ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    +Melt (B.A.P ; lodae)

    ลำดับตอนที่ #5 : o4

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 57








    o4











     

     

     

                   แดฮยอนขมวดคิ้วมุ่น  ตอนแรกคิดว่าถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายกอดไปเรื่อยๆแบบนี้  สักพักก็จะหลุดเป็นอิสระเอง  แต่เขาคิดผิดถนัด  เพราะนอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว  ยังมีแต่จะรั้งตัวเขาไปใกล้แล้วกอดแน่นมากกว่าเก่า

     

                   ..โอเค  มันจะไม่เป็นอะไรหรือเดือดร้อนมากหรอกถ้าแค่กอดเฉยๆ  ถึงจะรู้สึกแหยงๆนิดๆหน่อยๆด้วยความที่ว่าเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่แล้ว  นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก

     

                   ไม่มีอะไรมาก.....

     

     

     

     

     

                   บ้าเอ้ย

     

                   มือของเด็กหนุ่มเจ้าของห้องทุบลงไปบนไหล่ของคนที่กอดตัวเองรัวๆ  เมื่ออีกคนไม่สะทกสะท้านอะไรเลยก็เปลี่ยนมาใช้มือผลักหัวทุยๆของคนตรงหน้าออกจากหน้าท้องตัวเอง ยิ่งออกแรงผลักมากเท่าไหร่ คนที่ดูท่าจะนอนฝันหวานมากๆจนไม่ยอมตื่นขึ้นมาสักทีนั้นก็มีแต่รั้งจะซุกแน่นกว่าเก่า

     

                   แดฮยอนละมือออกแล้วยกขึ้นสะบัดเบาๆหลายๆที  พยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อเป่ามือตัวเองเผื่อมันจะช่วยบรรเทาอาการปวดตุบๆนี้ลงได้บ้าง

     

                    ทั้งทุบทั้งตีจนคนทำเจ็บมือขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่ตื่นอีก 

     

                    คนตัวเล็กกว่านอนแหมะเป็นหมอนข้างให้แขกที่ไม่เต็มใจรับเชิญของห้องนอนกอด  ก่าย  และซุกตามใจอยากมาเป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงแล้ว  ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่าเขาคงประสาทตามหมอนี่แน่ๆว่าถ้ารำคาญมากมายขนาดนี้ ทำไมไม่ใช้วิธีรุนแรงเหมือนที่อีกคนเคยทำ ถีบมันออกไปให้พ้นๆสักที

     

                   ไม่ใช่ทำไม่ได้หรอกนะ

     

                    ว่าแล้วเจ้าตัวก็ใช้เท้ายันคนหลับอีกที  ผลที่ได้รับคืออ้อมกอดที่แน่นขึ้นคล้ายจะรัดคนดื้อที่ขยุกขยิกไปมารบกวนการนอนไม่ให้ขยับร่างกายได้อีก

     

                   นี่ไง  ยิ่งถีบยิ่งกอด  บ้าที่สุด  เขาคิดผิดตั้งแต่เก็บมันมาดูแลอีกรอบแล้ว

     

                   “อือ...”

     

                   เจ้าของห้องหรี่ตามองหัวสีน้ำเงินหม่นๆนั่นที่นอนซุกท้องตนอยู่ส่งเสียงงึมงำในลำคอก่อนจะใช้แขนที่รวบเอวเขาไว้อยู่นั้นพลิกตัวคนตัวเล็กไปอีกฝั่ง  แล้วก็เขยิบตามมาเอาแขนโอบรอบเอวบางนอนกอดเหมือนเดิม  ก่อนปากบางนั่นจะส่งเสียงพึมพำออกมาแผ่วเบา

     

                   “หนาว....”  พร้อมกับอ้อมแขนที่กอดรัดเขาแน่นขึ้น

     

                   เด็กหนุ่มยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรงๆ  ก็ต้องหนาวแน่นอนอยู่แล้ว  ไปนอนตากฝนทั้งๆที่ไข้ยังไม่หายดีแบบนั้นน่ะนะ  เด็กประถมยังรู้เลยว่านอกจากจะไม่หายไข้แล้วยังจะได้ของแถมเป็นหวัดมาฟรีๆแบบไม่ได้ต้องการอีกด้วย

     

                   เขาถอนหายใจออกมา ดวงตากลมโตหลุบมองคนที่บ่นว่าหนาว

     

                  “หนาวก็ห่มผ้า  ไม่ใช่ห่มเนื้อ....”

     

                   คงเพราะร่างกายที่สั่นเทาเล็กน้อยยามปากบางนั่นบ่นว่าหนาวจบ  และท่าทางที่ดูเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆที่อ้อนเจ้าของเวลาไม่สบาย  แดฮยอนจึงรู้สึกใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อย  เด็กหนุ่มพลิกตัวหันไปหาคนหลับ  ก่อนจะค่อยยื่นมือไปหมายจะกอดคนตรงหน้า  แต่ก็พลันชะงักค้างก่อนถึงตัวอีกคน  มือเรียวกำแน่น  แล้วลดลงอย่างช้าๆมาอยู่ในท่ากอดอก  เขาเอนหัวไปซบอกอีกฝ่ายเพื่อที่จะจัดท่าตัวเองให้อีกคนที่นอนกอดนั้นสบายขึ้น



     

     

                   ที่ยอมให้.... เพราะสงสารหรอกนะ...



     

     

                  ใจดีให้แล้ว.....ตื่นมาอย่าโวยก็แล้วกัน....

     

     

     

     

     

     






     

    ------------------------------------------------

     

     

                   แว่วเสียงบรรเลงของเปียโนดังขึ้นแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงัด  มือเรียวเอื้อมไปหยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กมากดด้วยความเคยชิน  เสียงเพลงดับลงพร้อมกับสิ่งที่ถูกวางลงที่เดิม

     

                   “ฮืม...”

     

                   ดวงตากลมโตพยายามที่จะปรือขึ้น  แต่ความง่วงที่มีนั้นกลับทำให้เปลือกตาหนักขึ้นและค่อยปิดลงอีกครั้งเหมือนเดิม  แดฮยอนกะพริบตาถี่ๆก่อนผุดลุกขึ้นนั่งตาปรือ  มืออีกข้างที่ว่างนั้นยกขึ้นมาปิดปากหาวซ้ำอีกรอบ  คนตัวเล็กนั่งโอนเอนอยู่บนเตียงคล้ายจะทิ้งตัวลงนอนต่อได้ทุกเมื่อ

     

                   ความรู้สึกยามตื่นนอน  แลดูต่างกับช่วงเวลาก่อนที่เขาจะผล็อยหลับไปเสียมากมาย  อ้อมกอดอุ่นๆที่ตนไม่ต้องการแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้รู้สึกดีไม่น้อยเมื่อได้หลับท่ามกลางบรรยากาศเหล่านั้น  เช้านี้เขาตื่นมาโดยมีผ้าห่มผืนโตคลุมตัวไว้อย่างเรียบร้อย  ถึงจะอุ่นเหมือนกัน  แต่ร่างกายก็บอกได้ว่าความรู้สึกมันต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง

     

                   เดี๋ยวนะ....

     

                   ศีรษะเล็กๆหันไปรอบห้อง  สอดส่องสายตาหาสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาในชีวิตเขาเพียงแค่วันเดียว

     

                   แดฮยอนก้าวเท้าลงจากเตียง  ผลีผลามวิ่งไปเปิดประตูห้องน้ำอย่างแรง  ไร้ร่างคนที่ตามหา  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนก้าวถอยออกมาแล้วออกวิ่งไปอีกทาง  สองเท้าก้าวเร็วๆเปิดประตูเลื่อนที่เป็นทางเชื่อมระหว่างห้องกับระเบียงออกครืด  เมื่อยื่นหน้าออกไปมองกลับพบแต่ความเงียบ  และแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องสีทองมาอ่อนๆรำไรเพื่อบอกว่ารุ่งเช้าใกล้เข้ามาเยือนแล้ว

     

                   เขาถอนหายใจออกมาเบา  มือเลื่อนปิดประตูเลื่อนอย่างเดิมให้เรียบร้อยโดยไม่ลืมที่จะปิดผ้าม่านไว้ดังเดิม  ก่อนจะพยุงร่างตัวเองมาทิ้งตัวลงนั่งกับเตียงที่เขาเคยคิดว่าใหญ่  แต่กลับแคบลงไปถนัดตาในเมื่อคืนนี้  เมื่อคิดถึงคนที่ทำให้เตียงใหญ่ๆนี่เล็กลงได้ก็พลันถอนหายใจออกมาอีกรอบ

     

                   ตื่นมาแล้ว...ไม่โวยวายจริงๆด้วยนะ....

     

                   หันไปมองบนเตียงที่ยังปรากฏรอยยับให้เห็น  ส่ายหน้าช้าๆแล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาพับและจัดเตียงให้เรียบร้อย  เท่านี้... ก็ไร้ร่องรอย  เหมือนไม่มีใครเคยมานอนที่ตรงนี้แล้ว....

     


     

     

     

    .

    .

    .

                   “แดฮยอน...”

     

                   เสียงนุ่มเปล่งเรียกคนที่นั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่เช้า  แววตากลมโตนั้นหรี่ลง  คิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กๆนั้นคล้ายว่าจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะคลายลงพร้อมกับเสียงถอนใจแผ่วเบา

     

                   ยูยองแจไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเพื่อนสนิทของเขา  ปกติเพื่อนคนนี้มักจะเป็นคนที่ช่างพูด  เสียงเล็กๆที่เจื้อยแจ้วนั้นไม่เคยทำให้ใครรำคาญ  กลับกันนั้นมันกลับทำให้คนฟังนั้นชอบอกชอบใจกับอาการช่างพูดอย่างน่ารัก  แต่วันนี้นั้นนับว่าแปลกสนิท  แดฮยอนไม่เคยเหม่อลอย  ไม่เคยพูดน้อยจนนับคำที่พูดได้อย่างวันนี้

     

                   “แดฮยอน...”

     

                    ดูสิ  ขนาดเขาเรียกเป็นรอบที่สิบ  เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมหันหน้าเอาดวงตากลมโตนั้นมามองเขาเลย หรือแม้ตาการเหลือบมองมาหลังจากส่งเสียงเรียกก็ไม่ปรากฏให้เห็น

     

                   ใช่ว่ายูยองแจผู้ที่รู้ทันเกือบทุกเรื่องคนนี้จะสังเกตไม่ออกว่าเพื่อนเขาเป็นอะไร  แต่เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมเปิดปากพูดออกเหมือนปกติที่เมื่อมีปัญหาอะไรจะพุ่งเข้ามาเล่าโดยไม่ต้องขอ  เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้หรือไปซักถามให้มากความ  เพราะยิ่งไปเซ้าซี้ก็คงยิ่งจะได้รับความเพิกเฉยหนักกว่าตอนนี้  รอให้เจ้าตัวพูดออกมาเองจะดีกว่า

     

                   “กลับก่อนนะ...”

     

                   ยูยองแจพูดพร้อมเสียงเก้าอี้ที่เลื่อนครืดจนพนักพิงเก้าอี้ไปชิดกับขอบโต๊ะ  เด็กหนุ่มที่ยังคงเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างไปผงกหัวเล็กน้อย 

     

                   อย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าไม่ฟังเสียทีเดียว....  ยองแจยิ้มออกมาบางๆแล้วสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องไป

     

     

                   แดฮยอนไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้หรอก..

     

                   แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้  หงุดหงิดมากจนไม่มีอารมณ์จะทำอะไรใดๆทั้งนั้น  หัวใจที่เต้นแรงตุบๆยามเขาคิดถึงเรื่องที่น่าจะเป็นสาเหตุของความหงุดหงิดอยู่นั้นทำให้เขาเหนื่อยเกินจะพูดหรือตอบสนองอะไร  เหนื่อยเกินจะขยับปากหรือส่วนใดๆของร่างกาย  เพียงแค่มองก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยบนท้องฟ้านั้นก็ทำให้เหนื่อยเกินพอแล้ว

     

                   ความจริงแล้วเขาไม่น่าหงุดหงิด  เขาควรดีใจสิอย่างน้อยก็ไม่มีเสียงโวยวายเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างครั้งแรกที่พบนั่น  จะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียไปต่อปากต่อคำให้มากความ  ไม่ต้องใช้กำลัง  ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น

     

                   หรือเพราะเขากำลังรู้สึกไม่ดีที่จู่ๆอีกฝ่ายก็หายไปโดยไม่ทันเอ่ยขอบคุณตัวเอง ?

     

                   หลุดหัวเราะออกมาแผ่วเบากับความคิดที่ดูเหมือนคนเห็นแก่ของตอบแทนของตัวเองนี้แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า  เขานั่งคิดมาทั้งวัน  เมื่อเช้าหลังตื่นนอนมาแล้วพบว่าไม่มีคนอารมณ์ร้ายขี้โมโหคนนั้นนอนอยู่ที่เดิมก็วิ่งพล่านไปทั่วห้อง  ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นล่ะ  ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่ที่เดิม  ก็เท่ากับว่าเขาออกไปแล้ว  คนๆเดียวที่เจอกันเพียงวันเดียวทำไมต้องไปใส่ใจขนาดนั้น

     

                   จริงๆแล้ว..เขาอาจจะห่วง...

     

                   ห่วงว่าอีกคนที่ไม่ยังคงไม่สบาย  จะพาร่างของตัวเองกลับไปที่พักได้ไหม  ไม่ใช่ว่าไปนอนสลบอยู่ที่ไหนอีกหรือเปล่า

     

                   “นายนี่นะ...”

     

                   ปากบางขยับเอ่ยบ่นตัวเอง  กับคนที่เพิ่งพบกันแค่สองครั้งในวันเดียว  จะไปอะไรมากมายขนาดนั้น  ก็แค่ความบังเอิญที่พาให้พบเจอคนที่ผ่านเข้ามา  สุดท้ายก็ผ่านไป

     

                   เด็กหนุ่มไหวไหล่นิดก่อนลุกจากเก้าอี้หยิบกระเป๋าสบายเดินออกจากห้อง

     

     

     

     

                   “ได้ยินมาว่าไปมีเรื่องจนโดนพักการเรียนอีกแล้ว”

                   “จริงเหรอ  ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งโดนสั่งพักการเรียนไปนี่  ข้อหาอะไรนะ.. ชกอาจารย์หรือเปล่า”

     

                   บทสนทนาที่เด็กหนุ่มบังเอิญได้ยินยามเดินผ่าน  ไม่แปลกใจอะไรกับบทสนทนาของเหล่าหญิงสาวนี้  เขาไม่ได้ถือสาอะไรกับความที่พวกเธอช่างพูด  จะจริงหรือไม่จริง  คนฟังก็เป็นคนที่ต้องตัดสินเอาเองอยู่ดี

     

                   “เพิ่งย้ายโรงเรียนมานี่นา...”

                   “ได้ไม่กี่เดือนเองแหละ...แต่เขาบอกว่าหล่อนะ...น่ารักมากๆด้วย”

                   “ไม่จริงน่า คนแบบนี้เนี่ยนะ?”

     

                   แดฮยอนเลิกคิ้ว... มิน่าล่ะ  ช่วงนี้ถึงได้ยินสาวน้อยสาวใหญ่พูดถึงใครบางคนที่แลดูจะเป็นตัวปัญหาคนนี้บ่อยเหลือเกิน  คงเพราะด้วยความที่เขาคนนั้นหน้าตาดีสินะ

     

                   คนตัวเล็กส่ายหน้าไม่สนใจ  เขากระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ให้แน่นขึ้น  เท้าที่ก้าวเดินไปหมายจะรีบกลับห้องไปหาอะไรยัดลงท้องกลับพลันสะดุดกับประโยคสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่สาวน้อยสองคนที่ยืนคุยอยู่ตรงนั้นจะเดินจากไปอีกทาง

     

     

                   “เด็กผู้ชายผมสีน้ำเงินหม่น...ที่เขาเรียกกันว่าเซโล่ไงล่ะ”
















    ------------




     

     

    ...

     

                   ใจเย็นน่าแดฮยอน...

     

     

                  เขากุมมือตัวเองไว้หลวมๆ  ในขณะที่ใช้เท้าดันพื้นส่งแรงให้เจ้าชิงช้าตัวที่นั่งอยู่ไหวไกวเบาๆ  ดวงตากลมโตหลุบลงมองมือตัวเองบนหน้าตัก

     

     

                   คนที่สีผมแบบนั้น..ใช่ว่าจะมีคนเดียวบนโลก...

     

     

                   พยายามหาเหตุผลต่างๆมากล่าวอ้างเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดอะไรไปมากกว่านี้  แต่เคยได้ยินไหม  ยิ่งพยายามหนี  ยิ่งเข้าใกล้.. เพราะดังนั้นเมื่อเขาพยายามหาเหตุผลมากลบเกลื่อนความไม่สบายใจนี้มากเท่าไหร่  มันกลับยิ่งทำให้ใจเจ้ากรรมรั้งแต่จะพะวงเรื่องของคนๆเดิมมากขึ้นเท่านั้น

     

     

                 และสิ่งที่บ่งชัดได้อย่างแน่นอนว่าเขากังวลเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าวมากมายเหลือเกินก็คือการที่เขากลับมาที่สวนสาธารณะเจ้าปัญหานี้อีกครั้ง

     

     
     

                   เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาหนักๆ  ทำปากยื่นนิดเงยมองท้องฟ้าที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมส้มยามเย็น  กาลเวลาผ่านไปยาวนานเมื่อมีคำว่ารอเพิ่มเข้ามาในการกระทำ




     

     

                  เขากำลังรอ...


     

     
     

                   รอเผื่อว่าจะได้เจอคนๆนั้นอีก




     

     

                   แดฮยอนยิ้มออกมาบางๆให้ตัวเอง  นึกสงสารหรืออะไรก็ไม่อาจทราบได้  แต่เขารู้ตัวดีว่าเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  สิ่งที่แสดงออกไปมักตรงข้ามกับความรู้สึกจริงๆที่อยู่ข้างใน  ปากบอกว่าเกลียดแต่จริงๆกลับห่วงเหลือเกิน 

     

     

                   แต่คนที่ขยันหาเรื่องใส่ตัวตัวเองแบบนั้นมีอะไรให้เขาห่วงกันนะ...

     

     

                   ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งจากรถจักรยานแว่วมาตามสายลมบางเบา  เสียงเด็กๆหยอกล้อกันเจื้อยแจ้วระหว่างทางกลับบ้าน  พร้อมนกน้อยทั้งฝูงที่พร้อมใจกันบินกลับรังเพื่อเตรียมตัวพักผ่อนในยามค่ำคืนที่จะมาถึง  และอากาศที่เริ่มจะหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เด็กหนุ่มเลื่อนแขนขึ้นกอดตัวเอง

     

     

                  “ไร้สาระชะมัด......”

     

     

                  ปากบ่นพึมพำ  สูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนค่อยพ่นออกมาช้าๆ  การถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้  สุดท้าย...ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน  ส่ายหัวปลงๆแล้วหมุนเท้าเตรียมเดินกลับ
     

     

                  เส้นไหมสีหม่นที่ดูเข้ากันได้ดีกับท้องฟ้ายามค่ำคืนพลิ้วไหวเอื่อยช้าๆดูราวกำลังหยอกล้อเล่นกับสายลม  แดฮยอนตาเบิกกว้าง  สองเท้าที่ทำงานได้เร็วกว่าสมองจะสั่งการออกก้าวไปยังม้านั่งตัวที่เห็นอยู่ไกลๆ  สุดท้ายก็กลายเป็นรีบเร่งวิ่งจนหอบ  รู้สึกแสบร้อนกลางอกจากการวิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมานาน  ก่อนไปยืนหยุดหอบหายใจหนักตรงม้านั่งตัวดังกล่าว


     

     

                  ค่อยๆก้าวเดินไปช้าๆ  เด็กหนุ่มที่กำลังใช้ผ้าพันแผลพันแขนตัวเองลวกๆสบถคำไม่น่าฟังออกมาให้ได้ยินมากมาย


     

     

                  เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะเบาๆ  จนฝ่ามือหนาที่กำลังดึงผ้าพันอยู่ชะงักค้าง


     

     

     

                  ดวงตาเรียวเล็กเหลือบกลับมามองพร้อมกับคิ้วเข้มที่เริ่มขมวดหนัก  แดฮยอนไม่ได้สนใจ  กลับก้าวเข้าใกล้อีกคนเรื่อยๆ





     

     

     

                  บางทีแล้วปัญหาที่เจอ  เขาอาจจะเลือกรับมันมาเองก็เป็นได้...















    tbc.




    +Talk
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าดอง T_T แงงงงงงงงงง
    แต่ไม่ได้ทิ่งเรื่องนี้นะคะ ต แต่งไว้อยู่ ยังแต่งต่อ และคิดจะแต่งต่อให้จบด้วยค่ะ

    พอดีมันบวกกับอะไรหลายๆอย่างที่รุมเรานิดหน่อย orz
    แต่ว่ายังมีคนติดตามด้วย  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ  และขอบคุณสำหรับคนที่ถามถึงฟิคด้วยน้า TT ดีใจมากๆเลย

    ครั้งนี้มาอัพก็ดันอัพไม่ครบร้อยเปออีก... คือว่า... เมื่อมาอ่านที่แต่งไว้ก็พบว่าไม่ใช่ค่ะแงงง
    ตอนนั้นคิดอะไรอยู่นะเลยแต่งออกไปแบบนั้น ฮือ จะรีบเข็นมาให้ครบร้อยนะคะ TvT/




    --- อัพครบร้อยแล้วเย้ TvT//// ขอบคุณคอมเม้นมากๆเลยนะคะ อ่านแล้วแอบเขิน โฮ ดีใจจัง////
    ขอบคุณที่ติดตามค่า <3<3 ฮึบฮึบ

     

     

     

    BlackForest
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×