ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Do Androids Dream of Electric Sheep? (Novel - Thai Edition)

    ลำดับตอนที่ #4 : 3 เพื่อนบ้าน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 386
      8
      19 ธ.ค. 62

    https://media0.giphy.com/media/Nmz5kSsYWLzjO/source.gif
    3

    เพื่อนบ้าน


    โทรทัศน์เครื่องหนึ่งเปิดอยู่ในอพาร์ตเมนต์ร้างที่อยู่ไกลจากใจกลางซานฟรานซิสโก ก่อนช่วงปลายสงครามโลก ตึกได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี แต่ตอนนี้ เจ้าของอพาร์ตเมนต์แห่งนี้หรือแห่งไหน หากไม่ตายก็อพยพไปอยู่บนดาวดวงอื่น มีเหลือเพียงสองสามคนให้ได้คิดถึง

    ไม่มีใครจดจำได้แท้จริงว่าสงครามเกิดจากอะไรหรือใคร หมายถึงหากมีใครชนะ ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์ที่ปกคลุมโลกมาจากประเทศไหนก็ไม่รู้ และไม่มีใครวางแผนรับมือกับมัน หลังจากสงคราม สัตว์ก็ตายลง ดวงอาทิตย์หยุดทอแสง และผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนให้อพยพ คนที่ย้ายไปจะได้แอนดรอยด์ไปทำงานรับใช้ภายใต้กฎหมายสหประชาชาติ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะไปและเป็นเรื่องยากมากที่จะอยู่ ไม่กี่พันคนที่เหลืออยู่ย้ายไปยังพื้นที่ที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันและเห็นหน้าค่าตากันได้ มีคนประหลาดไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ลำพังในชานเมือง จอห์น อิซิดอร์ ผู้ฟังเสียงจากโทรทัศน์ขณะโกนหนวดไปด้วย คือหนึ่งในคนพวกนั้น

    มาฟังคุณแม็กกี คลักแมนพูดกันครับ” โฆษกในทีวีกำลังพูด “เธอเพิ่งย้ายไปอยู่ที่ดาวอังคารเมื่อไม่นานมานี้ คุณคลักแมนครับ ชีวิตสุดคึกคักของคุณในนิวนิวยอร์กเป็นยังไงบ้าง เมื่อเทียบกับความลำบากตอนอยู่บนโลก”

    กิดความเงียบครู่หนึ่ง แล้วเสียงที่อ่อนล้าของหญิงในวัยกลางคนก็ดังขึ้น “อ๋อ มันยอดเยี่ยมมากค่ะที่ได้มีแอนดรอยด์ให้พึ่งพา ก่อนเราจะย้ายไป ฉันกับสามีกังวลกันมากว่าเราอาจกลายเป็นพวกพิเศษ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว”

    ฉันก็เหมือนกัน จอห์น อิซิดอร์คิด แล้วฉันก็ไม่ต้องอพยพด้วย เขากลายเป็นพวกพิเศษมาได้กว่าหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่สอบไม่ผ่านแม้กระทั่งบททดสอบสติปัญญาขั้นพื้นฐาน คำเรียกขานที่ป๊อปปูลาร์สำหรับคนอย่างเขาก็คือ หัวกลวง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ เขาได้งานเป็นคนขับรถบรรทุกบริษัทซ่อมสัตว์ปลอม และคุณสโลต เจ้านายของเขา ก็ยอมรับเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มีพวกหัวกลวงที่โง่เง่ากว่าอิซิดอร์อีกมาก

    “งั้นสามีของคุณก็ไม่เคยมั่นใจ” โฆษกว่าต่อ “ว่าชุดป้องกันของเขาจะ...”

    อิซิดอร์โกนหนวดเสร็จแล้วก็ไปปิดทีวี ความเงียบมาจากกำแพง พื้น เพดาน และเครื่องจักรทุกอันในอพาร์ตเมนต์ที่หยุดทำงานไปแล้วหลายปี เขารับรู้ถึงความเงียบทั้งด้วยตาและหู มันเกือบจะมีชีวิต

    คนอื่นรู้สึกถึงความว่างเปล่านี้ด้วยหรือเปล่า หรือเป็นเฉพาะพวกพิเศษอย่างเขา เขาอยากถามใครสักคน แต่ก็ไม่มีใครให้ถาม มีอพาร์ตเมนต์นับพันห้องในตึก ทุกห้องร้างและกำลังพังไปทีละน้อย สุดท้ายพวกมันก็จะถูกฝังอยู่ใต้ฝุ่น แต่จากนั้น แน่นอนว่าเขาก็จะตายด้วย

    เขาควรเปิดทีวีอีกครั้ง แต่มันทำให้เขากลัว รายการทีวีมีเพื่อพวกปกติ และได้เพียงย้ำเตือนว่าพวกพิเศษอย่างเขาอพยพไม่ได้แม้จะต้องการ แล้วจะฟังไปทำไม เขาคิดอย่างขุ่นเคือง หวังว่าจะเกิดสงครามขึ้นบนนั้น และทุกคนที่อพยพไปจะกลายเป็นพวกพิเศษ

    ใช่แล้ว เขาคิด ถึงเวลาทำงานแล้ว เขาเปิดประตูและมองดูทางเดินที่มืดสนิท อีกครั้งแล้วที่เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าของตึก เขาไม่พร้อมจะปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าว่างเปล่าที่เขาไม่ได้มีสัตว์เลี้ยง เขาปิดประตูอีกครั้งแล้วเดินข้ามห้องไปยังกล่องอารมณ์ร่วมสีดำของตัวเอง เขาเปิดมัน ถือด้ามจับทั้งสองข้างไว้แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ไฟติดแล้วรูปภาพก็ปรากฏขึ้นบนจอ เป็นภาพตีนเขาสีน้ำตาลที่แห้งแล้งใต้ฟ้ามืดมิดไร้ดวงตะวัน กับชายแก่ร่างผอมในชุดหลวมโพรกที่ไม่สวมรองเท้า ชายผู้นั้น วิลเบอร์ เมอร์เซอร์ เดินขึ้นเขาช้าๆ และจอห์น อิซิดอร์ที่ถือด้ามจับก็พบว่าตนเข้าไปอยู่ในภาพ ตอนนี้เป็นเท้าของเขาแล้วที่เดินขึ้นไปบนเขา ฝ่าเท้ารู้สึกถึงความสากที่คุ้นเคย และได้กลิ่นขื่นๆของท้องฟ้า – ไม่ใช่ท้องฟ้าของโลก แต่เป็นท้องฟ้าในดินแดนที่อยู่ไกลออกไป ดินแดนที่เขาไปถึงได้ทุกเวลาผ่านทางกล่องอารมณ์ร่วม

    เขาก็เหมือนกับทุกคนที่ถือด้ามจับในช่วงเวลานี้ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับวิลเบอร์ เมอร์เซอร์ กับคนอื่นบนโลกและบนดาวดวงอื่น พวกเขาต่างจดจ่อกับภูเขา กับความต้องการที่จะปีนเขา ไม่มีทางมองเห็นปลายทางได้ แต่สักวันนั้นจะมาถึง

    มีหินมาทางเขา – วิลเบอร์ เมอร์เซอร์ หรือคนอื่น – มันโดนแขนเขา เขารู้สึกถึงความเจ็บ หินอีกลูกลอยหวือผ่านไปแต่พลาดเขาไป ใครทำ เขาหันไปมองแต่ไม่เห็นคนทำร้าย พวกนั้นทำแบบนี้เสมอคือตามขึ้นไปบนเขาด้วย เขาลุกขึ้น พัก และลูบแผลที่แขน ทำไมเราถึงอยู่ลำพังบนนี้กับความเจ็บปวดของเรา เขาคิด จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของคนอื่นข้างในตัว พวกเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดด้วย แล้วก็เดินไปกับเขาด้วย เขาไม่ได้อยู่ลำพัง

    ครั้งหนึ่ง เขาจดจำได้ ชีวิตไม่ใช่แบบนี้ เขามีวัยเด็กที่ดี เขารักทุกชีวิต โดยเฉพาะสรรพสัตว์ ที่จริงช่วงหนึ่งเขาเคยคืนชีวิตให้กับสัตว์ที่ตายแล้ว ก่อนพวกนักฆ่าจะมาจับกุมตอนอายุสิบหก บอกว่ามันผิดกฎหมายแล้วที่จะคืนชีพให้กับสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว พวกนั้นทำลายสมองเขาด้วยกัมมันตภาพรังสีบางอย่าง แล้วเขาก็ร่วงลงไปยังโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยสัตว์ตายและกระดูก เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสัตว์ที่ตายแล้ว และหนีไปไหนไม่ได้จนกว่าพวกมันทุกตัวจะโตอีกครั้ง สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น และพวกเขาก็เริ่มปีนขึ้นไปด้วยกัน จากนั้นเขาก็เดินอยู่เพียงลำพัง แต่คนอื่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขารู้สึกถึงคนพวกนั้นได้

    อิซิดอร์ยืนถือด้ามจับ ได้ประสบกับตัวเองและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก แล้วเขาก็ปล่อยมัน มันต้องจบ เป็นแบบนั้นเสมอ และยังไงเขาก็เจ็บแขนอยู่ดี เขาเดินอย่างเชื่องช้าไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างแผล บางคน โดยเฉพาะคนแก่ ตายตอนถูกหินปาใส่ ในเมืองมีหมอให้โทรเรียกได้ แต่ไม่ใช่ในชานเมือง เขาเช็ดแขนจนแห้งแล้วก็ได้ยินเสียงทีวีแว่วมา

    มีใครคนหนึ่งอยู่ในตึก เขาคิด ไม่อยากจะเชื่อ อยู่ต่ำลงไปสองหรือสามชั้นในอพาร์ตเมนต์ห้องใดห้องหนึ่ง ตอนนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว จะทำยังไงเมื่อมีเพื่อนบ้านใหม่ย้ายมาอยู่ ไปขอยืมอะไรสักอย่างหรือเปล่านะ เขาจำไม่ได้แล้ว ผู้คนย้ายออกไป ผู้คนอพยพไป แต่ไม่เคยมีใครย้ายเข้ามา เอาบางอย่างไปให้ไง เขาตัดสินใจอย่างนั้น อย่างนมสักแก้วหรือไม่ก็ไข่ – หรือที่ถูกต้องแน่นอนที่สุดคือสิ่งที่คนทุกวันนี้กินแทนนมกับไข่ เขาเจอเนยเทียมชิ้นเล็กๆในตู้เย็น


    หัวใจของเขาเต้นแรงขณะออกจากห้องและตามเสียงไป ต้องไม่ให้รู้ว่าเราเป็นคนหัวกลวง เขาคิด ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนหัวกลวง เขาก็จะไม่คุยกับเรา มันเป็นอย่างนี้ตลอด อิซิดอร์รุดไปตามทางเดิน

    ขณะเดินไปตามบันไดฝุ่นเขรอะ อิซิดอร์ก็จดจำได้ว่ามันเป็นเสียงที่คุ้นเคยของบัสเตอร์ เฟรนด์ลีจากในโทรทัศน์

    “...และฝุ่นก็จะยิ่งร้ายแรงเป็นพิเศษในช่วงกลางวัน ถ้าคุณคิดจะออกไปข้างนอก ก็รอจนเย็นดีกว่านะครับ พูดถึงการรอ เหลืออีกแค่สิบชั่วโมงเท่านั้นที่จะได้ฟังข่าวใหญ่กัน เป็นรายงานพิเศษของผมเอง บอกเพื่อนคุณให้ดูด้วยนะครับ! มันเป็นเรื่องที่จะทำให้คุณอึ้งสุดๆไปเลย...”

    ตอนที่อิซิดอร์เคาะประตูอพาร์ตเมนต์ เสียงจากทีวีก็เงียบลง เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่หลังบานประตู กับความกลัวของใครสักคนที่ไม่อยากเจอเขา

    “เฮ้” เขาร้องทัก “ผมอยู่ชั้นบน ผมได้ยินเสียงทีวีของคุณ ออกมาเจอกันหน่อยครับ” เขานิ่งรอและคอยฟัง ไม่มีทั้งเสียงและการเคลื่อนไหว “ผมเอาเนยมาให้คุณด้วย” เขาว่า “ผมชื่อเจ อาร์ อิซิดอร์ และผมทำงานให้กับหมอสัตว์ คุณแฮนนิบาล สโลต ผมมีงานการที่เชื่อถือได้”

    ประตูแง้มออกเล็กน้อยแล้วเขาก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง เธอดูตื่นกลัว ดูป่วย และดูอ่อนแอมาก เธอพยายามจะยิ้ม

    “เธอนึกว่าตึกนี้ไม่มีคนเหรอ” เขาถามเมื่อตระหนักรับรู้ได้

    “ค่ะ” เด็กสาวกระซิบตอบ

    “แต่” อิซิดอร์ว่าต่อ “มันดีนะที่ได้มีเพื่อนบ้าน ฉันไม่เคยมีสักคนจนกระทั่งเธอมา”

    คุณเป็นคนเดียวในนี้นอกจากฉันเหรอคะ” เธอดูอายน้อยลง เขาเห็นว่าเธอรูปร่างหน้าตาดีและตาสวย ในห้องข้างหลังเธอมีกระเป๋าเดินทางเปิดอ้าอยู่ ของระเกะระกะทั่วพื้น

    ฉันเป็นเพื่อนบ้านคนเดียวของเธอ” อิซิดอร์ตอบ “และฉันจะไม่รบกวนเธอ” เขารู้สึกเศร้า เธอดูสับสน เขารู้ และเธอก็ดูจะไม่เข้าใจเรื่องเนยด้วย “บัสเตอร์เพื่อนยาก” เขาพูดขึ้น พยายามจะสร้างบทสนทนา “เธอชอบเขาเหรอ ฉันดูเขาทุกเช้าแล้วก็หลังเลิกงานก่อนเข้านอน หรือไม่ก็เคยเป็นอย่างนั้นจนทีวีของฉันพัง ตอนนี้ฉันดูได้แค่ช่องเดียว”

    “ใคร...” เด็กสาวเริ่มพูด แล้วเธอก็หยุด กัดริมฝีปาก

    บัสเตอร์ เฟรนด์ลี” เขาอธิบาย มันแปลกที่เธอไม่รู้จัก “เธอมาจากที่ไหน” เขาถามอย่างสงสัย

    ไม่สำคัญหรอก” เธอรีบตอบ มองดูเขาอย่างระมัดระวังและดูจะพึงพอใจกับสิ่งที่เห็น “ฉันอยากคุยกับคุณนะ” เธอว่าต่อ “แต่เป็นทีหลัง ตอนฉันจัดห้องเสร็จแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้”

    ทำไมตอนนี้ไม่ได้” เขาไม่เข้าใจ ทุกอย่างของเธอช่างแปลกประหลาดสำหรับเขา บางทีเราอาจอาศัยอยู่คนเดียวในนี้นานเกินไป เขาคิด เรามันเป็นพวกหัวกลวงจริงด้วย “ฉันไปดูอพาร์ตเมนต์ห้องอื่นแล้วหาเฟอร์นิเจอร์มาให้เธอได้นะ” เขาเสนอ

    “ฉันจะทำเอง” เด็กสาวตอบ “คนเดียว”

    “เธออยากเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ว่างเปล่าคนเดียวเหรอ” เขาไม่อยากเชื่อ

    “ทำไมล่ะ” อีกครั้งแล้วที่เธอดูอึดอัด เธอรู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป

    “ทั้งตึกมีแต่ขยะที่ผู้คนทิ้งไว้ตอนตายหรืออพยพ ตอนเธอหลับ ขยะก็เพิ่มพูนมากขึ้นมากขึ้น”

    “เข้าใจแล้ว” เด็กสาวพูดอย่างลังเล

    “สุดท้ายมันก็มีอยู่ทุกที่เลย เราเอาชนะมันไม่ได้”

    “ทำไมล่ะ” เธอถาม

    ไม่มีใครชนะขยะได้” เขาตอบ “ฉันควบคุมมันได้ในอพาร์ตเมนต์ของตัวเอ แต่ถ้าฉันตายหรือย้ายไป ขยะก็จะปกคลุมอีกครั้ง ทั้งโลกกำลังก้าวไปในทิศทางนั้น ยกเว้น แน่นอน การปีนเขาของวิลเบอร์ เมอร์เซอร์”

    เด็กสาวมองเขา “ฉันไม่เห็นความเชื่อมโยงเลย”

    เมอร์เซอร์ริสซึมเป็นอย่างนั้น” เขาตอบ รู้สึกทึ่ง “เธอไม่มีกล่องอารมณ์ร่วมเหรอ”

    หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เด็กสาวก็พูดอย่างระวัง “ฉันไม่ได้เอามาด้วย ฉันนึกว่าจะมีกล่องหนึ่งที่นี่”

    แต่กล่องอารมณ์ร่วม” เขาร้อง “เป็นของส่วนตัวมาก! มันเป็นส่วนหนึ่งของเธอ เป็นวิธีที่เธอจะได้รู้สึกถึงมนุษย์คนอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ลำพัง แต่เธอรู้อยู่แล้ว ทุกคนรู้อยู่แล้ว เมอร์เซอร์ถึงกับยอมให้คนอย่างฉัน...” เขาหยุดพูด แต่มันสายไปแล้ว เขาเห็นท่าทีไม่พอใจบนใบหน้าเธอ เธอรู้ “ฉันเกือบผ่านการทดสอบสติปัญญา” เขาพูดเสียงต่ำ “ฉันไม่ได้เป็นพวกพิเศษจ๋า ไม่เหมือนบางคน แต่เมอร์เซอร์ไม่สนเรื่องนั้น”

    “สำหรับฉัน นั่นล่ะคือปัญหาของเมอร์เซอร์ริสซึม” เด็กสาวพูดชัดเจน

    “ฉันคงต้องกลับขึ้นห้องแล้วสินะ” เขาพูด หันหลังให้กับเธอ เนยละลายอยู่ในมือเขา

    เด็กสาวมองเขาเดินจากไปแล้วก็ตะโกนขึ้นมาว่า “เดี๋ยว!

    เขาหันกลับไปหาเธอ “อะไร” เขาถาม

    “ฉันอยากให้คุณช่วยเรื่องเฟอร์นิเจอร์ คุณเลิกงานกลับมากี่โมง คุณช่วยฉันตอนนั้นได้”

    รู้ชื่อฉันหรือยัง” เขาพูดอย่างกระตือรือร้น “จอห์น อิซิดอร์ และฉันทำงานให้...”

    “...คนที่มีชื่อไม่น่าฟังอย่างแฮนนิบาล สโลต ที่อาจมีตัวตนจริงเฉพาะในหัวคุณ” เธอมองเขาอย่างเย็นชา “ฉันชื่อพริส สแตรตตัน เรียกฉันว่าพริสก็ได้” เธอหยุดคิดครู่หนึ่ง “ไม่ เรียกฉันว่าคุณสแตรตตัน เพราะเราไม่ได้รู้จักกันจริงๆ อย่างน้อย ฉันก็ไม่รู้จักคุณ” เธอปิดประตูและเขาก็พบว่าตัวเองอยู่คนเดียวในทางเดิน

    เราจะทำมื้อค่ำให้เราทั้งคู่ตอนค่ำนี้ อิซิดอร์ตกลงใจขณะเดินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของตัวเอง เธออาจเปลี่ยนใจและยอมให้เราเรียกเธอว่าพริส

    เธอแปลก เขาคิด ขณะสวมชุดเครื่องแบบทำงานสีขาว เขาจะไปทำงานสาย แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา เธอไม่เคยได้ยินชื่อบัสเตอร์ เฟรนด์ลี และมันเป็นไปไม่ได้ บัสเตอร์เป็นมนุษย์ที่มีค่าที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ – ถ้าไม่นับวิลเบอร์ เมอร์เซอร์ แต่เมอร์เซอร์ไม่ใช่มนุษย์ เธออาจต้องการความช่วยเหลือ เราช่วยเธอได้มั้ยนะ เขาถามตัวเอง พวกพิเศษ พวกหัวกลวง เราจะไปรู้อะไรล่ะ เราแต่งงานไม่ได้ อพยพไม่ได้ และสุดท้ายเราก็จะตายเพราะฝุ่น เราไม่มีอะไรจะให้หรอก เขาเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าและไต่เข้าไปในโฮเวอร์คาร์คันเก่าของตัวเอง


    หนึ่งชั่วโมงถัดมา เขาก็ไปรับแมวหุ่นยนต์ที่ทำงานไม่ปกติ และขับรถกระบะพามันไปที่โรงพยาบาลสัตว์แวนเนส แมวทำเสียงที่ใช่เลยสำหรับสัตว์ป่วย เกือบเหมือนของจริง

    ว้าว อิซิดอร์ร้องกับตัวเอง ไม่ใช่ในทางที่ดีด้วย เขาจอดรถบนดาดฟ้าและมองหาแผงควบคุมสัตว์ตัวนี้ เขาหาไม่เจอ และขณะที่มองหา แมวก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว เจ้าของไม่ได้ดูแลมันอย่างถูกต้อง อิซิดอร์คิด มาซ่อมมันตอนนี้จะแพงมาก เขาเริ่มขับกลับไปที่ร้านซ่อม

    เขาเปิดวิทยุและฟังบัสเตอร์ เฟรนด์ลีเป็นเพื่อนร่วมทาง มันก็เหมือนรายการทีวี คือรายการวิทยุของบัสเตอร์ออกอากาศวันละยี่สิบสามชั่วโมง เขากำลังสัมภาษณ์หนึ่งในสาวสวยที่ไม่ได้ร้องเพลงหรือเล่นละคร พวกเธอมีชื่อเสียงแค่เพราะเป็นแขกรับเชิญของบัสเตอร์ เฟรนด์ลี บัสเตอร์จัดการทั้งรายการทีวีและรายการวิทยุได้ยังไง อิซิดอร์สงสัย แล้วทำไมสาวๆถึงมีเรื่องใหม่ๆมาพูดตลอด

    เรื่องหนึ่งของบัสเตอร์ที่อิซิดอร์หงุดหงิด คือบางครั้งเขาจะล้อเลียนกล่องอารมณ์ร่วม และเขากำลังทำอยู่

    และถ้าผมจะขึ้นไปบนภูเขา” เขาพูดกับแขกรับเชิญ “ผมก็อยากได้เบียร์สักสองขวดไปด้วย!

    จอห์น อิซิดอร์รู้สึกโกรธ ทำไมบัสเตอร์ถึงวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่นึกถึงคนอื่น ขนาดสหประชาชาติก็ยังสนับสนุนรายการของเขา บัสเตอร์อาจอิจฉาวิลเบอร์ เมอร์เซอร์ อิซิดอร์คิด บางทีพวกเขาอาจแข่งขันกัน แต่ทำไปทำไมล่ะ

    ใจของเรา อิซิดอร์ตกลงใจ เราจะต้องบอกแฮนนิบาล สโลต ถามเขาว่ามันจริงมั้ย เขาจะรู้

    อิซิดอร์จอดรถบนดาดฟ้าโรงพยาบาลและอุ้มแมวลงไปที่ออฟฟิศของแฮนนิบาล สโลตชั้นล่าง คุณสโลตไม่ใช่พวกพิเศษ แต่แก่เกินจะอพยพไปได้ ฝุ่นทำให้หน้าเขาเป็นสีเทา และเขาก็เดินเหินได้อย่างลำบากมาก เขาไม่เคยเช็ดแว่น ดังนั้นเขาก็จะมองเห็นโลกผ่านฝุ่นหนาที่เกาะกัน

    “มีอะไรมา” คุณสโลตถาม

    “แมวมีปัญหาเรื่องวงจรครับ”

    คุณสโลตรับแมวมาจากเขา อิซิดอร์ว่าต่อ “ผมคิดว่าบัสเตอร์ เฟรนด์ลี กับเมอร์เซอร์ริสซึม กำลังสู้กันเพื่อควบคุมเรา”

    ถ้าเป็นอย่างนั้น” สโลตตอบพลางตรวจสอบแมว “บัสเตอร์ก็ชนะ”

    “เขาชนะตอนนี้” อิซิดอร์พูด “แต่สุดท้ายเขาจะแพ้”

    คุณสโลตเงยหน้าขึ้น “ทำไม”

    “เพราะวิลเบอร์ เมอร์เซอร์คงอยู่ตลอดไป เขาไม่มีวันตาย เขาจะบาดเจ็บและร่วงหล่นบนยอดเขา แต่เขาจะผงาดขึ้นมาได้เสมอ และเราก็จะผงาดไปกับเขา” อิซิดอร์รู้สึกดี ปกติเขาไม่เคยพูดคุยกับคุณสโลตได้ง่ายดายนัก

    สโลตพูด “บัสเตอร์ก็เหมือนเมอร์เซอร์ เขาไม่มีวันตาย”

    “เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นมนุษย์”

    “ฉันไม่รู้” สโลตตอบ “แต่มันจริง พวกเขาไม่เคยยอมรับหรอก แหงแซะ...แมวตัวนี้ไม่ใช่ของปลอม! ฉันรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น และมันตายแล้ว” เขาจ้องมองศพแมวแล้วก็ส่ายหน้า “สิ่งมีชีวิตอีกสายพันธุ์ตาย หัวกลวง นายดูไม่ออกหรือไง”

    คุณสโลตไม่เคยเรียกเขาว่าหัวกลวงมาก่อน ไม่ใช่ต่อหน้าเขา

    ผมค...คิดว่า” อิซิดอร์พยายามจะพูด  “พวกเขาสร้างมันได้ดีม...มาก ผมเห็นว่ามันดูมีชีวิตและ...”

    “สัตว์ตายอีกตัว” คุณสโลตย้ำอย่างเศร้าสร้อย

    เมอร์เซอร์บอกว่า” อิซิดอร์ย้ำกับเขา “ทุกชีวิตจะกลับมา เราทุกคนปีนไปกับเขา ตาย...”

    “พูดแบบนั้นกับเจ้าของแมวสิ” คุณสโลตว่า “โทรหาเขาเดี๋ยวนี้เลย”

    คุณให้ผมทำเหรอ” อิซิดอร์ถาม หัวใจของเขาหยุดเต้น เขาเกลียดวิดีโอโฟน “ปกติคุณจะเป็นคนโทรนี่ ผมขี้เหร่ สกปรก ฝุ่นเขรอะ ผมไม่สบาย ผมว่าผมกำลังจะตาย”

    “ทำซะ หัวกลวง ไม่งั้นก็เตรียมตกงาน” สโลตพูดอย่างมีน้ำโห

    ผมม...ไม่ชอบช...ชื่อหัวกลวง ฝ...ฝุ่นมีผลกระทบกับเราทุกคน ม...ไม่ใช่แค่ผม” เราโทรบอกไม่ได้ เขาคิด แต่แล้วเขาก็จำได้ เจ้าของแมวไปทำงาน เขาเห็นชายคนนั้นออกจากอพาร์ตเมนต์ “ผมว...ว่าผมโทรได้” เขาพูดขณะหาเบอร์โทร

    เขาโทรหา แล้วใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนจอ “คะ?” หล่อนว่า

    ค...คุณพิลเซนเหรอครับ” อิซิดอร์ถาม ตัวสั่นด้วยความกลัว “ผมมอยากค...คุยกับคุณเรื่องม...ม...ม...แมวของคุณ มันตายแล้ว”

    “ไม่นะ” เธอร้องออกมา

    เราจะหาตัวใหม่ให้” อิซิดอร์ได้ยินตัวเองพูดอย่างนั้น “บอกมาเลยครับว่าคุณอยากได้แบบไหน”

    ฮอเรซตายแล้ว!” คุณพิลเซนร้อง “มีแมวอย่างฮอเรซตัวเดียว ตอนที่เขายังเด็ก...”

    อิซิดอร์นึกบางอย่างออก “คุณอยากได้แมวหุ่นยนต์ที่โคลนสำเนาจากฮอเรซมั้ยครับ” เขาถาม “พิมพ์เดียวกันเปี๊ยบ”

    หือ คุณว่าอะไรนะคะ” คุณพิลเซนร้อง “แต่ค่ะ คุณพูดถูก เราจะไม่บอกสามีฉัน เขาไม่จำเป็นต้องรู้”

    คุณสโลตฉวยโทรศัพท์ไปจากอิซิดอร์ “แน่ใจเหรอครับคุณผู้หญิง” เขาถาม “เพื่อนบ้านไม่รู้หรอก แต่เจ้าของรู้เสมอ เมื่อคุณอยู่ใกล้สัตว์ปลอม...”

    สามีของฉันไม่เคยเข้าใกล้ฮอเรซจริงๆหรอกค่ะเพราะเขากลัวจะเสียมันไป ฉันดูแลมันเอง ฉันว่าฉันคงชอบสัตว์ปลอมได้ ฉันไม่คิดว่าสามีจะก้าวผ่านการตายของฮอเรซไปได้ เป็นเหตุผลว่า ตอนที่มันป่วย เราถึงรอนานมากกว่าจะโทรเรียกคุณ นานเกินไป...ฉันรู้ตั้งแต่ก่อนคุณจะโทรมาแล้วค่ะ ใช้เวลานานแค่ไหนคะ”

    สิบวันครับ เราจะเอามันไปส่งตอนสามีคุณอยู่ที่ทำงาน” คุณสโลตกล่าวอำลาแล้วก็วางสาย เขามองอิซิดอร์ “ไม่เลวนะ” เขาว่า “บางทีนายอาจไม่ได้โง่จริงๆก็ได้”

    ผมจะเอาแมวไปวัดขนาดและถ่ายรูปนะครับ” อิซิดอร์บอก เขารู้สึกมีความสุขมากๆ

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    (Dec 19, 2019)


    (C)ELIZILE
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×