ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรือนกุหลาบ

    ลำดับตอนที่ #6 : ความทรงจำสีจาง

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 58


    ..

    บทที่ ๕ ความทรงจำสีจาง

                    เช้าวันศุกร์สุดสัปดาห์ ท้องฟ้าโปร่ง แดดร่มอากาศกำลังเย็นสบาย วันนี้จะชี้ขาดชะตาชีวิตของมุกดา ว่าต้องเดินเตะฝุ่นในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ต่อไป หรือมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งกับเขาสักที

                    เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำหน้าห้องประธานบริษัทเอเคกรุ๊ปคนใหม่ ทำให้กายหล่อนเย็นสบายก็จริง แต่จิตใจของหล่อนนี่สิร้อนระอุทีเดียว พนักงานชายที่เดินถือน้ำเปล่ามาเสริ์ฟมองมุกดาด้วยสายตาแปลกประหลาด ก็เหงื่อผุดเต็มหน้าขนาดนั้น จะไม่ให้เขาข้องใจอย่างไรไหว

                    “อากาศร้อนหรือครับคุณ..เดี๋ยวผมจะไปเร่งแอร์ให้นะครับ”

                    เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดเอ่ยถามด้วยความหวังดี

                    “เอ...เปล่านี่คะ แอร์เย็นดีแล้วล่ะค่ะ”

                    มุกดาทำหน้าฉงนกับคำถามนั้น

                    “พอดีผมเห็นคุณเหงื่อออกน่ะครับ เลยนึกว่าร้อน..ขอโทษทีครับ”

                    พนักงานคนนั้นยืนละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจขอตัวไปทำงานอื่นต่อ

                    มุกดารีบควานหากระจกพับขึ้นมาสำรวจความเรียบร้อยบนใบหน้าทันที

                    “เฮ้ย..นี่เราตื่นเต้นขนาดนี้เลยเหรอ”

                    ยังไม่ทันซับเหงื่อ ซับใจให้หายร้อน เลขานุการชายหน้าสวยก็ผลักประตูออกมา พร้อมกับเชื้อเชิญหล่อน

                    “เชิญย่ะ..เอ้ย ค่ะ” แววอรุณพยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่ “ท่านประธานเชิญให้เข้าพบได้แล้วค่ะ”

                    มุกดาสูดลมหายใจเข้าปอดสองครั้ง หน้าเอี่ยมสะอาดหลังจากจัดการเหงื่อเม็ดเกาะพราวเต็มหน้าผากออกไปจนหมดทำให้หล่อนดูสดใส มีราศีขึ้นมาพอสมควร หญิงสาวค้อมศีรษะให้แววอรุณอย่างสุภาพก่อนเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางที่คนภายนอกเห็นแล้วต้องคิดว่าหล่อนมั่นสุดๆ

                    “เชิญนั่ง”

                    ท่านประธานเอ่ยเสียงเข้มขณะกำลังเปิดแฟ้มเอกสารปกขาวดูด้วยความตั้งใจ มุกดาเดินตัวเกร็งไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน นิ่งอยู่พักใหญ่ หล่อนเพิ่งเคยเห็นเจ้านายนั่งหันหลังให้ตั้งแต่วันแรกก็คราวนี้ จนกระทั่งเจ้าของห้องต้องออกคำสั่งอีกคำรบ

                    “ยืนค้ำหัวผมอยู่ทำไม..มีมารยาทหน่อยสิคุณ”

                    มุกดาแอบคิดในใจ..เสียงห้าวออกจะนุ่มทุ้มอยู่ลึกๆ ถ้าพูดกับหล่อนดีกว่านี้คงน่าฟังไม่น้อย

                    “ขอโทษค่ะท่านประธาน” หญิงสาวพยายามปรับเสียงให้เรียบร้อยที่สุด ทั้งที่ใจเริ่มขุ่นมัว

                    “คุณเป็นคนที่แปลกมาก..”

                    ท่านประธานหนุ่มเปิดประเด็นแรก ก็ทำให้มุกดาขมวดคิ้วมุ่น ..ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกชมหรือด่า

                    “แต่ก็ดี..ซื่อสัตย์กับตัวเองดีมาก”

                    หล่อนสรุปในแง่บวกว่านั่นคือคำชม

                    “ไม่เคยเห็นใครเป็นแบบคุณเลยจริง” กวินพูดต่อเสียงเรียบ แววเข้มดุที่พยายามแต่งเติมเริ่มแผ่วลงโดยไม่รู้ตัว

                    “เอ..สรุปว่าท่านประธานพูดถึงเรื่องอะไรอยู่หรือคะ ดิฉันนึกไม่ออก”

                    เมื่อจนมุม มุกดาก็มักจะถามตรงๆแบบนี้ บางทีแค่คิด แต่หล่อนก็มักจะคิดดังจนหลุดออกมาเป็นคำพูด

                    กวินหัวเราะในลำคอ..มีแววเอ็นดูมากกว่าเยาะหยัน

                    “ซื่อจริงนะเรา”

                    “ยังไงคะ?

                    คราวนี้คนตัวบางเริ่มทนเก็บปากเก็บคำสงบเสงี่ยมไม่ไหว

                    “ผลงานคุณน่ะดี..ดีมาก ฝีมือเป็นเอกลักษณ์ ทั้งไอเดียการจัดวาง การเลือกใช้วัสดุตกแต่ง การกำหนดสีและอะไรอีกหลายอย่าง..แต่” กวินปิดแฟ้มเล่มนั้นพลางทำท่าขยับตัวเหมือนจะหันกลับมา ทว่าแค่เพียงเท้าคางเอียงหน้าออกมาแค่เสี้ยวเดียวให้หล่อนพอเห็นความลงตัวเข้ารูปเหมือนหุ่นปั้นของใบหน้าเขา..และคราวนี้ความคิดหญิงสาวก็ดังออกมาอีกครั้ง

                    “คุณจะช่วยหันหน้ามาคุยกันดีๆได้มั้ยคะ ฉันอึดอัด”

                    คนหลังโต๊ะถึงกับสะดุด คางตกลงจากฝ่ามือด้วยความนึกไม่ถึง “ว่าไงนะ”

                    “อุ้ย..ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ”

                    มุกดารีบยกมือปิดปากด้วยความตกใจ..ตกใจความคิดที่มักจะดังไวอย่างไม่พึงประสงค์เช่นนี้

                    กวินหลุดหัวเราะอารมณ์ดีออกมาอีกครั้ง

                    “อยากเห็นความหล่อของผมก็ไม่บอก..”

                    พร้อมกับคำกล่าวนั้น ชายหนุ่มค่อยๆขยับตัวหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับหล่อนให้เต็มตา เขาเองก็อึดอัดไม่น้อยที่ต้องแกล้งหล่อนด้วยวิธีพิเรนแบบนี้

                    ก่อนที่ความขุ่นมัวของหล่อนจะหลุดออกมากับความคิดที่ดังเกินไปอีกครั้ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลากับความคมสันเสมือนรูปปั้นของคนตรงหน้าก็ทำให้เวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ความสนใจทุกอย่างกลืนหาย โลกทั้งใบเหมือนตกอยู่ในห้วงความฝัน..ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายแบบนี้..รอยยิ้มแบบนี้..คิ้วพาดเฉียงแบบนี้..และอื่นๆที่รวมความเป็นเขามันช่างคลับคล้าย..

                    “พี่วิน!

                    แม้จะไม่เหมือนขนาดถอดแบบจากพิมพ์เดียวทุกกระเบียดนิ้ว แต่โดยรวมแล้วมุกดาขอสรุปอย่างเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเขา..โดยเฉพาะนัยน์ตาที่เสมือนมีรอยยิ้มอยู่ข้างใน หล่อนไม่เชื่อว่าจะมีใครเลียนแบบได้ ความคิดจึงไวกว่าการสังเคราะห์คำพูดอีกตามเคย

                    “ผมไม่เคยมีน้องสาว..”

                    กวินบอกเสียงเรียบ หลังจากที่นิ่งงันไปนานเมื่อเห็นสายตาท่าทางแสดงความดีใจอย่างสุดซึ้งของหญิงสาว..ชายหนุ่มพยายามกล้ำกลืนอารมณ์ละเอียดอ่อนด้วยความฝืดฝืน

                    “คะ..คุณ ไม่ใช่..” มุกดาหน้าชายิ่งกว่าถูกตบเมื่อได้ยินคำตอบรับดังกล่าวของชายหนุ่ม รอยยิ้มเบิกบานเมื่อครู่เลือนหายไป ดวงตากลมใสเริ่มมีความชื้นขึ้นมาปริ่มๆ หล่อนต้องกลืนคำพูดของตนด้วยความเจ็บแปลบ

                    “ดิฉันคงเข้าใจผิด..ขอโทษค่ะท่านประธาน”

                    “เรียกผมว่าคุณวินก็พอ..ท่านประธานฟังดูยิ่งใหญ่ไปหน่อย”

                    กวินลดระดับเสียงลงด้วยความใจอ่อน

                    “คุณชื่อวิน!..คุณคือ..”

                    ความหวังของมุกดาฉายวาบขึ้นมาอีกครั้ง ทว่ากวินรีบตัดบทดับความหวังของหล่อนเสียก่อน

                    “ผมชื่อกวิน..คนสนิทเรียนผมสั้นๆว่าวิน..แต่ผมไม่เคยมีน้องสาวชื่อไข่มุก”

                    ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนมุกดาต้องถอยหนี..กวินเอ่ยเสียงเฉียบขาด

                    “ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน เราไม่ได้สนิทกัน เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์มากพอจะเรียกผมว่า..พี่วิน”

                    คราวนี้นอกจากจะชาแค่ใบหน้า หญิงสาวกลับรู้สึกชาไปทั้งร่างเหมือนถูกสาป ขยับเขยื้อนไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน

                    “อ่อ...ผมยังพูดค้างไว้เรื่องนึง” ท่านประธานหนุ่มวกกลับมาพูดเรื่องเดิม ทั้งที่ก็เห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสถานะจะรับฟังอะไรอย่างมีประสิทธิภาพ

                    “ผลงานคุณดี..แต่ผมแปลกใจเรื่องผลการเรียน”

                    กวินเอ่ยเรื่อยๆ

                    “ก็จริงถ้ามั่นใจว่าผลงานดี ไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าผลการเรียนอาจจะแย่..เอ่อ..ไม่ดีนัก แต่ว่าคุณกล้ามากที่แนบทรานสคริปไว้ในพอร์ตฟอริโอ้”

                    ชายหนุ่มยื่นแฟ้มปกขาวเล่มนั้นคืนให้หล่อน

                    “คุณเป็นคนจริงใจมาก...บริษัทเรากำลังต้องการคนแบบนี้” กวินยิ้มอย่างเป็นงานเป็นการเหมือนพยายามลืมเรื่องบางอย่าง

                    มุกดาไม่ตอบอะไร หล่อนพยายามก้มหน้าหลบเขา แต่มือข้างซ้ายก็ยื่นออกไปรับแฟ้มของตนคืน..โดยไม่ได้ตั้งใจ

                    รอยแผลเป็นที่นิ้วหัวแม่มือขวากระแทกตาชายหนุ่มอย่างจัง

                    “ขอบคุณค่ะ”

                    น้ำเสียงจืดเจื่อนของหล่อนลอยผ่านโสตประสาตของชายหนุ่มไปหมด ประกายวาบพาดผ่านนัยต์ตาสีน้ำตาลอ่อน มุกดาเห็นเขาเงียบไปจึงเงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าเขากำลังจับจ้องอยู่บนรอยแผลเป็นนั้น จึงรีบกระถดชักมือกลับ

                    “พรุ่งนี้เริ่มทำงานได้ เก้าโมงตรงมารอผมที่ห้อง”

                    กวินปิดฉากสถานการณ์น่าอึดอัดลงแค่นั้น

     

                    บนเก้าอี้ยาวมีพนักทำด้วยไม้สักทอง คุณหญิงนารีกำลังเอามือกุมขมับ นอนตะแคงตัวพิงหมอนอิงสามเหลี่ยม มีสาวใช้อายุเกินครึ่งศตวรรษปรนนิบัติบีบนวดต้นขาให้ นานครั้ง หล่อนจึงมาอาศัย นั่งนอนในเรือนไทยทรงโบราณแบบนี้ แล้วบรรยากาศในวันนี้ก็ช่างทำให้หล่อนหายใจไม่คล่องตัวเอาเสียเลย ต้นเหตุคือการกลับมาของหลานสาวสุดรัก พร้อมกับข่าวน่าปวดหัวที่สุดในรอบปี

                    “เธอไปตกลงกับเขาได้ยังไง..ฉันบอกเธอเมื่อไหร่ว่าฉันเห็นด้วย”

                    คุณหญิงนารีเอ่ยพลางทำหน้าบึ้งตึง ไม่หันไปมองอีกฝ่าย ลองถ้าหล่อนเปลี่ยนสรรพนามจาก “แม่” เป็น “ฉัน” แล้วล่ะก็ แพรวาเดาได้เลยว่าคุณหญิงคงไม่สบอารมณ์อย่างหนัก

                    “อ้าว..ก็คุณป้าไม่ตอบ แพรก็เลยนึกว่าโอเคน่ะสิคะ” แพรวาพูดลอยหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไร

                    “ใครบอกเธอ..ฉันไม่ตอบเพราะฉันกำลังคิด อย่ามามั่วนะแม่แพร”

                    คุณหญิงรีบปฏิเสธเสียงเขียว

                    “คุณป้าคิดนานจังค่ะ..แพรคุยไว้ตั้งสองปีกว่า จนป่านนี้คุณป้าก็ไม่เห็นส่งข่าวมาบอกปฏิเสธเลย”

                    “นี่เธอ!” คุณหญิงนารีเริ่มเลือดขึ้นหน้า ลุกขึ้นชี้นิ้วใส่หน้าหลานสาว

                    “จนแพรกลับจากอเมริกา มาเหยียบเรือนกุหลาบในวันนี้ คุณป้าถึงเพิ่งมาบอกว่าไม่เห็นด้วย” แพรวาเสียงเครียดขึ้นมาบ้าง ไม่สะทกสะท้านต่อดัชนีนางที่เกือบจะปักหน้าผากหล่อนอยู่รอมร่อ “มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะคุณป้า”

                    “แกตั้งใจจะแกล้งฉันใช่ไหมนังแพรวา” คุณหญิงนารีตวาดเสียงลั่น ตัวเริ่มสั่นเทิ้ม แพรวาประเมินแล้วคิดว่าใช้ไม้อ่อนน่าจะดีกว่า

                    “แพรหวังดีนะคะ..ถ้าคุณวินเปิดกิจการสปาที่นี่ แถมคุณป้ายังได้เป็นหุ้นส่วน”

                    “เธอว่าอะไรนะ..หุ้นส่วนรึ” คุณหญิงเริ่มเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ประกายตาสนใจเจิดจ้า แพรวาจึงรีบสำทับ

                    “ใช่ค่ะ..คุณป้าจะได้ทั้งเงินค่าบ้านและที่ดิน..ได้ทั้งผลประโยชน์จากกิจการ คุณวินบอกว่าเริ่มต้นไปต่ำกว่าล้านบาท..ประเมินคร่าวๆนะคะ หมายถึงคุณป้าอาจจะได้มากกว่านี้”

                    คุณหญิงนารีได้ฟังแล้วอ้าปากค้าง ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินข่าวดีแบบนี้

                    “จริงหรือหนูแพร ไม่ได้หลอกแม่เล่นใช่มั้ย”

                    เมื่อสรรพนามเปลี่ยน แพรวารู้เลยว่าหล่อนมาถูกทาง..

                    “จริงค่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แพรเคยหลอกคุณป้าหรือคะ”

                    ได้ฟังอย่างนี้จากใบหน้าที่บึ้งตึงจึงกลายเป็นอิ่มเอิบ

                    “บ้านที่แพรซื้อไว้ ตอนนี้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ทันสมัยกว่าบ้านโบราณที่พวกเราอยู่หลายเท่าเลยค่ะ..พรุ่งนี้แพรจะพาคุณแม่กับน้องๆไปดู”

                    แพรวาได้ทีจึงรวบรัดตัดความ กลัวคุณหญิงจะเฉไฉเป็นอื่น

                    “อืม..ก็แล้วแต่หนูเถิด ขอให้มันสะดวกสบาย ไม่ขาดตกบกพร่องไปกว่าบ้านนี้เป็นอันใช้ได้” คุณหญิงเอออวยอย่างไม่มีข้อคัดค้านอีกต่อไป

                    “สะดวกสบายกว่านี้แน่ค่ะ..แพรสัญญา”

                    เสียงผลักประตูดังกระแทกเข้ามา เสียงตึงตังของการลงส้นชนิดหนักหน่วงตามติดด้วยน้ำเสียงที่เรียกได้ว่าตะโกนของผู้มาใหม่ทำลายบรรยากาศอันปลอดโปร่งไปหมดสิ้น

                    “แต่ฉันไม่สัญญากับเธอหรอกนะแพรวา..ฉันไม่มีวันขายสมบัติของคุณพ่อ ไอ้คนเนรคุณ!

                    “ยายเพ!..หยุดเดี๋ยวนี้นะ ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้!

                    คุณหญิงนารีสั่งเสียงแข็ง  แววตาเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องเมื่อมองลูกสาวตัวแสบอย่างเพทาย

                    เสียงฝีเท้าจากด้านหลังตามมาอีกหนึ่งราย มุกดาเพิ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อครู่ เดินมาถึงประตูไม้ทางเข้าเรือนทรงไทยก็เห็นเพทายกำลังผลักประตูเข้าไปพอดี ก่อนจะได้ยินเสียงโหวกเหวกของพี่สาวดังสนั่นบ้าน หล่อนจึงต้องรีบสาวเท้าไว้ๆเข้ามาดูให้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น..แต่เมื่อมาถึง ท่ามกลางความขุ่นมัวของคนทั้งสาม สงครามย่อมๆที่กำลังจะปะทุขึ้นก็ถูกพักลงชั่วคราว เมื่อมุกดาเหลือบเห็นแพรวาพี่สาวสุดรัก หล่อนก็รีบกระโดดเข้าไปกอดด้วยความดีใจ ลืมความสนใจเรื่องอื่นเสียหมด

                    “พี่แพร...เย้ๆ พี่แพรกลับมาแล้ว”

                    แพรวาเห็นทีได้โอกาสหลบเลี่ยงน้องสาวตัวแสบอย่างเพทาย หล่อนยังไม่ได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักก่อน

                    “ไข่มุกมาก็ดีแล้ว ออกไปข้างนอกกับพี่ดีกว่า พี่มีเรื่องต้องคุยกับเราเยอะแยะเลย”

                    ไม่พูดเปล่า หญิงสาวหุ่นเพรียวรีบฉุดข้อมือน้องสาวคนเล็กกึ่งลากกึ่งจูงกันออกไปจากบ้าน แม้มุกดาจะค่อนข้างประหลาดใจกับการกระทำของพี่สาว แต่หล่อนก็ดีใจเกินกว่าที่จะสนใจเอ่ยปากถาม ขึ้นรถคันใหม่เอี่ยมออกไปกับแพรวาแต่โดยดี

                    ในร้านอาหารอิตาเลียนตบแต่งภายในร้านสไตล์วินเทจ แสงไฟสีเหลือนวลส่งให้เมนูตรงหน้าดูน่ารับประทาน ให้ความรู้สึกหรูหรา ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มโรยตัวด้วยความมืด เวลาทุ่มเศษ แพรวาก็ไม่รีรอที่จะเริ่มเปิดประเด็น เล่าเรื่องการซื้อขายเรือนกุหลาบ เน้นอวดผลประโยชน์ที่คนในบ้านจะได้รับ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการคัดค้านจากน้องสาว มุกดานั่งฟังเงียบๆไม่ขัดพี่สาวสักคำ รอจนกว่าแพรวาจะพูดจบจึงออกความเห็นบ้าง

                    “ไข่มุกเชื่อค่ะ ว่าทุกสิ่งที่พี่แพรทำและตัดสินใจต้องเป็นเรื่องดีต่อบ้านเรา แต่..” มุกดาถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย “เสียดายเรือนกุหลาบจังค่ะ..เสียดายจริงๆ พวกเราอยู่กันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก”

                    แววตาอ้อยอิ่งและท่าทีของน้องสาวทำให้แพรวาเริ่มลำบากใจ

                    “เรื่องอื่นไข่มุกไม่เคยขัดพี่แพรเลย แต่เรื่องนี้ไข่มุกขอเวลาหน่อยได้ไหมคะ ขอทำใจก่อน อย่าเพิ่งรีบขายเลย”

                    มุกดาส่งเสียงวอนขอจากใจจริง พอดีกับบริกรชายยกน้ำกีวีปั่นมาเสริ์ฟ แพรวาจึงได้โอกาสลอบถอนหายใจตอนหันไปรับเครื่องดื่มครู่หนึ่ง

                    “อาหารเย็นชืดหมดแล้ว รีบทานก่อนเถอะจ้ะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อ” พี่สาวคนสวยยิ้มหวาน มองเด็กแก้มใสด้วยความเอ็นดู ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการสลัดผักของตนเป็นการตัดบทแบบแนบเนียน

                    ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก จนกระทั่งเกือบครึ่งชั่วโมงถัดมา หลังจากมุกดาตักไอศกรีมโยเกิร์ตของโปรดเข้าปากเป็นคำสุดท้าย

                    “พี่เตรียมชุดสวยเก๋ไว้ให้เราหลายตัวเลยแหละ ออกแบบเอง ตัดเองกับมือเลยนะ” แพรวาเปรยขึ้น ก่อนยื่นหน้าสวยเฉียบมาถามน้องสาว “จะไปทำงานพรุ่งนี้แล้วใช่มั้ยจ๊ะ”

                    “พี่แพรรู้ได้ไงคะ?” คำถามนี้สร้างความประหลาดใจให้กับมุกดาอย่างยิ่ง

                    “ก๊อคนพิเศษพี่ส่งข่าวมา” แพรวาอธิบายด้วยน้ำเสียงกึ่งเขินอาย

                    “แฟนพี่แพรทำงานใครเอเคกรุ๊ปเหรอคะ..ว้าว โลกกลมจังเลย”

                    แพรวายิ้มเก๋ นัยน์ตาเป็นประกายพลางสั่นศีรษะ

                    “ไม่ใช่แค่ทำงานในนั้น..แต่คุณวินเป็นถึงประธานบริษัทคนใหม่”

                    มุกดาตอบตัวเองไม่ได้..ทำไมคำตอบของแพรวาจึงทำให้หล่อนนิ่งงัน ความรู้สึกเจ็บร้าวแล่นผ่านหัวใจในวินาทีนั้น

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×