ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรือนกุหลาบ

    ลำดับตอนที่ #2 : ความหลังของกุหลาบ(นอกคอก)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 55


               

       

     

     

    กระจกเงากรอบเงินสะท้อนภาพวงหน้ารียาว ดวงตารูปหงส์เรียวปลายตวัดขึ้นเล็กน้อยมีแววลุ่มลึก ผิวสีน้ำผึ้งอ่อนเย้ายวนขึ้นเมื่อริมฝีปากอิ่มเต็มเคลือบลิปกล๊อสสีใส หญิงสาวเอียงแก้มปัดบลัชออนสีอ่อนบางเป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการแต่งหน้าง่ายๆ สำหรับยามบ่ายวันนี้ แพรวานอนหลับยาวหลังงานปาร์ตี้นักเรียนทุนเมื่อคืน  ตื่นขึ้นมาจึงสดชื่นพอจะอาบน้ำสระผม แล้วมานั่งทอดอารมณ์เติมแต่งสีสันให้ใบหน้า หล่อนแพลนไว้ว่าจะใช้เวลาจัดกระเป๋าเดินทาง เก็บข้าวของให้เสร็จ ก่อนจะอำลาชีวิตนักเรียนนอกในดินเนอร์คืนสุดท้ายกับคนพิเศษ

                    มือบางเริ่มกวาดเก็บตั้งแต่เครื่องสำอางบนโต๊ะชุดเครื่องแป้ง ของตกแต่งกระจุ๋มกระจิ๋ม เครื่องประดับผมอีกสองสามชุด  และสุดท้าย..กรอบรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งเด่นอยู่มุมในสุด หญิงสาวค่อยๆประคองมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม นิ้วเรียวทั้งห้าเกลี่ยไปบนรูปถ่ายสีจางอย่างระลึกถึงด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย

                    หญิงสาวใบหน้าสวยสง่าในชุดแต่งงานสีไข่มุกสุดหรูยืนเคียงคู่กับชายหนุ่มมาดขรึมใบหน้าหมดจดอย่างผู้ดีมีตระกูลในชุดสูทราคาแพง รอยยิ้มที่เห็นบ่งบอกถึงความสุข..สมปรารถนา ผู้หญิงและผู้ชายที่มีส่วนละม้ายคล้ายนักเรียนทุนคนเก่งและเพียบพร้อมคนนี้  ผู้ที่หล่อนมีโอกาสเห็นแค่ในภาพถ่าย ทั้งที่อยากจะสวมกอดสักครั้ง..ก็ทำได้เพียงฝัน

                    “พ่อคะ..แม่คะ..แพรทำได้แล้ว แพรเรียกศักดิ์ศรีของครอบครัวเรากลับมาได้แล้ว วันนี้แพรมีทุกอย่างแล้ว”

                    หญิงสาวเจ้าของร่างระหงทรุดกายลงนั่งบนเตียงนุ่ม หล่อนกอดกรอบรูปใบนั้นจนกระชับแนบอก รอยวาววามของหยดน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เพียงนัยน์ตา ทว่าพยายามเข้มแข็งสักเท่าใด ก็ไม่อาจลบลืมภาพอดีตในวัยเยาว์อันแสนปวดร้าวลงไปได้..

                    ในคืนเงียบเหงา มีแสงจันทร์สาดส่องลอดหน้าต่างบานเก่า เสียงจักจั่นร้องระงม หล่อนยังจำได้ บ้านโทรมๆ หลังคาสังกะสี เสียงกรุบกรับของแผ่นไม้กระดานที่ผู้คนยามค่ำคืนเดินเยียบกันไปมา กลิ่นน้ำในคลองอันเน่าเหม็น ยุงบินว่อน ต้องนอนหลบในมุ้งร้อนๆทุกคืน สภาพแวดล้อมรอบกายไม่เคยน่าอภิรมย์ มีเพียงป้าแหวน หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเสมือนทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนที่ดีที่สุดของหล่อน ความสุขอย่างเดียวจริงๆที่หล่อนพึงมีในตอนนั้น

                    “พ่อแม่หนูเป็นใครเหรอคะป้าแหวน”

                    คำถามแรกที่หล่อนสงสัย เฝ้าถามวกวนอยู่ทุกวันคืน

                    “พ่อแม่หนูของป้าเป็นคนดี มีชาติตะกูลสูง เป็นเศรษฐีใหญ่ ที่สำคัญสวยหล่อเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายเลยทีเดียวนะจ๊ะ”

                    คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มใจดีไม่มีใครเหมือน

                    “แล้วพ่อแม่หนูอยู่ไหน ทำไมหนูไม่เคยเห็นหน้าล่ะคะ พ่อแม่หนูชื่ออะไรคะป้า”

                    หญิงผู้ถูกเรียก “ป้าแหวน” เริ่มน้ำตาคลอเบ้า ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจซ่อนอยู่ใต้สีหน้าเยือกเย็น

                    “แม่หนูชื่อ คุณรัมภา ส่วนคุณพ่อ ชื่อ คุณวิกร ค่ะ”

                    ป้าแหวนตอบพลางลูบไล้เส้นผมละเอียดนุ่มของเด็กสาว ก่อนปลอบ

                    “ไม่ต้องกลัวนะคะ อีกไม่นาน..คุณหนูของป้าจะกลับไปอยู่สุขสบายเหมือนเดิมแล้ว”

                    หนูน้อยวัยหกขวบทำตาโต เสมือนสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องเหลือเชื่อเสียเต็มประดา

                    “หนูจะได้อยู่สบายจริงๆเหรอป้าแหวน”

                    คุณป้าผู้ใจดีพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการเล่านิทานสนุกๆจนเด็กสาวผล็อยหลับไป เป็นแบบนี้หลายคืน หล่อนก็ยังไม่เคยได้รู้ว่าพ่อแม่อยู่ไหน ทำอะไร..เมื่อใดจะได้พบหน้า

                    หลายครั้งที่แพรวาถูกสายตาเหยียดหยามจากเพื่อนฝูง เพื่อนในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเขตนั้น หล่อนก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าฐานะอย่างป้าแหวน ผู้ไม่มีอันจะกิน มีชีวิตอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร เอาปัญญาที่ไหนมาส่งหล่อนเรียนโรงเรียนนั้นได้ ถึงแม้เป็นโรงเรียนรัฐบาล แต่ก็มีชื่อ ลูกหลานคนชั้นกลางที่พอมีอันจะกินจนกระทั่งเศรษฐีบางบ้านก็ส่งมาเรียนที่นี่

                    ชุดนักเรียนที่หล่อนใส่ ก็มีอยู่แค่สามสี่ตัว สีมอๆ ตอนเย็นก็ไม่มีรถโก้หรูมารับเหมือนเพื่อนบางคน ก็มีแต่ป้าแหวน ท่าทางเหนื่อยๆ แต่ตัวมอซอมารับหล่อนทุกวัน เพื่อนที่คบกับหล่อนได้ก็มีอยู่สองสามคนที่ฐานะทางบ้านไม่มีอันจะกินพอกัน

                    เงินติดกระเป๋าก็ได้แค่เพียงวันละไม่เกินสิบบาท วันไหนป้าแหวนถูกหวยก็ได้เยอะหน่อยยี่สิบสามสิบบาท ต้องยืนเกาะกระจกมองอาหาร หรือขนมที่อยากกิน แต่ไม่สามารถกินได้ กลืนน้ำลายกันไป ป้าแหวนเคยถามหล่อนด้วยความเวทนา “อยากกินเหรอหนูแพร ไว้ป้าถูกหวยเยอะๆเมื่อไหร่จะซื้อให้กินจนหนำใจเลย” ป้าก็ได้แต่ปลอบหล่อนไปอย่างนั้นเอง

                    “รถคันนั้นสวยจังค่ะป้า หนูอยากนั่งมั่งจัง จะมีโอกาสกะเค้าบ้างมั้ย”

                    หล่อนกระโดดเขย่ามือป้าด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นรถสปอร์ตคันแดนแล่นโฉบเฉี่ยวอยู่บนถนน ขณะรอข้ามทางม้าลาย

                    “เมื่อก่อน ตอนหนูยังเล็กๆ ซักเจ็ดแปดเดือน ได้นั่งรถสวยกว่านี้อีกค่ะ คุณพ่อพาไปเที่ยวเกือบทั่วประเทศเชียวนา อีกไม่นานหนูต้องได้นั่งรถสวยกว่านี้ ป้าสัญญาค่ะ”

                    และก็เหมือนอีกหลายครั้งที่ป้าแหวนพูดเหมือนหลอกให้หล่อนทำตาโตขนลุกชันด้วยความตื่นเต้น แต่ก็นึกภาพไม่ออกหรอก ว่าความรู้สึกตอนที่ได้นั่งรถสวยๆ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมสะดวกสบายมันเป็นยังไง ก็จะให้นึกอย่างไรไหว ในเมื่อแต่ละฉากละตอนหล่อนยังเด็กจนเกินกว่าจะจำความได้

                    “มันยังไม่ถึงเวลาค่ะ”

                    ป้าแหวนพูดถูก..ตอนนั้นมันยังไม่ถึงเวลา แต่ไม่ใช่เวลาที่หล่อนจะได้สุขสบายนะ เป็นเวลาที่ยังไม่มีโอกาสรู้ความจริงที่ถูกซ่อนไว้ต่างหาก!

                    สามปีผ่านไปกับความแร้นแค้น เด็กหญิงแพรวาอายุครบเก้าขวบในกลางเดือนเมษาอันร้อนระอุ วันนั้นป้าแหวนไม่อยู่บ้าน หล่อนจำได้ว่ากำลังนั่งดูโทรทัศน์ภาพขาวดำที่ติดๆขัดๆ สัญญาณขาดหายเป็นบางครั้งแต่ก็ยังทนดูเพราะไม่รู้จะเอาเวลาไปทำอะไร เสียงแหบแห้งของชายชราคนหนึ่งตะโกนเข้ามา หล่อนจำได้ว่าเป็นเสียงเจ้าของรถซาเล้งที่ตระเวนรับซื้อกระดาษ กล่องลัง และของเก่า

                    “มีหนังสือพิมพ์เก่าๆขายให้ลุงมั้ยหนู”

                    เด็กสาวสะบัดหน้าปฏิเสธด้วยขี้เกียจลุกขึ้นไปค้นของให้เหนื่อยฟรี เงินที่ได้ก็ไม่กี่บาท ถึงจะได้ ก็ต้องเก็บไว้กับป้าแหวนก่อนเจียดมาเป็นค่าขนมให้หล่อนอยู่ดี จึงไม่ใช่กงการอะไรที่หล่อนจะต้องเหนื่อยหาของเก่าไปขายลุง

                    “เห็นแม่แหวนเขาบอกว่าเก็บหนังสือพิมพ์เก่าไว้ให้ อยู่ในลังหน้าบ้าน”

                    “ไม่มีหรอกลุง อย่ามาโมเมน่า” หล่อนบอกอย่างรำคาญ ยังคงเอนกายพิงฝาบ้าน นั่งดูละครเรื่องโปรดติดลมอยู่ ไม่สนใจไยดีลุงเจ้าของซาเล้งแม้แต่จะเยี่ยมหน้าออกมามอง

                    “บ๊ะ! นังหนูนี่ ก็ข้าเพิ่งสวนกับแม่แหวนเมื่อเช้า บอกให้มาเอาของกะหลานก็ได้”

                    “อยากได้ลุงก็ลองหาเองละกัน หนูไม่รู้หรอกว่าป้าเขาวางไว้ตรงไหน”

                    เด็กสาวบอกปัดอีกครั้ง ลุงซาเล้งแกคงเอือมระอาที่จะถามไถ่ เลยลงมาคุ้ยของเสียงดังโป๊งเป๊งอยู่หน้าบ้าน เสียงถุงพลาสติกดังกรอบแกรบอยู่พักใหญ่ เวลาผ่านไปนานพอสมควร ละครเรื่องโปรดของแพรวาจบแล้ว หล่อนจึงนึกขึ้นได้

                    “อ้าว ไปซะละลุง เงินก็ไม่จ่าย”

                    เด็กสาวเพิ่งเห็นว่าข้างประตูสังกะสีหน้าบ้านมีกล่องลังใบใหญ่วางตั้งอยู่ นี่คงเป็นที่มาของเสียงขุดคุ้ย หนังสือพิมพ์เก่าของป้าแหวนคงอยู่ในลังนี้เอง แพรวาถอนหายใจยาว เมื่อสติกลับมาจึงรู้ตัวว่าเสียท่าลุงแก่นั่นเสียแล้ว เงินก็ไม่จ่าย แล้วทีนี้หล่อนจะตอบป้าแหวนอย่างไรดี ขณะที่นั่งชันเข่าเท้าคางคิดไม่ตกอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์เก่าสีน้ำหมึกซีดจางฉบับหนึ่งปลิวว่อนอยู่ข้างลัง

                    “เหลือไว้ทำไมละเนี่ยลุง จะเก็บก็เก็บให้หมดซี”

                    หล่อนเอื้อมมือไปคว้าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมา ตั้งใจว่าจะนำไปทิ้งลงถังขยะหน้าบ้าน แต่ชะตากรรมก็ช่างใจร้ายกับหล่อนเสียเหลือเกิน เมื่อข่าวพาดหัวตัวเบ้อเริ่มกระแทกเข้าตาหล่อนเต็มๆ

                    “วิกร วิจิตร มหาเศรษฐีหุ้นส่วนกิจการน้ำมันรายใหญ่ถึงคราวตกอับ สู้ปัญหาหนี้สินพันล้านไม่ไหว ขอลาโลกผูกคอตายดับอนาถ ภรรยาทนรับภาระไม่ได้ ยิงตัวตายตาม..”

                    ความรู้สึกที่ว่า..โลกทั้งใบแตกสลายไปต่อหน้าต่อตามันเป็นอย่างนี้นี่เอง แพรวาช็อกกับข่าวที่ตนได้รับรู้ ไม่มีจิตใจจะทำอะไร ป้าแหวนตกใจกับอาการของเด็กสาว ถึงกับจะหามไปส่งโรงพยาบาล ด้วยหลานสุดรักเอาแต่นิ่ง ทำหน้าเฉยเมยเหมือนสวมหน้ากาก ข้าวปลาไม่กิน สามวันสามคืนเต็มๆ

                    กระทั่งถึงคราวลงทุนเรียกรถแท็กซี่เตรียมพาไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล เด็กสาวจึงยอมเปิดปากทั้งน้ำตา

                    “ป้าทำอย่างนี้กับหนูได้ยังไง..ป้าทำได้ยังไง”

                    คนที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุดกลับเป็นเจ้าของใบหน้าเหี่ยวย่น ป้าแหวนปากคอสั่น น้ำตาไหลพราก รีบคว้าเด็กสาวเข้ามากอดไว้อย่างเข้าใจหัวอก

                    “ป้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหนู..ตะ..แต่ ป้าไม่อยากให้หนูเจ็บปวด หนูเคยอยู่สุขสบาย เคยอยู่อย่างเพียบพร้อม พ่อแม่ลูก ใครๆก็พากันอิจฉา แต่ว่า..” หญิงผู้เริ่มใกล้วัยชรา ระล่ำระลักบอกเสียงสั่นเครือ

                    “แต่ว่าตกอับ ไม่มีหน้าไปสู้ใครได้อีก” แพรวาสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของป้าผู้เคยเป็นที่รัก แววตาเย็นเยือกเหมือนไร้ชีวิต “สิ่งที่ป้าทำมันยิ่งกว่าเจ็บแสบ ความหลอกลวง ความหวัง ความฝันลมแล้ง หมดแล้ว หนูไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ป้าได้ยินมั้ย ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”

                    เสียงกรีดร้องของแพรวากรีดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจของผู้ที่ถูกเรียกว่า “ป้า” ความหวังสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขึ้งเครียด หนักแน่น เสมือนสัญญากับหล่อนว่าครั้งนี้ สิ่งที่พูดออกมาล้วนเป็นความจริง ไม่ใช่การหลอกลวงแต่อย่างใด

                    “อีกไม่นาน คุณหนูของป้าจะกลับไปมีชีวิตที่ดี..เหมือนเดิม ป้าสัญญา”

                    แพรวาไม่เคยหวังอะไรจากป้าแหวนอีก คำพูดดังกล่าวก็เช่นกัน หล่อนมีชีวิตอยู่แบบซังกะตายไปวันๆ หนังสือก็ไม่ตั้งใจเรียน เกรดตกทั้งสองเทอม ครูประจำชั้นต้องทำหนังสือเรียกผู้ปกครองไปพบหลายครั้ง ป้าแหวนเข้าใจเด็กสาวดี และพยายามอธิบายสาเหตุของการเรียนที่ตกต่ำให้ครูในโรงเรียนหลายๆคนเข้าใจ แพรวาเคยเป็นศิษย์โปรดของคุณครูหลายท่าน เพราะหล่อนเคยตั้งใจเรียน หัวดี เฉลียวฉลาด ถูกส่งไปแข่งขันตามสาขาวิชาต่างๆก็ได้รางวัลกลับมาเป็นที่ภาคภูมิใจของครูบาอาจารย์ เมื่อสภาพจิตบอบช้ำ ทุกอย่างกลับตาลปัตร คุณครูทุกคนจึงพร้อมจะเห็นใจ และร่วมมือกันเยียวยาเด็กสาวให้เข้มแข็งขึ้น

                    หนึ่งปีผ่านไป ช่างเป็นเวลาที่ยาวนาน ท้องฟ้าในยามเช้าไม่เคยสดใส เหมือนมีเมฆหมอกมาบดบัง หม่นมัวอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นหนึ่งในวันหยุดช่วงปิดเทอมใหญ่ แพรวาพยายามทำใจอ่านหนังสือกองโตเพื่อเตรียมสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เสียงสามีภรรยาข้างบ้านทะเลาะกันโหวกเหวก ชามไห กาละมังถูกเขวี้ยงไปมา กระทบหลังคาสังกะสี ปะปนกับเสียงเด็กวัยรุ่นเสเพลกลุ่มใหญ่นั่งดีดกีตาร์แหกปากร้องเพลงไม่เป็นสำเนียงเพื่อเกี้ยวสาวใหญ่น้อยผุ้เดินผ่านไปมา

    หล่อนพยายามทำใจให้ชินแล้ว ทว่าวันนี้หล่อนตั้งใจอ่านหนังสือให้จบตามเป้าหมาย ต้องการสมาธิอย่างสูง จึงอดทนไม่ได้ในที่สุด ต้องเดินเยี่ยมหน้าออกมามองหาต้นเหตุ กำลังจะตะโกนด่าให้สาแก่ใจ ก็ต้องชะงักปากและฝีเท้าไว้เพียงหน้าประตู เมื่อสายตาพลันปะทะเข้ากับรถยุโรปคันดำขึ้นเงามันปลาบ แล่นมาจอดเทียบถนนหินกรวดปากทางเข้าชุมชนแออัดที่หล่อนไม่อยากจะเรียกมันว่าสลัม

    ใครคนหนึ่งผลักประตูรถคันงามก้าวลงมาจากฝั่งคนขับ แพรวายกมือขึ้นป้องเหนือหัวคิ้ว โฟกัสความสนใจไปที่เป้าหมาย ชายวัยประมาณห้าสิบ ร่างสูงโปร่ง ผิวคร้ามแดดในเสื้อเชิ้ตลายฟ้าครามกับกางเกงโปร่งเนื้อดีสีครีมเดินก้าวขารวดเร็ว ท่าทางรีบร้อน มุ่งตรงมาทางบ้านของหล่อน ยิ่งเขาใกล้เข้ามาเท่าไหร่ เด็กสาวก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น ชายคนนั้นใบหน้าค่อนข้าวยาว คางเหลี่ยมเล็กน้อย ทว่ากระแสใจดี อบอุ่นสะท้อนออกมาจากดวงหน้าและแววตาเสมือนยิ้มได้ แม้ขณะนี้เขาจะทำท่าขรึมเครียด เหมือนมีเรื่องกังวลใจมากแค่ไหนก็ตาม

    “เอ่อ..มาหาใครคะ คุณ..”

    แพรวาอ้ำอึ้ง เมื่อเขาทำเหมือนจะย่างสามขุมเข้าบ้านหล่อนแบบไม่เกรงใจ

    “หนูเป็นใคร..”

    เสียงทุ้มนั้นเอ่ยถามอย่างลุ้นรอคำตอบ มากกว่าจะหาเรื่อง หรือประสงค์ร้ายอย่างที่เด็กสาวคิด

    “เป็นหลานป้าแหวน แล้วคุณลุงเป็นใคร..”

    เด็กสาวพยายามตั้งสติ ยืดหลังตรงอย่างให้รู้ว่าหล่อนไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่ใครจะมารังแกได้ง่าย

    “หนูชื่ออะไร?

    คุณลุงมาดขรึมถามต่อ

    แพรวาชักรู้สึกกลิ่นแปลกๆ จึงไม่ตอบคำถามในทันที

    “คุณลุงมาหาใครคะ”

    คุณลุงคนเดิมยังจ้องหน้าหล่อนเหมือนต้องการฟังคำตอบที่เขาต้องการ และก่อนสงครามย่อมๆจะปะทุขึ้นจากเจ้าของบ้านวัยกระเตาะ ป้าแหวนก็ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทันพอดี

    “พี่ตระการ พี่จริงๆด้วย  มาได้ยังไงกัน”

    น้ำเสียงนั้นบอกแววดีใจเป็นล้นพ้น

    “ผมจะมาพายายหนูไปอยู่ด้วย ทนเห็นหลานลำบากอย่างนี้ไม่ไหวแล้ว”

    ตระการบอกด้วยเสียงเครียด ทว่าสายตายังจับจ้องอยู่ที่เด็กสาว

    “นี่ใช่ไหม..แพรวา ลูกสาวรัมภา ทำไมผอมอย่างนี้ แหวนให้หลานผมกินข้าวครบสามมื้อรึเปล่า” แววตาของผู้มาเยือนบอกความเวทนาอย่างแท้จริง

    “คุณนารีเขายอมแล้วหรือ เห็นว่าเขารัง..เอ่อ เขาไม่สะดวกนี่” ป้าแหวนเฉไปถามอีกเรื่อง แล้วก็ต้องรีบกลืนคำว่า “รังเกียจ” ลงคอไปโดยเร็ว เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเอ่ยถ้อยคำทำร้ายจิตใจหลานสาว

    “ไม่ยอมก็ต้องยอมล่ะ ผมปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว”

    ตระการยืนยันหนักแน่น ทั้งที่ซ่อนแววกังวลในดวงตาคมใหญ่ไว้ไม่มิด

    “ใครคะคุณป้า..แล้วพูดเรื่องอะไรกัน หนูไม่เห็นเข้าใจ”

    แพรวาโพล่งขึ้นมาเมื่อเหลืออด หล่อนรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย

    ป้าแหวนมองหน้าเด็กสาว อยากจะเข้าไปสวมกอดให้เต็มรักเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาแห่งความสมหวังเต็มตื้น ครู่เดียวก็หันกลับมาสอดประสานสายตาอย่างจะทำสัญญาใจกับผู้เป็นน้องชาย ตระการพยักหน้า แทนคำสัญญา..นับจากนี้ไปเขาจะทำหน้าที่ของคุณลุงให้ดีที่สุด

    “ลุงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของพ่อหนู..หนูแพรวา”

    เด็กสาวอยากจะตัดพ้อออกมาด้วยความน้อยใจ ว่าทำไมคุณลุงของหล่อนถึงเพิ่งมาแสดงตัวเอาป่านนี้ ทว่าความดีใจ และความรู้สึก ว่าชีวิตของหล่อนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้หล่อนยิ้มรับและประนมมือไหว้ตระการอย่างอ่อนน้อม

    “ไปอยู่กับลุงนะ..หนูต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้”

    หล่อนจำได้รางๆว่า วันนั้นหล่อนรีบเก็บสัมภาระลงกระเป๋าอย่างไม่รีรอ ก่อนจะขึ้นรถยุโรปคันนั้นออกไป..ไปจากชุมชมแออัดแห่งนี้ แม้ว่าหล่อนอยากจะให้ป้าแหวนไปอยู่ด้วยกัน ทว่าหญิงวัยเริ่มชราภาพ ยืนยันหนักแน่น

    “ป้าขออยู่ที่นี่..ป้าไม่มีทางเลือก”

    คำตอบที่ได้รับจากป้าแหวนไม่กระจ่างสำหรับหล่อนนัก เด็กสาวพยายามคะยั้นคะยอ ร้องขอให้ป้าไปอยู่กับหล่อน แต่คำตอบก็ยังคงยืนยันในแบบเดิม หล่อนเสียใจ..แต่หล่อนก็ไม่โง่พอจะจมปลักอยู่กับป้าที่นี่..ในเมื่อชีวิตดีๆกำลังรอหล่อนอยู่ข้างหน้า

                    สายลมแผ่วเบาหอบเอาไอเย็นชุ่มชื่นแทรกซืมผิวกายผ่านลงไปถึงใจดวงน้อย เส้นผมดุจแพรไหมละเอียดปลิวระพวงแก้มสีน้ำผึ้งปลั่ง ดอกกุหลาบหลากสีต่างสายพันธุ์ห้อมล้อมด้วยต้นก้ามปูรอบที่ดินกว้างใหญ่ เกือบกึ่งกลางเป็นแปลงกุหลาบสี่สีบนผืนดินทรงกลมแทรมหญ้าตัดแต่งสวยงาม ล้อมด้วยบอนไซเตี้ยๆ หากสังเกตใกล้เข้าไปอีกจะเห็นป้ายสลักชื่อประจำกลุ่มกุหลาบพวงเหล่านั้น

                    เหนือกลุ่มกุหลาบสีแดงทางซ้ายสุดสลักป้ายบนหินอ่อนว่า..เพทาย

                    ถัดเข้ามาคือป้ายเหนือกุหลาบขาวสลัก..มุกดา

                    เลยไปอีกคือกุหลาบเขียวสลัก..มรกต

                    ขวาสุดกุหลาบสีฟ้าแปลกตาสลัก..ไพลิน

                    เบื้องหลังแปลงกุหลาบสี่เหล่าอันโดดเด่นงดงามคือบ้านเรือนทรงไทยสองชั้น โล่งโปร่งและโอ่โถงแบบมีเอกลักษณ์ ทำจากไม้มีค่าหลากชนิด จะขัดตาไปหน่อยก็ตรงที่ด้านหลังตัวบ้านมีทางเดินหินกรวดสีสวยประดับกุหลาบขาวสองข้างทางยาวตรงไปสู่คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาว หรู ทันสมัย อย่างที่แพรวาเคยเห็นในละคร บ้านเศรษฐีซึ่ง เน้นความใหญ่โต โอ่อ่า มีรูปปั้นเทพเจ้ากรีกด้านหน้าล้อมด้วยน้ำพุสวย..หล่อนว่ามันสวยอยู่หรอก แต่ช่างขัดตา เมื่อเทียบกับเรือนไทยและสภาพแวดล้อมรอบพื้นที่

                    เด็กหญิงแพรวารู้สึกเหมือนตัวเองเกิดใหม่ในชาติเดียว สภาพแวดล้อมอันขรุขระ เน่าเหม็น ไม่น่าอภิรมย์ทั้งหลายในสลัมหายวับไปกับตาเพียงชั่วข้ามคืน..ทว่าความหลอกลวงก็ยังตามมาหลอกหลอนหล่อนอีกจนได้

                    วันแรก..และวันเดียวเท่านั้น ที่หล่อนได้เห็นหน้าคุณลุงตระการผู้ใจดี เขานำหล่อนมาฝาก..เรียกได้ว่าฝากเลี้ยงกับผู้หญิงท่าทางคุณนาย สูงส่ง และสวยสง่าคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเรือนกุหลาบร่วมกับเขา ทว่าตระการก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของแต่เพียงในนามไปเสียแล้ว เมื่อตอนนี้เขาปลีกตัวไปอยู่สันโดษเพียงลำพังที่ปราณบุรี จะด้วยอุปนิสัย ความชอบ หรือจริตอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกับภรรยา หล่อนก็ไม่อาจทราบได้ หล่อนรู้แต่ว่า..เขากับคุณหญิงนารีไม่ได้หย่าขาดกันทางกฎหมาย แต่หย่ากันแล้วทางใจ ใจที่ไม่อาจสมานคืนได้ดังเดิม

                    เบื้องต้นของชีวิตตั้งแต่ย่างเข้าสู่ เรือนกุหลาบ หลังนี้..หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซินเดอเรลล่า เข้ามาอยู่ร่วมกับแม่เลี้ยงใจร้ายอย่างคุณหญิงนารี กับลูกสาวอีกสามคน สายตาที่คุณหญิงมองหล่อนตั้งแต่ครั้งแรก หล่อนสัมผัสได้ถึงกระแสความรังเกียจ และนั่นก็ทำให้หล่อนได้รู้ว่า ป้าแหวนต้องพาหล่อนไปหลบอยู่ในสลัมทำไมตั้งหลายปี

                    พ่อแม่ของหล่อนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งในและนอกระบบ เจ้าหนี้บางรายก็หมายจะเอาชีวิตญาติพี่น้อง ลูกหลานที่เหลืออยู่ หากไม่ได้ทรัพย์สินคืนตามกำหนด..และคุณลุงตระการนี่แหละ เป็นผู้ไถ่ถอนหนี้สินทั้งหลายให้กับครอบครัวหล่อน ท่ามกลางความไม่พอใจของผู้เป็นภรรยาอย่างคุณหญิงนารี

                    “ลูกก็ไม่ใช่..ทำไมต้องเจียดเนื้อตัวเองไปช่วยมัน ถ้าลูกฉันต้องเดือดร้อนในอนาคตเพราะเงินที่คุณเอาไปลงทุนเปล่าๆกับเด็กคนนี้ล่ะก็ ฉันจะทวงคืนให้สาสมเลยคอยดู”

                    คุณหญิงนารีประกาศกร้าวแทนการต้อนรับอย่างอ่อนหวานอบอุ่น..ในแบบที่ควรจะเป็น

                    หล่อนยังจำได้..ลูกสาวคุณหญิงนารีทั้งสามคน เพทาย ไพลิน และมรกต ไม่เคยมองหล่อนด้วยสายตาเป็นมิตร ทุกคนมองหล่อนราวกับเป็นส่วนเกิน เป็นตัวน่ารังเกียจ เป็นตัวอันตราย

                    ถึงแม้หล่อนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่อดอยากเหมือนแต่ก่อน ทว่าก็ไม่หรูหราเท่าที่คิด ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า แบบเรียน หนังสือ และจิปาถะอื่นๆ ล้วนเป็นของใช้แล้วจากลูกสาวคุณหญิง

                    มีเพียงเด็กน้อยแก้มใสอย่าง..มุกดา หรือ ไข่มุก เท่านั้น ที่เป็นมิตรกับหล่อน และเข้ามาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ เพราะอะไรหล่อนไม่ทราบ เด็กคนนั้นอาจจะถูกชะตากับหล่อนกระมัง หรือเพราะไม่ใช่ลูกคนโปรดอย่างมรกตและพี่น้องคนอื่น อาจเพราะไม่ประสีประสา ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจมารดาเท่าพี่น้องทั้งสาม คุณหญิงนารีจึงไม่ค่อยใส่ใจไข่มุกเท่าใดนัก

                    หล่อนก็ซาบซึ้งอยู่หรอก กับความไม่ถือตัว ไม่หยิ่งทระนงของไข่มุก แต่หล่อนก็อดอิจฉาในความเพียบพร้อม มีพ่อมีแม่ มีความเป็นอยู่ที่ดีตั้งแต่กำเนิดของไข่มุกไม่ได้ แพรวารู้สึกตัวเองเป็นผู้หญิงอาภัพทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อเทียบกับลูกสาวคนเล็กของคุณหญิง

                    คุณตระการแวะเวียนมาเยี่ยม มาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ซื้อข้าวของดีๆราคาแพงมาให้ทุกเดือน ทำให้หล่อนพอมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

                    “มีอะไรขาดเหลือก็บอกลุงนะหนูแพร..มีอะไรไม่สบายใจก็คุยกับลุงได้”

                    น้ำเสียงทุ้มนุ่ม นัยน์ตามีแววเอ็นดู และกระแสอบอุ่นจริงใจที่ลุงตระการมีให้หล่อน เด็กสาวไม่เคยลืม ทั้งที่เขาก็เข้าใจ ว่าหล่อนสุขกาย แต่ไม่สุขใจเท่าที่ควรเมื่ออยู่ในอาณัติของคุณหญิงนารี

                    “คุณป้าก็เป็นของเขาแบบนี้แหละ จริงๆไม่มีอะไรหรอก อย่าไปถือสาแกเลย อีกหน่อยแกก็เข้าใจหนูเอง”

                    คุณลุงทำได้เพียงปลอบหล่อนด้วยประโยคซ้ำซากข้างต้น

                    และก่อนกลับปราณบุรี คุณตระการไม่เคยลืมที่จะให้กำลังใจหล่อน

                    “ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร อดทนเข้าไว้ หนูจะเป็นคนที่สมบูรณ์..คนที่สมบูรณ์ สังคมต้องยอมรับ จำไว้นะ”

                    ใช่!..หล่อนต้องเป็นคนที่สมบูรณ์..สมบูรณ์แบบให้ได้มากที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้

                    นับจากวันนั้นหล่อนก็เอาแต่ขวนขวายหาความรู้ อ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ทุกคน ฝึกฝนพัฒนาตนเองจนกระทั่งทำชื่อเสียงให้กับคนในครอบครัว “เรือนกุลาบ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่า ชื่อเสียงที่ครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ในแวดวงวิชาการ แวดวงกิจกรรมเกือบทุกแผนกในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา กล่าวชื่นชมกันหนาหู เสียงลือลั่นถึงคุณความดีและความสามารถของแพรวาดังมาถึงคุณหญิงนารีจนได้..ขณะนั้นลูกสาวทั้งสี่ของคุณหญิงเป็นนักเรียน และเยาวชนที่แสนจะธรรมดา ไม่ได้มีความพิเศษเทียบเท่าแม้สักครึ่งเดียวของหลานสาวนอกคอกอย่างหล่อน

                    “วันนี้วันเกิดหนูแพรนี่นา สุขสันต์วันเกิดนะลูก อยากกินอะไร ไปเที่ยวไหนบอกแม่มาได้เลย แม่จะพาหนูไป”

                    คุณหญิงนารีเอ่ยกับหล่อนด้วยหน้าตาชื่นบาน..หล่อนเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นว่าคนเรา ขอแค่ทำตัวให้สมบูรณ์แบบ สังคมที่เคยรังเกียจกลับยอมรับหล่อนได้ยิ่งกว่าหลังเท้าเป็นหน้ามือ

                    หล่อนเคยหวังแค่ว่า คุณหญิงนารีจะพูดจากับหล่อนด้วยความเมตตา เรียกแทนตัวเองว่าป้าก็ยังดี..แทนที่จะเรียกแทนตัวว่า “ฉัน” และเรียกหล่อนว่า “เธอ” อย่างจิกกัดด้วยสายตาและน้ำเสียง

                    ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่คุณหญิงเรียกแทนตัวเองว่า “แม่”

                    แพรวาแทบน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยิน

                    เรื่องราวในอดีตค่อยๆเลือนหายไปจากภาพแห่งมโนทวาร ความจำขั้นสุดท้ายที่ติดตรึงคือนับแต่วันที่หล่อนกลายเป็นคน “สมบูรณ์แบบ” หล่อนก็กลายเป็นคนโปรดหมายเลยหนึ่ง แซงหน้า “มรกต” หรือ “เขียว” ลูกสาวคนโตผู้คล่องแคล่ว เก่งรอบด้าน แต่ไม่สันทัดเรื่องการเรียน ได้ดั่งใจคุณหญิงไปเกือบทุกเรื่อง

                    และหล่อนก็จำได้ว่า “มุกดา” หรือ “ไข่มุก” ยังคงความเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ ทำอะไรไม่เป็น อ่อนแอ ขี้แย เจียมเนื้อเจียมตัว และเทิดทูนหล่อนจนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโตถึงระดับมัธยมต้น ก่อนที่หล่อนจะห่างจากเด็กคนนั้นนับแต่ได้ทุนนักเรียนนอกด้านดีไซน์

                    เสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกวางอย่างบรรจงลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มีล้อลาก ก่อนที่กรอบรูปกรอบนั้นจะถูกวางซ้อนลงอย่างทะนุถนอม หญิงสาวถอนสายตาออกจากความทรงจำในอดีตและธุระตรงหน้า นิลสีดำเป็นประกายเจิดจ้าเมื่อนึกถึงเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต

                    หล่อนประสบความสำเร็จในชีวิตเกือบทุกด้านแล้ว..เหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

                    “คนสมบูรณ์แบบอย่างฉัน..คือคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับคุณ..กวิน

     

     

                   

     

     

     

                   

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×