คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : กุหลาบสีขาวหางาน (๑๐๐%)
เสียงประชาสัมพันธ์สาวรายงานมาไม่ขาดสาย บริเวณช่องผู้โดยสารขาออกวันนี้ผู้คนไม่คลาคล่ำนัก สองสาวยืนอำลากันอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วเวลาไม่นาน ทว่าคนตัวเล็กกว่าดูจะเหงาหงอยอาลัยเมื่อแหงนหน้ามองเจ้าของร่างสูงเพรียว การเดินทางสู่อนาคตกำลังจะเริ่มต้น ความพลัดพรากกำลังจะบังเกิดแก่หัวใจดวงน้อยที่มีพี่สาวต่างสายเลือดเป็นเสมือนที่พักพิงยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด
“กลับมาหาไข่มุกเร็วๆนะคะพี่แพร”
เด็กสาวสวมกอดนักเรียนทุนคนเก่งราวกับไม่อยากปล่อยให้จากกันจริงๆ
“พี่ทำตามใจตัวเองอย่างนั้นไม่ได้หรอก รัฐบาลเขามีเวลา หลักสูตรเขามีกำหนดว่าต้องเรียนกี่ปี”
แพรวาส่ายหน้าน้อยๆ มองเด็กขี้แยอย่างนึกขันในใจ
“พี่ต้องไปแล้ว..ดูแลตัวเองด้วยนะเด็กน้อย”
มุกดารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยได้ยินคำกล่าวเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากใครบางคน
“อย่าทำหน้าเศร้า ตั้งใจเรียนนะ อย่าให้คุณป้าต้องเป็นห่วงล่ะ”
แพรวาตัดใจสั่งลาครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกพร้อมกระเป๋าเดินทาง เสียงสะอื้นไห้ที่ดังค่อยๆอยู่เบื้องหลัง เสมือนเจ้าตัวตั้งใจสะกดความเสียใจไว้เต็มที่แล้ว
ดวงเนตรคมเฉี่ยว ปลายหางตามีแพขนงอนงามดำขลับ เหลียวมองด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ เสียงใสกังวานเป็นเอกลักษณ์ทิ้งประโยคนั้นไว้เพื่อหวังให้มุกดามีรอยยิ้มก่อนจากกัน
“กลับมาคราวหน้า พี่จะโมดิฟายด์ไข่มุกด้วยแฟชั่นที่โมเดิร์นที่สุด พี่สัญญา”
แสงแดดจ้ายามเที่ยงวันทอดลำอยู่เหนือศีรษะ เจ้าของร่างแบบบางรูดตัวลงซุกใต้ผ้าห่มผืนหนาด้วยความท้อใจ ท่ามกลางกองหนังสือพิมพ์หน้าโฆษณาหางานที่กระจายเกลื่อนรอบตัว เศษกระดาษหมึกขาวดำบางชิ้นปลิวว่อนไปตกอยู่บนหัวผู้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องโดยไม่ได้นัดหมาย
“เต็มแล้วหรือคะพี่ โอ..ขอบคุณค่ะ หนูจะพยายามต่อไปนะคะ”
ไอโฟนเครื่องบางถูกกดเลขหมายปลายทางเบอร์ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงทอดถอนลมหายใจเริ่มระรวยริน เพทายมองน้องสาวด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับเดินเข้ามานั่งเป็นกำลังใจอยู่ข้างเตียง
“ยังหางานไม่ได้หรือคะคุณน้อง ให้พี่ช่วยอะไรมั้ย”
คำถามเจือแววเป็นห่วงลึกๆ ทว่านัยน์ตาขี้เล่นส่อเค้าว่าอยากยียวนเสียมากกว่า
“ไม่ต้องเลยเพ จะมาหัวเราะเยาะไข่มุกล่ะสิ”
มุกดาสะบัดดวงหน้ารูปไข่ไปอีกทาง หล่อนวางไอโฟนลงข้างตัวอย่างจะเลิกสนใจอะไรทั้งหมด คิ้วโก่งเรียวสีน้ำตาลอ่อนแทบจะผูกกันเป็นโบ เพทายลอบมองดวงหน้านวลแอร่มวรรณะขาวผ่องนั้นด้วยความอิจฉาแกมชื่นชม มุกดาโตเป็นสาวแล้วยิ่งสวยขึ้นทุกวัน ทว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจ หรือไม่เคยรู้เลยกระมังว่าพี่สาวอย่างหล่อนต้องคอยกีดกันผู้ชายที่เฝ้าหมายปองอยู่ทั้งหลายให้ออกห่าง ด้วยเป็นคำสั่งกำชับนักหนาของคุณหญิงนารี...ผู้บังเกิดเกล้าที่ไม่ต้องการให้ลูกสาวคนเล็กเข้าใจว่าตัวเองสวยมากเพียงใด
‘สวยเหมือนไข่มุกสมชื่อ แต่แม่ไม่อยากให้น้องเหลิง..ประเดี๋ยวจะหลงจนกู่ไม่กลับเหมือนใครบางคน’ ความหมายกินนัยที่ผู้เป็นมารดาเคยกล่าวไว้ยามเพทายคอยนวดไหล่ปรนนิบัติให้ทุกวันหยุด ราวกับต้องการกระทบใครคนหนึ่งซึ่งอยู่แดนไกล ทว่าหล่อนเองก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งนัก ว่าด้วยสาเหตุใด คุณหญิงนารีจึงเปลี่ยนทีท่าที่เคยมีต่อหลานสาวสุดรักเพียงช่วงเวลาสองปีให้หลังมานี้..หรืออาจเป็นเพราะใครคนนั้นไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนเรือนกุหลาบแห่งนี้อีก หล่อนสันนิษฐานได้เพียงข้อเดียวจริงๆ
“แน่ใจหรือว่าจะไม่ให้พี่ช่วย”
เพทายยังถามย้ำ หากหนักแน่นขึ้นกว่าครั้งไหน จนคนฟังต้องเหลือบมอง ทว่าครู่เดียวก็พ่นลมหายใจยาว
“อย่ามายุ่งกับเค้าเลย เรื่องแค่นี้เค้าจัดการเองได้”
มุกดาดึงดันตามประสาคนยึดมั่นในความคิดของตัวเอง
“งานมัณฑนากรจะหาประจำไปทำไม พาร์ทไทม์ อย่างเดิมก็สบายดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกินเงินเดือนง้อเจ้านายนานๆ”
เพทายพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของน้องสาวด้วยเหตุผลนานาประการ หล่อนไม่ถือสาหรอกที่น้องสาวไม่เรียกหล่อนว่าพี่ เพราะมุกดาอายุห่างกับหล่อนแค่เพียงหนึ่งปี แถมยังเคยเล่นหัวกันมาแต่เด็ก พูดให้ถูกคือหล่อนเป็นพี่สาวที่ทำตัวได้น่าเกรงใจและน่านับถือน้อยที่สุดในบรรดาคนสูงวัยกว่าไข่มุกทั้งหมด
“ฟรีแลนซ์น่ะดี มีอิสระของชีวิต อยากไปเที่ยวไหนก็ไป อยากติสต์แตกแกล้งไม่รับงานใครก็ได้”
มุกดาเชื่อสนิทใจเลยว่า ไม่มีใครในโลกหาเหตุผลได้แย่ที่สุดเท่าพี่สาวจอมกวนคนนี้อีกแล้ว
“หยุดพูดเสียทีได้มั้ย หนวกหูจริงเลย”
ริมฝีปากมีมุมหยักรูปกระจับเอ่ยพลางเม้มเข้าหากันแน่น สะบัดศีรษะยกมือปิดหูทั้งสองข้างยืนยันความประสงค์นั้นได้ดี
“งานสมัยนี้หาง่ายเมื่อไหร่กัน อย่าว่าแต่งานประจำเลย พาร์ทไทม์เดี๋ยวนี้ก็แทบไม่มีใครจ้างเค้าแล้ว”
เพทายพยักหน้ารับฟังอย่างไม่ใส่ใจนัก ราวกับสิ่งที่น้องสาวบอกเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ
“โอ๊ย เครียด”
มุกดาร้องบอกพร้อมกับหงายหลังตึงไปกับหมอนแพรรูปหัวใจ เกือบเดือนที่หล่อนไขว่คว้าหางานประจำทำ แต่ติดต่อไปที่ไหนก็มีแต่บอกว่าเต็มแล้ว หรือไม่ก็ทางบริษัทยังไม่เปิดรับตำแหน่งมัณฑนากร
อาชีพที่หญิงสาวแสนภาคภูมิใจที่สุดในวันรับปริญญา ความสามารถที่เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ โปรเจ็คใหญ่ๆ รางวัลสวยๆที่เคยได้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทำให้หล่อนค่อนข้างจะมั่นใจเกินร้อยว่าจบมาจะหางานทำเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ด้วยยุคเข็ญทางเศรษฐกิจเลยทำให้หล่อนต้องเผชิญกับสภาวะยุ่งยากลำบากใจอย่างในตอนนี้
“ถ้าพี่แพรอยู่ ป่านนี้ฉันคงได้งาน”
เพทายขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันที
“เขาจะช่วยอะไรเธอได้ คนคนนั้นไม่ใช่นางฟ้าที่จะเนรมิตทุกสิ่งที่เธอปรารถนานะ”
ดวงตาวาววามมีรอยชื้นขึ้นมา ใบหน้านั้นหันมาแต่ไม่ได้มองคนพูด ทว่ามีแววเลื่อนลอยเสมือนกำลังคิดถึงใครอีกคน
“พี่แพรจะเป็นกำลังใจให้ฉัน แต่ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว”
“เฮ้อ..น่าเบื่อจริง”
คนพูดไม่มีทีท่าจะเห็นใจคนเจ้าน้ำตาเลยสักนิด
“ถ้าวันไหนไม่มีคำว่าพี่แพร ก็ต้องมีคำว่าพี่เขียว”
เพทายจับไหล่บางที่เริ่มสั่นสะท้านน้อยๆให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับหล่อน
“คิดถึงเป็นอยู่สองคนหรือไง หัดคิดถึงคนอื่นบ้าง เพศตรงข้ามบ้างอะไรบ้าง”
พี่สาวตัวดีเอ่ยเสียงเครียด ทว่ามุกดามั่นใจว่าหาสาระจริงจังอะไรไม่ได้เลย
“ฉันยังไม่อยากมีน้องเป็นเลสเบี้ยน”
เอ่ยเพียงแค่นั้นเมื่อไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น เพทายจึงยันตัวเองออกจากเตียง หมุนตัวกลับพลางยักไหล่
มือบางสีงาช้างค่อยๆไล้ไปบนรอยแผลที่นิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย ความทรงจำบางอย่างยังคงติดตรึงในหัวใจ..ทำไมหล่อนจะไม่เคยคิดถึงเพศตรงข้าม แม้จะเหมือนความฝันที่ไม่อาจเวียนกลับมาอีกแล้ว แต่หล่อนก็ยังคงยิ้มได้เมื่อนึกถึงมัน
“เอ เค กรุ๊ป..บริษัทเพื่อนสนิทฉันมีว่างหนึ่งตำแหน่ง ถ้าสนใจเมื่อไหร่ก็บอก”
มือที่ไล้ความทรงจำเก่าหยุดชะงัก พร้อมๆกับผู้มาเยือนที่กำลังจะหมุนลูกบิดเตรียมผละไป
“ทำไมเพิ่งมาบอก”
เสียงใสแจ๋วดังขึ้นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม เพทายยักไหล่พร้อมกันสองข้าง ก่อนหันกลับมาบอกกวนๆ
“ก็เธอไม่ยักถาม..”
อาคารทรงสี่เหลี่ยมคางหมูกรุกระจกสะท้อนแสงโดยรอบดูแปลกตา ตัวตึกไม่สูงมากนักอย่างที่อาคารธุรกิจในเมืองหลวงมักทำกัน สถาปัตยกรรมเบื้องหน้าถูกใจผู้มาใหม่มิใช่น้อย มุกดาแหงนหน้ามองแล้วกอดอกยืนยิ้มอยู่คนเดียว ผู้คนในวันทำงานเดินสวนเข้าออกอาคารกันขวักไขว่ หลายคนชำเลืองแลมายังสตรีแปลกหน้าด้วยความไม่คุ้นตา ทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนมุมปากของผู้พบเห็นโดยเฉพาะชายหนุ่ม บ่งบอกลักษณะดึงดูดของแขกหน้าใหม่ได้ดี
หญิงสาวในชุดจั๊มสูทสีขาวท่าทางมั่นใจในตัวเองแต่มีประกายอ่อนโยนสดใสต่อสายตาทุกคนที่จ้องมองมา เวลานี้กลับต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอด ภายนอกหล่อนอาจดูมั่น แต่ภายในมีแต่ความลุ้นระทึก ความหวังเดียวสุดท้ายที่หล่อนจะได้งานประจำทำกับเขาสักทีฝากไว้ที่บริษัทนี้แห่งเดียวเท่านั้น
มุกดาถอดแว่นตาดำอันใหญ่เก็บใส่กระเป๋าสะพายเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูกระจกชั้นล่าง พนักงานรักษาความปลอดภัยมองลอดกระจกใสออกมาแล้วยิ้มต้อนรับแบบออกนอกหน้า เมื่อเทียบกับแขกคนอื่นๆ
พื้นหินกลัดประดับกรวดสีสวยตรงสองข้างทางจะไม่สะดุดตาหล่อนเลย หากไม่มีแปลงกุหลาบขาวออกดอกสะพรั่งเรียงยาวตลอดแนว ความรู้สึกบางอย่างกระตุกวาบขึ้นในใจ ทว่ามุกดาก็สลัดความคิดนั้นออกจากสมอง..มันคงไม่มีอะไรไปมากกว่าความบังเอิญ!
“เป็นแขกวีไอพีของคุณชโลทรหรือเปล่าครับ”
พนักงานชายคนนั้นเอ่ยถาม ทีท่าสุภาพนอบน้อม หากแต่สายตากรุ้มกริ่ม
“นัดท่านประธานไว้ใช่ไหมครับ”
มุกดาได้แต่นึกขันในใจ หล่อนยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ กลับโดนทึกทักไปเสียโน่น
“เปล่าค่ะ ดิฉันมาสมัครงาน”
หญิงสาวส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วยิ้มตอบอย่างมีไมตรี
“อะ..อ้อ ครับ”
ชายวัยฉกรรจ์ร่างป้อมคนนั้นถึงกับทำหน้าไม่ถูก แต่ก็รีบกลบเกลื่อนความเก้อเขินไว้ได้ทัน
“ดิฉันทราบมาว่า บริษัทนี้เปิดรับสมัครมัณฑนากรทำงานประจำหนึ่งตำแหน่ง”
หญิงสาวอธิบาย ถึงแม้จะรู้ดีว่าอาจไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับการบอกกล่าว
“เอ่อ..ตำแหน่งมัณฑนากรหรือครับ”
เสียงชายคนนั้นฟังแปร่งๆอย่างไรพิกลในความรู้สึกของมุกดา
“ดิฉันทราบข่าวมาผิดหรือคะ”
“เอ่อ..” ชายร่างป้อมใบหน้าคร้ามทำท่าเหมือนเสียดาย แต่เพียงอึดใจเดียวก็รีบเอ่ย
“เชิญที่แผนกฝ่ายบุคคลชั้นสองครับคุณผู้หญิง”
มุกดายิ้มกว้าง หล่อนก้มศีรษะเล็กน้อยแทนคำขอบคุณก่อนจะตรงดิ่งไปยังบันไดเลื่อนด้านขวามือ
และท่าทางแบบนั้นก็ทำให้พนักงานผู้หวังดีแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจ
บนชั้นสองของอาคาร แผนกงานต่างๆถูกจัดไว้เป็นสัดส่วน ทว่าแปลกตาตรงที่ไม่ว่าผู้มาใหม่จะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้ชาย ไม่มีพนักงานผู้หญิงเลยสักคนเดียวตั้งแต่หล่อนก้าวเข้ามาในบริษัทแห่งนี้
มุกดายืนเหลียวซ้ายแลขวาไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน เพียงครู่เดียวก็มีพนักงานที่คาดว่าจะมีตำแหน่งสูงพอควร เดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะรีบแนะนำตัวอย่างไม่เป็นทางการ
“ผมชื่อ กฤษดา ครับ คุณเป็นแขกท่านประธาน หรือเปล่าครับ”
ชายคนนั้นรูปร่างหน้าตาพอเป็นนายแบบได้สบาย การแต่งกายในชุดสูทเนี้ยบหรู มุกดานึกเดาเล่นๆ ว่าเขาอาจจะเป็นหัวหน้าฝ่ายอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็เป็นระดับผู้จัดการ เขายิ้มให้หล่อนอย่างสุภาพ ทว่าสายตาที่มองมาคลับคล้ายจะเหมือนชายฉกรรจ์ที่ยืนต้อนรับหล่อนหน้าประตู ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นมา ประสงค์จะทำการทักทายแขกตามแบบฉบับชาวตะวันตก แต่มุกดากลับกระพุ่มมือไหว้อย่างสวยงามเป็นการตอบรับ
“ดิฉันมาสมัครเป็นมัณฑนากรประจำบริษัทค่ะ”
หล่อนบอกเสียงเรียบ แต่ไม่กระด้างจนถึงกับขัดหูคนฟัง..อีกครั้งที่มุกดาเห็นสีหน้าแปร่งๆของพนักงานอีกคน เขาทำท่าเหมือนเสียดายไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นมาแล้วชั้นล่าง
“เอ่อ..”
และคำพูดตะกุกตะกักที่อีกฝ่ายมอบให้ก็เสมือนลอกอาการแบบเดียวกันมาไม่ผิดเพี้ยน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
มุกดารีบเอ่ยถามด้วยความกังวล
ชายหนุ่มคนนั้นลอบถอนใจ ก่อนจะสั่นศีรษะรัวเร็ว
“ปะ เปล่าครับ พอดีหัวหน้าฝ่ายบุคคลออกไปทานข้าว อาจจะยังไม่สะดวกตอนนี้”
มุกดาเลิกคิ้วประหลาดใจพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“บ่ายสองเนี่ยนะคะ”
“เอ่อ คือ พอดีงานฝ่ายนั้นเขาเยอะช่วงนี้ ก็เลยทานข้าวกันไม่ค่อยตรงเวลาน่ะครับ”
เขาพยายามให้คำอธิบาย
มุกดาพยักหน้าเห็นใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรอได้”
ฝ่ายนั้นทำท่าสะดุ้งขึ้นมาอีกรอบ
“เอ่อ..คือ”
คำอธิบายยังไม่ทันนึกได้ เสียงแหบห้าวทว่ามีจริตของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นก่อน
“มีอะไรหรือฮะคุณกฤษดา”
บุคคลที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าหญิงสาววางท่าว่ามีอำนาจพอควร สายตาจิกกัดที่เหลือบแลหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทำให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ..คือ”
คุณพนักงานมาดเนี้ยบออกอาการติดอ่างไม่เลิก จนมุกดานึกรำคาญ จึงชิงพูดขึ้นมาเอง
“ดิฉันจะมาสมัครเป็นมัณฑนากรประจำค่ะ”
สีหน้าและแววตาของสาวประเภทสองผู้มาใหม่บอกได้ชัดถึงความเหยียดหยันที่มีต่อหล่อน เขายืดอกเชิดหน้าก่อนเอ่ย ร่างอวบความสูงไล่เลี่ยกับหล่อนพยายามเขย่งยืนเพื่อข่มรัศมีของผู้มาเยือน
“มีคนมาสมัครไปเมื่อวาน.ตำแหน่งนี้เต็มแล้ว!”
หางเสียงห้วนสั้นบอกชัดถ้อยชัดคำ ปราศความเป็นมิตร
“ตะ..เต็มแล้ว หรือคะ”
เสียงมุกดาอ่อยลงอย่างคนหมดหวัง ถ้าหล่อนไม่มีสติพอคงล้มทั้งยืนไปแล้ว
“เชิญ”
เขาบอกเสียงนุ่มนวล พลางผายมือไปยังทิศที่หล่อนเดินมา
มุกดายังปักหลักอยู่ที่เดิม หล่อนตัดสินใจอยู่นาน กว่าจะล้วงลงไปหยิบเอกสารปึกใหญ่ในกระเป๋าขึ้นมา
“นี่เป็นรีซูเม่ ผลงานสมัยเรียนมหาลัย แล้วก็โปรเจ๊คใหญ่อีกหลายโปรเจ๊คที่เคยรับจ๊อบนะคะ”
“เอามาให้ฉันทำไม”
เสียงนั้นติดจะห้วนขึ้นมาอีกครั้ง หางตาที่เหลือบมามองของในมือหล่อนไม่ได้บอกว่าสนใจไยดีแม้แต่น้อย
เงียบกันไปพักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาอีกที แววอรุณเกือบจะผงะถอยด้วยความคาดไม่ถึง
หญิงสาวร่างแบบบางในชุดจั๊มสูทกำลังน้ำตาไหลพราก ตัวสั่นเทิ้มจนคนใจแข็งอย่างเลขานุการรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างเขาถึงกับใจอ่อนยวบ
“ดะ..เดี๋ยวๆ เป็นอะไรไปแม่หนู”
มุกดาเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยนัยน์ตาวาววามโศกสลด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจริงใจ มิได้เพื่อเสแสร้งทำจริตอย่างที่เขาคิดไว้ตอนแรก
“หนูกำลังตกงาน ไม่มีใครรับงานหนูเลย คุณช่วยกรุณารับสิ่งนี้ไว้” มุกดาเอื้อมมือไปคว้ามือหนาหนักของอีกฝ่ายมารับเอกสารปึกนั้นเอาไว้ ก่อนจะวอนขอครั้งสุดท้าย
“ เผื่อจะเปลี่ยนใจรับดิฉันไว้เป็นตัวสำรองก็ยังดี”
หญิงสาวผิวขาวนวลเจ้าของใบหน้าล้อมกรอบผมลอนสีดำสนิทประบ่าคนนั้นเดินจากไปนานแล้ว สภาพที่แววอรุณจำติดตาคือเจ้าหล่อนเดินคอตกกลับไป เห็นชัดว่าผิดหวังรุนแรงเอาการ คนใจแข็งอย่างเขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เบาะหนังด้วยความรู้สึกอธิบายยาก...เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้!
“เฮ้อ..”
เลขานุการคนเก่งหันไปมองห้องทำงานด้านหลังโต๊ะประจำการแล้วต้องลอบถอนใจ เขาควรสงสารตัวเอง หรือสงสารหญิงสาวหน้าแชล่มคนนั้นมากกว่า
“แม่หนูเอ๊ย..ไม่รู้เสียแล้วว่ากฎเหล็กของท่านประธานคือห้ามรับพนักงานผู้หญิงเข้าทำงาน”
เขาพึมพำอย่างเหนื่อยใจ
“โดยเฉพาะผู้หญิงรูปร่างหน้าตาอย่างเธอ!”
ความที่มัวสบถอยู่กับเอกสารบนโต๊ะ..เอกสารที่ถูกยัดเยียดโดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยแม้แต่น้อย แววอรุณจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งแอบอ้อมมาทางด้านหลัง มืออุ่นๆตรงเข้ามาปิดตาทั้งสองข้างเขาได้สำเร็จอย่างที่หวัง
“ว้าย ตาเถน กรีดกราย ใครแกล้งชั้นยะ”
“เฮลโหล จำผมได้รึเปล่า”
ชายหนุ่มร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะค่อยๆขยับมือออก
“ไฮ้!”
เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ไม่ใช่ตกใจเหมือนคราวแรก
“คุณกวิน..ไหนบอกจะกลับมาวีคหน้า”
ดวงตาคมใต้คิ้วพาดเฉียงมองมาโดยไม่ตอบอะไร นอกจากฟันขาวเรียงที่เผยชัดว่ายินดีแค่ไหนสำหรับการพบเจอกันครั้งนี้
ความคิดเห็น