เมื่อวันอาทิตย์ที่15 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เนาโอโตะ คัง ได้ประกอบพิธีให้แก่ทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่2 เนื่องในโอกาสที่ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แก่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1945 หลังจากที่สหรัฐนำระเบิดปรมาณูไปถล่มที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ
ในวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนนี้ได้กล่าวขอโทษแก่ประเทศในเขตเอเชียทั้งหลาย ที่ญี่ปุ่นเคยทำสงครามบุกรุกประเทศเหล่านั้นจนเสียหายยับเยิน ไม่ว่าจะเป็นประเทศเกาหลี จีน หรือประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่ความจริงที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ต่อสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นไม่ใช่เพราะระเบิดปรมาณู 2 ลูกที่สหรัฐนำไปถล่มเมืองทั้งสองเมืองนั้นในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 แต่เป็นกองทัพแดงของรัสเซีย 1 ล้าน 6 แสนคนที่บุกโจมตีกองทัพญี่ปุ่นซึ่งครอบครองเอเชียตะวันออกอยู่เป็นล้านนายแตกภายในวันเดียวอย่างไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว
จากประวัติศาสตร์หน้าใหม่ โดยศาสตราจารย์
กองทัพญี่ปุ่นทางเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือรบกับกองทัพรัสเซียในปี 1939 เพื่อครอบครองมองโกเลีย แต่ไปติดหล่มรบแพ้กองทัพรัสเซียในสงครามที่คาร์ลคิน กอล (The battle of Khalkin Gol) จนญี่ปุ่นต้องเซ็นสัญญาสงบศึกกับรัสเซีย ผลักดันให้รัสเซียออกจากสงครามภาคพื้นแปซิฟิก
ญีปุ่นกลับไปเน้นทำสงครามกับสหรัฐ อังกฤษ และ เนเธอร์แลนด์แทน เป็นที่มาของการบุกถล่มเพริล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี และเป็นการประกาศสงครามของญี่ปุ่นที่เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
แต่หลังจากการพ่ายแพ้สงครามของเยอรมันในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 และญี่ปุ่นพ่ายแพ้การรบหลายครั้งทั้งที่ฟิลิปปินส์ โอกินาวา และ อิโวจิมา ญี่ปุ่นกลับไปติดต่อรัสเซียเพื่อให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยในการจบสงครามภาคพื้นแปซิฟิก
อย่างไรก็ดี ผู้นำรัสซียโจเซฟ สตาลินได้ตกลงเป็นความลับกับทางวอชิงตัน และลอนดอนแล้วว่า รัสเซียจะบุกญี่ปุ่นภายใน 3 เดือนหลังจากเยอรมันยอมแพ้ สตาลินไม่สนใจข้ออ้างต่างๆที่ญี่ปุ่นเสนอ และยกทัพเป็นล้านมาประจำตรงเขตแดนแมนจูเรีย
ปฎิบัติการ August Storm เริ่มขึ้นเมื่อระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกหย่อนลงที่นางาซากิ ในวันทื่ 9 สิงหาคม 1945 ทำลายชีวิตชาวญี่ปุ่นไปถึง 84,000 คน และทหารรัสเซีย 12,000 คนภายในสองสัปดาห์ของปฎิบัติการ กองทัพรัสเซียรุกเข้าไปใกล้ห่างจากหมู่เกาะฮอกไกโด ของญี่ปุ่น 50 กิโลเมตร
นาย สึโยชิ ฮาเซกาว่า (Tsuyoshi Hasegawa) ผู้แต่งหนังสือ “Racing the Enemy” และตรวจสอบบทสรุปของสงครามภาคพื้นแปซิฟิก และเอกสารหลักฐานของของโซเวียต ญี่ปุ่น และสหรัฐ ให้ความเห็นว่า
“โซเวียตเข้ามาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสงครามครั้งนี้มากกว่าระเบิดปรมาณูในการชักจูงญี่ปุ่นให้ยอมแพ้ เพราะว่าได้ทำลายความหวังของญี่ปุ่นในการยกเลิกสงครามโดยผ่านทางการไกล่เกลี่ยของรัสเซีย”
จักรพรรดิญี่ปุ่นและคณะสันติภาพซึ่งเป็นคนในรัฐบาลญี่ปุ่นรีบเร่งที่จะจบสงครามโดยหวังว่าทางสหรัฐจะใจกว้างกว่ารัสเซีย
แม้ว่า ความตายจากระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมา 140,000 คน และที่นางาซากิ อีก 84,000 คน กองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่นยังเชื่อว่า สามารถรับมือกับกองทัพพันธมิตรได้ ถ้าญี่ปุ่นยังสามารถยึดครองแมนจูเรีย และ เกาหลี ซึ่งเป็นแหล่งสนับสนุนการทำสงคราม จากการกล่าวอ้างของ ฮาเซกาว่า และ นาย Terry Cherman นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ประจำที่ London’s Imperial War Museum
นาย Cherman ให้ความเห็นว่า การรุกของกองทัพรัสเซียในเอเชียตะวันออกได้เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น ผู้นำญี่ปุ่นในโตเกียวตระหนักว่า พวกเขาหมดความหวังแล้ว และปฎิบัติการ August Storm มีอานุภาพในการตัดสินใจยอมแพ้ของญี่ปุ่นมากกว่าระเบิดปรมาณูหรัฐหย่อนในญีปุ่น
ในสหรัฐ การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่มีเพื่อต่อต้านศัตรูเฉกญี่ปุ่นที่ตัดสินใจสู้จนตัวตาย ประธานาธิบดี Harry S. Truman และแม่ทัพสหรัฐเชื่อว่า การบุกญี่ปุ่นจะเป็นการสูญเสียทหารอเมริกาเป็นแสน
นาย Richard B. Frank นักประวัติศาสตร์อเมริกา เห็นแย้งว่า แม้ระเบิดปรมาณูจะเลวร้ายเพียงใด แต่มันได้ช่วยรักษาชีวิตทหารอเมริกาเป็นแสนและทหารญี่ปุ่นกับพลเรือนเป็นล้านซึ่งอาจจะย่อยยับ ถ้าการสู้รบยังดำเนินต่อไปถึงปี 1946
นาย Frank กล่าวว่า เขายังยืนยันไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนาย Hasegawa เกี่ยวกับความสำคัญของการแทรกแซงของกองทัพรัสเซียและระเบิดปรมาณูที่บังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม แต่เขายอมเห็นด้วยกับความรับผิดชอบที่เป็นไปได้ของรัฐบาลจีนและจักรพรรดิฮิโรฮิโตที่ร่างประกาศในเดือนมิถุนายนให้ประชาชนญี่ปุ่นทุกคนไม่ว่าหญิงและชายต่อสู้จนตัวตาย
Frank กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติที่ประการให้ญี่ปุ่นทุกคนเป็นทหารเพื่อสู้รบกับกองทัพพันธมิตรเพื่อแยกฝ่ายสู้รบออกจากฝ่ายไม่สู้รบอย่างเป็นทางการ จึงทำให้ข้อคิดเห็นที่นำเสนอตกไป
ผลกระทบของการรุกแบบสายฟ้าของกองทัพรัสเซียมาจากคำพูดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในระหว่างสงคราม นาย
นี่เป็นบทหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกที่ต้องหาความจริงกันต่อไป ถ้าใครสนใจต้องลองค้นหามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูครับ...
คัดลอกมาจากความเห็นของนักข่าว AP จากหนังสือพิมพ์ Shanghai Daily วันที่ 18 สิงหาคม 2010
เครดิต
ความคิดเห็น
อันนี้เคยอ่านจากหนังสือประวัติศาสตร์มาแล้ว~
เพราะตอนแรกทหารและประชาชนชาวญี่ปุ่นสู้กับทหารอเมริกาซึ่งหากใช้หญิงหรือเด็กสู้ทหารอเมริกาจะไม่ค่อยกล้าที่จะโต้ตอบ
แต่กลับกัน~ ถ้าเป็นทหารรัสเซียคงถูกฆ่าทิ้งอย่าง...เลือดเย็น~
แต่กว่าที่จักรพรรดิฮิโรฮิโตจะประกาศยอมแพ้ได้ก็ลำบากน่าดูชม~
เพราะนายพลบางคนยังคงอยากสู้ และทำท่าว่าจะประกาศในนามขององค์จักรพรรดิบอกให้ชาวญี่ปุ่นสู้ต่อไป พลาดตรงที่คนประกาศรู้ทัน เลยอ้างว่าไฟดับหรืออะไรสักอย่างทำให้ไม่สามารถประกาศคำพูดของนายพลได้ เมื่อถูกยามเช้า คำประกาศยอมแพ้ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตจึงถูกนำมาประกาศอย่างเป็นทางการ(ล่ะมั้ง?)
ประชาชนบางส่วนยอมรับในความพ่ายแพ้นี้ไม่ได้ ทำให้บางส่วนคว้านท้องตายเพื่อแผ่นดิน~
ส่วนจักรพรรดิฮิโรฮิโตโดนทำท่าว่าจะถูกจับขึ้นศาลอาชญากรสงคราม
ทว่านายพลแมกอาเธอร์ของสหรัฐอเมริกาที่มีความนับถือจักรพรรดิฮิโรฮิโตอยู่น้อยๆในฐานะที่ต่อสู้ด้วยกันมานานและด้วสาเหตุหลายๆอย่างสังเด็ดขาดว่าห้ามแตะต้องตัวองค์จักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิฮิโรฮิโตรอด ส่วนนายพลผู้ร่วมรบอีกหลายๆคนถูกประหาร(จำไม่ค่อยได้)
พิมพ์ซะเพลินเลยแหะ ขออภัยด้วย ==
ไม่ได้อ่านนานมากแล้ว ฮา~ อันนี้ย่อๆมาตามความคิดที่เคยอ่านมาของตัวเองนะ
อยากอ่านจริงๆ ไปหาอ่านเอาดีกว่าเถอะ เพราะคิดว่าตัวเองคงพิมพ์ได้งง ฮาๆๆ
คือ...เออ...อ่านมาเยอะน่ะ...