ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จุดเริ่มต้นของความรักต่างเผ่าพันธุ์

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 54


     
    ความจริง มันเป็นเรื่องสั้นน้าาา~ แต่แต่งเพลินไปหน่อยมันก็เลยเลยไปสามสิบกว่าหน้า ก็เลยต้องแบ่งออกเป็นหลายๆตอน
    ถ้าไงก็....ก็....
    ก็ช่วยให้คำติชมด้วยนะครับ!!!!

    _______________________________________________________________________________________


    สายลมฤดูร้อนยามบ่ายพัดเข้ามาทางหน้าต่าง   ทักทายร่างบางที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนม้านั่ง   เรือนผมสีขาวปลิวสยายตามแรงลม   ชีโปะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง   ตอนนี้ชาซาเนะกับชาซาเมะคงกำลังซุกซนอยู่ที่ไหนซักแห่งของอคาเทเซียเป็นแน่   แกะหนุ่มคิดก่อนจะหลับตาลงแล้วสัมผัสกับสายลมที่ไม่ร้อนเลยด้วยใจที่แอบเหงานิดๆเพราะใครบางคนไม่อยู่   พลางคิดถึงความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์

    8 ปีแล้วสินะ.........  แกะหนุ่มเอ่ยเบาๆกับตนเอง   จนลูกจิ้งจอกตัวน้อยที่นอนอยู่บนตักลืมตาตื่น

     

    มีอะไรเหรอครับ...ท่านแม่ลูกชายตัวน้อยทำตาบ๊องแบ๊ว   พลางถามผู้เป็นแม่ด้วยอาการงัวเงีย   ร่างบางคลี่ยิ้มแล้วลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู

     

    ไม่มีอะไรหรอกเซนโซ  แม่แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆนิดหน่อยน่ะจ๊ะแกะหนุ่มตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยน

    ลูกจิ้งจอกน้อยมุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของแม่    ก่อนที่จะทำหูตั้งเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้

     

    นี่ๆ ท่านพ่อกับท่านแม่มาเจอกันได้ยังไงเหรอ?    เล่าให้ข้าฟังบ้างสิเซนโซจับชายเสื้อชีโปะไว้แล้วเขย่าเบาๆอย่างเอาแต่ใจ ผู้เป็นแม่ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ

     

    แล้วทำไมลูกถึงอยากรู้ล่ะชีโปะลองถามย้อนดูบ้าง ดวงหน้าหวานยิ้มอย่างลองเชิง

     

    ก็ท่านพ่อกับท่านแม่น่ะ นอกจากจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันแล้ว..ยังเป็นศัตรูกันอีกไม่ใช่เหรอ

     

    หมาจิ้งจอกกับแกะ.....นั่นสินะ...ไม่น่าจะมารักกันได้เลยจริงๆร่างบางกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ

     

    ตกลง...จะเล่าให้ข้าฟังได้รึยังครับ น้า~  เล่าให้ฟังหน่อยน้า~  ข้าสงสัยมานานแล้วอ่ะ

    ชีโปะได้ฟังก็ถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะถ้าไม่ยอมเล่า เจ้าลูกชายตัวดีคงไม่ยอมเลิกราเป็นแน่...ก็คงเหมือนพ่อมันละมั้ง ที่ทั้งขี้หึง ขี้หวง ขี้สงสัย ขี้ระแวง.... ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายวาววับ

     

    แม่จะเล่านิทานให้ฟังแทนละกันนะครับชีโปะกล่าวโดยมีความนัยแฝงเอาไว้ในประโยค   ซึ่งเซนโซก็รู้ได้ในทันที  ก่อนที่ชีโปะจะเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวออกมาให้ลูกชายฟัง

    ในรูปแบบของนิทาน…..

     

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกแกะน้อยตัวหนึ่งเป็นลูกแกะกำพร้า ถูกเลี้ยงเอาไว้ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและแสนสงบ ทุกๆวันคนเลี้ยงแกะจะนำลูกแกะตัวนั้นและฝูงของมันมากินหญ้าที่ทุ่งหญ้าข้างหมู่บ้านเสมอ ใกล้ๆกับทุ่งหญ้านั้นเป็นชายป่ารกทึบ     อันเป็นที่อยู่ของเหล่าสุนัขจิ้งจอกที่มี

    เวทยมนตร์  และมีสีขนพิเศษที่แตกต่างจากสุนัขจิ้งจอกทั่วไป เช่น  สีแดงเหมือนโกเมน  สีเขียวเหมือนมรกต  สีม่วงเหมือนเอเมทิสต์ เป็นต้น ดังนั้นก่อนจะออกล่าเหยื่อก็ต้องร่ายเวทย์มนตร์..เพื่อปิดสีขนของตนเองไว้....

     

    ถ้าอย่างนั้น ขนของท่านพ่อ...ถ้าข้าดึงออกมา..ก็ขายได้หลายตังค์เลยอ่ะดิ เล่นเป็นสีเงินวิ้งวับขนาดนั้น เสียงใสๆดังขึ้นมาขัดจังหวะ จนผู้เป็นแม่อดไม่ได้ที่จะถาม

     

    ใครบอกลูกกันน่ะ เซนโซชีโปะกล่าว นัยน์ตาสีม่วงสดกลมโตเขม้นมองไปที่ลูกชายอย่างคาดคั้น

     

    ก็ท่านป้าฟินนี่ที่เป็นแมว(ขโมย)ไงล่ะ ท่านป้ายังบอกอีกนะว่า ว่างๆก็แอบขโมยขนของท่านพ่อมาให้หน่อย อิอิ เด็กชายกล่าวพลางทำหน้าทะเล้น จนชีโปะนึกอยากจับฟินนี่มาสั่งสอนเสียให้เข็ด โทษฐานสอนให้ลูกชายของตนหัดเป็นขโมยตั้งแต่เด็ก

    แต่....ก็ได้แต่คิดละนะ.....ชีโปะเงียบไปนานจนลูกชายเริ่มงอแงให้เล่าต่อ

     

    เล่าต่อสิครับ  ท่านแม่  น้า~ เล่าต่อๆๆ เด็กน้อยงอแงมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้เป็นแม่ต้องเล่าให้ฟัง

     

    ฝูงจิ้งจอกนั้น มีสามพี่น้องเป็นผู้ปกครอง คนพี่ชื่อกาโร่ เป็นจิ้งจอกขนสีทอง พี่รองชื่องินโร่ เป็นจิ้งจอกขนสีทองคำขาว และคนสุดท้องชื่อ เซโร่........ซึ่งก็คือ พ่อของลูกไงล่ะ .....

     

                    อยู่มาวันหนึ่ง  เซโร่จับแกะตัวหนึ่งได้ก็กินอยู่เงียบๆหลังพุ่มไม้  โดยมีแกะน้อยตัวหนึ่งแอบมองอยู่ด้วยความกลัว  เพราะแกะตัวนั้นบังเอิญเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท  แกะน้อยน้ำตาเอ่อคลอด้วยความกลัว หัวใจบีบรัดและเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก หยาดน้ำใสๆบดบังดวงตา จนมองอะไรแทบไม่เห็น ดูเหมือนว่าจิ้งจอกหนุ่มคงจะรู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามีใครบางคนแอบตามมา เมื่อกินเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังให้แก่แกะน้อย ที่แอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ แล้วพูดเบาๆราวกล่าวกับตัวเอง

    ตอนนี้ พี่ๆ และฝูงของข้ากำลังออกไปหาอาหารที่อื่นอยู่..     ..

     

    “………..

     

    รีบออกไปจากที่นี่ซะ

     

    “……….”

     

    ไม่งั้น.......

     

    “……….”

     

    อย่าหาว่าข้าไม่เตือน...

    พอพูดจบ จิ้งจอกหนุ่มก็หายไปจากตรงนั้น ทิ้งให้แกะน้อยได้แต่สับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีทั้งความกลัว...ความตื่นเต้น...ความสงสัยใคร่รู้....

     

     

    ถ้าอย่างนั้น......นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อกับท่านแม่ได้เจอกันสินะ เสียงใสๆดังขึ้นมาขัดจังหวะอีก ตามประสาเด็กที่อยู่เงียบนานๆไม่ได้  ชีโปะพยักหน้ารับพลางลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู  สายลมฤดูร้อนยังคงพัดเข้ามาเรื่อยๆ  ใบเมเปิ้ลหลงฤดูปลิวเข้ามาทางหน้าต่าง สีแดงสดของมันทำให้ฤดูร้อนดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น  ชีโปะจิบน้ำหญ้าคั้นเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าอีก

     

    ต่อมาไม่นาน หมู่บ้านเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ได้มีการขยายหมู่บ้านเข้าไปในเขตป่า ทำให้เกิดการล่าฝูงจิ้งจอกที่อยู่ในป่านั้น  ฝูงจิ้งจอกลดน้อยลงทุกวันจนน่ากลัว เหล่าฝูงจิ้งจอกจึงได้มีการปรึกษากัน ต่างคนต่างโต้แย้งกันไม่จบไม่สิ้น จนในที่สุดเซโร่ที่ชอบความเงียบและเกลียดเสียงเอะอะโวยวายอยู่เป็นทุนเดิมจึงได้ออกความเห็นไปส่งๆอย่างหมดความอดทน

    ในเมื่อเราอยู่ในป่าต่อไปไม่ได้  เราก็ไปอยู่กับมนุษย์ซะเลยสิ!” 

    คำพูดนั้น ทำให้เหล่าจิ้งจอกตะลึง

     

    แกจะบ้าไปแล้วเรอะ!  คิดจะไปเป็นหมารับใช้พวกมนุษย์รึไง!” กาโร่ซึ่งปกติก็ขี้หงุดหงิดมากอยู่แล้ว  ได้คำรามออกมาจนทำให้ในที่นั้นเงียบลงอย่างฉับพลัน

     

    ข้าหมายถึง จะให้พวกเราปะปนไปกับมนุษย์ต่างหาก

     

    หมายความว่ายังไง  เจ้าลองว่ามาซิเจ้าของขนสีทองสุกปลั่งยอมสงบลงบ้าง พลางรอรับฟังความเห็นของผู้เป็นน้องอย่างใคร่รู้

     

    อย่าลืมสิว่าพวกเรามีพลังเวทยมนตร์  เราจะใช้เวทยมนตร์นั้นให้เป็นประโยชน์

     

    จะให้พวกเราแปลงร่างเป็นมนุษย์...งั้นสินะ..  งินโร่ซึ่งมีสมองที่ฉลาดไม่แพ้น้องชายได้กล่าวขึ้นมาบ้าง ทำให้เหล่าจิ้งจอกต่างฮือฮากันยกใหญ่

     

    เงียบ!!!!”  คำสั่งของหัวหน้าฝูงย่อมใหญ่ที่สุด  ทุกคนทำได้เพียงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อาจเป็นเพราะต้องการฟังเซโร่พูดต่อหรืออาจเป็นเพราะความเกรงกลัวในอำนาจของกาโร่ก็เป็นได้ จึงทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงในทันที

     

    พูดต่อไปสิ

     

    ข้าจะให้พวกเราแปลงร่างเป็นมนุษย์แล้วใช้ชีวิตแบบมนุษย์ อยู่กับมนุษย์ ที่ผ่านมาพวกท่านไม่คิดบ้างหรือ ว่าเป็นมนุษย์อะไรมันก็แสนง่าย  จะอยู่ที่ไหนก็ได้  จะทำอะไรก็ได้  คุยกับมนุษย์ด้วยกันก็รู้เรื่อง ไม่มีใครมาไล่ฆ่า หรือไล่ล่าพวกเรา ชีวิตของมนุษย์อาจจะลำบากบ้าง..แต่ก็คงไม่ลำบากเท่ากับที่พวกเราเป็นอยู่ในตอนนี้หรอก  อีกอย่าง.....ถ้าเป็นมนุษย์เราก็ไม่จำเป็นที่จะปิดสีขนที่พิสดารเหล่านี้ไว้ เป็นมนุษย์น่ะ...วันๆออกไปทำงาน แลกเงินมาใช้จ่ายก็พอแล้ว ก็คล้ายๆกับการไปหาอาหารนั่นแหละ เราจะมีชีวิตที่เรียบง่ายและไร้ผู้ล่า........ข้าคิดแบบนั้น    เซโร่กล่าวจบก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นเบาๆด้วยความเกรงใจหัวหน้าฝูง ความคิดของเซโร่ได้รับความเห็นด้วยมากกว่าที่คิด แม้จะเป็นเพียงความคิดส่งๆ แต่กลับเข้าท่าผิดคาด จากวันนั้นเป็นต้นมา เหล่าหมาจิ้งจอกต่างก็ค่อยๆแยกย้ายกันออกจากฝูงไปเรื่อยๆ  จนเหลือสามพี่น้องเท่านั้น  โดยในวันต่อมา งินโร่ก็ได้ออกเดินทาง

    ยังไม่มีที่ไปอีกรึ?จิ้งจอกหนุ่มที่มีเรือนขนสีขาวหากแต่มีประกายของทองคำแฝงเอาไว้ในนั้นกล่าว ดวงตาที่ดูแสนเจ้าเล่ห์แม้จะผู้มองจะมองเฉยๆไม่ได้คิดอะไรนั้น ฉายแววความห่วงใยเอาไว้ในแววตา

     

    อืม ดวงตาคมเข้มสีเงินนั้นซ่อนแววตา และเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับพี่ชายอีก นอกจากคำตอบรับสั้นๆนั้น จิ้งจอกผู้พี่เองก็ได้แต่ส่ายหัวกับความไร้หัวใจของน้องชาย ร่างสูงเพรียวได้รูปแบกเป้ขึ้นบ่า แล้วหันหลังเตรียมพร้อมออกเดิน

     

    ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ  อยากจะลองลิ้มรสสาวมนุษย์อยู่เหมือนกัน  ^^”

    งินโร่กล่าวแล้วยิ้มอย่างเริงร่า ซึ่งเซโร่เองก็เข้าใจว่านั่นไม่ใช่การพูดประชดหรือพูดเล่นๆแต่อย่างใดแต่เป็นนิสัยของตัวงินโร่เองอยู่แล้ว เซโร่ได้แต่อ่อนใจกับความเจ้าชู้ไม่เลือกสถานที่และเวลาของพี่ชาย ก่อนจะเดินไปส่งที่ท้ายหมู่บ้านในร่างของมนุษย์ที่สาวๆในหมู่บ้านเห็นก็กรี๊ดสลบ  ด้วยใบหน้าที่แสนไร้อารมณ์นั้นกับเรือนผมสีเงินเป็นประกาย แม้จะต้องใส่หมวกเพื่อปิดหู แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาลดน้อยลงไป  จิ้งจอกหนุ่มในร่างมนุษย์กำลังจะเดินทางกลับแต่ก็เหลือบไปเห็นประกาศใบหนึ่ง ที่เขียนด้วยมืออย่างลวกๆ ซึ่งแปะอยู่แถวๆรั้วบริเวณนั้น มีเนื้อหาตามใจความดังนี้

     

    อาณาจักรอคาเทเซีย  รับสมัครพนักงาน หลายตำแหน่ง

     ต้องการจำนวนมาก ไม่จำกัดอายุ เพศ  คน  สัตว์  หรือ  ปีศาจ

     หากสนใจ  ให้มาติดต่อด้วยตัวท่านเอง ตามแผนที่ที่อยู่ข้างล่าง

     

     

    เซโร่ทำหน้านิ่วเล็กน้อยเมื่ออ่านถึงประโยคเกือบสุดท้าย คน...สัตว์...ปีศาจงั้นหรือ?.....แต่เขาเองก็ชักจะสนใจมันขึ้นมาหน่อยๆ  จึงเก็บมันยัดลงกระเป๋าแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน

    เมื่อกลับถึงบ้าน  เขาก็ตัดสินใจเก็บของใช้เท่าที่มีจนหมดจนกาโร่ที่เพิ่งล่าเหยื่อกลับมาต้องเอ่ยปากถาม

     

    มีที่จะไปแล้วเรอะ?คนที่สูงที่สุดของครอบครัวถามแล้วโยนร่างไร้วิญญาณของลูกกวางที่ล่ามาได้สดๆร้อนๆลงกับพื้น กาโร่กลายร่างเป็นคนก่อนจะกัดทึ้งเนื้อส่วนขาของลูกกวางเคราะห์ร้ายเข้าปาก

    ______________________________________ตอนที่ 2 _____________________________________________

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×