าบอกท่านให้หยุด ไฉนท่านจึงไม่หยุด”
พระพุทธองค์ทรงพระดำเนินต่อไป และตรัสว่า “องคุลิมาล ตถาคตหยุดนานแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด”
องคุลิมาลรู้สึกตกตะลึกกับพระพุทธดำรัสตอบอันไม่ธรรมดาจึงขวางทางพระองค์ไว้พร้อมกับบังคับให้ทรงหยุด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทอดพระเนตรลึกลงในดวงตาขององคุลิมาลจนมหาโจรรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง แววพระเนตรของพระพุทธองค์ฉายประกายดุจดวงดาราสองดวง องคุลิมาลไม่เคยเผชิญหน้ากับบุคคลผู้มีรัศมีแห่งความสงบเย็นและโปร่งเบาเช่นนี้มาก่อน ใครๆที่พบเขาต่างพากันแตกตื่นหนี ไฉนสมณะผู้นี้จึงไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรมองเขาราวกับเป็นเพื่อนหรือน้องชาย พระองค์ทรงเอ่ยชื่อองคุลิมาล ย่อมแสดงว่าทรงรู้ถึงความเลวร้ายของเขา แต่พระองค์ยังทรงสามารถดำรงความสงบ ผ่อนคลายอยู่ได้อย่างไรเมื่อเผชิญกับฆาตกร องคุลิมาลไม่สามารถทนต่อสายพระเนตรอันกรุณาอ่อนโยนของพระพุทธเจ้าได้อีกต่อไป พลันกล่าวว่า “พระ ท่านบอกว่า ท่านหยุดนานแล้ว แต่ท่านก็ยังคงเดินอยู่นี่ และท่านยังบอกอีกว่า ข้านั่นแหละยังไม่หยุด ท่านหมายความว่าอย่างไร” ทรงตอบว่า “องคุลิมาล ตถาคตหยุดนานแล้วจากการก่อกรรมที่สร้างความทุกข์ให้แก่ชีวิตผู้อื่น ตถาคตมีแต่ถนอมรักษาชีวิตทั้งปวง ไม่เฉพาะแต่ชีวิตมนุษย์ องคุลิมาล ชีวิตทั้งปวงย่อมต้องการมีชีวิตอยู่ ทุกชีวิตย่อมกลัวความตาย เราต้องหล่อเลี้ยงหัวใจแห่งความกรุณาและปกป้องชีวิตทั้งปวง”
“มนุษย์ไม่รักกัน ทำไมข้าจึงต้องรักคนพวกนั้นด้วยเล่า มนุษย์โหดร้ายและปลิ้นปล้อน ข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะฆ่าพวกมันให้หมด”
พระพุทธองค์ตรัสด้วยความอ่อนโยน “องคุลิมาล ตถาคตรู้ว่าท่านมีความทุกข์จากความเลวร้ายของมนุษย์คนอื่น บางครั้งมนุษย์ก็เลวร้ายอย่างที่สุด ความเลวร้ายเช่นนั้น เกิดจากความโง่เขลา ความเกลียดชัง ความอยาก และความริษยา แต่มนุษย์ก็มีปัญญา และความเมตตาด้วยเช่นกัน ท่านเคยพบพระภิกษุบ้างไหม พระภิกษุปฏิญาณว่าจะปกป้องคุ้มครองชีวิตทั้งปวง ท่านปฏิญาณว่าจะเอาชนะความอยาก ความเกลียดชัง และอวิชชา มีผู้คนเป็นจำนวนมาก ไม่เฉพาะแต่พระภิกษุซึ่งดำรงชีวิตอยู่บนพื้นฐานของปัญญาและความรัก องคุลิมาลในโลกนี้อาจจะมีคนใจร้ายแต่ก็มีคนใจดีอยู่มากมายด้วย ขออย่าได้ปิดตารับรู้ความจริง มรรคาของตถาคตสามารถเปลี่ยนความโหดร้ายเป็นความกรุณา ความเกลียดชังเป็นหนทางที่ท่านกำลังเดินอยู่เวลานี้ ควรหยุด หันมาเลือกทางแห่งอภัยทาน ความเข้าใจและความรัก”
องคุลิมาลหวั่นไหวในคำพูดของพระสมณะรูปนี้ แต่กระนั้นจิตใจของจอมโจรก็สับสนวุ่นวายด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นองคุลิมาลรู้สึกราวกับถูกเชือดให้แผลเปิดออก แล้วถูกน้ำเกลือราดแผลนั้น เขาสัมผัสได้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสออกมาด้วยความรัก ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียดชังในพุทธองค์ พระสมณะทรงมองดูองคุลิมาล ราวกับว่าจอมโจรผู้นี้มีค่าควรแก่การเคารพ พระสมณะรูปนี้คือพระโคดมที่เขาเคยได้ยินผู้คนสรรเสริญหรือไม่หนอ บุรุษผู้ที่ประชาชนขนานนามว่า “พระพุทธเจ้า” องคุลิมาลถามว่า “ท่านคือ พระสมณโคดม หรือเปล่า”
พระพุทธเจ้าทรงพยักพระพักตร์ องคุลิมาลกล่าวว่า “เสียดายเหลือเกินที่ข้าพเจ้ามิได้พบพระองค์เร็วกว่านี้ ข้าพเจ้าเดินมาไกลในทางสายทำลายล้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะหันหลังกลับ”
พระพุทธองค์ตรัสว่า “หามิได้ องคุลิมาล ไม่มีอะไรสายเกินไปที่จะกระทำดี”
“กรรมดีอะไรที่ข้าพเจ้าจะทำได้”
“หยุดเดินบนเส้นทางแห่งความโกรธ และความรุนแรง นั่นแลคือกรรมอันประเสริฐสุด องคุลิมาล แม้ทะเลแห่งความทุกข์จะกว้างใหญ่ไพศาล จงหันหลังกลับไปดู แล้วท่านจะแลเห็นฝั่ง”
“พระสมณโคดม แม้ข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถหันหลังกลับเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครปล่อยให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างสงบหลังจากที่ได้ก่อกรรมทำชั่วมามาก”
พระบรมศาสดาทรงจับมือองคุลิมาลพลางตรัสว่า “องคุลิมาล ตถาคตจะคุ้มครองท่านเอง ถ้าท่านปฏิญาณว่าจะละเลิกความคิดร้าย และอุทิศตนศึกษาปฏิบัติตามอริยมรรค ปฏิญาณที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่อรับใช้ผู้อื่น เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นบุรุษผู้มีปัญญา ตถาคตไม่สงสัยเลยว่าท่านสามารถประสบความสำเร็จในหนทางแห่งการรู้แจ้ง”
องคุลิมาลคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เขาหยิบดาบที่สะพายหลังออกมาวางลงบนพื้นดิน แล้วหมอบอยู่แทบพระบาทพระบรมศาสดา เขาเอาฝ่ามือกุมหน้าแล้วสะอื้นไห้เป็นเวลานาน แล้วจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอปฏิญาณจะละเลิกหนทางชั่ว ข้าพเจ้าจะเดินตามพระองค์ เรียนรู้ความเมตตาจากพระองค์ ขอได้โปรดรับข้าพเจ้าไว้เป็นสาวกของพระองค์ด้วยเถิด”
ขณะนั้นเอง พระสารีบุตรเถระ พระอานนท์เถระ พระอุบาลีเถระ พระกิมพิละ และพระภิกษุอีกหลายรูปก็มาถึง ท่านเหล่านั้นพากันห้อมล้อมพระพุทธเจ้าและองคุลิมาล เมื่อเห็นว่าพระบรมศาสดาทรงปลอดภัย และเห็นองคุลิมาลเตรียมรับไตรสรณคมน์ พระเถระเหล่านั้นก็พากันยินดี พระพุทธองค์ทรงขอให้พระอานนท์จัดผ้าไตรจีวรสำรับพิเศษแก่องคุลิมาล และทรงบอกให้พระสารีบุตรขอยืมใบมีดโกนจากชาวบ้าน เพื่อใช้สำหรับปลงผมแก่สมาชิกใหม่ องคุลิมาลได้รับการอุปสมบท ณ ที่นั้นเอง ท่านคุกเข่าลงรับไตรสรณคมน์ และรับศีลจากพระอุบาลี จากนั้นเหล่าพระสงฆ์ก็เดินทางกลับสู่วัดเชตวันด้วยกัน
พระอุบาลีและพระสารีบุตรใช้เวลากว่าสิบวันอบรมพระองคุลิมาลเรื่องศีลวัตร และการปฏิบัติภาวนา รวมทั้งการออกบิณฑบาต พระองคุลิมาลใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่าพระภิกษุใหม่รูปใด แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงแปลกพระทัย เมื่อทรงเห็นพัฒนาการของพระองคุลิมาลในคราวที่เสด็จเยี่ยม หลังจากพระสาวกใหม่บวชแล้วสองสัปดาห์ รัศมีแห่งความสงบเยือกเย็น ความมั่นคงและความสุภาพอ่อนโยนที่แผ่จากตัวพระองคุลิมาลทำให้เพื่อนพระภิกษุขนานนามท่านว่า “อหิงสกะ” ซึ่งหมายถึง “ผู้ไม่เบียดเบียน” อันที่จริงชื่อนี้เป็นชื่อของท่านเองมาตั้งแต่เกิด พระสวัสติเห็นว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เหมาะสมที่สุดของพระองคุลิมาล เพราะพระสาวกที่ล้อมรอบพระผู้มีพระภาคนั้น ไม่มีรูปใดที่มีลักษณะเปี่ยมด้วยความเมตตาเหมือนเช่นพระองคุลิมาล
เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีพร้อมด้วยพระภิกษุจำนวน ๕๐ รูปรวมทั้งพระอหิงสกะ เมื่อเหล่าภิกษุมาถึงประตูเมืองก็พบกับพระเจ้าปเสนทิ ทรงม้านำขบวนทหารพระราชาและหมู่เสนาของพระองค์อยู่ในชุดรบเต็มอัตรา เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นพระบรมศาสดาก็เสด็จลงจากหลังอาชา แล้วถวายอภิวาท พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “มหาบพิตร เกิดอะไรขึ้น มีปัจจามิตรบุกรุกเข้ามาในพระราชอาณาเขตของพระองค์กระนั้นหรือ” พระราชาทูลตอบว่า “ข้าแต่พระบรมศาสดา มิได้มีผู้ใดรุกรานแคว้นโกศลดอกพระเจ้าข้า หม่อมฉันนำกองทหารมาเพื่อจับกุมจอมฆาตกรองคุลิมาล มหาโจรผู้นี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ยังไม่เคยมีใครสามารถจับมันมาลงโทษได้ มีคนเห็นมันอยู่ในเมืองนี้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน พสกนิกรของหม่อมฉันอยู่กันด้วยความหวาดกลัว”
พระพุทธเจ้าตรัสถาม “มหาบพิตรทรงแน่พระทัยหรือว่าองคุลิมาลเป็นมหาวายร้ายคนนั้นจริงๆ”
พระราชาทูลว่า “ข้าแต่พระบรมศาสดา องคุลิมาลเป็นตัวอันตรายต่อชายหญิงและเด็กทุกคน หม่อมฉันไม่อาจอยู่เฉยได้จนกว่าจะจับโจรคนนี้มาประหารชีวิต”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามอีกว่า “หากองคุลิมาลกลับใจหันมาปฏิญาณว่าจะไม่ฆ่าใครอีก และถ้าหากโจรผู้นี้ปฏิญาณตนเป็นพระภิกษุเคารพชีวิตทั้งปวง พระองค์ยังจะทรงจับเขาไปประหารอีกหรือไม่”
“ข้าแต่พระบรมศาสดา หากองคุลิมาลหันมาเป็นพระสาวกของพระองค์ และสมาทานศีลงดเว้นจากการฆ่า หากเขาเป็นพระภิกษุดำรงชีวิตพรหมจรรย์ ไม่เป็นภัยต่อผู้ใดแล้วไซร้ หม่อมฉันก็จะมีความสุขอย่างเหลือประมาณ ไม่เพียงแต่หม่อมฉันจะให้อภัยโทษและปล่อยให้เขาเป็นอิสระเท่านั้น แต่หม่อมฉันจะถวายจีวรบิณฑบาต และคิลานเภสัชต่อพระภิกษุองคุลิมาลด้วย อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นไปได้ยาก!”
พระบรมศาสดาทรงชี้ไปที่พระอหิงสกะที่ยืนอยู่เบื้องหลังพระองค์ ตรัสว่า “มหาบพิตร พระภิกษุรูปนี้มิใช่ใครอื่น หากคือองคุลิมาล ท่านได้สมาทานศีลเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้กลายเป็นคนใหม่มาสองสัปดาห์แล้ว”
พระเจ้าปเสนทิทรงตกพระทัยยิ่งนักเมื่อทรงประจักษ์ว่า ขณะนี้พระองค์ทรงประทับอยู่ใกล้กับจอมฆาตกรคนนี้
พระพุทธองค์ตรัส “อย่าทรงหวาดกลัวเลย มหาบพิตร พระภิกษุองคุลิมาลอ่อนโยนยิ่งกว่าดินในมือนี้เสียอีก บัดนี้เราขนานนามท่านว่า อหิงสกะ”
พระราชาทรงจับจ้องพระอหิงสกะเป็นเวลานาน และแล้วทรงแสดงความเคารพต่อพระภิกษุรูปนี้ ทรงถามว่า “พระสมณะที่เคารพ ท่านเกิดในตระกูลใด บิดาของท่านชื่ออะไร”
“มหาบพิตร บิดาของอาตมภาพชื่อ คัคคะ มารดาชื่อ มัณฑนี”
“พระภิกษุ คัคคะ มัณฑนีบุตร ขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้ถวายจีวรบิณฑบาตและคิลานเภสัชแด่พระคุณเจ้าเถิด”
“พระอหิงสกะทูลตอบว่า “มหาบพิตร นับเป็นพระมหากรุณา แต่อาตมภาพมีจีวรสามผืนแล้ว ทั้งยังเลี้ยงชีพด้วยการออกภิกขาจารทุกวัน และตอนนี้อาตมภาพก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เภสัช ขอทรงโปรดรับความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจากอาตมภาพด้วยเถิด”
พระราชาทรงถวายความเคารพแด่พระภิกษุรูปใหม่ แล้วทรงหันไปทางพระบรมศาสดา “ข้าแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของพระองค์ช่างอัศจรรย์จริงหนอ! พระองค์ทรงทำให้สถานการณ์กลับคืนสู่ความสงบสุขได้โดยไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ คนอื่นล้มเหลวเพราะแก้ปัญหาด้วยกำลังและความรุนแรง แต่พระองค์ทรงแก้ปัญหาด้วยธรรมะ หม่อมฉันขอแสดงความขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง”
พระราชาเสด็จจากไป หลังจากที่ทรงรับสั่งให้เหล่าเสนาอำมาตย์ของพระองค์เลิกทัพ ให้ทุกคนกลับไปประจำหน้าที่ตามปกติ
ผลงานอื่นๆ ของ ศิลาริน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ศิลาริน
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น