คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
“ เจ้าจะบ้ารึเปล่า ถ้าไม่ปิดละก็.....พวกมนุษย์ก็จะไล่ล่าเผ่าของข้าเพื่อนำขนไปขายน่ะสิ ว่าไง....รู้อย่างนี้แล้วเจ้าจะยังอยากโชว์สีขนแปลกๆแบบนี้อีกมั้ย” พอเซโร่กล่าวจบก็ทำเอาแกะน้อยเถียงไม่ออก ก็มันจริงนี่นา..................
จิ้งจอกหนุ่มมิได้พูดอะไรต่อไป ได้แต่แบกเป้ขึ้นบ่าแล้วเดินนำไปทันที ทำเอาแกะน้อยร้องเสียงหลง
“ อ๊ะ! รอผมด้วยสิ ท่านเซโร่~”
“ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่ก็ได้เดินทางมาด้วยกันงั้นสินะครับ ^^” เซนโซยิ้มอย่างเริงร่า ชีโปะลูบหัวลูกชายเบาๆอย่างเอ็นดูนัก ก่อนจะจมลงสู่ห้วงภวังค์แล้วเล่านิทานที่เป็นเรื่องจริงนั้นต่อ
ทั้งสองคนเดินทางมาได้ครึ่งอาทิตย์แล้ว ขณะนี้ทั้งคู่ได้เดินทางทะลุป่าไปได้เพียงบางส่วน ป่าทั้งมืด ทั้งเย็น แถมยังเงียบสนิทไร้เสียงของสัตว์ใดๆจนทำให้ชีโปะอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ต่างกับเซโร่ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรซักนิด ร่างสูงก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยมิได้สนใจร่างเล็กที่อยู่ข้างหลัง ชีโปะทรมานนักกับเหล่าหนามจำนวนมากที่เกี่ยวตามร่างกายและเสื้อผ้า เหล่าใบหญ้าที่แสนคมได้ฝากรอยแผลไว้บนเรียวขาสวยนับไม่ถ้วน กิ่งไม้ที่เกะกะนั้นบางทีก็มาพันกับเรือนผมที่ค่อนข้างยาวของร่างเล็กซะอย่างนั้น หลายครั้งที่ชีโปะอยากจะขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้าแต่เมื่อเห็นแผ่นหลังที่แสนเฉยเมยนั้นก็ทำให้ร่างเล็กถอดใจระคนกับน้อยใจ เหตุการณ์เดิมๆเกิดขึ้นทุกครั้งที่ทั้งสองออกเดินทาง จนทำให้มีหลายครั้งที่แกะน้อยรู้สึกท้อแท้นัก จนแทบไม่อยากเดินทางต่อแต่เพราะเขากลัวคำขู่ของเซโร่ที่บอกว่า ถ้าท้อจนไม่อยากเดินทางต่อล่ะก็จะทิ้งชีโปะเอาไว้คนเดียวที่กลางป่าเสีย ชีโปะจึงได้ไม่กล้าปริปากบ่นอะไร ทั้งสองคนเดินทางมาด้วยกันเรื่อยๆจนเวลาเริ่มล่วงเลยเข้าสู่เดือนใหม่ เซโร่และชีโปะเดินเข้าป่าลึกเข้าไปเรื่อยๆ พลันนั้นเซโร่ก็ได้กลิ่นผิดปกติ จึงหยุดเดินในทันที
“ พวกเจ้า....จะมัวมุดหัวอยู่ทำไม ออกมาคุยกันหน่อยสิ” เซโร่กล่าว เสียงนั้นดังสะท้อนไปทั่วทั้งป่า แกะน้อยเองก็ได้กลิ่นเช่นกัน แล้วบุคคลนิรนามที่เป็นเจ้าของกลิ่นก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ มันก็คือหมาป่าที่มีขนาดเล็กกว่าหมาป่าปกติ และมีสีดำสนิททั้งตัว พวกมันมีนิสัยดุร้ายและชอบโจมตีเป็นฝูง มันมีไม่น้อยกว่า20ตัว เดินเข้ามาล้อมกรอบเซโร่กับชีโปะไว้
“ เฮ้~...อะไรกันนี่..มนุษย์หรอกเหรอ.....แต่ก็ช่างเถอะ...ขอเนื้อของเจ้า..ให้พวกเราซะเถอะ!” พูดจบพวกมันก็พุ่งเข้าใส่เซโร่กับชีโปะทันที เซโร่ผลักชีโปะออกไปอีกทาง ร่างบางกลิ้งไปอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อเห็นว่าลูกแกะปลอดภัย เซโร่ก็หันมาฟัดกับเหล่าหมาป่าดำอย่างเมามัน แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์แต่ถ้าหากไม่เก็บหูไว้ก็มีความสามารถเหมือนจิ้งจอกอยู่ดี เซโร่ฟัดกับเหล่าหมาป่าดำอยู่นาน ชีโปะได้แต่นั่งดูด้วยความกลัว ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านเมื่อเห็นฉากนองเลือดข้างหน้า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ด้วยจำนวนที่มากกว่าของฝูงหมาป่าทำให้เซโร่เพลี่ยงพล้ำ ทันทีที่เซโร่เผลอ หมาป่าตนหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่จากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“ ฉัวะ!!!!!!!!”
เสียงเนื้อถูกฉีกกระชากดังลั่น หมวกที่เซโร่สวมมาตั้งแต่เริ่มออกเดินทางหลุดกระเด็นไปที่พื้น แต่ไม่ใช่เซโร่หรอกที่บาดเจ็บ จิ้งจอกหนุ่มยังคงสบายดี กลายเป็นว่า..คนที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่หลังพุ่มไม้นั่นต่างหากที่ออกมาช่วยเขาไว้ เจ้าแกะน้อยถูกกัดเข้าที่บ่าบริเวณลำคอเป็นแผลลึก เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาเป็นสาย ร่างบางกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ตามแรงเหวี่ยง เรียกหยาดเลือดให้ทะลักออกมาจากเรียวปากบางนั้นอีก น้ำใสๆคลอนัยน์ตา สติของชีโปะพร่าเลือนเต็มที
“ เจ้าลูกแกะ!!!!!!” เซโร่ตะโกนลั่นด้วยความตกใจ จากนั้นความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ไอเวทจำนวนมหาศาลพุ่งทะลักออกมาจากตัวของเซโร่ จนทำให้เหล่าฝูงหมาป่ากระเด็นไปคนละทิศละทาง เซโร่ได้คืนร่างกลับเป็นสัตว์ นั่นทำให้เหล่าหมาป่าที่ยังรอดตายตกตะลึง
“ ทะ.....ท่านเซโร่.....จิ้งจอกเงิน....ท่านชายลำดับที่สามแห่งตระกูลกินสะ.......เผ่าจิ้งจอกเวท.......”
“ ก็ใช่น่ะสิ.........ข้าเอง.......กล้ามากนะที่มาหาเรื่องข้า......เจ้าพวกหมาชั้นต่ำ!” เซโร่ในเวลานี้ดูน่ากลัวนัก เหล่าหมาป่าที่เคยผยองกลับมานั่งตัวสั่นยามเมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้า
“ ย...ยกโทษให้พวกเราด้วย.....พ..พวกเราผิดไปแล้ว.........” เหล่าหมาป่าปากสั่นคอสั่น ละล่ำละลักขอชีวิตจากผู้ที่เหนือกว่า แต่ดูเหมือนว่า..ถ้าคราวนี้ไม่มีใครตาย เซโร่คงจะไม่ยอมเลิกเป็นแน่ จิ้งจอกหนุ่มจับหมาป่าตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดขึ้น แล้วเหวี่ยงใส่ต้นไม้เต็มแรง เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาจากรอยร้าวตามกะโหลกของหมาป่าเคราะห์ร้าย พอเห็นพรรคพวกของตนเป็นเช่นนั้น เหล่าหมาป่าจึงพากันหนีตายกันจ้าละหวั่น ชีโปะมองฉากฆาตกรรมหมู่เบื้องหน้าด้วยสติที่ลางเลือนเต็มที
“ ท่านเซโร่....................”
มีเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่ชุ่มเลือดของชีโปะ แต่นั่นก็ดังพอที่เซโร่จะได้ยิน จิ้งจอกหนุ่มขย้ำคอของหมาป่าตนหนึ่งเอาไว้ จนคอของมันหักคาคมเขี้ยวของจิ้งจอกหนุ่มที่บ้าคลั่ง ก่อนจะนิ่งฟัง
“ พ...........พอเถอะนะ..........” ชีโปะกล่าวได้เพียงแค่นั้นก็หมดสติ เซโร่ที่บัดนี้ร่างทั้งร่างถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือดแปลงเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก่อนจะเดินจากซากหมาป่ามาอุ้มชีโปะเอาไว้ แล้วเดินจากไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เหล่าหมาป่าคงจะจดจำโศกนาฏกรรมครั้งนี้และคงไม่กล้าที่จะไประรานใครโดยไม่ได้ตรวจสอบไปชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่
จิ้งจอกหนุ่มวางร่างที่เริ่มหายใจรวยรินของแกะน้อยลงบนพื้นหญ้า ก่อนจะเริ่มร่ายเวทสมานแผล เซโร่กังวลจนมือสั่นไปหมด เหงื่อเม็ดโตไหลรินลงมาตามไรผม
“ อย่าตายเชียวนะ เจ้าลูกแกะ ถ้าเจ้าตายข้าก็แย่น่ะสิ.....” จิ้งจอกหนุ่มรวบรวมสมาธิ ซักพักสีหน้าที่ซีดเซียวของ ชีโปะก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมา จนทำให้จิ้งจอกหนุ่มเริ่มใจชื้นขึ้น เขาจึงเดินหาสมุนไพรที่พอจะช่วยได้ในตอนนั้น
“ เอ....แถวนี้มีโปโปร่าไหมนะ?” ที่จิ้งจอกหนุ่มพูดถึงอยู่ก็คือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีใบสีฟ้า และมีรสที่ค่อนข้างเปรี้ยว(โคตร)ช่วยในการฟื้นฟูการสูญเสียเลือดได้ดี เขาหามันจนเจอแล้วเด็ดใบมาจนเหี้ยน เหลือเพียงกิ่งโล้นๆเท่านั้น เขานั่งลงข้างๆร่างของลูกแกะและบดใบยานั้นในกระบอกน้ำเพื่อผสมกับน้ำให้ดื่ม น้ำยาสีฟ้าถูกเทลงในกระบอกน้ำอีกใบเซโร่พยายามจะเทยาลงในปากของอีกฝ่าย น้ำยาสีฟ้าถูกส่งลงลำคออย่างปลอดภัย เซโร่ถอนกระบอกน้ำออกจากริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่ายช้าๆ พลางพึมพำอะไรซักอย่าง
“ ขอบใจนะ...เจ้าลูกแกะ...หายไวๆล่ะ” จิ้งจอกหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วล้มตัวลงนอน ด้วยความอ่อนเพลียเพราะสูญเสียพลังเวทย์จำนวนมากทำให้จิ้งจอกหนุ่มหลับไปอย่างรวดเร็ว
เซโร่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาเย็นซึ่งบัดนี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อเหลียวมองคนข้างตัวก็พบว่ายังไม่ตื่น แต่อย่างน้อยจิ้งจอกหนุ่มก็เบาใจเพราะแผลสมานกันหมดแล้ว แถมยังได้ดื่มยาแล้วด้วยจึงมิได้ห่วงอะไรมากมาย เซโร่เริ่มหิวจึงลุกขึ้นอย่างเงียบๆแล้วไปหาเหยื่อซึ่งอาจจะเป็นลูกกวางซักตัวหรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่พอจะหาได้ในเวลานั้น ร่างสูงหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาไม่นานนักชีโปะก็ค่อยๆลืมตาตื่นเมื่อเห็นรอบกายมีแต่ความมืดมิดก็กลัวนัก จนไม่กล้าขยับไปไหน ยิ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันร่างบางก็ได้แต่ตัวสั่นด้วยความกลัว เสียงนกร้องที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั่นทำให้แกะน้อยสะดุ้งสุดตัว น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ เสียงร้องของตัวอะไรซักอย่างดังโหยหวนมาจากที่ไกลๆ ความเงียบและความกลัวทำให้แกะน้อยหวาดผวากับมัน น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตาคู่งาม ร่างบางสะอื้นเบาๆแล้วเริ่มร้องเรียกหาเซโร่
“ เซโร่......อยู่ที่ไหนน่ะเซโร่.......ฮึก.....เซโร่.......” ร่างบางร้องเรียกหาเซโร่ไม่หยุด แม้จะเบาแต่เซโร่อาจได้ยินก็ได้ ชีโปะเชื่ออย่างนั้น แกะน้อยตัวสั่นเทาพลางร้องไห้ไม่หยุด ความมืดทำให้ชีโปะหวั่นไหว ซักพักชีโปะก็ยินเสียงผิดปกติดังมาจากพุ่มไม้ ร่างบางตกใจร้องตะโกนสุดเสียง
“ เซโร่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” อีกฝ่ายเองก็คงจะตกใจจึงรีบปิดปากของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น พลางกระซิบที่ข้างหู ชีโปะสาบานได้เลยว่าเขาได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาจากตัวของอีกฝ่ายด้วย
“ ชู่วว์ อย่าตะโกนสิ ข้าก็อยู่นี่แล้วไง” เมฆดำที่บดบังดวงจันทร์อยู่ได้ลอยออกไปทำให้แสงสว่างเริ่มมาเยือน เผยให้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เรือนผมสีเงินต้องแสงจันทร์เป็นประกาย ชีโปะซึ่งขวัญเสียอย่างหนักได้โผเข้ากอดคนที่ทำให้เขาอุ่นใจได้อย่างรวดเร็ว น้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย
“ ฮือๆๆๆๆๆ เซโร่..........อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวอีกนะ ฮือๆๆๆๆๆ” แกะน้อยในเวลานี้บอบบางทั้งร่างกายและจิตใจ จิ้งจอกหนุ่มได้แต่หน้าแดงพลางกอดตอบแล้วลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ เขาไม่ใช่คนพูดเก่งจึงไม่รู้จะปลอบชีโปะอย่างไร โธ่เอ้ย.....ในเวลานี้..ถ้าไอ้พี่งินโร่อยู่ด้วยก็คงจะดีอยู่หรอก
แกะน้อยคงจะอ่อนเพลียนัก เมื่อร้องไห้เสร็จก็หลับไปอีกครั้ง จิ้งจอกหนุ่มเองก็เลยหลับไปด้วยเพื่อเตรียมตัวรับมือกับเรื่องยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่อีกก็ไม่รู้ ในวันต่อไป สายลมในค่ำคืนนี้พัดมาเบาๆราวกับกำลังเกรงใจคนทั้งสองนัก ดวงดาวต่างแข่งกันอวดแสงของตนเต็มผืนฟ้า แม้จะใกล้ฤดูหนาวเต็มที แต่สายลมที่พัดมาในคืนนี้กลับไม่หนาวเหน็บเลยสักนิดเดียว แถมยังได้กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยโชยมาจากที่ไกลๆ ราวกับต้องการรักษาแผลใจของใครซักคนที่กำลังเหงา เศร้าสร้อย โดดเดี่ยวอยู่ในค่ำคืนนี้
1 อาทิตย์ต่อมา ชีโปะหายดีแล้วจึงได้ออกเดินทางต่อ การเดินทางกับเซโร่ครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้ว่าควรพึ่งพาตัวเองซะบ้าง ดังนั้นเมื่อคนตัวสูงกว่าไม่เหลียวแลเขาก็ไม่ได้มีอาการน้อยใจแต่อย่างใด เขาพยายามฝ่าพงหนามและใบหญ้าแสนคมนั้นเพียงลำพังโดยมิได้ปริปากบ่น โดยหารู้ไม่ว่า คนตัวสูงกว่ากำลังแอบมองเขาอยู่พลางชื่นชมเงียบๆในใจ บางทีก็แอบร่ายเวทเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายอีกเล็กๆน้อยๆอีกด้วย แต่ร่างเล็กก็หัวช้าเกินที่จะรับรู้ถึงความช่วยเหลือนั้น ทั้งสองคนเดินทางต่อไปเรื่อยๆพลางรับมือกับความรู้สึกว้าวุ่นที่เกิดขึ้นในใจ ที่ทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ความเงียบทำให้คนทั้งสองเริ่มอึดอัด
“ นี่ๆๆ ผมยังไม่รู้เลยนะว่าเซโร่อายุเท่าไหร่?” ชีโปะซึ่งอยากจะทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนั้นได้พูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ
“ ข้าอายุ20 เจ้าล่ะ?” เซโร่เองก็ยอมตอบเพราะอยากทำลายความอึดอัดนี้อยู่เหมือนกัน
“ 14 ปีครับ ท่านอายุมากขนาดนี้ ผมเรียกท่านก็ถูกแล้วสินะ ฮิฮิ” ชีโปะตอบพลางหัวเราะ รอยยิ้มที่สดใสนั่น ยิ่งทำให้เซโร่กระอักกระอ่วนใจ แกะน้อยที่หัวช้านักไม่ได้สังเกตเห็นกิริยานั้นแต่อย่างใด จึงกล่าวต่อ
“ ผมน่ะ..มีหน้าตาเหมือนผู้หญิงเลยโดนผู้ชายด้วยกันมาจีบเอาบ่อยๆอะนะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็คงมีแต่ แจ็คกี้กับเซโร่ที่ไม่ได้ทำแบบนั้นเลยแล้วก็ดีกับผมมากๆด้วย ผมก็เลยวางใจเซโร่เอามากๆเลยล่ะ ขอบคุณนะ ที่ไม่ทำอะไรแบบที่พวกเขาทำ ^^”
“ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก
” เซโร่พูดพลางหลบสายตาอย่างมีพิรุธ แต่แกะน้อยก็หัวช้าเกินกว่าที่จะเห็นแววตาที่แอบซ่อนความนัยอะไรบางอย่างเอาไว้นั่น
“ เพราะข้าเอง.....ก็ไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย
อย่างเจ้านี่..ยิ่งแล้วใหญ่”
“ อ่า...........นะ.........เสียมารยาทจัง เซโร่บ้าๆๆๆๆๆๆ” คำตอบที่แสนเฉยเมยนั้นทำให้แกะน้อยมีสีหน้าสลดลง แต่ร่างบางก็ยังยิ้มอย่างฝืดฝืนพลางรัวกำปั้นทุบๆๆๆใส่เซโร่ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่สะทกสะท้านแล้ว ยังหัวเราะไปกับท่าทางของชีโปะอีกต่างหาก
(เหอๆๆๆ อย่างนี้เขาเรียกเสะซึนแม่นบ่????)
______________________________ตอนที่ 4 _____________________________________________________
ความคิดเห็น