คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ความจริง มันเป็นเรื่องสั้นน้าาา~ แต่แต่งเพลินไปหน่อยมันก็เลยเลยไปสามสิบกว่าหน้า ก็เลยต้องแบ่งออกเป็นหลายๆตอน
ถ้าไงก็....ก็....
ก็ช่วยให้คำติชมด้วยนะครับ!!!!
_______________________________________________________________________________________
สายลมฤดูร้อนยามบ่ายพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทักทายร่างบางที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนม้านั่ง เรือนผมสีขาวปลิวสยายตามแรงลม ชีโปะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ชาซาเนะกับชาซาเมะคงกำลังซุกซนอยู่ที่ไหนซักแห่งของอคาเทเซียเป็นแน่ แกะหนุ่มคิดก่อนจะหลับตาลงแล้วสัมผัสกับสายลมที่ไม่ร้อนเลยด้วยใจที่แอบเหงานิดๆเพราะใครบางคนไม่อยู่ พลางคิดถึงความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์
“ 8 ปีแล้วสินะ.........” แกะหนุ่มเอ่ยเบาๆกับตนเอง จนลูกจิ้งจอกตัวน้อยที่นอนอยู่บนตักลืมตาตื่น
“ มีอะไรเหรอครับ...ท่านแม่” ลูกชายตัวน้อยทำตาบ๊องแบ๊ว พลางถามผู้เป็นแม่ด้วยอาการงัวเงีย ร่างบางคลี่ยิ้มแล้วลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู
“ ไม่มีอะไรหรอกเซนโซ แม่แค่คิดถึงเรื่องเก่าๆนิดหน่อยน่ะจ๊ะ” แกะหนุ่มตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยน
ลูกจิ้งจอกน้อยมุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของแม่ ก่อนที่จะทำหูตั้งเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“ นี่ๆ ท่านพ่อกับท่านแม่มาเจอกันได้ยังไงเหรอ? เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ” เซนโซจับชายเสื้อชีโปะไว้แล้วเขย่าเบาๆอย่างเอาแต่ใจ ผู้เป็นแม่ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“ แล้วทำไมลูกถึงอยากรู้ล่ะ” ชีโปะลองถามย้อนดูบ้าง ดวงหน้าหวานยิ้มอย่างลองเชิง
“ ก็ท่านพ่อกับท่านแม่น่ะ นอกจากจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันแล้ว..ยังเป็นศัตรูกันอีกไม่ใช่เหรอ”
“หมาจิ้งจอกกับแกะ.....นั่นสินะ...ไม่น่าจะมารักกันได้เลยจริงๆ” ร่างบางกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ตกลง...จะเล่าให้ข้าฟังได้รึยังครับ น้า~ เล่าให้ฟังหน่อยน้า~ ข้าสงสัยมานานแล้วอ่ะ”
ชีโปะได้ฟังก็ถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะถ้าไม่ยอมเล่า เจ้าลูกชายตัวดีคงไม่ยอมเลิกราเป็นแน่...ก็คงเหมือนพ่อมันละมั้ง ที่ทั้งขี้หึง ขี้หวง ขี้สงสัย ขี้ระแวง.... ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายวาววับ
“ แม่จะเล่านิทานให้ฟังแทนละกันนะครับ” ชีโปะกล่าวโดยมีความนัยแฝงเอาไว้ในประโยค ซึ่งเซนโซก็รู้ได้ในทันที ก่อนที่ชีโปะจะเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวออกมาให้ลูกชายฟัง
ในรูปแบบของนิทาน
..
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกแกะน้อยตัวหนึ่งเป็นลูกแกะกำพร้า ถูกเลี้ยงเอาไว้ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและแสนสงบ ทุกๆวันคนเลี้ยงแกะจะนำลูกแกะตัวนั้นและฝูงของมันมากินหญ้าที่ทุ่งหญ้าข้างหมู่บ้านเสมอ ใกล้ๆกับทุ่งหญ้านั้นเป็นชายป่ารกทึบ อันเป็นที่อยู่ของเหล่าสุนัขจิ้งจอกที่มี
เวทยมนตร์ และมีสีขนพิเศษที่แตกต่างจากสุนัขจิ้งจอกทั่วไป เช่น สีแดงเหมือนโกเมน สีเขียวเหมือนมรกต สีม่วงเหมือนเอเมทิสต์ เป็นต้น ดังนั้นก่อนจะออกล่าเหยื่อก็ต้องร่ายเวทย์มนตร์..เพื่อปิดสีขนของตนเองไว้....”
“ ถ้าอย่างนั้น ขนของท่านพ่อ...ถ้าข้าดึงออกมา..ก็ขายได้หลายตังค์เลยอ่ะดิ เล่นเป็นสีเงินวิ้งวับขนาดนั้น” เสียงใสๆดังขึ้นมาขัดจังหวะ จนผู้เป็นแม่อดไม่ได้ที่จะถาม
“ ใครบอกลูกกันน่ะ เซนโซ” ชีโปะกล่าว นัยน์ตาสีม่วงสดกลมโตเขม้นมองไปที่ลูกชายอย่างคาดคั้น
“ ก็ท่านป้าฟินนี่ที่เป็นแมว(ขโมย)ไงล่ะ ท่านป้ายังบอกอีกนะว่า ว่างๆก็แอบขโมยขนของท่านพ่อมาให้หน่อย อิอิ” เด็กชายกล่าวพลางทำหน้าทะเล้น จนชีโปะนึกอยากจับฟินนี่มาสั่งสอนเสียให้เข็ด โทษฐานสอนให้ลูกชายของตนหัดเป็นขโมยตั้งแต่เด็ก
แต่....ก็ได้แต่คิดละนะ.....ชีโปะเงียบไปนานจนลูกชายเริ่มงอแงให้เล่าต่อ
“ เล่าต่อสิครับ ท่านแม่ น้า~ เล่าต่อๆๆ” เด็กน้อยงอแงมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้เป็นแม่ต้องเล่าให้ฟัง
“ ฝูงจิ้งจอกนั้น มีสามพี่น้องเป็นผู้ปกครอง คนพี่ชื่อกาโร่ เป็นจิ้งจอกขนสีทอง พี่รองชื่องินโร่ เป็นจิ้งจอกขนสีทองคำขาว และคนสุดท้องชื่อ เซโร่........ซึ่งก็คือ พ่อของลูกไงล่ะ .....
อยู่มาวันหนึ่ง เซโร่จับแกะตัวหนึ่งได้ก็กินอยู่เงียบๆหลังพุ่มไม้ โดยมีแกะน้อยตัวหนึ่งแอบมองอยู่ด้วยความกลัว เพราะแกะตัวนั้นบังเอิญเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท แกะน้อยน้ำตาเอ่อคลอด้วยความกลัว หัวใจบีบรัดและเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก หยาดน้ำใสๆบดบังดวงตา จนมองอะไรแทบไม่เห็น ดูเหมือนว่าจิ้งจอกหนุ่มคงจะรู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามีใครบางคนแอบตามมา เมื่อกินเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังให้แก่แกะน้อย ที่แอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ แล้วพูดเบาๆราวกล่าวกับตัวเอง
“ ตอนนี้ พี่ๆ และฝูงของข้ากำลังออกไปหาอาหารที่อื่นอยู่.. ..”
“
..”
“รีบออกไปจากที่นี่ซะ”
“
.”
“ไม่งั้น.......”
“
.”
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือน...”
พอพูดจบ จิ้งจอกหนุ่มก็หายไปจากตรงนั้น ทิ้งให้แกะน้อยได้แต่สับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีทั้งความกลัว...ความตื่นเต้น...ความสงสัยใคร่รู้....
“ ถ้าอย่างนั้น......นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อกับท่านแม่ได้เจอกันสินะ “ เสียงใสๆดังขึ้นมาขัดจังหวะอีก ตามประสาเด็กที่อยู่เงียบนานๆไม่ได้ ชีโปะพยักหน้ารับพลางลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู สายลมฤดูร้อนยังคงพัดเข้ามาเรื่อยๆ ใบเมเปิ้ลหลงฤดูปลิวเข้ามาทางหน้าต่าง สีแดงสดของมันทำให้ฤดูร้อนดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ชีโปะจิบน้ำหญ้าคั้นเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าอีก
“ ต่อมาไม่นาน หมู่บ้านเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ได้มีการขยายหมู่บ้านเข้าไปในเขตป่า ทำให้เกิดการล่าฝูงจิ้งจอกที่อยู่ในป่านั้น ฝูงจิ้งจอกลดน้อยลงทุกวันจนน่ากลัว เหล่าฝูงจิ้งจอกจึงได้มีการปรึกษากัน ต่างคนต่างโต้แย้งกันไม่จบไม่สิ้น จนในที่สุดเซโร่ที่ชอบความเงียบและเกลียดเสียงเอะอะโวยวายอยู่เป็นทุนเดิมจึงได้ออกความเห็นไปส่งๆอย่างหมดความอดทน
“ ในเมื่อเราอยู่ในป่าต่อไปไม่ได้ เราก็ไปอยู่กับมนุษย์ซะเลยสิ!”
คำพูดนั้น ทำให้เหล่าจิ้งจอกตะลึง
“ แกจะบ้าไปแล้วเรอะ! คิดจะไปเป็นหมารับใช้พวกมนุษย์รึไง!” กาโร่ซึ่งปกติก็ขี้หงุดหงิดมากอยู่แล้ว ได้คำรามออกมาจนทำให้ในที่นั้นเงียบลงอย่างฉับพลัน
“ ข้าหมายถึง จะให้พวกเราปะปนไปกับมนุษย์ต่างหาก”
“ หมายความว่ายังไง เจ้าลองว่ามาซิ” เจ้าของขนสีทองสุกปลั่งยอมสงบลงบ้าง พลางรอรับฟังความเห็นของผู้เป็นน้องอย่างใคร่รู้
“ อย่าลืมสิว่าพวกเรามีพลังเวทยมนตร์ เราจะใช้เวทยมนตร์นั้นให้เป็นประโยชน์”
“ จะให้พวกเราแปลงร่างเป็นมนุษย์...งั้นสินะ..” งินโร่ซึ่งมีสมองที่ฉลาดไม่แพ้น้องชายได้กล่าวขึ้นมาบ้าง ทำให้เหล่าจิ้งจอกต่างฮือฮากันยกใหญ่
“ เงียบ!!!!” คำสั่งของหัวหน้าฝูงย่อมใหญ่ที่สุด ทุกคนทำได้เพียงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อาจเป็นเพราะต้องการฟังเซโร่พูดต่อหรืออาจเป็นเพราะความเกรงกลัวในอำนาจของกาโร่ก็เป็นได้ จึงทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงในทันที
“ พูดต่อไปสิ”
“ ข้าจะให้พวกเราแปลงร่างเป็นมนุษย์แล้วใช้ชีวิตแบบมนุษย์ อยู่กับมนุษย์ ที่ผ่านมาพวกท่านไม่คิดบ้างหรือ ว่าเป็นมนุษย์อะไรมันก็แสนง่าย จะอยู่ที่ไหนก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ คุยกับมนุษย์ด้วยกันก็รู้เรื่อง ไม่มีใครมาไล่ฆ่า หรือไล่ล่าพวกเรา ชีวิตของมนุษย์อาจจะลำบากบ้าง..แต่ก็คงไม่ลำบากเท่ากับที่พวกเราเป็นอยู่ในตอนนี้หรอก อีกอย่าง.....ถ้าเป็นมนุษย์เราก็ไม่จำเป็นที่จะปิดสีขนที่พิสดารเหล่านี้ไว้ เป็นมนุษย์น่ะ...วันๆออกไปทำงาน แลกเงินมาใช้จ่ายก็พอแล้ว ก็คล้ายๆกับการไปหาอาหารนั่นแหละ เราจะมีชีวิตที่เรียบง่ายและไร้ผู้ล่า........ข้าคิดแบบนั้น” เซโร่กล่าวจบก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นเบาๆด้วยความเกรงใจหัวหน้าฝูง ความคิดของเซโร่ได้รับความเห็นด้วยมากกว่าที่คิด แม้จะเป็นเพียงความคิดส่งๆ แต่กลับเข้าท่าผิดคาด จากวันนั้นเป็นต้นมา เหล่าหมาจิ้งจอกต่างก็ค่อยๆแยกย้ายกันออกจากฝูงไปเรื่อยๆ จนเหลือสามพี่น้องเท่านั้น โดยในวันต่อมา งินโร่ก็ได้ออกเดินทาง
“ ยังไม่มีที่ไปอีกรึ?”จิ้งจอกหนุ่มที่มีเรือนขนสีขาวหากแต่มีประกายของทองคำแฝงเอาไว้ในนั้นกล่าว ดวงตาที่ดูแสนเจ้าเล่ห์แม้จะผู้มองจะมองเฉยๆไม่ได้คิดอะไรนั้น ฉายแววความห่วงใยเอาไว้ในแววตา
“อืม” ดวงตาคมเข้มสีเงินนั้นซ่อนแววตา และเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับพี่ชายอีก นอกจากคำตอบรับสั้นๆนั้น จิ้งจอกผู้พี่เองก็ได้แต่ส่ายหัวกับความไร้หัวใจของน้องชาย ร่างสูงเพรียวได้รูปแบกเป้ขึ้นบ่า แล้วหันหลังเตรียมพร้อมออกเดิน
“ ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ อยากจะลองลิ้มรสสาวมนุษย์อยู่เหมือนกัน ^^”
งินโร่กล่าวแล้วยิ้มอย่างเริงร่า ซึ่งเซโร่เองก็เข้าใจว่านั่นไม่ใช่การพูดประชดหรือพูดเล่นๆแต่อย่างใดแต่เป็นนิสัยของตัวงินโร่เองอยู่แล้ว เซโร่ได้แต่อ่อนใจกับความเจ้าชู้ไม่เลือกสถานที่และเวลาของพี่ชาย ก่อนจะเดินไปส่งที่ท้ายหมู่บ้านในร่างของมนุษย์ที่สาวๆในหมู่บ้านเห็นก็กรี๊ดสลบ ด้วยใบหน้าที่แสนไร้อารมณ์นั้นกับเรือนผมสีเงินเป็นประกาย แม้จะต้องใส่หมวกเพื่อปิดหู แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาลดน้อยลงไป จิ้งจอกหนุ่มในร่างมนุษย์กำลังจะเดินทางกลับแต่ก็เหลือบไปเห็นประกาศใบหนึ่ง ที่เขียนด้วยมืออย่างลวกๆ ซึ่งแปะอยู่แถวๆรั้วบริเวณนั้น มีเนื้อหาตามใจความดังนี้
“ อาณาจักรอคาเทเซีย รับสมัครพนักงาน หลายตำแหน่ง
ต้องการจำนวนมาก ไม่จำกัดอายุ เพศ คน สัตว์ หรือ ปีศาจ
หากสนใจ ให้มาติดต่อด้วยตัวท่านเอง ตามแผนที่ที่อยู่ข้างล่าง”
เซโร่ทำหน้านิ่วเล็กน้อยเมื่ออ่านถึงประโยคเกือบสุดท้าย คน...สัตว์...ปีศาจงั้นหรือ?.....แต่เขาเองก็ชักจะสนใจมันขึ้นมาหน่อยๆ จึงเก็บมันยัดลงกระเป๋าแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ตัดสินใจเก็บของใช้เท่าที่มีจนหมดจนกาโร่ที่เพิ่งล่าเหยื่อกลับมาต้องเอ่ยปากถาม
“ มีที่จะไปแล้วเรอะ?” คนที่สูงที่สุดของครอบครัวถามแล้วโยนร่างไร้วิญญาณของลูกกวางที่ล่ามาได้สดๆร้อนๆลงกับพื้น กาโร่กลายร่างเป็นคนก่อนจะกัดทึ้งเนื้อส่วนขาของลูกกวางเคราะห์ร้ายเข้าปาก
______________________________________ตอนที่ 2 _____________________________________________
ความคิดเห็น