คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ อัปสรา
ในช่วงเวลาแห่งอดีตอันแสนซ้ำซากของปรีย์..
เก้านาฬิกาสามสิบนาที ชายหนุ่มเพิ่งลงจากรถแท็กซี่มาหยุดยืนอยู่หน้าบริษัทธุรกิจโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง ใจกลางเมืองหลวง ปรีย์จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์มาเพียงหนึ่งปี ทว่าเขากลับเลือกงานที่ตนเองเพิ่งค้นพบว่ามีใจรักและถนัดเมื่อเรียนมาได้สักสองปีกว่า เวลาว่างเขามักนั่งแต่งภาพกราฟฟิก ทำเว็บไซต์ แล้วก็หัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ วันหยุดก็หาเวลาไปเรียนพิเศษด้านการเขียนโปรแกรมสั่งสมมาเรื่อยๆจนกลายเป็นความชำนาญ
ชายหนุ่มทนเรียนในคณะที่ตัวเองไม่ชอบ แต่จำใจต้องเรียนเนื่องจากบังเอิญคณะเอนทรานซ์ถึงขีดที่สามารถเข้าเรียนได้ก็เท่านั้นเอง เขาจึงเรียนเศรษฐศาสตร์ให้ผ่านๆไปในแต่ละปีจนกระทั่งเรียนจบ ปรีย์รู้สึกเหมือนได้ปลดแอกชีวิตซังกะตายของตนออกมาสู่โลกของงานที่ใจเขารักเสียที
ผลงานการเขียนโปรแกรมยอดเยี่ยม และเว็บไซต์ที่เขาเคยทำตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยนั้นมีชื่อพอจะทำให้เจ้านายรับเขาเข้าทำงานในแผนกคนดูแลจัดทำเว็บไซต์ประจำบริษัทได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ได้ทำงานที่ใจชอบและถนัด ชายหนุ่มก็ยังมาเข้างานสายอยู่เป็นกิจวัตร และขยันก่อเรื่องให้โดนไล่ออก จนต้องเปลี่ยนงานมาเกือบสิบแห่ง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ปรีย์ยกนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจยาวเหยียด..ตื่นเช้าสุดๆในรอบปียังอุตส่าห์มาสายตามเคย
ด้วยความรีบร้อนชายหนุ่มจึงพาร่างผอมเหมือนไม้เสียบผีของตนวิ่งขึ้นบันไดอย่างไม่สนใจหน้าหลัง เรื่องเซ็งๆก็เลยเกิดขึ้นสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ตัวเองไม่น้อย
“ลุง..เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรือยังไง ผมรีบนะ”
เขาเอ่ยอย่างหัวเสียใส่ลุงแก่ๆคนหนึ่งที่หอบกล่องพัสดุลังเบ้อเริ่มซ้อนกันสี่ชั้นจนปิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้มิดชิด ทว่าเวลานี้กองหนังสือกระจัดกระจายหล่นออกมานอกกล่อง ส่วนกร่อนใส่ของสองใบในมือก็หล่นกลิ้งสามตลบลงบันไดมาถึงพื้นปูนด้านล่างไปเรียบร้อย
ทั้งที่เขานั่นแหละรีบร้อนเสียจนไม่ได้สนใจใครๆรอบข้าง เดินก้มหน้างุดๆจะให้ถึงที่หมายท่าเดียว คุณลุงแกเดินลงมาตามทางสะดวกของแกแต่เขากลับพุ่งเข้าใส่จนล้มลงไปทั้งคนทั้งกล่อง ดีเท่าไหร่แล้วที่ลุงชราคนนั้นไม่กลิ้งม้วนลงมาตามขั้นบันไดจนต้องหามส่งโรงพยาบาล
“ทำคนเขาเสียเวลาแล้วยังมามองหน้ากันแบบนี้อีกหรือลุง”
ชายชราพยายามพยุงตัวให้อยู่บนขั้นบันไดอย่างปลอดภัย เขาช้อนตามองคนหนุ่มตรงหน้าด้วยความขุ่นใจ
“ล้มลงไปเองนะลุง ผมไม่เกี่ยว” เขารีบโบ้ย “ผมต้องรีบเข้างานแล้ว ไม่มีเวลามานั่งเก็บของให้ลุงหรอก”
กล่าวจบก็ทำท่าหันรีหันขวาง ละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเร่งฝีเท้าเข้าไปในตัวอาคารโดยไม่กลับมาสนใจคนแก่เคราะห์ร้ายผู้นั้นอีกเลย
ที่หน้าแผนกสารสนเทศชั้นสิบ ชายหนุ่มเดินออกจากลิฟท์ที่ขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว เนื่องจากผู้คนหนาแน่นที่ขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นหนึ่ง รีบทยอยออกไปขึ้นลิฟท์ตัวอื่นทันทีเมื่อเห็นเขาเข้ามาร่วมวง
ปรีย์ชินเสียแล้วกับปฏิกิริยาท่าทีรังเกียจในหมู่เพื่อนร่วมงานแบบนั้น เขาไม่เป็นที่รัก และไม่มีใครอยากเข้าใกล้ พอเดินมาในแผนก เพื่อจะเข้าไปนั่งประจำโต๊ะทำงานส่วนตัว จึงไม่แปลกเลยว่า คนที่กำลังเดินสวนออกมา เป็นกลุ่มบ้าง เป็นคู่บ้าง หรือแม้แต่เดินสวนกับเขามาเดี่ยวๆ ต้องรีบหลีกทาง แตกกระจายกันออกไปให้พ้นจากรัศมีของคนอย่างเขา
ชายหนุ่มได้แต่มองรอบตัวแล้วถอนหายใจ เขาเป็นของเขาแบบนี้ ใครจะชอบจะชังเขาไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้าม ชายหนุ่มอยู่ตัวคนเดียวมานาน นอกจากปรัชก็ไม่มีใครคบเขาอีกเลย ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้อยากมีเพื่อนมากมาย อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้คล่องตัวกว่าเป็นไหนๆ ไม่ต้องสนใจใคร อยากทำอะไรก็ทำ..ชีวิตช่างอิสระสุดๆ
ปรีย์เหยียดยิ้มขื่นๆให้กับตัวเองก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตัว ชายหนุ่มทิ้งกระเป๋าโน้ตบุ๊คไว้ข้างโต๊ะทำงานอย่างมักง่าย ใช้นิ้วชี้เอื้อมไปกดปุ่มสตาร์ทเครื่องคอมพ์แล้วนั่งเคาะนิ้วบนหน้าตักรอเวลาให้มอนิเตอร์ปรากฎสถานะที่พร้อมจะทำงานเหมือนทุกวัน
ระหว่างรอหุ่นยนต์สี่เหลี่ยมตรงหน้าดำเนินการอย่างเอื่อยเฉื่อย ปรีย์เอื้ยวตัวไปเปิดกระเป๋าข้างโต๊ะเพื่อหยิบหูฟังมาต่อกับโทรศัพท์มือถือ เขาเลื่อนไปหาโปรแกรมเพลง ไม่นานก็พบเพลงที่ถูกใจ ชายหนุ่มกดปุ่มเล่นเสียงแล้วเสียบหูฟังเข้าหูทั้งสองข้าง ทำเสียงฮึมฮำในลำคอตามจังหวะ เพื่อนร่วมงานที่นั่งละแวกนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว รอโอกาสเหมาะๆเพื่อส่งตัวแทนผู้กล้าเข้าไปเตือนเขาเสียทีหนึ่ง
เสียงโครมครามดังแทรกเข้ามาขัดจังหวะการทำงานบนแป้นคีย์บอร์ดกับเพลงรื่นหูจากโทรศัพท์มือถือ ปรีย์หันหาต้นเสียงแทบจะทันที ครู่เดียวเขาก็พบเพื่อนร่วมงานที่เขาเกลียดขี้หน้าคนหนึ่งล้มคะมำหัวเกือบปักพื้นถ้าไม่รีบใช้ฝ่ามือสองข้างยันเอาไว้ ปรีย์หมดความสนใจกับเพลงและความสนุกใดๆ เขาระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก้มตัวงอก่องอขิงจนท้องแข็ง
“ไอ้หัวปลีบ้า เพราะกระเป๋าของแกแท้ๆ ทำให้ฉันต้องเจ็บตัวฟรีอย่างนี้” นทีตวาดเสียงใส่เมื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนได้แล้ว คนถูกคาดโทษยักไหล่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แกนั่นแหละเซ่อเอง ทางมีให้เดินโล่งๆ ไม่เดิน มาเตะกระเป๋าฉันเล่นทำไมวะ” ปรีย์รีบแก้ รอยยิ้มสะใจยังปรากฎอยู่เต็มใบหน้าขาวซีด
“ไป ไป๊ รำคาญว่ะ คนจะทำงาน” ว่าพลางสะบัดมือไล่
“สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเขาดีนัก ระวังตัวเอาไว้เถอะ” นทีชี้หน้า แววตาของเขาประกาศชัดว่าแค้นนี้ต้องมีชำระแน่นอน
ปรีย์ยิ้มรับรอยแค้นซึ่งถูกสั่งสมมาเป็นครั้งที่ร้อยอย่างไม่แคร์คำขู่ ชายหนุ่มหันไปสนใจชิ้นงานที่ทำค้างไว้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น นทีต้องเดินกุมเข่าข้างซ้ายด้วยความเจ็บปวดกลับไป ท่าทางกะเผลกๆของเขาทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดมองตามอย่างเห็นใจ ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าให้กับความมักง่ายและเห็นแก่ตัวสุดๆของปรีย์
ชายหนุ่มนั่งทำงานส่วนตัวต่อไปโดยไม่สนใจใครอีก วันนี้เขาวางเป้าไว้ว่าต้องทำเว็บใหม่ให้เสร็จก่อนเลิกงาน เพื่อยื่นเสนอให้ผู้จัดการฝ่ายเขาพิจารณาและใช้ประกอบการเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือน ปรีย์ตั้งใจทุ่มเทกับงานนี้อย่างมาก ชายหนุ่มอดหลับอดนอนมาเป็นเดือน จึงส่งผลให้เดือนนี้ทั้งเดือนเขามาสายยิ่งกว่าปกติเกือบทุกวัน ถ้างานชิ้นนี้เสร็จสิ้นลงได้ เขาคงจะภูมิใจสูงสุด และมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นกว่านี้
พนักงานหนุ่มหน้าใสคนใหม่เพิ่งย้ายของข้ามแผนกมานั่งโต๊ะด้านหน้าติดกับปรีย์ ข้าวของส่วนตัวและเอกสารพะรุงพะรังถูกวางกองลงบนโต๊ะทำงาน ผู้มาใหม่ยืนกระหืดกระหอบอยู่ตรงนั้นโดยแทบไม่มีใครแลเหลียว เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยง และทุกคนต่างก็มีงานต้องเร่งทำให้เสร็จเพื่อจะได้พักกลางวันกินข้าวกันอย่างสบายใจ
นพพลหันซ้ายหันขวามองหาความช่วยเหลือ เพราะเขาจำเป็นต้องลงไปเจรจาธุระกับผู้ใหญ่คนสำคัญคนหนึ่งเดี๋ยวนี้ แต่เอกสารสำคัญหลายอย่างวางกองไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มเป็นคนละเอียดและขี้ระแวง เขาไม่มั่นใจว่าขึ้นมาคราวหน้าของทุกอย่างจะยังอยู่ครบหรือไม่
เมื่อไม่เห็นใครมีแก่ใจเงยหน้าขึ้นมาต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างเขาสักคน ชายหนุ่มจึงเลือกหันไปพึ่งเพื่อนร่วมงานโต๊ะติดกันซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
“สวัสดีครับ..ขอโทษนะครับ รบกวนอะไรนิดนึงได้ไหม” เขาเอ่ยเสียงสุภาพ ปรีย์เสียบหูฟังและกำลังจดจ่ออยู่กับงานทำเว็บใหม่หน้าจอ ชายหนุ่มจึงไม่ได้ยินที่เพื่อนใหม่พูด
“ขอโทษนะครับ รบกวนฝากดูของให้ผมหน่อยนะครับ” เมื่อเรียกสามสี่รอบคนถูกเรียกก็ยังไม่สนใจ นพพลจึงเพิ่มดีกรีความดังอีกเป็นเท่าตัว พร้อมทั้งชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แถวหน้ามอนิเตอร์เครื่องคอมพ์ เพื่อนร่วมงานที่กำลังวุ่นอยู่กับงานของตัวเองต่างก็หันมามองเด็กหนุ่มหน้าใหม่พลางช่วยกันส่งสายตาห้ามปรามชายหนุ่ม บางคนหันไปซุบซิบกับเพื่อนข้างๆว่าอีกเดี๋ยวหนุ่มน้อยคนนั้นต้องเจออะไรเข้าสักอย่าง
“อะไรวะน้อง จะหาเรื่องหรือไง”
ปรีย์ถอดหูฟังออกอย่างเหลืออด เขาลุกขึ้นยืนกระแทกมือบนโต๊ะด้วยความไม่สบอารมณ์
“น้องรู้มั้ย พี่กำลังทำงานใหญ่จะเสร็จอยู่แล้ว “
“อุ้ย..ขอโทษครับพี่ ผมแค่อยากฝากเอกสารบนโต๊ะให้พี่ช่วยดูหน่อย ผมมีธุระด่วนต้องลงไปคุณกับหัวหน้าชั้นสามน่ะครับ”
นพพลรีบอธิบาย หนุ่มหน้าใสผงะถอยออกมาหนึ่งก้าว หน้าเล็กเรียวฉบับวัยเทรนหดเล็กลงยิ่งกว่าเดิม
“ฝากเฝิกอะไรน้อง” ปรีย์เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ
“แป๊บเดียวเองครับ ประมาณครึ่งชั่วโมงผมจะรีบกลับมา”
ปรีย์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เห็นเป็นเวลาเที่ยงกับอีกสิบนาที ชายหนุ่มจึงรีบส่ายหน้ารัวๆ
“น้องหัดเกรงใจคนอื่นบ้างเถอะ อีกครึ่งชั่วโมง พี่ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี ไปฝากกับโต๊ะอื่นโน่น พี่จะรีบไปกินข้าว”
ชายหนุ่มบอกปัดเสร็จสรรพก็รีบล้วงกระเป๋าตังที่ยัดรวมอยู่ในกระเป๋าโน้ตบุ๊คขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าเร็วๆจากไป
นพพลได้แต่ยืนมองตาละห้อยอยู่เบื้องหลัง ผู้มาเยือนหน้าใหม่ถึงกับงงหนัก เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอใครแบบนี้ตั้งแต่จำความได้
“อะไรกัน เมื่อกี้เห็นบอกกำลังทำงานใหญ่!”
เย็นวันนั้นปรีย์อยู่ทำงานจนเสร็จ เลยเวลาเลิกงานมาสี่สิบนาที ชายหนุ่มภาวนาในใจระหว่างลงลิฟท์ไปที่ชั้นสามว่า ขอให้ผู้จัดการยังอยู่รอเขา ไม่รีบกลับไปเสียก่อน
“อ้าวคุณปรีย์ มาได้จังหวะพอดีเลยค่ะ ดิฉันกำลังจะโทรไปเชิญคุณมาพบท่านผู้จัดการ”
ชิดชนกวางหูโทรศัพท์ทันทีที่เห็นปรีย์เดินเข้ามา หล่อนเป็นเลขาหน้าห้องของผู้จัดการคนที่ปรีย์กำลังต้องการพบอย่างด่วนที่สุดในเวลานี้
“ผู้จัดการอยากพบผมเหรอครับ..แหม” ชายหนุ่มยิ้มหน้าบาน เลขานุการสาวลอบทำหน้าเหยียดหยัน ชะตาจะขาดอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก
“ใจตรงกันเลยครัย ผมก็กำลังอยากพบท่านอยู่พอดี”
“ถ้างั้นก็เชิญด้านในเลยค่ะ ท่านกำลังรอคุณอยู่”
ชิดชนกผายมือไปทางห้องผู้จัดการด้านหลังโต๊ะทำงานที่หล่อนนั่งอยู่ ในใจก็แอบนึกว่า รีบๆไปให้พ้นหน้าหล่อนเสียเถิด เหม็นเบื่อจะตายอยู่แล้ว
ปรีย์รีบก้าวยาวๆ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พรีเซนต์งานใหม่ ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปทันทีโดยไม่คิดจะเคาะประตูส่งสัญญาณให้คนด้านในได้รู้ถึงการมาเยือนของเขาตามมารยาทที่ดี
“มาแล้วเหรอคุณปรีย์” ผู้จัดการอาวุโสกำลังนั่งเอนหลังพิงพนักอย่างอ่อนล้า เมื่อเห็นปรีย์ก้าวเข้ามาเขาจึงขยับตัวนั่งตรง สองมือกุมไว้บนโต๊ะ แววตาเคร่งเครียดบ่งบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดในอีกไม่ช้า
“นั่งก่อนสิ” ธนาเชื้อเชิญพอเป็นพิธี
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มนั่งลงสีหน้ายังสดใสไม่เปลี่ยน “ผมดีใจมากเลยครับ วันนี้เว็บใหม่ทำเสร็จเสียที ท่านจะดูในคอมพ์เลยไหมครับ” ปรีย์รีบเสนองานโดยไม่รอช้า ผู้สูงวัยกว่าโคลงศีรษะ ยิ้มเครียด
“ใจเย็นๆ งานนั่นคุณเก็บไว้ก่อน”
คนฟังถึงกับทำหน้าเหวอ
“อ้าว ทำไมล่ะครับ ท่านนัดกับผมว่าจะดูงานวันนี้ไม่ใช่หรือครับ”
“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับคุณ” สีหน้าเคร่งขรึม ทำให้ปรีย์หยุดเอ่ยอะไรต่อ ในใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ผมได้รับร้องเรียนเกือบทุกวัน เกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณ จนวันนึงผมได้ไปเห็นด้วยตัวเอง” ผู้จัดการเริ่มร่ายยาว น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“คุณคงไม่ต้องให้ผมบอกนะ ว่าเรื่องอะไรบ้าง คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
“ใครมันมาแกล้งใส่ร้ายผมครับ ท่านอย่าเพิ่งไปเชื่อมันนะครับ” ปรีย์รีบแย้ง แต่ธนายกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาขัด ชายสูงวัยยังเอ่ยต่อ
“ผมเกลียดที่สุดคือคุณส่งเสียงหนวกหูรบกวนคนอื่น ผมเกลียดคนฟังเพลงไปทำงานไป มันเสียมารยาทมากๆคุณรู้ไหม”
“ยังมีอีกหลายข้อ ที่ทำให้ผมทนรับคุณไว้ทำงานที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว มันจะเป็นแบบอย่างไม่ดีให้กับคนอื่น และอาจทำให้ผมคุมพนักงานลำบากในอนาคต”
ฟังถึงตรงนี้หนุ่มร่างผอมหน้าตาขาวซีดกลับมีเลือดสูบฉีดแดงก่ำไปทั้งใบหน้า
“ท่านจะไล่ผมออก?”
ดวงตาของปรีย์เริ่มร้อนผ่าวพอๆกับผิวหน้า ความร้อนระอุคุกกรุ่นอยู่ในจิตใจอย่างยากจะควบคุม เขาสู้อุตส่าห์ตั้งใจทำงานชิ้นสำคัญ อดหลับอดนอนเพื่อให้ชีวิตตัวเองก้าวหน้า หวังว่าจะได้อะไรที่ดีขึ้น แต่แล้วเป็นไง..วันนี้สิ่งที่เขากำลังได้รับมันคืออะไร?
“ผมหวังว่าเราคงจากกันด้วยดี บริษัทขึ้นชื่อหลายแห่งยังขาดแคลนคนทำงาน คุณคงไม่ลำบากนัก”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เขาได้ฟัง และบันทึกลงในความทรงจำอย่างยากจะลบเลือน
ปรีย์บอกตัวเองนับแต่นั้นมา...เขาไม่มีวันให้อภัยเจ้านายเลือดเย็นคนนี้เด็ดขาด!
ภาพอดีตเลวร้ายกับความเคยชินย่ำแย่ของปรีย์ค่อยๆจางลงจนกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ตัวเขาในวันนี้เกือบเหมือนเมื่อวานที่ซ้อนทับกันอยู่ ต่างกันคือความใหม่ในหลายสิ่งหลายอย่าง
ใหม่แรก.. คือที่งานแห่งใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทค้าขายเกี่ยวกับมือถือคล้ายๆเดิม
ใหม่ที่สอง.. คือความตั้งใจครั้งใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนนิสัยเดิมๆที่เคยทำให้สิ่งแวดล้อมรอบกายเน่าเหม็น เส้นทางชีวิตขรุขระ
ใหม่ที่สาม..สืบเนื่องมาจากใหม่ที่สองคือแรงบันดาลใจมหาศาลจากหญิงสาวผู้งดงามต่างภพ จนถึงวันนี้เขายังแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่สองวันที่ผ่านมาบอกให้เขารู้ว่ามันคือเรื่องจริง..ชายหนุ่มถูกอานุภาพของพระภูมิเทวาท่านนั้นชักนำเข้าไปสู่อีกมิติที่เหลื่อมล้ำกับโลกมนุษย์เพียงนิดเดียว
อีกมิติที่เขามีสิทธิพบแค่ตอนรุ่งสาง..และอีกแค่สองครั้งเท่านั้นที่เขาจะได้โอกาสเข้าไปโดยมีผู้ชักนำ
เพราะหลังจากนั้นแล้ว..หากเขายังอยากพบนางอัปสรนางนั้น และมีแก่ใจจะเขียนชะตาชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง
ชายหนุ่มจะต้องสั่งสมอานุภาพแห่งจิตอันทรงพลัง เพื่อจะเข้าไปในเมืองลับแลแห่งนั้นได้ด้วยตนเอง
เสียงกังวานใสของสตรีอีกภพดังก้องขี้นมาย้ำเตือนในโสตประสาท
“คุณต้องสร้างความดีทั้งสี่อย่างนี้ให้ได้ ภายในสองสัปดาห์ ..เมตตา ไมตรี ละความพยาบาท และรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์”
“หากคุณต้องการจะพบฉันอีก หลังจากสองครั้งที่เหลืออยู่ คุณต้องฝืนใจตัวเองให้ได้ และอีกสองสัปดาห์ถัดไปท่านพระภูมิจะฝึกสมาธิให้คุณ”
ปรีย์ยังจดจำประโยคทองของสตรีนางนั้นไม่ลืม และเช้านี้เขาก็ได้สั่งสมสิ่งดีงามให้กับตัวเอง แม้มันจะมีอุปสรรคมาขวางอยู่บ้างก็ตาม แต่อย่างน้อย ชายหนุ่มก็ถือว่าเขาเริ่มมีมโนกรรม หรือความคิดที่ดี มีความสุขเย็นเกิดขึ้นจริงในใจเป็นครั้งแรก
เมื่อเช้า..ระหว่างเดินเข้ามาในบริษัทด้วยท่วงทีที่ช้าลง สนใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น เขามีเวลา และมีแก่ใจจะยิ้มให้เพื่อนร่วมงานที่เดินสวนมาทุกคน สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากเขาตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า มีเวลาเหลือเฟือพอมาทำงานให้ทันเก้าโมง
เพื่อนเหล่านั้นแม้ไม่มีใครยิ้มตอบไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้ ทว่าทุกคนที่พบเห็นเขาวันนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ไม่ทำหน้าเหม็นเบื่อ ไม่ส่งสายตารังเกียจ เพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็ถือว่าการเริ่มต้นของเขานั้นเยี่ยมยอดแล้ว
อัปสราเตือนเขาว่า กรรม..มักจะรักษาเส้นทางของมัน เคยชินกับนิสัยอย่างไรมามาก เมื่อคิดจากเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม ก็ไม่ต่างอะไรกับการทวนกระแสน้ำอันเชียวกราก เขาจำเป็นต้องมีกำลังใจมากพอจึงจะข้ามผ่านอุปสรรคไปได้
ตอนเดินเข้ามาปรีย์ยังเห็นพนักงานส่งของคนหนึ่งขนกล่องหลายสิบใบมากับรถเข็น ด้วยความรีบร้อนจึงทำให้กล่องใบไม่เล็กเหล่าน้อยล้มลงมาเป็นโดมิโน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนอดีตลุงแก่คนนั้นย้อนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง เขาตัดสินใจตรงปรี่เข้าไปเตรียมจะช่วยเก็บของ ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็มีพนักงานฝ่ายขายอีกสามคนวิ่งตัดหน้ามาช่วยไปก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกอยากช่วยเมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อนนั้นทำให้เขาเย็นวาบขึ้นในใจ แม้เพียงความคิดยังมีเค้าความสว่างไสวได้ถึงเพียงนี้ คราวหน้าเขาจะไม่พลาดอีกเด็ดขาด ชายหนุ่มปฏิญาณในใจเมื่อนึกถึง
บรรยากาศการทำงานในสถานที่แห่งใหม่ก็ยังคล้ายเดิม เขามีโต๊ะทำงานเป็นสัดส่วน อยู่แผนกกราฟฟิกดีไซน์ออกแบบโปสเตอร์สื่อสิ่งพิมพ์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขาเชี่ยวชาญ
เพื่อนร่วมงานที่นั่งโต๊ะถัดๆไปก็มีโลกส่วนตัว ทุกคนต่างหน้าดำคร่ำเคร่งกับงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ค่อยมีใครเสียเวลาหันมาคุยกับใครดังเดิม
ช่วงพักกลางวัน ชายหนุ่มพยายามผูกมิตรกับคนใกล้ๆ แต่ก็ไม่เป็นผล วีรกรรมแย่ๆที่เขาเคยสั่งสมมามโหฬารทำให้หลายคนเข็ดขยาด ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า
หลายครั้งที่เขาเดินผ่านไปในมุมต่างๆ เสียงซุบซิบนินทาเรื่องความเห็นแก่ตัวของเขาลอยเข้ามากระทบโสตประสาทอยู่เนืองๆ แต่ชายหนุ่มก็พยายามไม่ผูกโกรธ ใครมาทำหน้าบึ้งใส่ เขาก็พยายามฝืนยิ้มไปให้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้มันจะเป็นยิ้มที่ฝืดฝืนมากอยู่ก็ตาม
สองวันมานี้ปรีย์เริ่มโปรแกรมเปลี่ยนนิสัยตัวเองตามหลักสี่อย่างของอัปสราได้ต่อเนื่อง แม้ในความคิดส่วนแย่จะคอยย้ำเตือนว่าไม่เห็นมีผลลัพธ์ดีๆตอบกลับมาให้เขาชื่นใจบ้างเลย แต่เพื่อหล่อน..เขาจำเป็นต้องฝืนทำ
“ไอ้ปรีย์..”
เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากประตูหน้าแผนก ปรัชเดินปราดเปรียวเข้ามาอย่างเป็นจุดเด่นให้สาวน้อยสาวใหญ่ในที่นั้นเหลียวมองตาไม่กระพริบ
“ไงวะ ไอ้เบ็น วันนี้ไม่พาสาวไปช้อปปิ้งเหรอ ถึงว่างมาหาฉันในเวลาราชการแบบนี้น่ะ” ปรีย์แซวเพื่อนทันทีที่ปรัชมาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะ
“เวลาราชการอะไรของแกวะ..นี่ตั้งสี่โมงครึ่ง แกเลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ” ปรัชแย้ง
“สำหรับคนอื่นน่ะไม่ใช่ แต่สำหรับแกน่ะ ถ้าไม่ตกดึกเกือบข้ามวันไม่มีทางโผล่เงาหัวมาให้ฉันเห็นหรอก”
“แกนี่ปากจัดไม่เลิกเลยนะไอ้ปรีย์ ฉันมาชวนแกไปดื่ม ว่างใช่มั้ยเย็นนี้”
ปรีย์รีบส่ายหน้าปฏิเสธคำชวนนั้นทันควัน เพราะเขาจำได้ดีว่านั่นเป็นศีลข้อห้าที่เขาต้องรักษาไว้ให้ได้
“ไม่อะ ฉันไม่ดื่มเหล้า”
“อะไร..แกเคยดื่มวันเว้นวันเลยนะสมัยมหาลัย นี่ล้อฉันเล่นหรือเปล่า” ปรัชหัวเราะ น้ำเสียงของเขาบอกชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนรักเลยแม้แต่น้อย
“อืม แต่ตอนนี้ฉันไม่ดื่ม จะรีบกลับบ้าน”
ปรีย์ยังคงยืนยันคำเดิมเสียงหนักแน่น
“เออ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่มว่ะ แอบหมกงานเจ้านายเอาไว้แล้วแกล้งมาปฏิเสธฉันล่ะสิท่า”
ปรัชนึกเหตุผลไปอีกทาง ปรีย์ได้แต่นิ่งเฉย ไม่พูดแก้อะไรมันเรื่องมันยุ่งยาก
“เมื่อกี้ฉันเจอไอ้ธนา..เจ้านายเก่าที่แกบอกว่าเลือดเย็นไง จำได้ปะ”
เพื่อนสนิทเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และส่งผลให้ปรีย์ตาลุกวาว หันขวับมามองปรัชทันที
“มันนินทาแกด้วย”
“แกอย่าพูดถึงมันได้มั้ย ฉันไม่อยากฟัง”
ปรีย์รีบสะบัดความคุกกรุ่นเก่าๆออกจากจิตใจ อัปสราเตือนเขาไม่ให้ผูกใจเจ็บพยาบาทกับใครทั้งสิ้น
แต่โชคชะตามักเล่นตลก ตัวการกระตุ้นแผลเก่าเดินมาทดสอบถึงที่
“ฉันไม่พูดก็ได้ว่ะ แต่มันมาโน่นแล้ว”
ปรัชพยักพเยิดให้เพื่อนดู อดีตผู้จัดการที่ปรีย์ตั้งฉายาให้ว่าเจ้านายเลือดเย็นเดินคู่มากับผู้จัดการฝ่ายบริหารของเขา พนักงานทุกคนต่างลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม
ปรีย์ทำท่าจะเดินหนีออกไปทางด้านหลัง ทว่าปรัชยึดข้อมือรั้งเขาเอาไว้
“แกหนีไม่ทันแล้วเว่ย”
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงเคร่งขรึมของคนที่ปรีย์กำลังจะหนีก็กระแทกอย่างจังเต็มสองหู
“คุณชัชต้องระวังนายคนนี้ไว้ให้ดีนะครับ เขาเคยเป็นอดีตพนักงานของผม..วีรกรรมของเขาทำเอาผมปวดหัวไปเป็นปี”
ดวงตาร้อนผ่าวของชายหนุ่มลุกพรึบยิ่งกว่ากองไฟ ปรัชไม่แปลกใจเลยว่าคำสบถมากมายจะถูกพ่นออกมาจากปากของเพื่อนซี้ ให้เจ้านายสองคนนั่นจดจำไปอีกนาน
ณ บ้านทรงไทยหลังเดิม ช่วงเวลาแห่งรุ่งสางของวันใหม่กำลังมาเยือน
บนพื้นไม้กระดานมีเพียงท่านพระภูมิเทวานั่งขัดสมาธิบนพรมแดง ตรงตำแหน่งเดิมเหมือนทุกครั้งที่เจอเขา ปรีย์นั่งคอตก หน้าตาสลดจนผู้ทรงศีลต้องเอื้อมมือมาแตะบ่าด้วยความเห็นใจ
“ผมไม่น่าพลาดเลย..ผมมันไม่เอาไหน”
“เถอะน่า..กำแพงมันใหญ่ เราสร้างเอง เราก็ต้องเป็นคนปลดตัวเราเองออกจากคุกอันนั้น”
พระภูมิผู้เปี่ยมเมตตากล่าวสอน
“ผมจะทำยังไงดี ตอนนี้ไม่มีกำลังใจเลย”
ปรีย์เงยหน้าขึ้นถามทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า
“ลูกผู้ชายอกสามศอก อย่าร้องไห้” เสียงเยียบเย็นทรงพลังของผู้วิเศษทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“พรุ่งนี้ ฉันจะพาเธอไปหาแรงกระตุ้น”
“แรงกระตุ้น?” ปรีย์ทวนคำเดิมเป็นเชิงถาม ผู้ทรงศีลยิ้มรับพลางพยักหน้า
“ฉันจะพาเธอไปพบญาติในอบายภูมิ”
ความคิดเห็น