ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BTS | Night after night — sf/os kookga, etc.

    ลำดับตอนที่ #1 : Song in Silence | monv

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 62


    Song in Silence

    monv / drama / 16206 words

     

    bgm : always with me (Itsumo Nando Demo) - Spirited Away OST

    ( https://www.youtube.com/watch?reload=9&v=LWzvzDCLFN4 )

     

     

    แสงสีส้มอาบไล้ไปทั่วผืนทรายเปลี่ยนให้ชายหาดกลายเป็นพรมสีทองอร่าม ตะวันดวงใหญ่เคลื่อนคล้อยจะจมลงสู่มหาสมุทร บนชายหาดที่เงียบสงัดไร้ผู้คนมีเพียงเสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง จวบจนกระทั่งมือเรียวจับไวโอลินตัวโปรดที่ทำจากไม้เนื้อดีขึ้นมาจากกล่องบุด้วยผ้าหนังสัตว์ วางคันชักเหนือสายไวโอลิน ลากผ่านเพียงแผ่วเบา เกิดเป็นท่วงทำนองที่อ่อนหวานและอบอุ่น เสียงไวโอลินก้องกังวานไปทั่วทั้งชายหาด ปลายนิ้วเรียวที่แตะลงบนสายในแต่ละตัวโน้ตนั้นมีเสน่ห์เกินจะละสายตา นัยน์ตาคมมองคนรักที่กำลังเล่นเพลงโปรดของตนอย่างมีความสุข


    ความงดงามของดวงตะวันยามตกดินหาได้เรียกความสนใจของนัมจุนได้เท่ากับคนตรงหน้า แสงสีส้มยามอาบไล้เสี้ยวใบหน้าด้านข้างงดงามเกินจะหาถ้อยคำใดมาเปรียบเปรย บางคนเรียกคนรักของเขาว่านางฟ้า.. คงพอจะใกล้เคียงอยู่บ้างล่ะมั้ง แต่สำหรับเขาแล้วแทฮยองเป็นมากกว่านั้น ริมฝีปากหยักยกยิ้ม ตอนนี้เขากำลังตกหลุมรักนางฟ้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว


                ท่วงทำนองที่อ่อนหวานคลอเบาลงเมื่อจบเพลง มือเรียววางไวโอลินไว้ในกล่องตามเดิม ก่อนจะเอนหลังพิงไหล่กว้างของร่างที่สูงกว่าซึ่งยื่นมือเข้าโอบเอวบางแทบจะในทันที ความใส่ใจที่มีให้กันอบอุ่นไปถึงข้างในหัวใจ มีความสุขเสียจนหวาดกลัว...กลัวเหลือเกินว่าหากไม่มีเจ้าของอ้อมแขนนี้อยู่เคียงข้างกันแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง


    นัมจุน...สัญญาได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเสียงที่เอ่ยขอคำสัญญามีเค้าของความเศร้าอยู่ในที หากร่างสูงกว่ากลับยิ้มแล้วตอบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ยืนยันด้วยกอดที่กระชับให้รู้ว่าเขาจะไม่มีวันจากไปไหน


    ผมรักษาสัญญาเสมอ คุณก็รู้นี่ครับ”


                คำมั่นสัญญานั้นเป็นหนึ่งในนาทีที่แทฮยองมีความสุขที่สุดในชีวิต หลังจากเวลาได้ล่วงเลยไป จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี กาลเวลาหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความสุข ความเศร้า ความเหงา รอยยิ้ม น้ำตา และเสียงหัวเราะผสมปนเปคละเคล้ากันไป จนบางครั้งยังนึกสงสัยว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่


                เมื่อบางครั้งความฝันก็โหดร้ายเสียจนนึกดีใจยามเมื่อลืมตาตื่นที่พบว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน หากบางครั้งความจริงกลับเลวร้ายยิ่งกว่า จนอยากจะหลับตาและอยู่ในความฝันที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้น...ตลอดไป

     

     

    ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นสีดำสนิทราวกับห้วงอวกาศอันไร้ที่สิ้นสุด หากสองข้างทางริมฝั่งถนนในย่านท่องเที่ยวตอนกลางคืนกลับเริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คน เสียงเพลงดังคลอๆ ออกมาจากข้างในร้าน แทฮยองกอดตัวเองแน่นเพราะอุณหภูมิที่เริ่มลดลงต่ำ ลมหายใจกลายเป็นไอสีขาวจางๆ ก่อนผ้าคลุมไหล่สีครีมจะถูกวางลงบนไหล่ตามด้วยท่อนแขนที่กอดรั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้


    ยังหนาวอยู่ไหมนัมจุนเอ่ยอย่างเป็นห่วง น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ใบหน้าน่ารักประดับไปด้วยรอยยิ้ม


    ไม่แล้วล่ะแทฮยองส่ายหน้า แต่นัมจุนก็ยังจับมืออีกคนมากุมไว้ ชายหนุ่มสองคนจับมือกันเดินท่ามกลางผู้คนริมถนนข้างทางเป็นเหมือนเรื่องปกติเกินกว่าที่ใครๆ จะทันสังเกตถึงความแปลกแยกนั้น ไม่นานทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่ตรงทางเข้าด้านหลังของคลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘The Heaven’


    ถึงแล้วครับมืออุ่นที่กุมไว้คลายออกอย่างช้าๆ พลางส่งไวโอลินที่ถือมาตลอดทางให้แทฮยอง


    ยังไม่อยากทำงานเลย~” เสียงหวานว่าอย่างอ้อนๆ แก้มขาวพองลมอย่างน่ารักน่าชังจนคนมองอดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวลงไปจูบแก้ม


    รีบเข้าไปเถอะ มีลูกค้ารอฟังอีกตั้งหลายคน ให้คนอื่นรอนานๆ ไม่ดีนะครับนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กให้แทฮยองต้องยู่หน้าคล้ายจะงอนอยู่หน่อยๆ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วยอมรับ


    รู้แล้วน่า คืนนี้ไม่ต้องมารับนะ เดี๋ยวกลับเอง


    เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าดึกก็โทรมานะ เป็นห่วงนัมจุนก้มมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเกือบสามทุ่ม ใจจริงแล้วเขาก็อยากจะมารับ แต่แทฮยองก็ชอบดื้อจะกลับเองทุกที แล้วเขาก็ดันไม่เคยขัดใจได้เลยสักครั้ง


    เจอกันที่บ้านนะ


    ครับ นางฟ้าของผม


    ริมฝีปากอุ่นจุมพิตเบาๆ แทนคำลา ก่อนแทฮยองจะเข้าไปข้างในร้าน นัมจุนยืนส่งอย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินหายไปในความมืดคล้ายกับว่าไม่เคยมีใครยืนอยู่ตรงนั้น...

     



    ภายในคลับถูกตบแต่งอย่างเรียบง่ายแต่โดดเด่นด้วยการจัดวางที่ผสมผสานให้ทุกอย่างดูลงตัว คล้ายจะเป็นสวนสวรรค์สมชื่อร้านเสียจริงๆ เวทีกลมยกระดับสำหรับนักดนตรีตั้งอยู่ทางมุมฝั่งซ้ายมือของร้าน รอบฐานเวทีประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่น โต๊ะแต่ละตัวจะมีมุมส่วนตัวเป็นของตัวเอง พร้อมด้วยบาร์เครื่องดื่ม และอาหารที่จะมีพนักงานคอยรับออเดอร์อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ลูกค้าต้องรอนาน แทฮยองเดินมาหาชายหนุ่มในชุดบาร์เทนเดอร์ที่อยู่ตรงบาร์เครื่องดื่ม


    มาสายนะ แทฮยองน้ำเสียงดุอย่างไม่จริงจังมาจากซอกจินที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบิล นอกจากจะเป็นเจ้าของร้านแล้ว ซอกจินยังเป็นรุ่นพี่ในคณะ หลังจากเรียนจบอีกฝ่ายก็ชวนเขามาทำงานที่ร้านของตัวเอง


    ขอโทษครับ มัวแต่คุยกับนัมจุนนานไปหน่อยแทฮยองยังคงขอโทษ แม้จะรู้ว่าซอกจินแค่พูดเล่น โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าชื่อนั้นทำให้มือที่กำลังจดบัญชีอยู่หยุดชะงัก นัยน์ตาคู่สวยมองไปทั่วร้านที่มีลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ


    ให้ผมขึ้นไปเล่นเลยไหม


    เอาสิ


    ซอกจินเงยหน้าแล้วยิ้มให้แทฮยองที่ถือไวโอลินเดินไปที่เวที ลับหลังร่างบางรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้กลับเลือนหายไป นัยน์ตาฉายแววเศร้ายามเมื่อมองเพื่อนสนิทที่เล่นไวโอลินตัวโปรดอยู่บนเวที

     

                ทักษะการสีไวโอลินของคิมแทฮยองเป็นที่เลื่องลือ เคยมีคนชักชวนให้เข้าวงการไปเล่นบนเวทีใหญ่ๆ อยู่หลายครั้ง แต่แทฮยองพอใจจะเป็น นางฟ้าแห่งเสียงเพลงอยู่ที่ร้านมากกว่า แต่กระนั้นก็ยังมีบริษัทน้อยใหญ่ที่ยังไม่ละความพยายามต้องส่งคนมาที่ร้านเป็นประจำทุกวัน ซึ่งตรงจุดนี้ซอกจินก็ห้ามไม่ได้ เมื่อคนพวกนี้มาในฐานะลูกค้า แต่ถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว คนกลุ่มนี้ยังเป็นปัญหาน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง


    ...ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าแทฮยองเป็นคนมีเสน่ห์ไม่ว่าจะกับเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม ทั้งยังอัธยาศัยดี คุยเก่ง ทำให้คนรอบข้างมีความสุขอยู่เสมอก็เป็นลักษณะเฉพาะตัว


    ทุกๆ วัน ซอกจินต้องรับเบอร์โทร รับของฝากมากมายจากลูกค้าที่หลงเสน่ห์อยู่เป็นประจำ ซ้ำหน้าบ้าง ไม่ซ้ำบ้าง ตามแต่ลูกตื้อของแต่ละคน แต่สุดท้ายแล้ว คงไม่มีใครรู้ดีเท่าซอกจินว่า แทฮยองจะไม่มีวันรับความรู้สึกนั้นจากใคร มีเพียงคนเดียวที่ได้มันไป...คิมนัมจุน


    ซอกจินถอนหายใจเมื่อกลอกตาไป และเห็นลูกค้าขาประจำรายหนึ่งเพิ่งจะผลักประตูเข้ามาในร้าน ใบหน้าหล่อเหลาในมาดนักธุรกิจร้อยล้านก้าวเข้ามานั่งที่บาร์เครื่องดื่มซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นเวทีได้ชัดที่สุด


    สวัสดีครับ คุณโฮซอก คืนนี้รับอะไรดีครับซอกจินถามอย่างมีมารยาทด้วยน้ำเสียงสุภาพ เพราะถ้าไม่นับเรื่องที่จะมาจีบนักดนตรีของร้านล่ะก็ ชายหนุ่มก็เป็นลูกค้าชั้นดีกระเป๋าหนาจ่ายหนักแบบไม่เบี้ยวไม่มีบ่นเลยสักครั้ง


    ขอเหมือนเดิมครับ มาสเตอร์ ว่าแต่แทฮยองมานานแล้วเหรอครับ


    เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เองครับ วันนี้แทฮยองมาสาย นี่ยังเพลงแรกอยู่เลยซอกจินตอบทั้งที่กำลังง่วนกับการผสมเครื่องดื่มให้ลูกค้าคนสำคัญของร้าน


    โชคดีจังเลย ผมก็สายเหมือนกัน วันนี้ประชุมดึกน่ะครับ


    ทำงานดึกแบบนี้ เหนื่อยแย่เลยสิครับ


    ซอกจินวางแก้วเครื่องดื่มสีใสที่เพิ่งใส่ผลมะกอกตกแต่งเสร็จส่งให้โฮซอกที่กำลังปรบมือ เพราะเพลงแรกที่แทฮยองบรรเลงเพิ่งจบลง ร่างบางบนเวทีโค้งให้ผู้ชม ก่อนเพลงถัดไปจะเริ่มขึ้น


    แค่ได้ฟังเพลงที่นางฟ้าเล่น ดื่มค็อกเทลที่มาสเตอร์ทำ ผมก็หายเหนื่อยแล้วล่ะครับ


    อาจจะเป็นเพราะนิสัยนักธุรกิจ ชายหนุ่มถึงได้รู้จักพูด และนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ซอกจินไม่เคยออกปากไล่อ้อมๆ เหมือนที่เคยทำกับลูกค้าคนอื่นที่มาที่ร้าน เพราะจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว


    โฮซอกมองคนบนเวทีอย่างเพลินตาเพลินใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาคุยกับซอกจินเป็นพักๆ จนกระทั่งร่างสูงใหญ่ของลูกค้าขาประจำอีกคนมานั่งอยู่ข้างกัน


    วันนี้ก็มาอีกแล้วหรือครับ คุณจีมินซอกจินทักทายตามมารยาท กระนั้นก็ยังถากถางอย่างไม่กลัวว่าลูกค้าขาประจำจะไม่พอใจ


    หากโฮซอกเป็นลูกค้าประเภทที่สอง จีมินก็เป็นประเภทแรก นอกจากเจ้าตัวจะเป็นคนของบริษัทดนตรีชื่อดังที่พยายามจะดึงตัวแทฮยองไปทำเพลงให้ได้แล้ว ตัวจีมินเองก็หลงเสน่ห์แทฮยองเข้าเต็มๆ


    ต้องมาสิครับ จะพลาดได้ยังไงกัน วันนี้มาเร็วจังนะครับ พี่โฮซอกท้ายประโยคจีมินหันไปคุยกับโฮซอกที่แทบจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว


    นายต่างหากที่มาสาย แทฮยองเล่นไปตั้งหลายเพลงแล้ว


    ไม่จริงน่า! ตอนผมออกจากบริษัทเพิ่งจะสองทุ่มเองนะ เฮ้ยย!!คนมาสายก้มมองนาฬิกาแล้วก็ตกใจที่นาฬิกาข้อมือของเขายังคงหยุดอยู่ที่สองทุ่ม ในขณะที่นาฬิกาของร้านนั้น เวลาล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่มแล้ว


    นาฬิกาตายไม่รู้ตัวเลยนะ เห็นแก่ความซวยของนาย คืนนี้ฉันเลี้ยงเองโฮซอกตบบ่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์เบาๆ ทั้งให้กำลังใจ ทั้งขันในความเซ่อซ่าของจีมินที่มีให้เห็นไม่บ่อยนัก อย่างไรก็ตาม...โฮซอกไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งเลย เพราะมั่นใจว่าตนเองมีชัยเหนือกว่าในทุกด้าน


    พูดแล้วห้ามเปลี่ยนใจนะโฮซอกยักไหล่รับคำ ก่อนทั้งสองคนจะหันกลับไปสนใจแทฮยองที่เพิ่งจะโค้งให้กับผู้ชม และก้าวลงจากเวที เปลี่ยนให้นักดนตรีคนอื่นขึ้นไปเล่นแทน


    แทฮยองมองเห็นลูกค้าขาประจำสองคนอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจ ทั้งที่เขาไม่เคยเปิดโอกาสใดๆ ให้เลยสักครั้ง แต่ทั้งสองคนก็ยังขยันมาทุกวันไม่ยอมแพ้ ผิดกับคนอื่นที่ไม่นานก็ต้องล่าถอยกลับไป ทั้งยังเป็นแบบที่รับมือยาก ไม่เปิดเผยจุดประสงค์ของตัวเองโจ่งแจ้ง ไม่จ้องจะเอาแต่สิ่งที่ตนต้องการ มีลูกล่อลูกชนสารพัด


    ...เฮ้อ! ให้ตายเถอะ เขาไม่ถนัดรับมือคนประเภทนี้เอาเสียเลย

     

    สวัสดีครับ คุณโฮซอก คุณจีมินเสียงหวานทักทายตามปกติแบบที่ไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น แต่คนรับคำทักทายกลับยิ้มหน้าบานราวกับถูกรางวัลใหญ่


    สวัสดีครับ แทฮยองสองเสียงทักกลับพร้อมกันจนเหมือนคู่แฝดจนน่าขำ แต่แทฮยองก็กลั้นหัวเราะแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างทั้งสองคน ถึงจะไม่ชอบ แต่ถ้าเป็นเพื่อนคุยล่ะก็ การนั่งฟังทริปเดินทางไปติดต่องานที่ประเทศต่างๆ กับการฟังคำบรรยายถึงเสียงเพลงของนักดนตรีชื่อดังคนอื่นๆ จากลูกค้าขาประจำช่างตื้อทั้งสองก็ไม่เลวร้ายนักหรอก แล้วเรื่องเล่าที่ทั้งสองคนสรรหามาก็มากพอจะทำให้แทฮยองลืมเวลาไปเลย


    แทฮยอง ได้เวลาแล้วนะซอกจินส่งเสียงเตือนเมื่อเหลือเวลาอีกห้านาทีจะเที่ยงคืนซึ่งเจ้าตัวจะต้องเป็นคนเล่นปิดเวที


    ขอตัวก่อนนะครับว่าแล้วแทฮยองก็รีบไปขึ้นเวทีเพื่อเล่นเพลงสุดท้าย ‘Always with me’ เพลงที่นางฟ้าของร้านเลือกเล่นปิดท้ายทุกคืนจะเป็นเพลงเดียวกัน ตั้งแต่ที่เริ่มทำงานครั้งแรก แทฮยองไม่เคยยอมเปลี่ยนเพลงปิดเวที อย่างดีเขาก็แค่ไม่เล่นมันเท่านั้นเอง มีหลายคนเคยถามถึงเหตุผล แต่แทฮยองไม่เคยยอมบอก ...ไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว

     

    ‘Somewhere a voice calls in the depths of my heart

    keep dreaming your dreams, don't ever let them part

    Why speak of all your sadness or of life's painful woes

    Instead let the same lips sing a gentle song for you

    The whispering voice, we never want to forget,

    in each passing memory always there to guide you’

    ( Always with me - Spirited Away Original Soundtrack )

     

    เพลงจบลงด้วยเสียงปรบมือดังเช่นทุกคืน แทฮยองโค้งตัวลง ริมฝีปากยิ้มรับเสียงชื่นชมอย่างอารมณ์ดีจนกระทั่งมองเห็นจีมินที่หายไปจากบาร์ตอนเพลงเริ่มเล่นมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าเวทีพร้อมกับดอกกุหลาบช่อใหญ่


    คุณแทฮยองช่วยรับไว้ด้วยนะครับ


    คือ...คุณจีมินครับ ผม...แทฮยองพยายามจะปฏิเสธ แต่จีมินก็ยิ่งยื่นช่อดอกไม้มาตรงหน้า


    รับไว้นะครับ


    นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองรอบด้านอย่างว่องไว ลูกค้าแต่ละคนภายในร้านกำลังลุ้นไปกับจีมินด้วย แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีใครใจกล้าขนาดนี้ สถานการณ์ที่ชวนอึดอัดใจจนแทฮยองทำตัวไม่ถูก สุดท้ายก็ต้องยอมรับมาไม่ให้อีกฝ่ายถือรอเก้อ ในขณะที่โฮซอกได้แต่มองอย่างหงุดหงิดอยู่ที่บาร์ ก่อนแทฮยองจะรีบลงจากเวทีไปเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน เช่นเดียวกับนักดนตรีคนอื่นๆ


    จีมินเดินตัวแทบจะลอยด้วยความสุขกลับมานั่งที่บาร์ โดยแกล้งทำเป็นไม่รับรู้สายตาที่มองอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของโฮซอก และใบหน้าที่ติดจะเรียบตึงกว่าปกติของซอกจิน


    มาสายแต่จัดเต็มเลยนะ


    มันก็ต้องมีเร่งทำคะแนนกันบ้างสิครับจีมินยืดอกอย่างภูมิใจ ขณะที่ซอกจินกลับส่ายหน้าน้อยๆ


    “...ไม่มีประโยชน์หรอกครับ


    เอ มาสเตอร์หมายความว่ายังไงกันครับ


    ร้านปิดแล้วครับซอกจินเอาแต่ยิ้มโดยไม่ยอมอธิบายคำพูดตัวเอง ป่านนี้แทฮยองคงหนีกลับไปคนเดียวแล้วล่ะ


    พอได้ยินแบบนั้น ทั้งสองคนก็ผุดลุก และวิ่งออกไปข้างนอกร้านโดยไม่ลืมที่จะทิ้งบัตรเครดิตไว้จ่ายค่าเครื่องดื่ม พวกเขาสองคนแย่งกันจะไปส่งแทฮยองที่บ้านมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที อีกฝ่ายมักจะหนีกลับไปก่อนเสียทุกครั้ง ซอกจินมองตามทั้งสองคนที่วิ่งไปอย่างขำๆ

     

     

     เอายังไงดีนะ


    แทฮยองมองช่อดอกไม้ในมืออย่างลำบากใจ ปกติเขาจะไม่รับของจากลูกค้า แต่จีมินเล่นยื่นให้หน้าเวทีแบบนั้น ถ้าเขาไม่รับคงเสียมารยาทแย่ ก็เลยต้องรับมา กลายเป็นปัญหาหนักกว่าเดิม จะทิ้งก็น่าเสียดาย แต่เอากลับไปคอนโด นัมจุนต้องถามแน่ๆ ล่ะ


    ช่างเถอะ แกล้งให้หึงบ้างก็ดีแทฮยองว่าแล้วก็ฮัมเพลงเดินกลับอย่างมีความสุขที่คิดแผนแกล้งคนรักได้ ...ก็ใครใช้ให้พักหลังๆ นัมจุนไม่ยอมมานั่งที่ร้านฟังเขาเล่นไวโอลินล่ะ ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาจีบเพราะเข้าใจผิดว่าเขาไม่มีแฟนอยู่ได้ ไม่ให้มารับไม่ได้หมายความว่าไม่ให้มานั่งในร้านสักหน่อยนี่!

     

                แอ๊ดด..


    ใครให้มาครับ


    ไม่ผิดไปจากที่คาดเลย ทันทีที่แทฮยองเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง นัมจุนก็ถามทักเป็นคำแรก คิ้วโก่งเริ่มขมวดเข้าหากันนิดๆ แบบที่แทฮยองรู้เลยว่าแผนของตัวเองได้ผล


    ลูกค้าน่ะ เล่นเอามาให้หน้าเวทีเลยจะไม่รับก็ไม่ได้เสียงหวานแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ ขณะที่มือก็วางช่อดอกกุหลาบไว้บนโต๊ะ แต่นัมจุนก็ตรงเข้ามาคว้าไปโยนใส่ถังขยะในทันที รวดเร็วชนิดที่แทฮยองได้แต่ยืนอึ้ง ก่อนจะถูกสวมกอดจากข้างหลัง เสียงทุ้มที่เอ่ยข้างหูฟังดูไม่ค่อยพอใจ


    ไม่ไปพักเดียว เดี๋ยวนี้เสน่ห์แรงจังเลยนะครับ


    ก็เหมือนเดิมแหละน่า ช่วงนี้ไม่มีคนคุมมาด้วยนี่นาแทฮยองแกล้งบ่นกระปอดกระแปด


    เดี๋ยวผมไป ก็หาว่าลูกค้าไม่เข้าร้านอีกน่ะสิครับนัมจุนวางคางเกยบนไหล่บางอย่างอ้อนๆ ...ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปหรอกนะ แต่มันมีเหตุผลที่เขาให้แทฮยองรู้ไม่ได้


    คุณก็อย่ามาทุกวันสิ อาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็ได้นี่นา ผมก็แค่... แทฮยองชะงักแล้วก้มหน้างุดๆ ซ่อนความในใจที่เกือบหลุดไป แต่นัมจุนไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ


    แค่อะไรครับ


    “...แค่อยากให้คุณอยู่ด้วยนัยน์ตาคู่สวยหันไปสบประสานกับนัยน์ตาคมที่คล้ายจะฉายแววประหลาดใจในชั่วขณะหนึ่ง นัมจุนจับมือแทฮยองมากุมแน่น


    ตอนนี้ผมก็อยู่กับคุณนี่


    อือ ผมรู้ แต่บางทีผมก็กลัว... ตอนที่ไม่เห็นคุณ มันเหมือนกับว่ารอบตัวผมไม่มีใครเลย เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปใช่ไหม


    แน่นอนครับริมฝีปากอุ่นจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผาก และดวงตาละมาที่กลีบปากนุ่มแทนคำยืนยัน นางฟ้าของเขาเป็นคนร่าเริง แต่ก็ขี้เหงากว่าที่เห็นจากภายนอกมากมายนัก


    ไปนอนกันเถอะ ง่วงจังเลย


    เอ~ แต่ผมยังไม่ได้ฟังคุณเล่นเลย สักเพลงนะครับนัมจุนถือกล่องไวโอลินมาวางข้างตัวเมื่อไหร่แทฮยองก็ไม่ทันสังเกต แต่นานๆ จะเห็นนัมจุนอ้อนสักที ถึงจะขอมากกว่านี้ แทฮยองก็ยอมอยู่ดี


    เอาสิ


    เสียงไวโอลินที่แสนอ่อนหวานขับกล่อมให้ยามค่ำคืนเต็มไปด้วยความสุขคล้ายกับจะผลักให้จมลงในห้วงแห่งความฝันโดยไม่รู้ตัว นัมจุนนั่งมองคนที่ผล็อยหลับไปทั้งที่ในมือยังถือไวโอลินตัวเก่งเอาไว้ เขามีความสุขแม้จะทำเพียงแค่มองแทฮยองอยู่แบบนี้ นัยน์ตาคมมองร่างบางด้วยแววตาที่ไม่ว่าใครก็มองออกว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักมากมายท่วมท้นเพียงใด


    แสงจันทร์ที่ทอผ่านรอยแหวกของม่านกระทบกับผิวแก้มเนียนใส นิ้วเรียวยาวสัมผัสแก้มแผ่วเบา นัมจุนยิ้มกว้าง...เวลาที่มองแทฮยอง เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีปีกที่มองไม่เห็นอยู่บนแผ่นหลังเล็กๆ นั่น


    แทฮยองเป็นนางฟ้าของเขา...เป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ถึงใครจะหาว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ช่าง แต่โลกของเขามีเพียงแทฮยอง และเขาก็รู้ดีว่าโลกของแทฮยองก็มีเพียงเขา


    นัมจุนค่อยๆ หยิบเอาไวโอลินออกมาเก็บใส่กล่อง และช้อนร่างบางขึ้นอุ้มอย่างระมัดระวังไปนอนที่เตียง ก่อนจะประทับริมฝีปากอุ่นเหนือหน้าผากอย่างอ่อนโยน


    ราตรีสวัสดิ์ครับ นางฟ้า

     


    วันต่อมา...แทฮยองมาที่ร้านเร็วกว่าปกติ ร่างบางก้าวเข้าไปในร้านที่ยังจัดไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่ไม่เห็นซอกจินอยู่หน้าร้านจึงเดินเข้าไปยังห้องด้านในสุดที่เป็นห้องพักของซอกจิน มือเรียวเคาะประตูพอให้คนข้างในรู้ตัวและเปิดเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่ฝั่งหนึ่งเป็นส่วนของห้องทำงาน อีกฝั่งหนึ่งเป็นเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และเครื่องใช้ที่จำเป็น ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านแต่บางคืนที่เลิกดึกมาก ซอกจินก็ยึดเอาที่นี่เป็นที่นอน


    ไหงวันนี้มาเร็วจังซอกจินทักอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ น้อยครั้งที่แทฮยองจะมาก่อนเวลาทำงาน แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็พอเดาได้อยู่หรอกว่าเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ช่อดอกไม้เมื่อวานนี้ เป็นเพราะจีมินล้ำเส้นเข้ามามากเกินจุดที่แทฮยองจะรับได้แล้ว


    พี่ก็รู้อยู่แล้วนี่ ที่มาเนี่ยแค่อยากถามว่าถ้าผมจะทำลูกค้าขาประจำแถมกระเป๋าหนักหายไปสักคนสองคน พี่จะว่าไงต่างหาก

    เดี๋ยวนี้มีมาบอกก่อนด้วย เมื่อก่อนไม่เห็นจะสนใจคนเป็นพี่แกล้งแหย่ ลูกค้าที่เข้ามาเพราะแทฮยองมีเยอะ แต่ก็พอๆ กับลูกค้าที่หายไปเพราะไม่มีหวังนั่นแหละ ซอกจินไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ธุรกิจมันก็มีขึ้นมีลงบ้างตามกลไกของมัน


    บอกไปงั้นแหละ เดี๋ยวรายได้หดจะได้รู้สาเหตุไงแทฮยองหัวเราะร่วน ก่อนจะออกมาที่ด้านนอก ในเมื่อวันนี้มาเร็วแล้ว ก็อยากจะเตรียมตัวสักหน่อย แต่พอมองไปเห็นมีเปียโนสีดำตัวใหม่วางตั้งอยู่ด้านข้างเวทีก็แปลกใจ


    เพิ่งได้มาใหม่น่ะ อยากลองเล่นดูบ้างไหมล่ะซอกจินเดินตามมาไขข้อข้องใจ ถ้าแทฮยองเป็นอัจฉริยะในเรื่องของไวโอลินล่ะก็ ซอกจินก็คงเป็นอัจฉริยะในด้านเปียโนอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างการซ้อมเมื่อหลายปีก่อนล่ะก็ ป่านนี้คงไม่มีร้าน The Heaven อย่างในทุกวันนี้แล้ว


    ผมเล่นไม่เก่งนะ พี่ก็รู้นี่เสียงหวานบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยังเดินเข้าไปจับเจ้าเปียโนหลังใหม่อย่างชื่นชมในความสวยงามของมัน นิ้วเรียวกดลงบนแป้นไล่เรียงไปทีละโน้ต เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูอ่อนหวานชวนให้หลงใหล เสียดายที่ไม่ว่ายังไงเขาก็ชอบไวโอลินมากกว่าอยู่ดี


    ตลกแล้วแทฮยอง ถ้าอย่างนายเรียกไม่เก่ง โลกนี้คงไม่มีคนเล่นเปียโนได้แล้วล่ะซอกจินกอดอกแล้วส่ายหน้า คณะดนตรีที่พวกเขาเรียนให้เลือกเครื่องดนตรีที่ตัวเองถนัดที่สุดได้ก็จริง แต่ก็มีบางวิชาที่จะให้ลองสลับเล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นดูบ้าง และเท่าที่เขาจำได้ แทฮยองก็เล่นเปียโนได้ดีทีเดียว


    พี่ก็เว่อร์ไปคนบอกไม่เล่นกลับนั่งลงในท่าเตรียมพร้อมหน้าแป้นเปียโน ขณะพลิกหาโน้ตเพลงจากแท่นวางตรงหน้าจนเจอเพลงที่ต้องการ


    นายก็เว่อร์พอกันแหละ


    ถ้างั้น...ผมจะเล่นสักเพลงแล้วกันนะ แต่ขอเป็นตอนลูกค้าขาประจำของพี่มาก็แล้วกัน


    ตามใจนายสิซอกจินมองดูก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายคงวางแผนไว้แล้วว่าจะพูดกับสองคนนั้นยังไง ที่ไม่ขัดเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ารอบนี้แทฮยองจะชนะเหมือนทุกครั้งที่เป็นกับลูกค้าคนอื่น หรือจะแพ้ลูกค้าขาประจำช่างตื้อทั้งสอง


    พี่ไปจัดของนะ นายก็ซ้อมๆ ไปก่อนแล้วกันเจ้าของร้านหนุ่มปลีกตัวไปทำหน้าที่ ขณะที่แทฮยองวางปลายนิ้วลงบนแป้น แม้จะไม่คุ้นเคยนัก เพราะไม่ได้เล่นมาสักพักแล้ว แต่ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาคล่องแคล่วเหมือนเดิม ริมฝีปากบางอมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะลุกไปนั่งที่บาร์เครื่องดื่มนั่งคุยกับซอกจินจนกระทั่งลูกค้าเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ รวมถึงโฮซอกและจีมิน


    วันนี้ทั้งสองคนมาไม่สายแถมยังมาพร้อมกันซะด้วย แทฮยองมองเห็นตอนที่ทั้งสองคนเดินผ่านประตูเข้ามา ถึงได้รีบลุกออกไปที่ข้างเวทีเตรียมขึ้นแสดง ปล่อยให้ซอกจินอยู่รับหน้าลูกค้าทั้งสอง


    สวัสดีครับ มาสเตอร์โฮซอกทักทายด้วยความสุภาพเหมือนเช่นเคย ข้างกันเป็นจีมินที่นั่งหันหน้ามองไปบนเวทีแล้วยังเห็นเป็นนักดนตรีคนอื่นเล่นอยู่


    วันนี้มาพร้อมกันเลยนะครับซอกจินเริ่มลงมือทำเครื่องดื่มสำหรับลูกค้าขาประจำทั้งสองที่คนหนึ่งมัวแต่หลุกหลิกคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง


    แทฮยองยังไม่มาเหรอครับจีมินมัวแต่สนใจมองหาแทฮยอง เพราะอยากรู้ผลตอบรับของดอกไม้ช่อเมื่อวานนี้ หลังจากที่เจ้าตัวหนีกลับไปก่อน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววแทฮยองอยู่แถวเวทีเลย ทั้งที่ใกล้ได้เวลาแล้วแท้ๆ


    กำลังจะเริ่มแล้วครับ


    สิ้นเสียงซอกจิน แสงไฟก็ส่องไปที่เปียโนตัวใหม่ที่ตั้งอยู่มุมซ้ายของเวที เผยให้เห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของนางฟ้าประจำร้านที่ทำให้หลายๆ คนอึ้ง เพราะตั้งแต่ทำงานที่ร้านนี้ แทฮยองไม่เคยแสดงด้วยเครื่องดนตรีชนิดอื่นมาก่อนเลย เสียงโน้ตแผ่วเบาคลอเป็นท่วงทำนองแสนหวาน เพลงที่แทฮยองเลือกมาเล่นเปิดเวทีในค่ำคืนนี้มีชื่อว่า The Rose

     

     

    บางคนบอกว่ารักเป็นเหมือนสายน้ำที่โน้มกิ่งไม้บอบบางให้จมลง

    บางคนบอกว่ารักเป็นดั่งมีดโกนที่บาดหัวใจให้เจ็บปวด

    บางคนบอกว่ารักคือความโหยหา

    ความต้องการอันแสนเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด

     

    แต่ผมว่า...

    ความรักนั้นคือดอกไม้ ที่มีเพียงคุณเป็นเมล็ดพันธุ์

    เป็นคนเดียวที่จะทำให้ดอกไม้นั้นผลิบาน

    ความรักบางครั้งก็หวาดกลัวต่อความผิดหวัง

    บางครั้งก็เป็นดั่งความฝันที่หวาดกลัวการตื่น

    ยามค่ำคืนที่โดดเดี่ยว และถนนทอดยาวไปแสนไกล

    คุณคงคิดไว้ว่ารักมีไว้ให้เพียงผู้ที่โชคดีและแข็งแกร่ง

     

    แต่โปรดจำเอาไว้เถิดว่า

    ในฤดูหนาว ลึกลงไปใต้หิมะอันแสนเยียบเย็น

    เมล็ดพันธุ์ที่หลับใหลอยู่ใต้ดิน

    ยามเมื่อถูกอาบไล้ด้วยความรักของดวงอาทิตย์

    ...จะเติบโตขึ้นมาเป็น ดอกกุหลาบ

     (The Rose - Bette Midler, Written by Amanda McBroom)

     

     

    ระหว่างที่ปลายนิ้วบรรเลงเปียโน นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองไปที่บาร์ซึ่งลูกค้าขาประจำทั้งสองนั่งอยู่คล้ายจะแฝงความหมายบางอย่าง ริมฝีปากกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ ในขณะเดียวกัน ลูกค้าขาประจำทั้งสองคงอดคิดไม่ได้ว่า รอยยิ้มเมื่อกี้นั้นแทฮยองมอบให้ตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...จีมิน


    บทเพลงนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มพองโตด้วยความยินดีล้นปรี่ เพราะช่อดอกไม้ที่เขามอบให้แทฮยองเมื่อวานนั้นเป็นดอกกุหลาบ คงไม่ผิดหากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเพลงนี้คือคำตอบของแทฮยอง หลังจากพยายามมากว่าครึ่งปี ในที่สุดมันก็สัมฤทธิ์ผล จีมินไม่สามารถหุบยิ้มได้อีกต่อไป เมื่อคิดว่าตนเองคือคนในเพลงที่แทฮยองเล่น


    จนกระทั่งบทเพลงจบลง เสียงปรบมือแสดงความชื่นชมจากลูกค้าดังก้องไปทั่วร้าน แม้แต่ซอกจินก็ยังต้องร่วมปรบมือไปด้วย แทฮยองก้าวออกมาโค้งให้คนดูหน้าเวที ก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งที่ถือช่อกุหลาบสีขาวขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา และโดดเด่นมาส่งให้ถึงหน้าเวที คนมอบให้เป็นเด็กส่งของจากร้านดอกไม้ที่แทฮยองรู้จัก ร่างบางรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นผู้ส่งมา มือเรียวรับมาอย่างเต็มใจเป็นที่สุด ก่อนจะก้าวลงมาจากเวทีปล่อยให้นักดนตรีคนอื่นรับช่วงต่อแทน พอลงมาแล้วแทฮยองถึงเพิ่งเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่แนบอยู่ในช่อดอกไม้ นิ้วเรียวคลี่ออกอ่านอย่างรวดเร็ว

     

    ห้ามรับช่อดอกไม้จากคนอื่นนะครับ

     

                ถ้อยคำสั้นๆ แต่ทำให้แทฮยองยิ้มได้ และยังทำให้มั่นใจกับการตัดสินใจในวันนี้ของตนเองมากยิ่งขึ้น แทฮยองตรงไปนั่งที่บาร์อย่างเคย ทักทายลูกค้าขาประจำทั้งสองคนเหมือนเป็นปกติ โดยที่ดอกไม้ช่อนั้นยังคงอยู่ในมือไม่ห่าง โฮซอกมองจีมินเป็นเชิงถาม แต่เจ้าตัวก็รีบส่งสายตาบอกปฏิเสธในทันที ในเมื่อไม่ใช่ทั้งโฮซอก ไม่ใช่ทั้งเขา แล้วใครกันล่ะที่เป็นเจ้าของ ยิ่งเห็นแทฮยองให้ความสำคัญก็ยิ่งทำให้อยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ เลยต้องแกล้งถามเรื่องอื่นบังหน้า


    แทฮยองเล่นเปียโนได้ด้วยเหรอครับน้ำเสียงทุ้มแฝงแววประหลาดใจ อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่อยู่ที่ร้านมาแทฮยองเล่นแต่ไวโอลินเพียงอย่างเดียวมาตลอด ทำให้คนเข้าใจกันไปว่าเจ้าตัวเล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นไม่เป็น


    ก็พอได้ครับ


    พอได้อะไรกันครับ ต้องเรียกว่าเก่งเลยต่างหาก!จีมินพูดอย่างชื่นชม เพราะทำงานอยู่ในบริษัทดนตรีชื่อดัง ถึงจะเล่นเครื่องดนตรีไม่ได้เลยสักอย่าง แต่ความสามารถในการฟังไม่เป็นรองใคร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้รับหน้าที่เฟ้นหาศิลปินหน้าใหม่ให้กับบริษัทหรอก


    ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับท่าทางจริงจังจนเกินเหตุของจีมินทำให้แทฮยองหลุดขำ


    ยังมีอะไรที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับคุณบ้างครับเนี่ยโฮซอกพูดติดตลก ถึงจะเจอหน้ากัน ได้คุยกันเกือบทุกวันมาครึ่งปี แต่ดูเหมือนว่าแทฮยองจะมีปริศนาอยู่กับตัวเยอะเหลือเกิน ทั้งที่ไม่ใช่คนเก็บตัว แต่ก็ดูลึกลับ พอมาคิดๆ แล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักแทฮยองน้อยเหลือเกิน


    พวกคุณน่ะ ยังไม่รู้จักผมดีพอหรอกนะครับน้ำเสียงหวานเปลี่ยนมาจริงจังจนทั้งสองคนรู้สึกได้ หากใบหน้าของคนพูดกลับระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ยามเมื่อมองช่อดอกไม้ในมือ


    ความจริงแล้วอาจจะเป็นผมเองที่ไม่ยอมให้พวกคุณรู้จัก สำหรับเรื่องนี้ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่คิดว่าพวกคุณจะมั่นคงถึงขนาดนี้ คนอื่นๆ ก่อนหน้าพวกคุณ พอรู้สึกว่าผมไม่เปิดใจให้ก็จะล่าถอยไปทีละคน... ผมเคยคิดว่าสักวันพวกคุณก็จะยอมแพ้เหมือนกัน แต่ผมคงคิดง่ายเกินไป


    คุณแทฮยองเสียงเรียกแผ่วคล้ายกับไม่อยากได้ยินประโยคถัดไป โฮซอกไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่แทฮยองเกริ่นมาแค่นี้ เขาก็พอจะรับรู้ได้แล้ว ความผิดหวังแล่นเข้ามากุมที่หัวใจ ขณะที่จีมินยังไม่รู้เลยว่า คนที่แทฮยองเล่นเพลงเมื่อครู่ให้ ไม่ใช่ตนเองแต่เป็นคนอื่น... คนอื่นที่เป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนั้น


    ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมมีคนรักอยู่แล้ว พวกคุณเคยสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมเพลงปิดเวทีของผมถึงเป็น ‘Always with me’ มันเป็นความปรารถนาของผมที่จะอยู่กับเขาตลอดไป ผมรักคนอื่นไม่ได้อีกแล้วครับ ดังนั้น...อย่าชอบผมเลยนะครับรอยยิ้มที่วาดบนใบหน้าเป็นราวกับมีดคมทิ่มแทงลงกลางใจ โฮซอกถอนใจอย่างยากลำบาก นึกสงสัยตัวเองนักว่าทำไมไม่เคยฉุกใจคิดมาก่อนเรื่องที่แทฮยองอาจจะมีคนรักอยู่แล้ว


    จริงเหรอครับ? แต่ผมไม่เคยเห็นเขามาที่ร้านเลยนี่ครับจีมินถามอย่างคาดคั้น เขายังคงไม่เชื่อที่แทฮยองพูด ถ้ามีคนรักแล้วจริง อย่างน้อยคนๆ นั้นก็น่าจะเคยมาที่ร้านบ้างนี่นา แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่จะเข้าข่ายนั้นเลย ก็เลยคิดว่าบางทีแทฮยองอาจจะแค่โกหก เพราะอยากตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาก็ได้


    ไม่แปลกหรอกครับ เขาไม่ชอบที่คนเยอะๆ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ...ลองถามมาสเตอร์ดูก็ได้ครับเจ้าของร้านหนุ่มที่ยืนเงียบมาตลอดถูกดึงเข้ามาร่วมบทสนทนาอย่างไม่ให้ตั้งเนื้อตั้งตัว นัยน์ตาคมเหลือบมองแทฮยองอย่างคาดโทษ แต่เจ้าตัวก็ส่งสายตาอ้อนมาเป็นเชิงขอให้ช่วย ซอกจินลอบถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะยอมพูด


    ก็อย่างที่แทฮยองว่าล่ะครับ เมื่อก่อนนัมจุนก็มาที่นี่บ่อยๆ เหมือนกัน แต่พอคนเริ่มเยอะขึ้นก็ไม่ค่อยได้มาแล้ว อีกอย่างหมอนั่นเป็นคนขี้หึง ขืนให้มาที่ร้านบ่อยๆ ผมคงไม่มีลูกค้าอย่างพวกคุณหลงมาหรอกครับอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกหก... ถึงจะพูดความจริงไม่หมดก็เถอะ


    แล้วทำไมถึงไม่เคยบอกกันเลยล่ะครับ


    การที่คุณไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีนี่ครับ พวกคุณเองก็ไม่เคยถามผมเลยสักคำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหายกันนะครับ


    ตกลงครับ แต่ว่า...ผมยังเป็นลูกค้าของคุณได้ใช่ไหมโฮซอกยิ้มให้แทฮยองแทนการยอมรับเรื่องราวทั้งหมด การตัดใจคงทำไม่ได้ในวันเดียว แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้เจอจนกว่าจะทำใจได้เถอะ โฮซอกเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย ผิดกับจีมินที่ดูเหมือนจะยังคงไม่ยอมรับ แต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาเลย


    แน่นอนครับ


    ถึงท่าทีเสียใจของทั้งสองคนชวนให้แทฮยองรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อแทฮยองมั่นใจว่าชั่วชีวิตนี้ เขาไม่มีทางรักใครได้อีกแล้ว


    ...ไม่มีวัน

     

     

    แสงอาทิตย์ลอดผ่านรอยแหวกของผ้าม่านเข้ามาปลุกให้ร่างบางที่นอนหลับสนิทค่อยๆ รู้สึกตัว แพขนตาหนาขยับเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความสว่างยามเช้า แทฮยองลุกขึ้นนั่งพร้อมกับบิดกายน้อยๆ คลายความตึงของกล้ามเนื้อ นัยน์ตาคู่สวยมองไปด้านข้างของเตียงที่มีร่างของใครอีกคน...เจ้าของท่อนแขนที่เขาใช้เป็นหมอนรองหนุนมาตลอดคืน


    แทฮยองโน้มตัวลงไปใกล้ มือเรียวนุ่มสัมผัสใบหน้าหล่อคมคายเพียงแผ่วเบาด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มสดใส ไม่มีวันใดที่เขาจะไม่รู้สึกยินดี เมื่อทุกครั้งที่ตื่นมา เขาจะพบว่ามีใครคนหนึ่งที่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ


    นัมจุน...ตื่นเถอะ เช้าแล้วนะน้ำเสียงอ่อนหวานกระซิบข้างหูแผ่วเบา คนถูกปลุกทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะพลิกตัวไปอีกทางราวกับจะหนีคนที่มารบกวนการนอน คิ้วเรียวบนใบหน้าสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มไม่ยอมตื่น


    นัมจุนอา...เสียงหวานเรียกคนขี้เซาอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่พลิกตัวกลับมาแล้วใช้นิ้วชี้ไปที่แก้มของตนทั้งที่ยังไม่ลืมตา นัยน์ตาคู่สวยมองหน้าคนเจ้าเล่ห์ด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ก็ยอมโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากนุ่มที่แก้มตามคำขอ


    นัมจุนค่อยๆ ลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นบนใบหน้า แขนซ้ายที่ล้าจากน้ำหนักศีรษะที่กดทับลงมาบิดคล้ายความเมื่อยล้าเพียงเล็กน้อย ก่อนจะจับแทฮยองนอนลงมาอีกครั้ง ศีรษะสวยวางอยู่บนหัวไหล่ นัมจุนกดจมูกลงกับเส้นผมนุ่มไล้ลงมาที่ขมับ


    อรุณสวัสดิ์ครับ...นางฟ้าชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะพลิกตัวขึ้นเหนือร่างบางเพื่อโน้มใบหน้าลงมอบจูบอรุณสวัสดิ์ ความอ่อนโยนนุ่มละมุนแนบประทับกันเป็นเวลาเนิ่นนาน รสสัมผัสนิ่มนวลเชื่อมโยงคนสองคนให้ตอบรับกันและกันอย่างคุ้นเคย


    วันนี้อากาศดี เราออกไปเที่ยวกันดีไหม


    คำชวนของนัมจุนทำแทฮยองตาโตอย่างประหลาดใจคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ...ก็แน่ล่ะ ช่วงหลังๆ มานี้ พวกเขาสองคนไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนด้วยกันนานแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันหยุดที่แทฮยองไม่ต้องทำงานด้วย หมายความว่าวันนี้ พวกเขาจะมีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันยังไงล่ะ


    เอ...หรือถ้าขี้เกียจ เรานอนอยู่บ้านกันเฉยๆ ก็ได้นะครับ


    ไปสิ! ไปไหนก็ได้แล้วแต่คุณเลย


    แทฮยองรีบขัดขึ้นก่อนคนชวนจะเปลี่ยนใจอย่างที่ปากว่า แล้วลุกไปแต่งตัวอย่างรีบเร่ง นัมจุนนอนมองคนที่เดินวุ่นหาเสื้อผ้า หากระเป๋า หยิบข้าวของเครื่องใช้จำเป็นใส่กระเป๋า เหมือนหญิงสาวที่จะไปออกเดทครั้งแรกยังไงอย่างนั้น


    ...ทำไมนางฟ้าของเขาถึงได้น่ารักอย่างนี้นะ


    ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมรักนางฟ้าอีกแล้ว ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ นัมจุนเคยพยายามนับ แต่มันคงยากเกินไปสำหรับเขา เพราะในวันหนึ่งๆ เขาตกหลุมรักแทฮยองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

     

    นัมจุนเริ่มวันหยุดด้วยการพาแทฮยองไปขี่จักรยานแถวแม่น้ำฮัน ทั้งที่เป็นวันอาทิตย์แต่คนกลับไม่เยอะอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้พวกเขาทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น รถจักรยานสองคันปั่นควบคู่กันไปตามเส้นทางที่ทอดยาวริมแม่น้ำ สายลมพัดโบกเอื่อยๆ ให้เส้นผมนุ่มพลิ้วไหว ชวนให้รู้สึกสบาย หลังขี่จักรยานมาเกือบชั่วโมง นัมจุนก็ชวนให้พักเมื่อมาถึงสวนสาธารณะ ทั้งสองคนจอดจักรยานไว้ในจุดจอดหน้าทางเข้าสวน และเดินเข้าไปหาที่นั่งพักด้านใน


    เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำให้ รออยู่ตรงนี้นะ


    รีบมานะ


    แทฮยองมองตามหลังนัมจุนที่เดินไปยังร้านขายเครื่องดื่มที่อยู่ห่างออกไป ก่อนจะเอนหลังพิงม้านั่ง หลับตาพลางเหยียดขาให้ตรงเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการปั่นจักรยาน


    อ้าว คุณแทฮยองนี่เอง นึกว่าใคร มาเที่ยวเหรอครับ?” เสียงทักทายคุ้นหูเรียกให้ร่างบางลืมตาขึ้นมองอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอคนรู้จักในวันอย่างนี้ แทฮยองซ่อนความตกใจเอาไว้ และทักกลับไปด้วยรอยยิ้ม


    สวัสดีครับ คุณโฮซอกชายหนุ่มอยู่ในเสื้อยืดสบายๆ กับกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้า จากการแต่งตัวก็พอดูออกว่าเจ้าตัวคงมาออกกำลังกายแถวนี้ ทั้งสองคนทักทายกันพอเป็นพิธี อีกฝ่ายดูจะเกรงๆ อยู่บ้างคงเพราะเรื่องที่คุยกันไปเมื่อวาน เพื่อไม่ให้บรรยากาศน่าอึดอัดจนเกินไป แทฮยองเลยหาเรื่องคุย


    คุณมากับใครเหรอครับ


    คนเดียวครับ ผมมาวิ่งที่นี่ทุกอาทิตย์เลย แล้วแทฮยองล่ะครับมากับใคร หรือมาคนเดียวเหมือนกัน


    มากับนัมจุนครับ ตอนนี้เขาไปซื้อน้ำอยู่แม้จะเป็นชื่อที่เพิ่งจะได้ยินไม่กี่ครั้ง แต่โฮซอกกลับจำได้ขึ้นใจ เพราะคนๆ นั้นคือเจ้าของหัวใจของแทฮยอง รอยยิ้มของชายหนุ่มดูเจื่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังฝืนยิ้มต่อไป


    ถ้างั้นผมไปก่อนดีกว่าครับ ไม่อยากรบกวนเวลา


    คุณโฮซอก ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับเหตุผลที่อีกฝ่ายรีบปลีกตัวออกไป ไม่จำเป็นต้องอธิบายแทฮยองก็รู้ดี


    ไม่เป็นไรครับโฮซอกส่ายหน้าแล้วเดินหลบออกไป หากเพียงไม่กี่ก้าว ความรู้สึกบางอย่างที่ขัดแย้งกันเองภายในใจก็ทำให้เขาต้องหันกลับไป โฮซอกยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ ...เขาอยากเห็นหน้าตา อยากเห็นว่าคนที่แทฮยองรักเป็นคนแบบไหน ระหว่างนั้นนัมจุนก็กลับมาพอดี แต่โฮซอกไม่เห็นเพราะต้นไม้บัง ได้ยินแต่เสียงของแทฮยอง


    เมื่อกี้นี้ใครครับนัมจุนมองเห็นชายคนหนึ่งหน้าตาไม่คุ้นเข้ามาคุยกับแทฮยอง ทั้งยังดูเป็นกันเองเหมือนรู้จักสนิทสนมกันมาก่อน คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ


    ลูกค้าที่ร้านน่ะ


    คงไม่ใช่คนที่ให้ดอกไม้มาใช่ไหมครับน้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิดทำให้แทฮยองนึกขำ อยากลองแกล้งสักครั้ง ถ้าตอบว่าใช่จะเป็นยังไง เสียดายที่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ทำแบบนั้น แล้วก็ไม่อยากโกหกด้วย


    ไม่ใช่หรอก อีกคนน่ะ อย่าสนใจเลยน่า...

     

    อาจจะเป็นเพราะโฮซอกอยู่ทางฝั่งเดียวกับแทฮยอง จึงได้ยินแต่เสียงหวานของร่างบาง ไม่ได้ยินเสียงของอีกคน อีกทั้งยังมองไม่เห็นตัวด้วย ชายหนุ่มจึงพยายามเลื่อนตัวออกมาหามุมที่มองแล้วจะเห็นคู่สนทนาของแทฮยองได้ถนัดตา หากแต่ภาพที่ได้เห็นทำโฮซอกตกตะลึงจนตัวชา นัยน์ตาคมเบิกกว้าง พูดไม่ออก มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ


    ชายหนุ่มยังคงนิ่งตกตะลึงอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแทฮยองชวนนัมจุนไปต่อ ทั้งสองคนเดินไปเอาจักรยานที่จอดไว้ และปั่นออกไปโดยที่ทุกอย่างอยู่ในสายตาของโฮซอกตลอดเวลา ที่ชายหนุ่มมองอย่างตกตะลึงนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะนัมจุน แต่เป็นเพราะว่า... ตรงหน้าเขาไม่มีใครอยู่เลยนอกจากแทฮยอง!! แล้วทำไมแทฮยองถึงทำเหมือนพูดคุยกับใครอีกคนอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน!

     

    นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!?

     

     

    เพราะเหตุการณ์เมื่อวานทำให้โฮซอกตัดสินใจมาหาคนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด ชายหนุ่มมาถึงก่อนเวลาเปิดร้านเล็กน้อย ตอนที่เขามาถึงซอกจินกำลังเช็ดแก้วอยู่ที่บาร์พอดี เจ้าของร้านหนุ่มหันมาเห็นลูกค้าขาประจำที่มาก่อนเวลาร้านเปิดก็แปลกใจ แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ด้วยท่าทีและสายตาของอีกฝ่าย ซอกจินค่อนข้างมั่นใจว่าโฮซอกรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว


    คุณเห็นอะไรมาครับซอกจินไม่รอให้โฮซอกเป็นฝ่ายถาม เพราะมันคงยากสำหรับโฮซอกที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามจากตรงไหน


    เมื่อวาน ผมบังเอิญเจอแทฮยองที่สวนสาธารณะ เขาบอกว่ามากับคนรักของเขาแต่...ผมไม่เห็นใครเลย ผมเห็นแต่แทฮยองที่พูดอยู่...คนเดียว


    คำตอบที่ทำให้ซอกจินอึดอัดใจ แต่ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร จีมินก็เข้ามาในร้าน ท่าทางรีบร้อนของคนมาใหม่ดูลดลงเมื่อเห็นซอกจินและโฮซอก


    ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่จีมินก้าวเข้ามาและนั่งลงข้างโฮซอก


    มีเรื่องอยากถามมาสเตอร์นิดหน่อยน่ะ


    เรื่องคนรักของคุณแทฮยองใช่ไหมเพียงประโยคเดียวของจีมินทำให้บรรยากาศรอบด้านกลับมาน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม


    แล้วนายล่ะมาทำไมชายหนุ่มลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู อยากจะรู้ว่าที่จีมินมานั้นด้วยเหตุผลเดียวกับเขาหรือไม่


    เมื่อคืนผมเจอคุณแทฮยองที่ร้านอาหารก็เลยไปทัก เขาบอกว่ามากับนัมจุน แต่ผมไม่เห็นใคร นึกว่าผู้ชายคนนั้นคงไปเข้าห้องน้ำ ผมเลยแอบรอดูเพราะอยากเห็นหน้า แต่จนแทฮยองทานเสร็จ และออกจากร้านไป ผมก็ไม่เห็นใครมานั่งกับเขาเลย ทั้งที่อาหารบนโต๊ะเป็นของสำหรับสองคนแท้ๆ มีแต่จานของแทฮยองที่ว่างเปล่า ตรงกันข้ามยังมีข้าวเต็มจานอยู่เลย ที่สำคัญผมรู้สึกเหมือนเขานั่งพูดคนเดียวยังไงก็ไม่รู้ซอกจินจำต้องถอนหายใจซ้ำ ปกติแทฮยองจะขลุกอยู่บ้านไม่ยอมออกไปข้างนอกในวันอาทิตย์ ไม่คิดเลยว่าการออกมาเพียงครั้งเดียวจะทำให้มีคนเห็นมากขนาดนี้ แถมยังเป็นลูกค้าของร้านอีกด้วย


    มาสเตอร์รู้ใช่ไหมครับว่าทำไมแทฮยองถึงได้เป็นแบบนั้น


    หลังจากรู้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายเป็นเรื่องเดียวกัน โฮซอกก็หันกลับไปคาดคั้นกับซอกจินที่ยังคงนิ่งเฉย ทว่าไม่อาจซ่อนร่องรอยของความลำบากใจในสีหน้าไว้ได้เลย


    การที่ได้รู้...จะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้เหรอครับซอกจินวางแก้วไวน์ในมือลง แล้วมองหน้าสบตากับทั้งสองคน เจ้าของร้านหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับว่าเรื่องที่ทั้งสองคนเห็นนั้นเป็นความจริง


    เล่ามาเถอะครับ พวกเราอยากรู้จริงๆ อีกอย่าง ถ้าความจริงคุณแทฮยองไม่มีใคร ทำไมตอนนั้นมาสเตอร์ถึงช่วยโกหกด้วยล่ะครับจีมินถามอย่างเอาเรื่อง แม้จะยังรักษาความสุภาพเอาไว้ แต่ไม่อาจซ่อนแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์โกรธได้เลย เจ้าของร้านหนุ่มไม่ได้ถือที่จีมินขึ้นเสียงใส่ เพียงแต่คิดว่าเล่าไปก็ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก แต่ถ้าไม่เล่าจีมินอาจจะไปคาดคั้นเอากับแทฮยองเอง ซึ่งเขายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้


    ผมไม่ได้โกหกพวกคุณแม้แต่ประโยคเดียวครับ เพราะนัมจุนเป็นคนรักของแทฮยองจริงๆ แต่ว่า...เมื่อสองปีก่อน รถบัสที่ทั้งสองนั่งกลับจากสนามบินพุ่งชนท้ายรถตู้คอนเทนเนอร์จนพลิกคว่ำ แทฮยองรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่นั่นก็เพราะนัมจุนเอาตัวเองเข้ามากันไว้...


    มาสเตอร์หมายความว่าผู้ชายคนนั้นตายไปแล้ว!?” แม้จะตกใจ แต่โฮซอกก็เข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเพราะคิดเอาไว้อยู่บ้างแล้วถึงเหตุผลที่แทฮยองจะเป็นแบบนั้น


    แล้วทำไมคุณแทฮยองถึงได้...จีมินไม่รู้จะถามยังไง ถ้าผู้ชายคนนั้นตายไปแล้ว สิ่งที่แทฮยองทำอยู่ทุกวันนี้ล่ะ ส่งดอกไม้ให้ตัวเองแต่คิดว่ามาจากคนรัก ไปทานข้าวกับคนรักที่ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว นี่มันเรื่องบ้าบอประเภทไหนกัน!


    เพราะแทฮยองรับความจริงไม่ได้ครับ ...ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่หลังจากอุบัติเหตุนั่น แทฮยองก็ใช้ชีวิตเหมือนนัมจุนยังอยู่ด้วย ยังพูดคุยยังเล่าถึงตลอดเวลา


    แล้วมาสเตอร์ไม่ทำอะไรเลยเหรอครับ ทำไมถึงปล่อยให้แทฮยองทำตัวเหมือนคนบ้า ทำไมถึงปล่อยให้เขาอยู่กับภาพฝันแบบนั้น!ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืน เอามือทุบเคาน์เตอร์ของบาร์อย่างเกรี้ยวกราด จีมินไม่สามารถเก็บอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป เขารู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกที่โดนทั้งแทฮยองและซอกจินปั่นหัว


    คุณไม่เข้าใจหรอกครับ!! คุณไม่ได้อยู่ด้วยตอนนั้นจะมาเข้าใจอะไร! กว่าแทฮยองจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั่นมาได้ ทุกคนต้องพยายามทุกวิถีทางแค่ไหน คุณไม่มีวันเข้าใจ!!ซอกจินชักเริ่มฉุน เขาขึ้นเสียงดังจนแทบจะตะโกนใส่หน้าจีมิน จนโฮซอกที่ได้ไม่ได้ใจร้อนอย่างจีมินต้องเข้ามาช่วยห้ามทัพไว้


    นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย นั่งลงแล้วพูดกันดีๆ ไม่ได้หรือไง!โฮซอกจับไหล่กดให้จีมินนั่งลงกับเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันต่อประตูร้านก็เปิดออก ซอกจินหันไปมองที่ประตูอย่างเคยชิน หากคนที่ปรากฏตัวในเวลานี้ทำให้เขายิ้มไม่ออก


    สวัสดีครับ คุณโฮซอก คุณจีมิน ทำไมวันนี้มากันเร็วจังเลยครับ แทฮยองถามอย่างแปลกใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกันนั้น คุกรุ่นมากเพียงใด


    อ่อ ผมมีเรื่องปรึกษามาสเตอร์น่ะครับก็เลยมาเร็ว ส่วนจีมิน..โฮซอกยังไม่ทันหาเหตุผลกลบเกลื่อนให้อีกคนได้ เจ้าตัวก็ลุกพรวดไปคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของแทฮยอง ร่างบางจึงเพิ่งจะเห็นใบหน้าที่เรียบตึงของจีมินในนาทีนั้นเอง โดยที่ทั้งโฮซอก และซอกจินก็ห้ามไว้ไม่ทัน


    คุณหลอกให้คนอื่นมาหลงรัก แล้วก็ตอบแทนเขาอย่างนี้เหรอครับ!? ใช้ชีวิตอยู่กับความฝันโง่ๆ แบบนั้น คุณมีความสุขนักหรือไงครับ


    คุณพูดเรื่องอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ แรงบีบที่ต้นแขนทำแทฮยองเจ็บจนเผลอปล่อยมือที่ถือกล่องใส่ไวโอลินหล่นกระแทกกับพื้น


    ผู้ชายคนนั้นตายไปแล้ว รู้ตัวสักทีสิครับ!จีมินจับตัวแทฮยองเขย่าด้วยแรงที่ทำให้ร่างบางยั้งตัวเองไม่อยู่ ตัวโยกคลอนไปตามแรงเหวี่ยงนั้น ซอกจินกับโฮซอกรีบเข้ามาแยกทั้งสองคนออกจากกัน โฮซอกดึงตัวจีมินออก ขณะที่ซอกจินเข้าไปพยุงแทฮยอง แต่จีมินก็ยังไม่ยอมเลิก เขาดิ้นหนีชายหนุ่มที่รั้งแขนเขาไว้


    ได้ยินไหมครับ! ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว นัมจุนของคุณน่ะตายไปตั้งนานแล้ว!ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี มือเรียวก็เงื้อขึ้นตบหน้าจีมินอย่างแรง แทฮยองในตอนนี้เข้าใจแล้วว่าจีมินพูดถึงเรื่องอะไร และมันเป็นสิ่งที่แทฮยองรับไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว


    คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอครับ! หรือคุณเลอะเลือนไปแล้วกันแน่ ผมไม่ขอโทษหรอกนะครับเพราะผมตั้งใจ และคุณไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงนัมจุนแบบนั้น!!แทฮยองก้มลงหยิบกล่องใส่ไวโอลินขึ้นมาอย่างโกรธจัด


    พี่ซอกจิน วันนี้ผมขอหยุดนะพูดจบแทฮยองก็วิ่งพรวดพราดออกจากร้านไปเลย แต่ซอกจินก็ไม่คิดห้าม เขาเองก็ไม่อยากให้แทฮยองอยู่รับฟังเรื่องพวกนี้เช่นกัน ทั้งสามคน ต่างคนต่างเงียบไปเป็นเวลานาน จีมินโค้งให้ซอกจินเหมือนจะขอโทษแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วรีบเดินออกไปจากร้านไป

     

     

    ตึ่ง!

    เสียงกระแทกประตูอย่างดังเรียกให้คนที่นั่งดูทีวีอยู่ภายในห้องหันไปมอง นัมจุนกำลังจะทักว่าทำไมวันนี้แทฮยองถึงกลับเร็ว ทั้งที่เพิ่งจะออกไปได้ไม่ถึงชั่วโมง แต่พอเห็นใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก็รีบปราดเข้าไปหาอย่างตกใจ


    ร้องไห้ทำไมครับวงแขนแกร่งโอบแทฮยองเข้ามากอด มือใหญ่ลูบแผ่นหลังที่สั่นเทาปลอบขวัญ ขณะที่แทฮยองซบหน้าลงกับบ่ากว้าง


    “ผมเกลียดเขา ฮึก..คนใจร้ายถึงเสียงจะอู้อี้แต่นัมจุนก็ฟังออก เขากระชับกอดแทฮยองให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม


    “ทำไมหรือครับ”


    เขาบอกผมว่าคุณตายไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้คุณก็ยังอยู่กับผมนี่นาแทฮยองยิ่งกอดนัมจุนแน่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป ...กลัวเหลือเกิน


    นัมจุนได้ฟังแล้วก็ระบายยิ้มอ่อนโยนพลางลูบหัวคนในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ ก่อนจะคลายอ้อมกอดลง นัยน์ตาคู่สวยที่พราวไปด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองนัมจุนอย่างไม่เข้าใจ เมื่ออีกฝ่ายจับมือแทฮยองทั้งสองข้างจับแก้มของตัวเอง


    รู้สึกได้ใช่ไหมครับ”


    ไออุ่นที่สัมผัสได้ทำให้แทฮยองใจเย็นลง นัมจุนยื่นแขนโอบแทฮยองเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง เสียงทุ้มกระซิบถ้อยคำสัญญาเพียงแผ่วเบา หากคำหวานนั้นกลับแผ่ซ่านตราตรึงอยู่ทั่วทุกอณูของความรู้สึก


    ผมอยู่ข้างๆ คุณเสมอ

     

     

    ค่ำคืนของวันต่อมาดำเนินมาถึงอย่างรวดเร็ว แทฮยองมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสองทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่เขาควรจะออกไปทำงานได้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่อยากลุกเลย เขาไม่อยากไปเจอจีมิน ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น ร่างบางหลับตาลงจนกระทั่งถูกอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นดึงรั้งเข้าไปกอด ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบางพลางซุกตัวกับความอบอุ่นนั้นอย่างเต็มใจ


    ไม่ไปทำงานจะดีเหรอครับนัมจุนเอ่ยถามหลังจากมองนาฬิกาแล้ว แต่เหตุผลที่นางฟ้าของเขาไม่ยอมไป เขาเองก็เข้าใจอยู่


    ไม่อยากไปนี่นา


    ไปเถอะครับ คราวนี้จะไปด้วยนะน้ำเสียงออดอ้อนของแทฮยองเกือบจะทำให้นัมจุนใจอ่อน ยอมตามใจคนไม่อยากไปทำงาน แต่ที่ต้องขัด เพราะเขาอยากจะไปเห็นหน้าคนที่ทำให้นางฟ้าของเขาต้องเสียน้ำตาอย่างนั้น


    จริงเหรอ?” คำพูดของนัมจุนทำให้แทฮยองตื่นเต็มตา นัยน์ตาคู่สวยพราวระยับไปด้วยความยินดี นานมากแล้วที่นัมจุนไม่ยอมไปที่ร้านเลย


    จริงสิครับ ไปแต่งตัวกันดีกว่าริมฝีปากหยักยิ้มละมุน มือใหญ่กุมมือเรียวให้ลุกจากเตียงไปแต่งตัว ขณะที่ตัวเองก็หยิบเอากล่องใส่ไวโอลินมาเตรียมไว้ ระหว่างที่รอแทฮยองแต่งตัว นัมจุนก็เปิดกล่องตรวจเช็กสภาพไวโอลินตัวโปรดของแทฮยอง หลังจากการตกกระแทกพื้นเมื่อวาน โชคดีที่กล่องแข็งแรงมากพอ ไวโอลินตัวสวยไม่ได้รับรอยขีดข่วนใดๆ สมกับราคาอันแสนแพงของมัน


    ไวโอลินเกิดจากการประกอบกันของไม้โค้งสองแผ่นคือแผ่นหน้าและแผ่นหลังเชื่อมติดกันด้วยกาว หากเป็นไวโอลินทั่วๆ ไปถ้ามองลอดช่องเสียง F-holes (ช่องโค้งตัวเอสที่อยู่บนไวโอลิน) ก็คงจะไม่เห็นอะไร แต่ไวโอลินตัวนี้ต่างจากตัวอื่น


    นัมจุนมองลอดช่องโค้งบนไม้แผ่นหน้าของไวโอลินลงไป อ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้ภายในไม้แผ่นหลังของไวโอลิน ลายมือที่คุ้นตานั้นเป็นของเขาเอง เพราะไวโอลินตัวนี้เขาสั่งทำขึ้นเพื่อแทฮยอง และยังไปอยู่คอยคุมตอนที่ช่างทำไวโอลินประกอบด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะเอาไม้แผ่นหน้าและหลังมาประกบกัน เขาจึงเขียนคำๆ หนึ่งลงไป... และถ้อยคำนั้นทำให้เขายังอยู่เคียงข้างแทฮยองในเวลานี้


    มันไม่ใช่เพียงคำสัญญา แต่เป็นยิ่งกว่าคำสาบาน เป็นสิ่งที่เขาจะรักษามันตลอดไป นัมจุนเก็บไวโอลินลงกล่องอย่างระมัดระวัง พร้อมกันนั้นแทฮยองที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็ออกมาพอดี ร่างบางสวมเสื้อแขนยาวสีขาวคอกว้างกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน สีของความบริสุทธิ์ขับให้นางฟ้าของเขางดงามจับตา นัมจุนถือกล่องใส่ไวโอลิน พลางส่งมือให้แทฮยองจับ


    ไปกันเถอะครับมือเรียววางมือลงบนฝ่ามือกว้างที่ยื่นมารับอย่างอุ่นใจ ความอบอุ่นที่ได้รับจากกันและกันไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ทำไมในใจตอนนี้ถึงรู้สึกกังวลขึ้นมานะ เพราะคำพูดที่เลวร้ายของจีมินล่ะมั้งที่ทำให้เขาคิดมาก แทฮยองกอดแขนนัมจุนแล้วเอนซบอีกฝ่าย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มหวานปัดเป่าเอาความไม่สบายใจที่มีทิ้งไปให้ไกล

     

    พอไปถึงร้าน แทฮยองรีบมองไปรอบๆ เป็นอันดับแรก ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เห็นจีมิน เจอก็แต่โฮซอกที่ยังคงส่งยิ้มเป็นมิตรให้เขาเหมือนเคย หลังจากนั้นก็รีบขอโทษซอกจินที่มาสาย แต่เจ้าของร้านหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่นึกว่าแทฮยองจะไม่มาเลยให้คนอื่นเล่นแทนไปแล้ว จึงให้แทฮยองรอเล่นปิดเวทีอย่างเดียวเลย


    พี่ซอกจิน โต๊ะข้างเวทียังไม่มีใครนั่ง ผมขอโต๊ะนั้นได้ไหม


    หือ เอาสิ ไว้ให้ใครล่ะ


    นัมจุนน่ะ วันนี้หมอนั่นมาด้วย แต่ผมกลัวเจอกับคุณจีมินก็เลยให้รออยู่นอกร้านก่อน


    ไม่เป็นไรหรอกเข้ามาสิ เดี๋ยวพี่ให้คนเอาเครื่องดื่มไปให้ นายก็นั่งคุยกันไปก่อนแล้วกัน ไว้วงเล่นเสร็จแล้วค่อยขึ้นไป


    ขอบคุณนะครับ


    พอได้รับคำอนุญาต แทฮยองก็รีบไปพานัมจุนเข้ามานั่ง โต๊ะด้านข้างเวทีเป็นโต๊ะที่อยู่ในมุมมืด ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น ทั้งที่เป็นจุดที่มองเห็นเวทีได้ชัดเจนที่สุด มีความเป็นส่วนตัวสูง ซึ่งก็เหมาะดีในสายตาของโฮซอก ถ้าแทฮยองจะนั่งพูดคนเดียวล่ะก็ ให้อยู่ตรงนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว


    มาสเตอร์เหนื่อยไหมครับโฮซอกไม่ได้ถามกวนประสาท เพียงแต่อยากรู้เหมือนกันว่าซอกจินทนรับเรื่องนี้ได้ยังไง ต้องทำเหมือนว่าเห็น ทำเหมือนกับว่ามีคนอยู่กับแทฮยองด้วย ทั้งที่ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น


    ถ้าคุณเคยเห็นสภาพแทฮยองหลังอุบัติเหตุครั้งนั้นล่ะก็ คุณจะไม่ถามแบบนี้เลยครับ มันเทียบกันไม่ได้เลยซอกจินวางแก้วค็อกเทลที่บรรจุเครื่องดื่มสีสวยให้เด็กเสิร์ฟเอาไปให้แทฮยองที่โต๊ะ


    แย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ


    เลวร้ายที่สุดเท่าที่คุณจะจินตนาการได้เลยครับ


    เหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน สภาพของแทฮยองที่ร้องไห้อย่างหนักอยู่ข้างๆ ร่างไร้ลมหายใจของนัมจุนไม่หยุดติดต่อกันสองวันจนไข้ขึ้นสูง ทั้งยังไม่ยอมกินยอมดื่มอะไรเลย ใครพูดอะไรไปก็เหมือนไม่ได้ยิน แววตาเหม่อลอย ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนไม้แข็งยังไงก็ไม่สำเร็จ


    ว่าแต่คุณเถอะ ไม่โกรธแทฮยองเหมือนคุณจีมินเหรอครับซอกจินยังคงเคืองจีมินอยู่บ้าง แต่ส่วนหนึ่งเขาก็ยอมรับความผิดที่ตนเองไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้เช่นกัน


    ถ้าบอกว่าไม่โกรธ ผมก็คงโกหกแล้วล่ะครับ แต่ว่า...มันก็ไม่ใช่ความผิดของแทฮยองทั้งหมดสำหรับโฮซอกแล้ว ถ้าเรื่องนี้จะมีใครผิด บางทีคงเป็นเขากับจีมินที่ไปหลงรักแทฮยอง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ให้เลย แต่พวกเขาก็ยังตื้อไม่เลิก


    ขอบคุณนะครับที่คิดแบบนั้น แต่ถ้าคุณจะโกรธ ผมก็คงห้ามไม่ได้ แต่ขออย่างหนึ่งนะครับ อย่าทำแบบคุณจีมินเมื่อวาน จะเอาอารมณ์มาลงกับผมเท่าไหร่ก็ได้ แค่อย่าแตะต้องแทฮยองก็พอ


    มาสเตอร์ อย่ากังวลกับผมเลยครับ ระวังจีมินไว้ดีกว่า เขาเลือดร้อนกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ดูจากเมื่อวานเขาไม่ยอมแพ้เรื่องนี้แน่ ผมกลัวว่าเขาจะทำอะไรอีก


    ผมก็กังวลอยู่ครับซอกจินก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาบอกพนักงานของร้านไว้ว่า ถ้าจีมินมาอย่าให้เข้ามาในร้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีอื่นอีกหรือเปล่า


    ซอกจินกับโฮซอกคุยกันอยู่นานก็ใกล้จะได้เวลาปิดร้าน เจ้าของร้านหนุ่มนึกโล่งใจที่ไม่มีวี่แววของจีมินมาให้เห็น ผู้คนในร้านเริ่มบางตาตามเวลาที่เริ่มดึกขึ้น และก็ได้เวลาของคนเล่นปิดเวทีแล้วเช่นกัน


    เพลงสุดท้ายแล้วสินะครับโฮซอกหันไปมองแทฮยองที่กำลังก้าวขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับไวโอลินคู่ใจ แสงไฟสีส้มที่ส่องกระทบจากด้านหลังเป็นภาพที่สวยงาม แทฮยองตั้งสายไวโอลินให้ได้ระดับพอเหมาะแล้วจึงเริ่มเล่นบทเพลงที่เขารักมากที่สุด หากนัยน์ตาคู่สวยกลับจับจ้องอยู่เพียงคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น


    ท่วงทำนองอ่อนหวานแฝงไปด้วยความเหงา หากก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง เสียงไวโอลินก้องกังวานอ่อนละมุนหวานละไมจับใจคนฟัง ปลายนิ้วเรียวที่แตะลงบนสายในแต่ละตัวโน้ต เป็นท่วงท่าที่สวยงามเกินจะบรรยาย โฮซอกเพิ่งได้รับรู้ในวันนี้เองว่าทำไมเพลงที่แทฮยองเล่นจึงพิเศษกว่าคนอื่น ไม่ใช่เพียงฝีมือ แต่เป็นเพราะมันเต็มไปด้วยอารมณ์ และความรู้สึกที่แทฮยองมีต่อนัมจุน


    สายตาของแทฮยองที่มองไปยังโต๊ะตัวนั้นพราวระยับไปด้วยความสุข มองแล้วโฮซอกก็ได้แต่คิดอยากรู้ว่า นัมจุนเป็นผู้ชายแบบไหนกัน ทำไมถึงทำให้แทฮยองรักได้มากมายถึงขนาดนั้น แต่แล้วความคิดของชายหนุ่มก็ต้องสะดุดลงเมื่อมองเห็นร่างคุ้นตาก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังดื่มด่ำกับบทเพลง โดยแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น


    มาสเตอร์!โฮซอกส่งเสียงเรียกซอกจินที่กำลังก้มลงไปจัดตู้วางแก้วอย่างตกใจที่เห็นจีมินมาในเวลานี้ แต่ตอนที่ทั้งสองคนหันมาก็ไม่ทันแล้ว จีมินก้าวขึ้นไปบนเวทีโดยที่แทฮยองเองก็ไม่ทันสังเกต รู้ตัวก็ตอนที่จีมินแย่งเอาคันชักไปแล้ว และยังพยายามยื้อแย่งไวโอลินออกไปจากมือเขาอีกด้วย


    คุณจีมิน!!แทฮยองร้องอย่างตกใจ ขณะยึดไวโอลินไว้ไม่ให้อีกฝ่ายแย่งไปได้ ท่าทางจีมินคงเมามาก กลิ่นเหล้าฉุนรุนแรงจนแทบหายใจไม่ออก ทั้งซอกจินและโฮซอกรวมทั้งนักดนตรีคนอื่นๆ ก็ตรงปรี่เข้าไปช่วยแทฮยอง แต่กว่าที่ทุกคนจะถึงตัวจีมิน ไวโอลินก็หลุดมือไปอยู่กับอีกฝ่ายแล้ว


    ผมจะทำให้คุณตื่นจากฝันสักที!จีมินพูดจบก็จับไวโอลินทุบกับพื้นเวทีอย่างแรง ถึงแม้โฮซอกกับซอกจินจะช่วยกันจับตัวไว้แต่ก็ไม่ทัน แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้แผ่นไม้ของไวโอลินทั้งสองชิ้นฉีกแยกออกจากกัน นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจสุดชีวิต แทฮยองหันไปหานัมจุนที่ควรจะเข้ามาช่วยเขา


    ทว่า...ที่โต๊ะตรงนั้นไม่มีใครนั่งอยู่เลย แม้แต่แก้วน้ำบนโต๊ะก็มีเพียงของเขาคนเดียวเท่านั้น นัยน์ตาที่ตื่นกลัวเริ่มสั่นไหวเมื่อมองไปไม่ว่าทางใดก็ไม่เจอนัมจุนเลย แล้วแทฮยองก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เหนียวหนืด และเฉอะแฉะบนฝ่ามือ เมื่อก้มลงมองมือตัวเองก็พบว่ามันเต็มไปด้วยคราบเลือด

     

    ของใคร?

    ...ไม่ใช่ของเขา

     

    ราวกับภาพความทรงจำอันแสนเลวร้ายย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง เสียงโลหะปะทะกันดังลั่นคล้ายเสียงระเบิดกึกก้องข้างหู โลกที่เคยสว่างกลับหมุนคว้างไปมาจนกลายเป็นสีดำ แรงกระแทกอย่างรุนแรงจากที่ไหนสักแห่งทำให้ร่างกายไร้ซึ่งน้ำหนักลอยเคว้งอยู่ในอากาศ จนตกลงมากระทบกับอะไรบางอย่างที่แข็งและเย็นเฉียบ แทฮยองไม่เข้าใจว่าวินาทีนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คือเขาเคยผ่านความรู้สึกนี้มาก่อน


    ภาพที่ฉายในดวงตาเบลอจนแทบมองไม่ออก จนกระทั่งเสียงดังสนั่นราวกับระเบิดนั้นเงียบไป แล้วแทฮยองก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังระงมไปทั่ว กลิ่นเหม็นไหม้ของน้ำมันล่องลอยในอากาศ ร่างกายที่เบาหวิวคล้ายขนนกเมื่อครู่กลับหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ รู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วทั้งร่างราวกับถูกใครสักคนเอาหินมาทุบโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ศีรษะ กระนั้นก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างของตนไว้ เสียงหวอของรถพยาบาลกำลังใกล้เข้ามา พร้อมกับภาพตรงหน้าที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หากสิ่งที่นัยน์ตาคู่สวยมองเห็นแทบจะทำให้คลั่ง เมื่อความอบอุ่นที่รับรู้ได้คือ อ้อมกอดของใครคนหนึ่งที่บัดนี้ ร่างนั้นแน่นิ่งและยังเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะ


    ไม่! ไม่จริง!!เสียงหวานกรีดร้องลั่นอย่างหวาดกลัวสุดขีด มือเรียวปิดหูตัวเองแน่นคล้ายกับไม่อยากได้ยินอะไร แทฮยองหอบจนตัวโยน เหงื่อไหลซึมทั้งที่อากาศเย็น ซอกจินหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นอาการนั้น เขารีบปล่อยตัวจีมินแล้วเข้าไปคุกเข่าอยู่หน้าแทฮยองที่เหมือนจะไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย ริมฝีปากบางสั่นพึมพำถ้อยคำที่จับใจความไม่ได้


    แทฮยอง! ได้ยินพี่ไหมซอกจินจับมือเรียวออกจากการปิดหู ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นมองซอกจิน


    ไม่! มัน..มันไม่ใช่เรื่องจริง.. ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมครับ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ พี่ล้อเล่นแรงไปแล้วนะแทฮยองถามอย่างเอาเรื่อง คาดหวังถ้อยคำปฏิเสธ แต่ซอกจินก็ไม่ตอบ แทฮยองผลักไหล่ซอกจินแล้วลุกขึ้นเดินวุ่นไปทั่วร้าน


    นัมจุน...คุณอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ! ผมโกรธแล้วนะ!! ออกมาเดี๋ยวนี้!!เสียงหวานตะโกนกรีดร้องดังลั่นภายในร้านที่ว่างเปล่า เพราะพวกลูกค้าต่างหนีกลับไปตั้งแต่ตอนที่จีมินบุกขึ้นไปบนเวทีแล้ว แทฮยองคว้าแก้วทรงสูงที่วางอยู่ตามโต๊ะขว้างลงกับพื้นอย่างเกรี้ยวกราด บ้างก็ปัดลงทั้งโต๊ะ แล้วก็เดินเหยียบเศษแก้วพวกนั้นโดยไม่สนใจว่ามันจะบาดหรือไม่ อารมณ์รุนแรงแบบที่ไม่เคยได้เห็นจากนางฟ้าผู้สุภาพเรียบร้อยอยู่เสมอทำทุกคนอึ้งจนได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว


    เพล้ง!


    แทฮยองปัดขวดไวน์ลงกับพื้น ไวน์แดงที่ยังเหลือเกือบครึ่งขวดไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ของเหลวสีแดงข้นซ้อนทับกับภาพในความทรงจำ


    ไม่จริง! ผมไม่เชื่อไม่!แทฮยองคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดแรงคล้ายคนตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้สึกตัว มือเรียวหยิบเอาเศษแก้วที่ตกอยู่บนพื้นจะเอามากรีดแขนตัวเองอย่างไม่ลังเล


    แทฮยองหยุดเดี๋ยวนี้ หยุดสิ!”


    ปล่อยนะ! ปล่อย!ซอกจินยื้อแย่งเศษแก้วจากมือเรียวก่อนเจ้าตัวจะทันได้กรีดแขนของตัวเอง แต่แทฮยองยังอาละวาดไม่หยุด


    ภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นทำให้โฮซอกเข้าใจในทันทีว่าความเลวร้ายอย่างที่ซอกจินเคยบอกไว้เป็นอย่างไร แต่นี่มันเกินกว่าที่เขาคาดไว้ซะอีก นัยน์ตาคมมองแทฮยองสลับกับไวโอลินตัวโปรดที่อยู่ในสภาพพังยับเยิน บนไม้แผ่นหลังมีถ้อยคำหนึ่งเขียนเอาไว้ โฮซอกหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ เป็นถ้อยคำที่ทำให้เขาขนลุกซู่ไปทั่วร่าง

     

    Always with you

          …Numjoon

     

    หลังจากแย่งเศษแก้วมาจากแทฮยองได้สำเร็จ ซอกจินก็พาเข้าไปทำแผลในห้องพักด้านใน ทั้งปลอบทั้งขู่ก็แล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อสองปีก่อนเลย กว่าความเหนื่อยจะทำให้แทฮยองผล็อยหลับไปเอง เจ้าของร้านหนุ่มก็แทบแย่


    เป็นไงบ้างครับโฮซอกยังคงนั่งรออยู่ที่บาร์ โดยมีไวโอลินที่หมดสภาพวางอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างกัน ห่างออกไปสามก้าว จีมินก็นั่งก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน


    หลับไปแล้วครับ ก็พอจะวางใจไปได้พักหนึ่ง แต่ต่อจากนี้ล่ะครับที่หนัก


    นี่ยังไม่แย่ที่สุดอีกเหรอครับเป็นคำถามที่ทำให้ซอกจินต้องหัวเราะทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องตลก


    รอดูแล้วกันครับ ถ้าคุณไม่ได้เจอด้วยตัวเองคงไม่รู้ว่ามันแย่แค่ไหน เพราะคราวนี้แทฮยองคงทำเหมือนก่อนหน้านี้ที่คิดว่านัมจุนยังอยู่ไม่ได้แล้วถ้อยคำนั้นคล้ายจะเหน็บแนมจีมินอยู่ในที แต่โฮซอกไม่ทันได้ใส่ใจ เขาไม่ได้คิดว่าแทฮยองจะเป็นอะไรมากอย่างที่ซอกจินคาดเดาไว้ บางทีตอนตื่นมาแทฮยองอาจจะกลับมาเป็นปกติก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมซอกจินจึงดูไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัวเลย


    ทำไมล่ะครับ


    ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าทำไมเมื่อสองปีก่อนหลังจากเกิดอุบัติเหตุ แทฮยองถึงกลับมาใช้ชีวิตเหมือนนัมจุนยังอยู่ด้วยได้...


    ซอกจินนึกขำตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เพิ่งจะมาคิดได้เอาตอนนี้ ก่อนหน้านี้ทั้งตัวเขา และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าแทฮยองคงเพ้อไปเองโดยไม่มีเหตุผล เพราะรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว...นัมจุนในความคิดของแทฮยองก็คือสิ่งที่อยู่ติดตัวมาตลอด


    “...เป็นเพราะไวโอลินตัวนี้ยังไงล่ะครับ แทฮยองพกมันติดตัวตลอดเวลาแม้แต่ตอนนอน ผมคิดว่าเป็นเพราะไวโอลินตัวนี้นัมจุนเป็นคนซื้อให้ มันเลยกลายเป็นตัวแทนของเขาในสายตาแทฮยอง


    ผมจะหาไวโอลินใหม่ที่เหมือนกับตัวนี้ให้นะครับจีมินแทรกเสียงขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาลงมือทำทุกอย่างด้วยแรงอารมณ์ ทั้งยังเมาจนขาดสติ แต่พอสร่างเมาแล้ว ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทำสิ่งที่เลวร้ายแค่ไหนลงไป การหาไวโอลินตัวใหม่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะชดเชยให้แทฮยองได้ แต่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้สีหน้าของซอกจินดีขึ้นเลย


    ไม่จำเป็นหรอกครับ สำหรับแทฮยองแล้วไม่ว่าไวโอลินตัวไหนก็ไม่เหมือนตัวนี้ คุณเห็นข้อความที่อยู่ข้างในนั้นไหมครับ...โฮซอกพยักหน้าขณะที่จีมินเดินเข้ามาดูใกล้ๆ พอลองพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ถึงได้เห็นหลายอย่างที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน


    ผมเข้าใจแล้วครับจีมินเอ่ยด้วยเสียงที่แหบเครือ เขาได้ทำสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้ลงไปแล้ว เพียงได้พินิจไวโอลินที่แทฮยองแสนรักตัวนี้ดีๆ จีมินถึงได้เข้าใจว่า เขาไม่มีวันแทรกเข้าไปในความสัมพันธ์ของแทฮยองกับนัมจุนได้ ไม่มีทางเลย


    เข้าใจว่าอะไรเพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องดนตรีอย่างจีมิน โฮซอกจึงไม่เข้าใจว่าเพียงแค่มีตัวอักษรเขียนอยู่ในไวโอลินมันแปลกตรงไหน จีมินจึงเริ่มอธิบาย


    พี่รู้วิธีการทำไวโอลินไหม? ... ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือการนำไม้ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี เอามาขึ้นรูปเป็นแผ่นโค้งสองแผ่นแล้วนำมาเชื่อมต่อกันด้วยกาว ปกติแล้วถ้ามองผ่านช่องเสียงเข้าไปข้างใน เราจะเห็นฉลากไวโอลินที่เขียนชื่อช่างที่ทำแล้วก็ปีที่ผลิต หรือไม่ก็ประเทศที่ผลิต แต่การที่จะมีตัวอักษรอื่นเขียนอยู่ข้างในได้ นั่นหมายความว่าพี่ต้องอยู่ตอนที่กำลังขึ้นโครงของไวโอลิน เพราะของพวกนี้จะไม่ปรากฏจากโรงงานทั่วไป และไวโอลินตัวนี้ก็ผลิตตามแบบดั้งเดิมจากช่างมืออาชีพ ผู้ชายคนนั้นคงไปจ้างช่างให้ทำไวโอลินตัวนี้ขึ้นเพื่อแทฮยอง และมันจะมีเพียงแค่ตัวเดียวในโลก... สิ้นเสียงคำอธิบาย โฮซอกก็มองซอกจินคล้ายจะขอคำยืนยัน


    ถูกอย่างที่คุณจีมินพูดล่ะครับ นัมจุนไม่เพียงแค่จ้างช่างให้ทำ แต่ยังควบคุมดูแลแต่ละขั้นตอนด้วยตัวเอง เพื่อให้มันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อแทฮยอง


    จีมินทรุดตัวลงคุกเข่า และก้มหัวลงแทบจะติดพื้นตรงหน้าซอกจินอย่างสำนึกผิด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรับผิดชอบกับเรื่องที่ตัวเองทำให้เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร


    ผมขอโทษจริงๆ ครับ


    อย่าทำแบบนี้เลยครับ ผมจะถือซะว่าเป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยบอกพวกคุณให้ชัดเจน ยังไงก็ตาม...คืนนี้พวกคุณกลับไปก่อนเถอะนะครับ เรื่องแทฮยองผมจะจัดการเอง


    ไม่ว่าใครฟังก็รู้ว่าเป็นการออกปากไล่อยู่กลายๆ แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจว่าซอกจินคงเหนื่อย การรับมือกับอารมณ์ที่รุนแรงราวกับพายุของแทฮยองนั้นไม่ง่ายเลย จีมินลุกขึ้นจากพื้นหากยังคงแบกความรู้สึกผิดที่ทิ่มแทงลงมาอย่างหนักหน่วง


    ถ้ามีโอกาส...ฝากบอกแทฮยองด้วยนะครับว่าผมเสียใจจริงๆ


    จีมินโค้งก้มหัวลงต่ำให้ซอกจินที่คงไม่อยากเห็นหน้าเขาเต็มแก่แล้วอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปพร้อมกับโฮซอก สายตามองเห็นป้ายชื่อร้าน ‘The Heaven’ ตอนที่กำลังก้าวออกไป เขาเป็นคนทำให้นางฟ้าหนีไปจากสรวงสวรรค์แห่งนี้เสียแล้ว ต้องทำอย่างไรถึงจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดนี้ได้กันนะ ขอเพียงแค่มีโอกาสแก้ตัวจีมินจะยอมทำทุกอย่าง


    หลายวันต่อมา


    โฮซอกตัดสินใจแวะมาที่ ‘The Heaven’ อีกครั้ง ได้ยินว่าหลังจากวันนั้นแทฮยองไม่เคยมาที่ร้านอีกเลย ซอกจินเองก็แทบอยู่ไม่ติดร้าน อย่างในวันนี้ โฮซอกยังคงนั่งที่ประจำของตัวเองอย่างเคยชิน กินเครื่องดื่มชนิดเดิม สายตาจับจ้องที่เวทีเหมือนเดิม แต่ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อไป บนเวทีเป็นนักดนตรีคนอื่นมาเล่นไวโอลินแทนแทฮยอง ได้ยินจากบาร์เทนเดอร์ที่ผสมเครื่องดื่มให้ว่า ซอกจินจ้างมาชั่วคราว หรือบางทีถ้าแทฮยองไม่กลับมา เด็กที่มาแทนอาจจะได้เล่นประจำ


    โฮซอกถอนหายใจ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม แต่เพียงแค่ของเหลวสีสวยสัมผัสปลายลิ้นเพียงเล็กน้อย โฮซอกก็ต้องวางลง... ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อย เพียงแต่เขาไม่คุ้นเคยกับรสชาติค็อกเทลของคนอื่นที่ไม่ใช่ซอกจิน


    นายก็มาเหรอโฮซอกทักเมื่อเห็นจีมินเดินเข้ามาที่บาร์ จีมินเพียงแค่ตอบรับเสียงเบาด้วยสีหน้าอมทุกข์อย่างเห็นได้ชัด


    ผมไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงดี...สภาพของร้านที่ได้เห็น ยิ่งทำให้หนุ่มร่างสูงรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม โฮซอกก็ได้แต่ตบไหล่อีกฝ่ายปลอบใจ แล้วพนักงานคนหนึ่งก็เข้ามากระซิบกับเขา


    มาสเตอร์มาแล้วครับ อีกเดี๋ยวคงออกมา


    ขอบใจนะโฮซอกกล่าวขอบคุณ ก่อนจะมองลอดเข้าไปในครัว เขาเห็นซอกจินที่อยู่ในสภาพอิดโรยเต็มที แต่ก็ยังแต่งตัวออกมารับแขกที่บาร์ พักใหญ่ทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะสังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคนถึงได้เอ่ยทักทาย


    สวัสดีครับ คุณโฮซอก คุณจีมิน นัดกันมาเหรอครับเจ้าของร้านหนุ่มทักทายอย่างเป็นมิตร แม้แต่กับคนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ยิ่งซอกจินไม่ถือโทษโกรธเท่าไหร่ จีมินกลับยิ่งรู้สึกผิดหนักกว่าเดิม


    แค่บังเอิญครับจีมินตอบโดยไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนถาม ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นราวกับว่ามันมีสิ่งใดน่าสนใจนักหนา


    แล้ว...แทฮยองล่ะครับเป็นคำถามที่ซอกจินรู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกถาม แต่เมื่อต้องพูดถึงสภาพที่เขาเห็นก็อดถอนหายใจไม่ได้


    ไม่ต่างจากสองปีก่อนเลยครับ ถึงจะไม่โวยวายไม่อาละวาดอย่างวันนั้น แต่วันๆ แทฮยองก็เอาแต่นอนนิ่ง ไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่มอะไรเลย บอกตามตรงนะครับ ผมเองก็เคยคิดว่าถ้ามีสักวันที่แทฮยองตื่นจากภาพหลอนของตัวเองกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้มันคงจะดีไม่ใช่น้อย แต่มาถึงตอนนี้...ผมกลับคิดว่าต่อให้มันเป็นแค่ภาพหลอน แต่เขาก็มีความสุข มันคงดีกว่าที่จะต้องจมอยู่กับความจริงที่เจ็บปวดแบบนี้


    ซอกจินหยิบเอากล่องไวโอลินขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์ สภาพที่แตกหักของมันมีแต่จะทำให้แทฮยองอาการแย่ลงกว่าเดิม เขาถึงเก็บมันไว้ที่ร้านแทน นิ้วเรียวยาวลากไปตามรอยแตกของไม้อย่างจนปัญญา


    เราไม่มีทางที่จะทำอะไรได้เลยเหรอครับจีมินถาม เขาพยายามคิดหาทางแก้จนหัวแทบแตก มองสภาพไม้ที่เคยเป็นไวโอลินตัวสวยหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะไปหาไวโอลินที่มีอยู่ตัวเดียวในโลกนี้มาคืนแทฮยองได้ยังไง ต่างคนต่างเงียบไปจนกระทั่งโฮซอกที่นึกบางอย่างออกรีบพูดเสียงดังอย่างดีใจ


    นี่จีมิน! ฉันคิดได้อยู่อย่างนะ ในเมื่อเราหาตัวใหม่ไม่ได้ แล้วทำไมเราไม่ซ่อมไวโอลินตัวนั้นล่ะเท่าที่เขาเห็นได้ สภาพไม้แผ่นหน้ามันแตกหักยับเยินเลยก็จริง แต่ไม้แผ่นหลังที่มีลายมือของนัมจุนเขียนอยู่นั้นยังคงอยู่ในสภาพดี บางทีพวกเขาอาจจะซ่อมมันได้


    การซ่อมไวโอลินไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ พี่ต้องหาแผ่นไม้ที่มีลวดลายและสีใกล้เคียงกับของเดิมซึ่งน้อยมากที่จะหาเจอ อุปกรณ์อื่นๆ ก็ต้องเป็นของที่ใช้ในตอนนั้น ไหนจะยังช่างที่จะรับซ่อมมันอีกล่ะ ต่อให้ใช้ช่างซ่อมที่เก่งที่สุดในบริษัทผมก็ยังซ่อมมันไม่ได้เลยจีมินตอบอย่างสิ้นหวัง ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ แต่เขาคิดจนไม่รู้จะคิดยังไงแล้ว


    แล้วถ้าเป็นช่างคนเดิมที่สร้างมันขึ้นมาล่ะ ถ้าผมเป็นช่าง และมีคนมาจ้างให้ทำไวโอลินขึ้นมาล่ะก็ ตอนที่หาวัสดุผมจะต้องมีของสำรองเอาไว้บ้าง แล้วฟังจากคุณพูด ช่างที่ทำไวโอลินตัวนี้ก็มีฝีมือ อย่างน้อยถ้าซ่อมไม่ได้ เราอาจจะให้เขาทำใหม่ให้ใกล้เคียงของเดิมที่สุดก็ได้นี่คำพูดของโฮซอกทำให้จีมินฉุกใจคิดได้ เขาไม่ทันได้นึกถึงเรื่องให้ช่างคนเดิมซ่อมมันมาก่อนเลย นัยน์ตาพราวระยับไปด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ขอเพียงแค่เขารู้ว่าใครเป็นคนทำมันขึ้นมาก็จะแก้ไขเรื่องทั้งหมดนี้ได้


    ปัญหาอยู่ที่ว่าผมเองก็ไม่รู้ครับว่าช่างคนนั้นคือใคร รู้แต่ว่านัมจุนมีคนรู้จักอยู่ที่เยอรมันก็เลยได้ช่างมาอีกต่อหนึ่ง


    ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่รู้ประเทศก็ช่วยได้เยอะแล้วจีมินลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น


    มาสเตอร์ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะรับผิดชอบเอง ถึงยังไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า แต่ก็คงดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย


    ถ้าอย่างนั้น...ผมฝากด้วยนะครับเจ้าของร้านหนุ่มปิดกล่องไวโอลินแล้วส่งให้จีมิน ซอกจินไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมายนัก เพราะต่อให้ได้ไวโอลินคืนมาก็ยังไม่รู้ว่าแทฮยองจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยจีมินก็คงรู้สึกดีขึ้นที่ได้ชดใช้ความผิดไปบ้าง


    ฉันไปด้วยนะ ช่วยกันสองคนจะได้เจอเร็วๆโฮซอกตบไหล่จีมิน ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เขาก็คิดว่าตนเองมีส่วนที่ควรจะรับผิดชอบในฐานะที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ และเขาเองก็ไม่สามารถปล่อยให้แทฮยองตกอยู่ในสภาพนั้นได้

     

     

    หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินทางไปที่เยอรมันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช่วงแรกของการตามหาแทบจะไม่มีความหวังเลย พวกเขาไม่มีข้อมูลอะไรเลยสักอย่าง เพราะเป็นไวโอลินที่สั่งทำเป็นพิเศษ ฉลากไวโอลินที่ควรจะบอกชื่อช่างที่ทำก็ไม่มี เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แต่โชคดีที่ถึงจะมีคนเอเชียแวะเวียนมาหาซื้อไวโอลินจากช่างในเยอรมันอยู่ไม่น้อย แต่คนที่มาเพื่อขอให้สร้างไวโอลินสำหรับคนๆ เดียวขึ้นมานั้น...นัมจุนเป็นคนแรก


    วิลเฮล์ม คาร์ล คือชื่อของช่างชาวเยอรมันที่เป็นคนทำไวโอลินตัวนี้ขึ้นมา เขาเป็นช่างที่มีชื่อเสียงในการผลิตไวโอลิน เคยเป็นช่างใหญ่ในร้าน แต่พออายุมากเข้าก็ปลดเกษียณตัวเองมาเปิดร้านเล็กๆ แถบชานเมือง


    พาหนะสี่ล้อแล่นไปบนพื้นดินที่ขรุขระด้วยก้อนหิน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ โฮซอกกับจีมินอยู่ในระหว่างเดินทางมายังที่อยู่ของช่างคาร์ล เครื่องยนต์ดับลงเมื่อมาถึงจุดหมายเป็นบ้านไม้ที่ดูเก่าเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัยมาเป็นเวลาหลายปี สภาพภายนอกทำใจเสีย แต่จีมินก็ตัดสินใจเคาะประตู รออยู่ครู่หนึ่งก็มีชายแก่มาเปิดประตู ทั้งยังมองพวกเขาด้วยสายตาที่ไม่ต้อนรับสักเท่าไหร่


    มีธุระอะไรสำเนียงภาษาเยอรมันที่ไม่คุ้นเคยชวนให้ไขว้เขวไปบ้าง แต่จีมินก็ตั้งสติ และตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน


    ผมมีไวโอลินอยากให้ช่วยซ่อมครับพอรู้ว่ามาทำอะไร ทั้งสองคนก็เลยได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้าน ภายในแตกต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ทุกพื้นที่ของบ้านเต็มไปด้วยส่วนประกอบของไวโอลิน บางตัวก็เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว บางตัวก็อยู่ในระหว่างขึ้นโครงประกอบ


    ไหนล่ะพอได้ยินจีมินก็รีบส่งไวโอลินของแทฮยองส่งให้อย่างรู้หน้าที่


                นี่ครับ มันเป็นไวโอลินที่คุณทำขึ้นมา ไม่ทราบว่าคุณจำมันได้หรือเปล่าชายแก่รับมันไปพิจารณาดูใกล้ๆ ก่อนจะร้องทักเสียงดัง


    โอ้! แทฮยอง ไม่ได้เจอกันนานเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะพอได้เจอไวโอลินที่ตัวเองเป็นคนทำก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นเยอะ แต่ทั้งสองคนกลับแปลกใจกับชื่อที่ชายแก่เรียกมากกว่า


    คุณคาร์ลรู้จักแทฮยองด้วยเหรอครับจีมินถามอย่างแปลกใจพร้อมหันไปมองหน้าโฮซอกที่สงสัยเช่นเดียวกับเขา


    แทฮยองคือชื่อไวโอลินตัวนี้ช่างคาร์ลบอกด้วยรอยยิ้ม แต่กลับทำอีกสองคนอึ้ง จีมินอึ้ง เพราะรู้ว่าปกติไวโอลินนั้น ผู้สร้างจะเป็นคนตั้งชื่อโดยเอามาจากชื่อของตัวเอง พร้อมกับติดฉลากไวโอลินเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง ยิ่งคนที่มีชื่อเสียงไม่น้อยอย่างช่างคาร์ลไม่น่าจะยอมง่ายๆ นอกจากจะไม่ติดฉลากไวโอลินแล้ว ยังตั้งชื่อตามที่นัมจุนขอเสียอีก


    และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่โฮซอกต้องขนลุก ความคิดเกี่ยวกับนัมจุนวนเวียนแล่นเข้ามาอีกครั้ง เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแทฮยองถึงได้รักนัมจุนมากขนาดนี้


    หลังจากนั้นจีมินก็ถามถึงการซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม โชคดีที่ช่างคาร์ลยังมีไม้และวานิช (น้ำมันที่ใช้ทาเพื่อรักษาเนื้อไม้) ที่ใช้ในตอนนั้นเหลืออยู่ และเขายินดีที่จะซ่อมแซมมัน แต่อาจจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง และยังนึกสงสัยว่าทำไมนัมจุนจึงไม่มาด้วยตัวเอง คำถามที่ทำเอาทั้งสองคนตอบไม่ถูก แต่สุดท้ายจีมินก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดรวมถึงเรื่องของแทฮยองด้วย ช่างคาร์ลฟังแล้วก็เงียบไป เขาลูบไวโอลินตัวนั้นอย่างรักใคร่ราวกับเป็นการกอดลูกชายคนหนึ่งที่ได้กลับมาบ้าน

     

    ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ โฮซอกกับจีมินก็ได้เห็น ไวโอลิน แทฮยองในสภาพที่เหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่แตกต่างจากสภาพก่อนที่พังเลยสักนิด แม้แต่เสียงก้องกังวานยามคันชักทาบลงเหนือเส้นเสียงก็เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน จีมินก้มหัวขอบคุณช่างคาร์ลซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากจะทำให้ไวโอลินกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ยังไม่คิดเงิน ทั้งยังเร่งให้พวกเขานำไวโอลินกลับไปคืนเจ้าของด้วย


    และทั้งสองก็ตรงดิ่งกลับเกาหลีในวันนั้นเอง ตอนที่มาถึงเพิ่งจะอยู่ในช่วงบ่ายแก่ๆ เท่านั้น พวกเขาจึงเดินทางไปที่ร้าน ‘The Heaven’ ก็เจอเข้ากับซอกจินที่กำลังจะออกไปหาแทฮยองพอดี แต่พอเห็นทั้งสองคนมาก็เลยถอยกลับเข้าไปนั่งคุยในร้านเสียก่อน


    มาสเตอร์ดูนี่สิครับจีมินเปิดกล่องไวโอลินให้ดูอย่างยินดี สภาพที่ดีเหมือนของเดิมไม่ผิดเพี้ยนทำให้ซอกจินต้องหยิบพลิกไปมาอย่างชื่นชม ระหว่างนั้นทั้งสองคนก็เล่าเรื่องช่างคาร์ลให้ฟังไปด้วย


    ขอบคุณทั้งสองคนมากเลยนะครับ ถ้ายังไง เราไปหาแทฮยองกันเลยดีไหมครับเจ้าของร้านหนุ่มเองก็พอมีความหวังขึ้นมา ต่อให้แทฮยองไม่กลับเป็นอย่างเดิม แต่อย่างน้อยถ้าได้เห็นว่าไวโอลินตัวโปรดไม่ได้อยู่ในสภาพบุบสลายก็อาจจะดีขึ้นมาบ้างก็ได้


    ผมขอตัวดีกว่าครับ แทฮยองคงไม่อยากเห็นหน้าผมเท่าไหร่หรอกจีมินยิ้มให้ซอกจิน ถึงความรู้สึกผิดจะลดลงไปบ้างแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีหน้าไปพบแทฮยองอยู่ดี


    ถ้าได้ผลยังไงแล้ว พี่จะบอกนะ


    โฮซอกไม่ปฏิเสธ เพราะเขาเองก็อยากเห็นตอนที่แทฮยองได้ไวโอลินคืน ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองความมั่นใจมาจากไหน แต่เขารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า ถ้าแทฮยองได้ไวโอลินแสนรักคืนล่ะก็...เจ้าตัวจะกลับมาเป็นคนเดิม

     

     ♫

     

    ที่นี่ล่ะครับ


    ซอกจินชี้ให้โฮซอกขับรถเข้ามาหาที่จอดภายในตัวตึกคอนโดหรู เจ้าของร้านหนุ่มหยิบไวโอลินตัวนั้นลงจากรถ และนำทางไปที่ห้องของแทฮยองซึ่งอยู่สูงขึ้นไปเกือบสิบชั้น บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิทจนเหมือนไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ซอกจินตรงไปที่ห้องนอนก่อนเป็นอันดับแรก


    สภาพที่ได้เห็นทำโฮซอกใจหาย เขาเคยคิดว่าอาการแทฮยองคงแย่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะหนักถึงขนาดนี้ แทฮยองนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจการมาถึงของพวกเขาเลยสักนิด


    นัยน์ตาคู่สวยที่เคยสดใสกลับหม่นหมองคล้ายมองไม่เห็นสิ่งใด แก้มที่เคยเนียนปลั่งซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าซอกจินจะเรียกยังไง แทฮยองก็ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เหมือนกับตุ๊กตาที่ทำได้แค่หายใจ


    โฮซอกมองเห็นถาดอาหารที่วางอยู่ข้างหัวเตียงซึ่งไม่มีร่องรอยการถูกแตะต้องเลยสักนิด ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป แทฮยองต้องตายแน่ๆ


    แทฮยอง ดูสิว่าพี่เอาอะไรมาให้


    ซอกจินไม่ได้สนใจว่าแทฮยองได้ยินหรือกำลังฟังเขาอยู่หรือไม่ เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรไป แทฮยองก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอยู่แล้ว ซอกจินก็เลยเล่าไปเรื่อยๆ โดยมีโฮซอกนั่งอยู่ถัดออกมาไม่ไกล ถึงแม้ไวโอลินจะอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่แทฮยองยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย ซอกจินได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง


    พี่จะวางไวโอลินไว้ตรงนี้นะ แล้วก็จะทำอาหารทิ้งไว้ให้ด้วย ถ้าหิวก็ลุกขึ้นมากินนะ


    ซอกจินวางไวโอลินไว้บนเตียงข้างแทฮยองที่ยังเหลือพื้นที่ว่างสำหรับอีกคนด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย เขาเก็บเอาถาดอาหารที่ทำทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า และออกไปจากห้องพร้อมกับโฮซอกที่ดูผิดหวังไม่แพ้กัน


    ประตูปิดลงพร้อมกับเปลือกตาบางที่เลื่อนลงมาบดบังนัยน์ตาคู่สวย ทุกถ้อยคำที่ซอกจินพูดใช่ว่าแทฮยองจะไม่ได้ยิน เพียงแต่ไม่คิดอยากจะสนใจ

     

    นัมจุน คุณอยู่ที่ไหน

    ได้ยินไหม?

    ...ผมคิดถึงคุณ

     

    ไหนเคยสัญญา...ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

    ไหนเคยบอกว่าจะรักษาสัญญา

    ไหนเคยบอกว่าคุณจะอยู่ข้างๆ ผมเสมอ

    ...ทำไมตอนนี้ผมถึงไม่เห็นคุณเลย

     

    ได้โปรด กลับมาเถอะนะ

    ...กลับมาอยู่ข้างๆ ผม

     

    หยดน้ำอุ่นไหลรินจากดวงตาที่ปิดสนิท แม้จะหลับตาลง หากน้ำตายังคง รินไหลมาจากส่วนลึกของหัวใจ แต่แล้วก็รู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นของใครสักคนกำลังเช็ดน้ำตาให้เขา สัมผัสที่ชวนให้คิดถึงนัมจุนเหลือเกิน แต่...คงเป็นซอกจินหรือไม่ก็โฮซอกมากกว่า แทฮยองจึงยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม


    นางฟ้าของผม ร้องไห้ทำไมครับนัมจุนโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหู น้ำเสียงอ่อนโยนที่แสนคิดถึงทำให้แทฮยองต้องลืมตาขึ้นมองอย่างตกใจ


    นัมจุน!ชายหนุ่มเจ้าของชื่อระบายยิ้มอ่อนละมุนให้ร่างบางอย่างเอ็นดู แทฮยองแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มือเรียวเอื้อมไปแตะแก้มของนัมจุน ปลายนิ้วที่สั่นเทาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น รับรู้ถึงลมหายใจ กลิ่นไอที่แสนคุ้นเคย


    ผมไม่ได้ฝันไป...ใช่ไหม


    หยดน้ำอุ่นหยดลงผ่านร่องแก้ม รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าหล่อคมคล้ายจะปลอบประโลม และยืนยันคำตอบอยู่ในที มือใหญ่ยกขึ้นทาบกุมมือบางเพียงแผ่วเบาแต่มั่นคง ก่อนจะประทับริมฝีปากบนปลายนิ้วที่สั่นเทาอย่างอ่อนโยน


    เคยบอกแล้วนี่ครับ ว่าผมจะอยู่ตรงนี้ข้างๆ คุณเสมอ...เสียงทุ้มยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคดี ก็ต้องกางแขนโอบรับแทฮยองที่โผเข้ามากอดเขาแน่น ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนผอมลงจนน่าตกใจ ริมฝีปากขาวซีด ไม่ต่างจากใบหน้าที่แทบจะไร้สีเลือด นัมจุนได้แต่นิ่วหน้าอย่างรู้สึกผิด มือใหญ่ลูบศีรษะกลมมนที่ซบอยู่บนบ่าซ้ำๆ พลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นปลอบโยนให้หัวใจที่รวดร้าวกลับมาดีได้ดังเดิม


    “...ขอโทษที่หายไปครับ


    อย่าหายไปอีกนะ...


    สัญญาครับ”

     

    เสียงเปิดประตูห้องนอนทำให้ชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่อย่างเงียบเชียบหันไปมองพร้อมกัน แทฮยองกำลังเดินมาหาพวกเขาด้วยสีหน้าสดใส แม้จะยังมองเห็นคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่บนแก้มเนียน แต่ดวงตากลับกำลังยิ้ม ซอกจินหันไปมองโฮซอกที่คงคิดแบบเดียวกัน ท่าทางของแทฮยองเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าไวโอลินตัวนั้นคือตัวแทนของนัมจุนจริงๆ


    พี่ซอกจิน ดูสิว่าใครมาเสียงหวานแหบพร่าแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี แทฮยองทำเหมือนกำลังจูงมือใครบางคนมาด้วย ทั้งที่ข้างกายมีเพียงความว่างเปล่า แต่ทั้งสองคนแทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะพูดกับแทฮยองอย่างไร


    กลับมาได้สักทีนะ


    ยินดีด้วยนะครับ แทฮยองโฮซอกกับซอกจินแกล้งทำเป็นมองเห็นตามที่แทฮยองว่า ร่างบางหันไปยิ้มให้กับความว่างเปล่าที่อยู่ข้างกาย ภาพในความคิดของแทฮยองเป็นเช่นไร โฮซอกไม่อาจรับรู้ได้ หากรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขจนล้นปรี่เช่นนั้น เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย มันคงเป็นรอยยิ้มที่มีไว้ให้คนเพียงคนเดียวเท่านั้น


    โฮซอกเหลือบมองโต๊ะที่ตั้งอยู่ติดฝาผนังไม่ใกล้จากโซฟา กรอบรูปเหลี่ยมลายไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางโต๊ะเป็นรูปถ่ายของนัมจุนที่โอบกอดแทฮยองจากด้านหลังโดยมีฉากหลังเป็นชายทะเลยามพระอาทิตย์ตกดิน ไวโอลินตัวโปรดก็อยู่ไม่ห่าง ภาพแห่งความทรงจำที่งดงาม รอยยิ้มของแทฮยองที่อยู่ในรูปถ่ายกับที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นข้อยืนยันที่พิสูจน์ได้ดียิ่งกว่าเหตุผลใดๆ


    ถ้านายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นพี่กับคุณโฮซอกกลับเลยแล้วกัน ไว้อาทิตย์หน้า นายค่อยกลับไปทำงานก็ได้


    เพียงแค่แทฮยองกลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกต่อไป กลายเป็นพวกเขาเสียอีกที่ต้องรีบไป เพื่อไม่ให้แทฮยองระแคะระคายที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยทักทายกับนัมจุนเลย


    ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ

     

    แทฮยองเดินออกมาส่งทั้งสองคนที่หน้าประตู โฮซอกมองเห็นมือเรียวที่ยังคงทำเหมือนกุมมือใครสักคนเอาไว้แน่น


    แล้วเจอกันครับ


    แทฮยองโบกมือลาทั้งคู่ โดยไม่ได้นึกสงสัยที่ทั้งสองคนไม่คุยกับคนรักของตนเลยสักนิด เสียงหวานที่ติดจะแหบพร่าอยู่บ้างพูดกับพื้นที่ว่างด้านขวาของตนด้วยน้ำเสียงสดใสจนคนที่เพิ่งจะเดินไปไม่กี่ก้าวยังรู้สึกได้


    โฮซอกหันกลับไปมองโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาตกตะลึงจนก้าวขาไม่ออก ต้องกะพริบตาซ้ำๆ ให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด ไม่ได้คิดไปเอง


    เขามองเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างแทฮยอง ราวกับจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ ผู้ชายคนนั้นส่งยิ้ม และพยักหน้าให้เขา ก่อนจะโค้งตัวลงก้มศีรษะแสดงความขอบคุณ และกลับเข้าห้องไปพร้อมกับแทฮยอง


    เสียงปิดประตูทำให้โฮซอกรู้สึกตัว เขานึกถึงรูปถ่ายริมชายทะเลที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก ใบหน้าของชายหนุ่มคนที่เขาเห็นเมื่อครู่ คือคนๆ เดียวกับในรูปถ่ายนั่นไม่ผิดแน่!

     

    ...ไม่ใช่ว่าไวโอลินตัวนั้นเป็นตัวแทนของนัมจุน

    แต่นัมจุนมีชีวิตอยู่ในไวโอลินตัวนั้นต่างหาก!

     

                โฮซอกหันไปหาเจ้าของร้านหนุ่ม พร้อมกับที่เจ้าตัวก็หันมาหาเขาเช่นกัน สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามได้คำตอบเพียงแค่มองตา

     

    นัมจุนไม่เคยจากไปไหน

    ไม่ว่าจะยามอยู่ หรือยามตาย

    ผู้ชายคนนี้ยังคงรักษาสัญญา

    ...สัญญาที่ว่าจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป

     

    Always with you.

     

    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×