คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
งานฌาปนกิจศพเพิ่งเสร็จสิ้นลงไปไม่นาน ยามนี้ดวงตะวันลอยเด่นเหนือกลางศีรษะ ไอร้อนระอุของเปลวแดดเสียดแทงผิวขาวซีดเป็นกระดาษทั้งร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขานั่งห้อยขาอย่างหมดอาลัยตายอยากตรงริมแม่น้ำเย็นเยียบด้านหลังตัววัด ความเย็นของกระแสน้ำเรียบนิ่งไม่ได้ช่วยให้ความร้อนจากแดดยามเที่ยงวันจางคลายลงเลย ทว่าเวลานี้ ต่อให้ผิวไหม้เป็นจุล ชายหนุ่มร่างผอมแห้งคนนี้ก็คงไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใดอีกแล้ว
อีกวันของการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาเสียผู้เป็นดวงใจสุดท้ายที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดอย่างมารดาคนเดียวของเขา น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลออกมาตั้งแต่วินาทีแรกของข่าวร้ายที่ได้รับรู้ จนกระทั่งวันนี้มันเหือดหายจนแทบไม่มีหยดน้ำแห่งความทุกข์ทนใดๆจะเหลือให้ไหลออกมานองหน้าได้อีก
ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตชายหนุ่มมีแต่การสูญเสีย..วันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลก อดีตมารดาผู้จากไปแล้วได้เล่าให้ฟังว่า บิดาของเขาเส้นเลือดสมองแตกตายในวันเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มเติบโตมาอย่างขาดความอบอุ่นจากคนเป็นพ่อ ครอบครัวของเขามีเพียงผู้เป็นแม่และน้าสาวคนหนึ่งคอยดูแล ญาติคนอื่นๆหนีหาย ปู่ย่าไม่พอใจที่พ่อมาแต่งงานกับแม่ของเขาจึงตัดขาดการติดต่อไปนานแล้วตั้งแต่เขายังไม่เกิด ส่วนตายาย..แม้แต่มารดาเขาเองก็ยังไม่เคยรู้จัก เนื่องจากกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก
ชายหนุ่มเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยความโดดเดี่ยว เมื่อเขาอายุได้สิบขวบน้าสาวก็จากเขาไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน หล่อนเดินทางไปทำบุญครั้งใหญ่กับคณะทัวร์เก้าวัดในต่างจังหวัด รถทัวร์คันนั้นพาหลายชีวิตไปลงเหวดับอนาถก่อนถึงวัดสุดท้ายเพียงห้าร้อยเมตร ข่าวการตายของน้าสาวและเพื่อนของหล่อนกลายเป็นข่าวดังพาดหัวที่ใหญ่ที่สุดในหน้าหนังสือพิมพ์คราวนั้น..เขาอยู่กับแม่ด้วยความแร้นแค้นกันเพียงสองคนนับจากนั้นมา
มารดาผู้มีจิตใจงดงามโอบอ้อมอารีกับเพื่อนบ้านทุกคน อีกทั้งยังเป็นแม่ที่แสนดีและแสนรักของเขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำแทบทุกวัน เงินทุนก้อนเดียวที่เป็นมรดกของพ่อ ผู้เป็นแม่ได้นำมาเปิดร้านขายข้าวแกงขนาดเล็กอยู่หน้าปากซอยหมู่บ้านนั้นเอง ฝีมือการทำอาหารรสชาติเป็นเลิศของหล่อนทำให้กิจการรุ่งเรือง มีลูกค้าเต็มแน่นเข้าออกร้านเป็นประจำ พอมีรายได้มาหาเลี้ยงชีพและส่งเสียเขาเรียน แต่นั่นก็ต้องแลกด้วยความลำบาก การหารายได้พิเศษเพิ่มเติมจากงานรับแปลเอกสารในวันเสาร์ ต่อด้วยการไปรับจ้างส่งของอีกในวันอาทิตย์
สรุปคือตลอดสัปดาห์มารดาของเขาไม่มีเวลาว่างพักผ่อนใช้ชีวิตส่วนตัวเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากแม่ หญิงใจประเสริฐคนนั้นคอยขับกล่อมเขาด้วยเพลงไพเราะก่อนนอนทุกคืน คอยหุงหาอาหารให้เขากินทุกมื้อ คอยไปส่งเขาที่โรงเรียนทุกวัน และคอยถามประจำว่าลูกเหนื่อยไหม ให้แม่ช่วยอะไรได้บ้าง รวมถึง ถามทุกครั้งที่เขาปิดภาคเรียนใหญ่ว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างไหม แม่คนนี้จะพาลูกไปทุกที่
“ไอ้ปรีย์..” เสียงตะโกนเรียกคุ้นหูดังมาแต่ไกลๆ ชายหนุ่มหันหลังไปมองหาต้นเสียงห้าวๆนั้น แล้วเขาก็พบชายร่างสูงโปร่งหุ่นสง่าอย่างนายแบบเดินกึ่งวิ่งกระหึดกระหอบตรงมาที่เขา ใบหน้าโดดเด่นหล่อเหลามาแต่ไกล คิ้วพาดเฉียงเหนือดวงตากลมโตคู่นั้นที่ทำให้สาวทุกนางได้พบเห็นต้องหลงใหลแทบหลอมละลาย จมูกโด่งสันตรงรับกับริมฝีปากหยักบางแบบชาติตะวันตกทำให้ปรัชเป็นที่สะดุดตาของใครๆ ตั้งแต่จำความได้ สีผิวขาวเหลืองตัดผมสีดำสนิทยาวระคอ กับนัยน์ตาดำขลับทำให้ชายหนุ่มโดดเด่นแบบคมเข้มขึ้นไปอีก แขนขายาวสมส่วน กล้ามมีพอให้เห็นว่าเป็นชายชาตรีน่าฝากใจของสาวช่างฝันทั้งหลาย ปรีย์มองเพื่อนด้วยความอิจฉาในใจลึกๆ
ตั้งแต่คบกันมาสิบปีเริ่มจากสมัยเรียนมัธยมต้น ชายหนุ่มรู้ดี ว่านอกจากชื่อที่มีเพียงพยางค์เดียว พยัญชนะที่ขึ้นต้นด้วยตัวเดียวกัน เขากับปรัชก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเจ้าเพื่อนสนิทคนนี้กลับแตกต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว มันมีในสิ่งที่เขาไม่มี มันได้ในสิ่งที่เขาไม่เคยได้และตะเกียกตะกายไขว่คว้ามาโดยตลอด..แต่ก็ยังต้องผิดหวัง ในขณะที่มันไม่เคยต้องออกแรงพยายามอะไรเลย ก็ได้มาซึ่งความสุขสมหวังตลอดทั้งชีวิต
ปรัชเกิดมาท่ามกลางชีวิตที่แสนสุขสบาย ชาติตระกูลอันสูงส่ง บิดามารดามีศักดิ์เป็นถึงหม่อมราชวงศ์ ร่ำรวยเงินทองมหาศาลจากธุรกิจน้ำมันขนาดใหญ่ มีคนให้เรียกรับใช้ได้เกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง นั่งรถคันหรูแทบไม่ซ้ำยี่ห้อมาเรียนทุกวัน จนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มก็มีรถสปอร์ตคันหลายล้านขับเล่นอย่างสบายใจ อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังหล่อเหลาโดดเด่นระดับดารานายแบบ จึงถูกแมวมองมาทาบทามไปเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาบ้าง ถ่ายแบบลงปกนิตยสารบ้าง และอีกสารพัดงานละคร ภาพยนตร์ที่ติดต่อเข้ามาให้เขาเลือกปฏิเสธไปหลายเจ้าเพราะความขี้เกียจ
ถึงแม้การเรียนจะไม่เอาไหนพอๆกับปรีย์ ที่เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์มาด้วยกันจนจบสี่ปีเพราะไม่รู้จะเลือกคณะไหนออกมาหาเลี้ยงตัวเอง แต่ด้วยความเพียบพร้อมในแทบทุกด้านของปรัช เขาจึงไม่ยี่หระกับเรื่องเรียน หรือการทำงานมากเท่าใดนัก วันๆก็เสเพล เที่ยวสนุกไปเรื่อย ไม่มีงานการเป็นชิ้นเป็นอันได้ทำ ที่เลือกคบกันอย่างสนิทใจทั้งที่ชีวิตแตกต่างกันแทบทุกอย่างแบบนี้คงเพราะจุดร่วมที่มีเหมือนกัน คือความเห็นแก่ตัว รักชีวิตอิสระ ไม่ยุ่งกับใครเป็นหมู่คณะ ไม่คิดทำประโยชน์ให้สังคมและส่วนรวม มีทัศนคติการดำเนินชีวิตที่เกือบไม่ต่างกัน เขาทั้งสองสนิทใจกันมากขึ้นด้วยความเป็นคนเปิดเผย คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ถึงแม้ไม่ค่อยจะทำตามที่พูดเท่าไหร่ก็เถอะ
และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ปรัชเคยบอกเขาว่า คบกับเขาแล้วรู้สึกตัวเองยิ่งโดดเด่นน่าสนใจ ไม่ต้องถูกเปรียบเทียบกับใครที่ดีกว่าตัว เพราะเพื่อนหลายคนในคณะก็มีพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเก่งระดับเหรียญทอง ปรัชรู้สึกชีวิตตัวเองอับเฉาเหลือเกินเมื่อเดินใกล้ๆคนเหล่านั้น การคบปรีย์เป็นเพื่อนสนิทจึงทำให้ชีวิตของปรัชเฉิดฉายขึ้นเป็นกองไม่ต้องห่อเหี่ยว หรือรุ่มร้อนในอกเพราะความริษยาใครๆ
ด้วยความที่รูปก็ไม่หล่อ ใส่แว่นกรอบดำหนาเตอะเป็นเด็กเรียนทั้งที่ไม่ได้เรียนดีอะไรเลย ตาเล๊กตี่ใต้คิ้วดกหนาอย่างกับพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องชินจัง จมูกมีสันพอดูได้แต่ริมฝีปากแดงหนาบนใบหน้าขาวซีดเป็นกระดาษเหมือนคนขี้โรคนั้นทำให้ไม่มีหญิงงามที่ไหนสนใจเขาเลยตั้งแต่เริ่มจีบสาวมา รูปร่างสูงพอๆกับปรัช แต่ผอมโกร่งแทบเหลือแต่กระดูกทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองดูเท่ ดูดึงดูดจากสายตาใครๆเลยสักนิด การเรียนก็แค่พอไปวัดไปวา ชาติตระกูลต่ำต้อย เงินทองก็เหลือน้อย ทุกอย่างช่างตรงกันข้ามกับปรัชไปหมด ทีแรกที่ฟังเหตุผลของมัน เขาก็นึกขำ แต่มาบัดนี้ชักนึกหมั่นไส้ และเกือบจะกลายเป็นรังเกียจเข้าไส้..เพราะอะไรน่ะเหรอ
สาเหตุมันมาจากการผิดหวังในรักนั่นแหละ อิงวรา..เป็นผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มร่างแบบบางตัวเล็กๆน่าทะนุถนอม เขาตกหลุมรักหล่อนตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็น แล้วก็ยิ่งรักมากขึ้นทุกวันๆอย่างยากจะควบคุมหัวใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น ได้แต่แอบรักหล่อนอยู่เพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวให้ความสำคัญกับเขาเพียงเพื่อนสนิทพอๆกับปรัช ตั้งแต่รู้จักกันสมัยเรียนปีหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย หล่อนเรียนคณะอักษรศาสตร์ แต่เพราะมาติดพันอยู่กับเพื่อนชายเนื้อหอมอย่างปรัช จึงทำให้เขาได้มีโอกาสสนิทสนมกับหล่อนด้วย
ปรีย์ต้องเก็บงำความรู้สึกแสนรักที่มีต่ออิงวรามาเนิ่นนาน ไปเที่ยวกับปรัชทีไรต้องมีหล่อนไปด้วยเสมอ คอยเห็นภาพบาดตาบาดใจทุกครั้ง ตอกย้ำลงลึกถึงจิตวิญญาณกันเลยทีเดียว แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเฝ้ามองดูหล่อนด้วยความผิดหวัง ทั้งที่ความรักมันไม่เคยมอดดับลงไปจากใจเลยแม้สักขณะเดียว
เขาไม่เข้าใจหญิงสาวร่างบางคนนั้นเลยจริงๆ ถึงแม้ปรัชจะมีผู้หญิงมากมายเข้ามาพัวพัน และเขาก็ไม่เคยจริงใจกับใครตามแบบฉบับเพลย์บอยตัวพ่อ หล่อนก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปิดหูปิดตา และปิดใจไม่ยุ่งกับใครเลย จงรักภักดีกับปรัชคนเดียวตลอดสี่ปีที่คบกัน
จนกระทั่งอุบัติเหตุรถชนเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่แม่เขาจะตายอย่างทรมารด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นสุดท้าย รถสิบล้อคันใหญ่พรากชีวิตคนสำคัญอีกคนไปจากชีวิตของเขา วันนั้นอิงวรากำลังจะพาแม่ของหล่อนเดินข้ามไปยังฟุตปาธฝั่งตรงข้ามเพื่อไปหาหมอที่โรงพยาบาล ทว่าความกตัญญูและรักมารดาเท่าชีวิตของหล่อนจึงทำให้หล่อนรีบกระโดดเข้าไปผลักไหล่แม่ตัวเองให้หลบเข้าข้างทาง แต่มัจจุราชก็ไม่ปราณีคนแสนดีอย่างหล่อน ไม่ทันการเสียแล้ว รถใหญ่คันนั้นพุ่งตรงมาถึงตัวหล่อน ก่อนจะคร่าวิญญาณหญิงสาวจากไปท่ามกลางความเศร้าสลดใจของผู้อยู่เบื้องหลัง
นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เขาเสียใจ และแค้นใจเพื่อนสนิทอย่างเลือดขึ้นหน้า ถ้าวันนั้น ปรัชยอมทำตามสัญญาที่นัดหมายไว้ดิบดีกับอิงวราว่าจะอาสาพามารดาของหล่อนไปรักษาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง แต่เพราะความหลายใจของเขาทำให้ต้องเปลี่ยนแผนง่ายๆ เพียงแค่มีผู้หญิงอีกคนอ้อนวอนให้พาไปเที่ยว เรื่องเลวๆพรรค์นั้นปรีย์ร่วมรับรู้มาตลอด แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากคอยตำหนิ ตักเตือนเขาด้วยความหวังดี แต่ก็ไม่เป็นผลแม้สักครั้งเดียว
ถ้าวันนั้น..ปรัชขับรถไปส่งมารดาของอิงวรา แทนที่หล่อนจะเป็นฝ่ายพาแม่เดินตากแดดไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง..โศกนาฏกรรมอันแสนทรมานหัวใจของเขาจนแหลกละเอียดคงไม่มีทางเกิดขึ้น
แต่มันก็เป็นไปแล้ว..
กงล้อแห่งโชคชะตานำพาให้ปรีย์ต้องพบกับความสูญเสีย พลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง ในช่วงเวลาเดียวกัน ถึงสองคน!
จนถึงวันนี้ เขายังทำใจไม่ค่อยได้ที่จะมองหน้าเพื่อนไม่เอาไหนอย่างปรัชด้วยความสนิทใจดังเดิม
คืนนั้น หลังกลับจากงานเผาศพวันสุดท้ายของมารดา ปรีย์ยังต้องเก็บงำความคับแค้นใจที่ไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้ ด้วยเหลือเพียงเขาอยู่เพียงลำพังในบ้านตึกแถมซอมซ่อหลังนี้
ภาพเพื่อนรักเมื่อตอนเที่ยงวัน กับเสียงก้องโสตประสาทในร้านอาหารสุดหรูใกล้บ้านปรัชตอนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงมโนทวารของเขาไม่หาย ชายหนุ่มนอนก่ายหน้าผากบนเตียงเก่าๆ ท่ามกลางความมืดมิด และเงียบเชียบที่สุดในคืนเดือนแรมวันนั้น เขาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
“ทำไมหน้าตาแกสดใสผิดปกติจังวะ อิงเพิ่งตายไปไม่นานเองนะเว้ย” นั่นเป็นคำถามคาใจของปรีย์ขณะมองปรัชกินอาหารมื้อหรูในจานของเขาด้วยความเอร็ดอร่อย สีหน้าแช่มชื่น
“แล้วไงวะ ก็คนมันตายไปแล้ว” เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระกับข้อสงสัยของเพื่อนสนิท “ผู้หญิงสวยๆมีรอให้ฉันเลือกอีกตั้งมากมาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้”
“แกพูดอย่างงี้ได้ไงวะเบ็น แกไม่สงสาร ไม่รักอิงเลยหรือไง เค้าเป็นแฟนแกทั้งคนนะเว้ย” ชายหนุ่มหน้าขาวซีดเปลี่ยนสีหน้าเป็นแดงซ่าน เลือดร้อนสูบฉีดไปทั่วร่าง
“แกจะเดือดร้อนไปทำไมวะไอ้ปรีย์ ฉันเป็นแฟนอิง ฉันยังไม่เห็นต้องเศร้า แล้วแกเป็นใคร เป็นคนสำคัญอะไรของเธอ ถึงต้องมาตีหน้าเศร้าบิ๊วฉันให้เศร้าตามแกอย่างนี้” นั่นแหละ ปรีย์ถึงได้รูดซิบปากตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น เขาไม่กล้าเดือดดานอะไรขึ้นมาให้ปรัชเห็นอีก เขาไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับอดีตแฟนสาวของมัน
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนเราแป๊บเดียวก็ตาย ฉันกับแกจะตายเมื่อไหร่ ใครตายก่อนกันแกรู้เหรอ “ หนุ่มหน้าหล่อเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
คนฟังได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออกเลย
“แกจะมัวโศกเศร้าทำบ้าอะไร รีบๆหาความสุขสำราญใจใส่ตัวเข้าเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ..ตายไปก็จบ ทุกอย่างก็สูญ ชีวิตนี้ต้องกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวให้มากรู้มั้ย ฉันน่ะเศร้าเรื่องอิงไม่แพ้แกหรอก แต่ถ้ามัวมานั่งเศร้า ชีวิตที่เหลือของฉันก็สูญเปล่าน่ะซี อยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่เหอะว่ะ อย่าได้แคร์ใครหน้าไหนทั้งนั้น”
นั่นคือคำพูดสุดท้าย ที่ทำให้ปรีย์ได้รู้จักเพื่อนสนิทคนนี้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยคุยกันมา..
เสียงห้าวของเพื่อนรักค่อยๆขาดหายออกเป็นห้วง จนกระทั่งต่อไม่ติดเป็นประโยค สรรพสิ่งตรงหน้าค่อยๆปิดฉากตัวเองลงจนมลายสิ้นไปจากจักขุประสาทและห้วงคำนึงแห่งการจำได้หมายรู้ ความมืดมิดเริ่มโรยตัว..ในที่สุดโลกใบเก่าของชายหนุ่มก็ดับลงชั่วคราว...รอคอยในอีกไม่กี่อึดใจของโลกใบใหม่ ปรีย์ไม่เคยรู้มาก่อนเลย..ว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนับจากวินาทีนี้
ชายหนุ่มเดินวนอยู่รอบเสาเอกของบ้านเป็นเวลานานเหมือนถูกสะกด เขาไม่สามารถควบคุมขาทั้งสองข้างให้เดินออกจากที่ตรงนั้นไปได้แม้เพียงขณะเดียว พระพายพัดหมุนเป็นเกลียวรอบสรรพางค์กาย ฝ่ามือหนาด้านของเขายกขึ้นช้าๆ ก่อนทาบลงบนตัวเสาสีเทาเกรอะฝุ่นต้นนั้น
ทุกการกระทำล้วนอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมแห่งจิตรู้สำนึก ปรีย์รู้สึกเหมือนตนกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทันใดนั้นหน้าผากของเขาก็มีแสงสว่างโพลงกระจายออกมาจนต้องหลับตาหนีความเจิดจ้าผิดธรรมชาติอันนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่หลังต้นไทรสูงใหญ่แผ่ใบปกคลุมเงาหัวของเขาเสียจนมิดชิด
เบื้องหน้าคือหมู่บ้านทรงไทยหลังใหญ่น้อย เรียงรายเป็นระเบียบอยู่ราวห้าหกหลัง อาณาเขตโดยรอบมีดงไม้กระจัดกระจายไปทั่ว แสงสว่างนวลตาทอประกายลงมาจากผืนนภารำไร เมื่อครู่ชายหนุ่มจำได้ดีว่าตึกแถวที่เขาอาศัยอยู่มันช่างมืดสนิท สถานที่ประหลาดแห่งนี้ไม่มีแม้ดวงจันทร์ หรือดวงดาวประดับฟ้า ความสว่างที่เห็นยังปะปนอยู่กับความสลัวราง ไม่ถึงกับจัดจ้าอย่างในเวลากลางวัน ทว่าก็ต่างจากโลกใบเก่าที่เขาพักพิงไปถนัดตา
เนินหญ้าอ่อนหน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่สุดใจกลางโลกใหม่ใบนั้นทำให้ปรีย์รู้สึกอย่างวิ่งขึ้นไปนอนเล่นให้สบายใจสุดๆ ลำธารที่ไหลผ่านข้างทางของบ้านหลังนั้นมีน้ำใสสะอาดเย็นจนเห็นพื้นสีเขียวถึงด้านล่าง
อะไรบางอย่างดลใจให้ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยไม่ลังเล ประตูไม้ทรงโบราณแง้มออกต้อนรับการมาเยือนของคนสำคัญ..ทันทีที่เขาเหยียบย่างขึ้นถึงบันไดขั้นบนสุด
ตลอดนาทีแห่งการก้าวเดิน ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยของปรีย์สัมผัสอยู่บนไม้ฝากระดานแผ่นยาวเรียบเป็นเส้นๆ มีระเบียบสวยงาม แต่เขาก็ไม่ได้ยินเสียงกรุบกรับของการกระแทกน้ำหนักลงไปอย่างสม่ำเสมอแม้แต่นิดเดียว ความนุ่มนวลอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำอบคละคลุ้งทั่วบริเวณ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเบาหวิวทั้งร่างเสมือนปุยนุ่นลอยได้
ปรีย์เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงสุดทางไม้กระดานกินพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ระเบียงไม้เรียงเป็นซี่เว้นช่องไฟสม่ำเสมอพาดขวางอยู่เบื้องหน้า ฝาผนังทั้งสองข้างที่ประกบชายหนุ่มเอาไว้มีลวดลายกนกประดับสวยงาม กรอบรูปสีทองมีเงาภาพของใครคนหนึ่งสลักเสลาเอาไว้ เหนือกรอบลายสวยขึ้นไปมีพวงมาลัยงดงามห้อยระย้าลงมาปกปิด ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปดูให้กระจ่างอยู่แล้ว ว่าคนในรูปเป็นใคร ทว่าเสียงทุ้มกังวานของคนด้านหลังเบนความสนใจของเขาออกมาเสียก่อน
“ยินดีต้อนรับ..สมาชิกใหม่”
เสียงนั่นทำให้ปรีย์หันขวับมามองเกือบจะทันที ชายหนุ่มเซถอยก่อนทรุดตัวลงกับพื้นอย่างปวกเปียก เมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้าปรากฎตัวอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ มีพรมสีแดงรองรับอย่างดี..ทั้งที่เมื่อครู่ พื้นไม้บริเวณนั้นยังว่างโล่งไม่เหมือนอย่างที่เขาเห็นในตอนนี้
“ไม่ต้องตกใจพ่อหนุ่ม นั่งลงก่อนสิ” ลำแสงสีขาวนวลตาเปล่งประกายรอบตัวบุรุษวัยกลางผู้นั้น เขาสวมเสื้อป่านคอกลมสีไข่ไก่ นัยน์ตาทอแววเมตตาอบอุ่นมาให้ชายหนุ่มที่กำลังอ้าปากค้าง ใบหน้าซีดเผือด
“คะ..คุณเป็นใคร”
นั่นคือคำถามที่ปรีย์พอนึกได้ในตอนนั้น
บุรุษแปลกหน้ายิ้มเย็นก่อนตอบ
“ถ้าจะบอกให้เธอเข้าใจง่ายๆ..ฉันคือพระภูมิเทวาที่มาปฏิสนธิจิตในบ้านหลังนี้”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะงงงวย อ้าปากหวอยิ่งกว่าเดิม
“เอาเถอะ..ต่อไปเราคงรู้จักกันดีขึ้น” พระภูมิบอกเขาด้วยรอยยิ้มไมตรี “อย่าเพิ่งรีบตกใจนักเลยพ่อหนุ่ม..มีใครอีกคนที่ยังรอพบเธออยู่”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ปรีย์ก็รู้สึกถึงความสว่างเหนือบริเวณศีรษะของเขา แสงนั้นเหมือนพระอาทิตย์อ่อนๆ กระจายลำปกคลุมกว้างขึ้น..กว้างขึ้น จนครอบหมดทั่วทั้งอาณาบริเวณ
บ้านทรงไทยหลังนั้น กลับกลายเป็นความสว่างไสวแจ่มจ้าประดุจทิวาวารมาเยี่ยมเยือน
ท่านพระภูมิคนเดิมที่เพิ่งคุยกับเขาไปเมื่อครู่รีบคุกเข่าคลานถอยออกไปก้มหมอบห่างๆจนสุดมุมหนึ่งของบ้าน
ใบหน้าอ่อนเยาว์เค้าโครงรูปหัวใจนั้นใสบริสุทธิ์ งดงามเหนือคำพรรณนาใดจะกล่าวได้ ดวงตารูปหงส์เรียวยาว มีประกายลุ่มลึกภายในแก้วเจียระไนสีนิลสนิท ปรีย์รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปลอยคว้างนิ่งนาน หน้าผากมนกลมเกลี้ยง เส้นผมประดุจไหมละเอียดเนื้อดีถูกเกล้ารวบสูงขึ้นเป็นมวย มีปิ่นประดับมุกสวยงาม ผิวพรรณของนางนั้นนวลผ่องราวกับสีงาช้าง
กลิ่นกายของหล่อนสะอาดหอมยิ่งนัก เหมือนดอกไม้จากสรวงสวรรค์โปรยปรายลงมาในฤดูที่แสนจะแห้งผาก อาภรณ์ประดับกายเจิดจรัสบ่งบอกฐานะในภพกายทิพย์อันละเอียดอ่อน แสงสีที่กระจายรัศมีแผ่กว้างออกมาช่างสว่างเรืองรองยิ่งกว่าท่านพระภูมิเทวาเสียอีก
ดวงจิตสูงส่งเหนือระดับความเป็นมนุษย์มากนัก เป็นเหตุแห่งรัศมีและสีสันที่ปรากฏออกมาให้หนุ่มน้อยผู้ต้อยต่ำได้ยลยิน รอยยิ้มอ่อนโยนของนางสวรรค์ติดตรึงหัวใจ
...รอยยิ้มนั้นสดใสเสมือนใครอีกคนที่คงไม่อาจหวนคืน
ความคิดเห็น