คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
ในคืนที่พระจันทร์สีแดงเต็มดวงทอประกายในยามราตรี กลีบดอกซากุระจากต้นไม้ใหญ่พลิกพลิ้วปลิดปลิว โรยตัวลงจากกิ่งสัมผัสลงกับพื้นดิน บัดนี้ความคิดนั้นได้เกิดขึ้นจริง ภัยอันตรายกำลังย่างก้าวเข้ามา มันช่างทำให้จิตใจของซากุระหมองหม่นเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าในฤดูฝนเสียอีก
..
“เคลื่อนทัพ! เป้าหมายต่อไป
หมู่บ้านฮารุโนะ!”
-
1 -
เสียงรองเท้าเกี๊ยะวิ่งดังกระทบกับพื้นดินเป็นจังหวะ
ก้าววิ่งแหวกผ่านแมกไม้ในป่าใหญ่ในยามวิกาลมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านฮารุโนะอย่างร้อนใจ
บัดนี้ใจน้อย ๆ เต้นระริกสั่นไหวเต็มไปด้วยความเป็นกังวลต่อลางสังหรณ์จากภัยอันตรายที่มาพร้อมกับเหล่าทหารทัพในเครื่องแบบที่มีลวดลายสลักเป็นรูปพัดสีแดงตัดขาว
ในขณะที่กำลังลัดเลาะเส้นทางตรงไปยังหมู่บ้านให้ได้เร็วที่สุด
ซากุระพลางนึกถึงเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับแฝงเปลวเพลิงเฉียบขาดของชายรูปงามภายใต้ชุดเกราะออกรบที่ดูจะเต็มยศที่สุดในบรรดาเหล่าทหารทั้งหมดผู้นั้น
— เหตุใดจึงได้เคลื่อนทัพมาในยามวิกาลกันนะ...แล้วทำไมต้องมาที่หมู่บ้านเล็ก
ๆ อย่างฮารุโนะด้วย...
นกป่าบินกระจายแตกฮือ บ่งบอกถึงสัญญาณเตือนภัย
หลังจากที่หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในตัวหมู่บ้าน ความรู้สึกต่อภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน
มันคือความรู้สึกขวัญกระเจิงเข้ามาแทนที่ชั่วขณะ บัดนี้บรรยากาศเบื้องหน้ามันช่างมันแลดูไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
เหล่าชาวบ้านพากันตื่นตระหนก หยิบคบเพลินจุดสว่างออกมาจากเรือนนอน
โกลาหลกันไปทั้งหมู่บ้าน ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่กองทหารกรูเข้ามา เมื่อเห็น เมบุกิ ผู้เป็นมารดายืนหน้าซีดเผือกอยู่ไม่ไกล
ซากุระจึงรีบเดินดิ่งเข้าไปหาหวังจะได้รู้คำตอบของความโกลาหลในยามวิกาลนี้
“ท่านแม่! เกิดอะไรขึ้น
ทำไมพวกทหารถึงได้—”
“ซากุระ! เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา!
รู้ไหมข้าเป็นห่วงเจ้าจนแทบบ้าอยู่แล้ว” ไม่ทันที่ซากุระจะได้พูดจบประโยค
ใบหน้ารวมถึงน้ำเสียงที่สั่นคลอนของเมบุกิก็เอ่ยแทรกทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นลูกสาว
“ท่านแม่ ข้า—”
“จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้รีบไปหลบในเรือนเร็วเข้า
ซากุระ ไปซะ” เมบุกิพูดแทรกซากุระอีกครั้ง ก่อนจะรีบใช้มือดันลูกสาวให้ออกห่าง
ผลักไล่ซากุระให้เข้าไปอยู่ในเรือนพักของตน ซากุระขมวดคิ้วเข้าหากันมองมารดาพลางสลับกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงสัย
นางไม่เข้าใจว่าทำไมเมบุกิรวมไปถึงเหล่าชาวบ้านอาวุโสทั้งหลายถึงได้แสดงสีหน้าที่ดูหวั่นกลัว
บ้างก็ชักสีหน้าไม่ต้อนรับกลุ่มทหารแปลกหน้าที่ย่างกายเข้ามาในหมู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่หมู่บ้านฮารุโนะเองก็มักจะมีกลุ่มทหารจากแคว้นอื่นไม่ก็พวกซามุไรพเนจรหลงเข้ามาพักอาศัยชั่วคราวที่หมู่บ้านหลายต่อหลายหน
— แล้วทำไมกับกลุ่มทหารศึกในชุดดำแดงนี้ เราถึงไม่ยอมต้อนรับเขาละ
?
“ท่านแม่ ช้าก่อน! ช่วยบอกข้าที นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ซากุระยังคงดื้อดึง
ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องไปยังดวงตาเฉกสีเดียวกันของมารดาหวังจะให้ไขข้อสงสัยในสถานการณ์ตรงหน้า
เมบุกิเห็นเช่นนั้นจึงถอดหายใจดังเฮือก นางรู้ดีว่าลูกสาวเป็นคนนิสัยยังไง หากไม่ยอมเล่าเรื่องราวความจริงให้ฟัง
ซากุระก็คงจะยืนกรานที่จะฝังรากลึกจมลงไปกับดิน ไม่ยอมเคลื่อนตัวไปไหนเป็นแน่
“อุจิวะ...พวกทหารจากแคว้นอุจิวะ”
เมบุกิเอ่ยเสียงสั่นคลอน
ซากุระขมวดคิ้วชักสีหน้าสงสัยเพิ่มเป็นเท่าตัว ถึงนางจะเคยได้ยินชื่อของแคว้นใหญ่นี้แว่วผ่านหูมาจากพวกทหารของแคว้นอื่นอยู่บ้าง
แต่แล้วทำไมเหล่าชาวบ้านถึงได้มีสีหน้าถอดสีกันถึงเพียงนี้
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากถามผู้เป็นมารดาอีกระลอกให้รำคาญใจ
เสียงของเหล่าชาวบ้านต่างพากันตื่นตระหนก ราวกับเจอกับพายุลูกโต ซากุระจึงจับจ้องมองไปที่ต้นปลายเหตุ
นั่นเผยให้เห็นถึงชายผู้อยู่บนหลังม้าที่ก้าวนำหน้ากองทัพเข้ามา
เขาคือชายคนเดียวกับที่ซากุระพบเจอที่ลำธาร... — ซากุระที่จริงไม่ได้อยู่ใกล้
หากแต่มันก็ไม่ได้ไกลที่จะไม่เห็นใบหน้างดงามยังคงสงบนิ่ง
นัยน์ตาสีนิลขลับแฝงเปลวเพลิงเฉียบขาดของคนที่มองแค่เพียงแวบเดียวก็รู้ว่ามียศเป็นถึงแม่ทัพผู้กล้า
บุรุษผู้นั้นกวาดมองเหล่าชาวบ้านอย่างเยือกเย็น ช่างเป็นความงามอันแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว
ผู้เป็นแม่ทัพในชุดเกราะที่ดูเต็มยศที่สุดเคลื่อนตัวมาพร้อมกับม้าสีดำเข้ามายังตำแหน่งใจกลางของหมู่บ้าน
เขายกมือขวาให้สัญญาณแก่เหล่าชุดศึกสีดำแดงที่เคลื่อนม้าตามหลังมาให้หยุดนิ่ง
บัดนี้มีเพียงกระแสอำมหิตที่ตีแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
“ข้าต้องการพบหัวหน้าของหมู่บ้านแห่งนี้”
เสียงทุ้มนั้นเอ่ยประกาศหาตัวหัวหน้าของหมู่บ้านฮารุโนะ หรือก็คือ
ฮารุโนะ คิซาชิ ผู้เป็นศักดิ์เป็นบิดาของซากุระ เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว
ยิ่งทำให้หญิงสาวและมารดาของเธอถึงกับจิตใจไม่สู้ดี
“พวกท่านมีอะไร” หนึ่งเสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
คิซาชิเดินก้าวออกมาประจันหน้ากับแม่ทัพที่อยู่บนหลังม้า นั่นเป็นครั้งแรกที่ซากุระได้ยินน้ำเสียงห้วนของผู้เป็นบิดา
ปกติแล้วคิซาชิเป็นคนจิตใจดีและเป็นมิตร
ยิ่งกับพวกทหารหรือซามูไรพเนจรที่แวะเข้ามาในหมู่บ้านฮารุโนะด้วยแล้ว
คิซาชิจะต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นมิตรทุกครั้ง แต่ทว่าพอเป็นกับเหล่าทหารในชุดรูปสลักพัดสีแดงตัดขาวนี่แล้ว
เป็นครั้งแรกที่ซากุระเห็นบิดามีท่าทีต่อต้านอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่แวบแรกเห็น
ใบหน้าสง่างามดุดัน
ดวงตาเยียบเย็นทำให้เหล่าทหารทั้งหลายพากันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ราวกับพร้อมใจกันให้แม่ทัพเป็นผู้เปิดประเด็นบอกถึงจุดประสงค์
“ข้าต้องการให้ฮารุโนะเข้าร่วมสงครามกับอุจิวะ”
ชุดศึกสีดำแดงเพิ่มความเหี้ยมโหดแห่งทหารหาญให้แก่เขา และนั่นทำให้เหล่าชาวบ้านพากันหวาดกลัวเช่นกัน
ยิ่งอีกฝ่ายพูดคำว่าสงครามขึ้นมา นั่นยิ่งแล้วใหญ่
“หมู่บ้านฮารุโนะเป็นเพียงแค่หมู่บ้านแพทย์เล็ก
ๆ ที่มีส่วนใหญ่มีแต่สตรี เด็ก และคนแก่ ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงที่รายล้อมไปด้วยสายธารน้อยใหญ่
หากใช่หมู่บ้านที่จับดาบสู้รบไม่ ข้าเกรงว่...”
“ข้าไม่สนใจว่าหมู่บ้านกระจอกงอกง่อยแห่งนี้จะเป็นเช่นไร
อุจิวะเราต้องการกองกำลังสำหรับศึกกับแคว้นเซ็นจูในภายภาคหน้าที่จะใกล้” ไม่ทันที่คิซาชิจะได้พูดจนจบเสียงของท่านแม่ทัพก็ตัดเข้าแทรก
“ข้าอุจิวะ ซาสึเกะ และข้าต้องการให้ฮารุโนะร่วมกับอุจิวะ
หากเจ้าไม่ประสงค์ที่จะเข้าร่วมกับพวกข้า ข้าเกรงว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้จะต้องกลายเป็นทะเลสีเพลิงอย่างช่วยไม่ได้เช่นเดียวกับหมู่บ้านก่อนหน้า”
ประโยคดังกล่าวนี้ทำให้ซากุระถึงกับมือไม้สั่น
เธอเองก็เห็นถึงความมืดมดที่มีแสงเพลิงอาบฟ้าตามไล่หลังเหล่าทหารมา
ที่แท้ก็คือควันเพลิงจากหมู่บ้านข้างเคียงนี้เอง
นัยน์ตาสีเขียวหยกของซากุระสั่นไหว
เธอมุ่งมองไปที่เจ้ารูปงามบนม้าสีดำสวยอย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่หากเธอฟังไม่ผิดเพี้ยนเขาพูดถึงสงครามงั้นหรือ
นั่นช่างเป็นความคิดที่วิกลจริตเสียจริง — ใครจะคาดคิดกันว่าหนุ่มรูปงามสง่าที่อยู่ห่างออกไปนั้นเขาคือแม่ทัพผู้กล้า
และเทพแห่งสงครามที่ฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเลด้วยนัยน์ตาคู่นั้น
นั่นเป็นเรื่องจริงที่หมู่บ้านของซากุระที่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก
ๆ ส่วนมากมีแต่สตรี เด็ก และคนแก่ แทบจะไม่มีชายชาญฉกาจชาติบุรุษ แถมยังเป็นหมู่บ้านที่ประกอบอาชีพแพทย์สมุนไพรเป็นหลักทำมาหากิน
ใช่หมู่บ้านที่จะจับดาบจับไม้ฟาดฟันกับผู้คนเพื่อทำสงครามนองเลือดไม่
คิซาชิขมวดคิ้วเข้าหากัน
ดวงตายังคงสอดประสานกับแม่ทัพแห่งอุจิวะ
พวกเขาทั้งสองจับจ้องกันอย่างไร้คำพูดอยู่เพียงครู่หนึ่ง
ใบหน้าของคิซาชิยังคงแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านอย่างชัดเจน
นั่นช่างถือเป็นความกล้าหาญชาญชัยของหัวหน้าหมู่บ้านฮารุโนะเป็นยิ่งหนัก
“คำตอบคือไม่สินะ” สีหน้าของซาสึเกะพลันเย็นชา
เขาเอ่ยเสียงหนักอย่างชัดถ้อยชัดคำแฝงรังสีอำมหิต เมื่อรู้ว่าการเจรจาอย่างสันติไม่เป็นผล
แม่ทัพรูปงามก็เบื่อที่จะเสียเวลาพร่ำเพรื่ออีกต่อไป — พวกฮารุโนะตัดสินใจผิดพลาดแล้วจริง
ๆ
ซาสึเกะไม่รีรอที่จะลงมาจากม้าสีดำใหญ่
เขารีบพุ่งตัวเข้าหาคิซาชิที่ยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร
แม่ทัพแห่งอุจิวะชักดาบออกมาจากฝักข้างตัวแล้วฟาดตวัดดาบคมลงกลางตัวหัวหน้าหมู่บ้านจนเลือดสาดกระเซ็นในชั่วพริบตา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนในบริเวณนั้นตั้งตัวไม่ทัน โดยเฉพาะซากุระและเมบุกิ
ที่ยืนมองคิซาชิอยู่ห่าง ๆ ครู่เดียวที่อารมณ์กราดเกรี้ยวพวยพุ่งออกมาทั่วร่าง
บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายกว่าเดิมอย่างสุดขีด
เหล่าชาวบ้านต่างผงะกรีดร้องด้วยความตื่นกลัวเมื่อเห็นเลือดของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหัวหน้าหมู่บ้าน
ผู้ที่คอยคุมครองหมู่บ้านของพวกเขามาตลอดหลายสิบปี
“ท่านพ่อ!” ซากุระเบิกตากว้าง
กรีดร้องขานชื่อผู้เป็นบิดาอย่างสุดเสียง หญิงสาวไม่รีรอที่จะพุ่งตัวแหวกฝูงชนไปหาคิซาชิพร้อมกับเมบุกิ
ซากุระทิ้งตัวลงกับพื้นดินแล้วประคองตัวคิซาชิพร้อม ๆ กับเมบุกิ
หญิงสาวรับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแทนผู้เป็นบิดา ปวดจนกระดูกแทบหลุดออกจากกัน
เจ็บปวดจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ทำใจดี ๆ ไว้
ไม่ต้องห่วงข้าอยู่นี้แล้ว!” เมบุกิเอ่ยพลางจับมือผู้เป็นสามีแน่น
“ไม่เป็นไรเมบุกิ ข้ายังไหว”
คิซาชิยังมีสติอยู่ แต่บาดแผลตรงกลางตัวแลดูเหมือนจะหนักหนาสาหัส
หัวหน้าหมู่บ้านแห่งฮารุโนะกัดฟันแน่นสู้กับความเจ็บปวด
“เลว ! จิตใจอำมหิตเป็นที่สุด!”
ซากุระกล่าวอย่างเดือดดาล นัยน์ตาสีเขียวมรกตปะทะเข้ากับนัยน์ตาสีนิลจากใบหน้าไร้ความรู้สึก
แม้แต่หางคิ้วของชายผู้นี้ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย เขาเองก็จ้องนางกลับอย่างเงียบงัน
“ก็เห็นไม่ใช่หรือว่าบิดาของข้าสู้รบไม่เป็น ไม่มีใครในหมู่บ้านฮารุโนะที่สู้เป็น
ท่านก็เห็นไม่ใช่หรือไง!” วาจาพรั่งพรูรัวเร็วราวเสียงประทัด
เห็นชัดว่าซากุระเกรี้ยวกราดมากจริง ๆ
“หากคิดที่จะต่อต้านอุจิวะก็ต้องจบลงแบบนี้….”
ซาสึเกะเว้นจังหวะ “ก็แค่ตายก็เท่านั้น”
นั่นเป็นวาจาเหยียบเย็นถึงขีดสุดหลุดออกจากปาก ยามนี้ความโกรธเกรี้ยวของซากุระเปรียบประหนึ่งดอกไม้ไฟระเบิด
ไม่สนว่าจะเผาผลาญบรรยากาศโดยรอบอย่างไร้ความปรานีแค่ไหน ซากุระกล้ำกลืนน้ำตาลง
สบสายตาเปี่ยมเสน่ห์ดั่งปีศาจร้ายของชายหนุ่มตรงหน้า
ก็ในเมื่อผู้บิดาของเธอตอบปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงครามกับพวกแคว้นอุจิวะแล้ว
หากพวกเขาคิดที่จะทำให้หมู่บ้านที่เธอรักยิ่งกลายเป็นทะเลสีเพลิงเฉกเช่นหมู่บ้านอื่น
ๆ
ที่ไม่ยอมเข้าร่วมแล้วล่ะก็เธอก็คิดว่ามันจะถึงเวลาที่เธอจะจับดาบต้องปกป้องหมู่บ้านนี่แล้ว
เพียงรู้สึกว่าชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
ซากุระกำด้ามดาบที่ซ่อนอยู่ไว้ในชุดกิโมโนลำลองข้างตัว
นางรอจังหวะให้อีกฝ่ายมีช่องโว่ง ก่อนจะกระแทกปลายเท้าจากพื้นช่วยส่งตัวพุ่งขึ้นเข้าหาแม่ทัพรูปงามเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วดุจดาวตกไล่จันทรา
มือบางชักดาบออกจากฝักแล้วเหวี่ยงดาบหวังฟาดตวัด
ฉัวะ !
เสียงดาบกระทบกันตามด้วยประกายไฟ ซาสึเกะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
การจู่โจมของสตรีผู้นี้รวดเร็วยิ่ง เพียงครู่เดียวนางก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว
แต่แน่นอนว่าแม่ทัพแห่งแคว้นอุจิวะนั้นรวดเร็วว่องไวกว่า
ซาสึเกะรับการโจมตีของซากุระไว้ได้ ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับคมดาบอยู่สองสามที
แล้วจึงถอยกลับมาตั้งหลักใหม่
ไม่เคยมีสตรีผู้ใดกระทำเช่นนี้ต่อหน้าเขามาก่อน...
เวลานี้อย่าว่าแต่ชาวบ้านหรือทหารของอุจิวะพากันตกตะลึง
ซาสึเกะเองก็พลอยประหลาดใจไปด้วย ไหนว่าคนหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านประกอบอาชีพแพทย์ธรรมดา
น่าประหลาดใจที่ลูกสาวของหมู่บ้านนี้กลับจับดาบเสียเอง
“เชิงดาบของเจ้า...ต่างกับมือใหม่”
ซาสึเกะกล่าวเสียงเย็นหลังจากพิจารณาการกวัดแกว่งดาบเมื่อครู่
เป็นถึงระดับแม่ทัพแห่งแคว้นอุจิวะแค่มองท่วงท่าในการจับดาบก็รู้ได้ว่าฝีมือเยี่ยงนี้จัดอยู่ในเกณฑ์อะไร
สำหรับสตรีนางนี้ฝีมือแลดูคล้ายจะร้ายกาจ แต่ฝีมือนางก็ยังไม่เข้าขั้น
ไม่อาจนับให้เทียบเท่ากับฝีมือของเขาหากเขาเอาจริง
“มีข้าเพียงผู้เดียวในหมู่บ้านเท่านั้นที่รู้วิชาการต่อสู้
ดังนั้นจงประลองกับข้าเถิด หากข้าล้มท่านได้ด้วยดาบเล่มนี้
ท่านจะต้องยอมถอยทัพกลับไป!” ซากุระลั่นวาจา
มีเพียงโทสะที่คุกรุ่น ทั่วบริเวณเงียบสงัด ชาวบ้านภายใต้การคุมของทหารอุจิวะต่างห้อมล้อมรอบกายบุรุษสตรีคู่นี้อยู่ห่าง
ๆ โดยไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าแทรกขัด ทุกคนต่างหวาดกลัวและตกตะลึง
โดยเฉพาะคิซาชิและเมบุกิ
ซาสึเกะไม่พูดอะไรมาก เพียงกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “ข้าจะไม่สู้กับสตรีที่ไม่มีชุดเกราะ”
เขามองซากุระด้วยสีหน้าเฉยชา ซากุระประสานสายตาเข้ากับเขา ในแววตาสีเขียวมรกตแฝงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ท่านขี้ขลาดเสียมากกว่า
กลัวจะแพ้ให้สตรีไร้ชุดเกราะอย่างข้าหรืออย่างไร”
ประกายเยือกเย็นพาดผ่านดวงตาสีดำหมึก ซาสึเกะมองใบหน้าที่ไม่ยอมจำนนของซากุระ
รู้ว่าพูดไป ก็คงจะไร้ประโยชน์ สตรีเบื้องหน้าดึงดันจะประลองให้จงได้
แม่ทัพหนุ่มเลือกที่จะไม่พยักหน้าและไม่ปฏิเสธ
เพียงแต่มองหน้าหญิงเบื้องหน้าอย่างเฉยเมย
“ซากุระ ! อย่าเลยลูก”
เมบุกิส่งเสียงร้องอ้อนวอนผู้เป็นลูกสาว
“ท่านแม่ สิ่งที่ข้าทำได้...
สิ่งที่สำคัญในชีวิตที่ข้าควรปกป้องคือหมู่บ้านแห่งนี้...คือครอบครัวที่ข้าจะปกป้องด้วยด้ามดาบที่ข้ากำอยู่”
ซากุระหันไปยิ้มให้ผู้เป็นเมบุกิที่กำลังประคองคิซาชิที่ได้รับบาดเจ็บอยู่
ในฐานะลูกสาวของหมู่บ้าน หญิงสาวรู้ดี การเข้าร่วมสงครามกับแคว้นใหญ่ สำหรับหมู่บ้านเล็ก
ๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็น เมื่อเข้าร่วมสงคราม
พวกเขาก็คงต้องโดนกดขี่ไม่ต่างอะไรไปกับทาส
ซากุระขอเดิมพันศักดิ์ศรีแลกกับอิสรภาพเสียยังดีกว่า
ซาสึเกะขมวดคิ้ว กวาดมองซากุระอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง
ในอากาศมีเพียงเสียงลมโชยเอื่อยพัดผ่านยอดไม้ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก
มีทหารนายหนึ่งทำท่าทีราวกับจะเสนอตัวจัดการหญิงเบื้องหน้าเอง แต่ซาสึเกะยกมือห้าม
เป็นอันรู้กันว่าท่านแม่ทัพจะออกโรงเอง เหล่าทหารรู้นิสัยเอาจริงเอาจังของท่านแม่ทัพของพวกเขาเป็นอย่างดี
รู้ว่าไม่อาจจะต่อต้านได้
ซากุระตั้งหลักเตรียมตัว ดวงตากลับไม่ปรากฏแววตาหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับฝ่ายบุรุษผู้มีสีหน้าเย็นชา
เส้นผมสีดำของเขาปลิวไสวไปตามแรงลมราตรีที่พัดโหม รอบด้านเงียบกริบ
ทุกสายตาจับนิ่งไปยังซาสึเกะกับซากุระ ไม่มีใครพูดอะไร
ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านฮารุโนะทุกคนฝากความหวังไว้ที่ลูกสาวหมู่บ้าน
การประชันที่สถานการณ์กลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ซากุระพุ่งปราดไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งแทบจะเร่งความเร็วไปถึงขีดสุดนางกวัดแกว่งปลายดาบตามาไม่ลดละ
ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดผสานกับอานุภาพของดาบ
ฉัวะ !
เสียงปะทะดังหนักทึบ ต่างฝ่ายผลัดกันยัดเยียดคมดาบให้กันอย่างดุเดือด
ระยะประชิดใกล้ทำให้ซากุระรับรู้ได้ถึงสายตาของซาสึเกะ นัยน์ตาสีดำหมึกงดงามยิ่งคู่นั้น
ยามนี้ยิ่งทอประกายเจิดจริสดั่งจะดูดกลืนวิญญาณผู้คน
ดาบของซากุระชี้ขึ้นวาดเป็นเส้นตรงคล่องแคล่ว
ขณะที่ดาบของซาสึเกะวาดตวัดเป็นเส้นแนวนอนว่องไวกว่า หลายรอบที่ซากุระเกือบพลาดท่า
แต่นางก็พลบพ้นได้อย่างหวุดหวิด ความประหลาดใจก็ผุดขึ้นในหัวสมองของท่านแม่ทัพ
เห็นทีคงเพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมีความสามารถถึงเพียงนี้
หายากนักสตรีที่จะจับดาบให้ร่ายรำพลิ้วไหวสวยงามได้
แพขนตาของซากุระสั่นไหวเล็กน้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใดหลังจากได้มองหน้าชายเบื้องหน้าอย่างชิดใกล้
นางก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวซาสึเกะผู้โหดเหี้ยมเลือดเย็นคนนี้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นในใจยังมีความรู้สึกอ่อนไหวบางอย่างแอบแฝงอยู่จาง ๆ ทางท่านแม่ทัพเองก็เห็นความนัยที่แฝงอยู่ในส่วนลึกในนัยน์ตาสีเขียวมรกตสวยได้อย่างชัดเจน
— ศักดิ์ศรี
ความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเอง
สองสายตาสอดประสานเข้าหากันอยู่เนิ่นนาน
ราวมันจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ดวงตาอันคมกริบนั้นของซาสึเกะแทบทำให้ซากุระหายใจไม่สะดวก
หญิงสาวได้ยินเสียงชีพจรหัวใจตัวเองเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ สติ ซากุระ สติ — หญิงสาวพร่ำบอกกับตัวเองในใจ
ท้องฟ้ายามราตรีเงียบสงัด
หมู่ดาราส่งแสงระยิบระยับอยู่บนม่านฟ้า ซากุระรู้สึกตัวเองเหนื่อยล้าเต็มที
มันใกล้จะถึงขีดสุดความสามารถแล้ว
หญิงสาวได้ยินเสียงเพียงลมหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง ชายเบื้องหน้าเก่งกาจเกินไป
ดูก็รู้ว่าท่านแม่ทัพแทบยังไม่ได้เอาจริงกับนางเสียเลยด้วยซ้ำ
เมื่อปลายเท้าแตะสัมผัสพื้นดินไม่ถูกต้อง ซากุระก็รีบดีดตัวออกมาตั้งหลักทันที
ดาบคมในมือวาดขวางเป็นท่าไว้ป้องกันตัว แต่ซาสึเกะไม่ยอมปล่อยให้นางได้กลับตั้งหลักไปได้ง่าย
ๆ ประกายคมกล้าผุดวาบขึ้นมาจากดวงตาเช่นเดียวกับปลายดาบ เขาไม่อยากให้การประลองยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว
จังหวะที่ซากุระมีช่องโหว่
ซาสึเกะเลือกที่จะใช้เท้าของตนถีบเข้าหาหญิงสาวให้ล้มลง แทนที่ซาสึเกะจะเลือกฟาดฟันดาบลงบนตัวของหญิงสาวเบื้องหน้าเพื่อปลิดชีวิตลงได้
แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ทำ แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญสตรีนางนี้แต่เขานับถือในความบ้าบิ่นที่กล้าเอ่ยท้าประลองเพื่อปกป้องหมู่บ้านทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรแท้
ๆ
สีหน้าของซากุระซีดเผือดลงทันทีที่ขาสวยพลันอ่อนแรงล้มพับลงไปกับพื้นดิน
นางได้ยินเสียงร่างของจนกระแทกลงไป จากนั้นไม่มีความรู้สึกใด ๆ ตลอดร่างเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
เลือดในกายฉีดขึ้นสู่สมองจนสมองชาด้านคล้ายกับท่อนไม้
แพ้...นางแพ้แล้ว...นางปกป้องหมู่บ้านไม่ได้แล้ว...
— ซากุระรับรู้ว่าน้ำตาไหลอาบแก้ม
นางขบกรามด้วยความเจ็บใจและเบือนหน้าหนี
ละอายใจที่จะสบสายตาคู่เจ้าของใบหน้าไร้อารมณ์ ซาสึเกะรับรู้ถึงสายตาของซากุระที่มีสีหน้าย่ำแย่เป็นที่สุด
เขาเหลือบแลสายตามองนาง แล้วกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าไม่ได้เอาจริง”
ซากุระกัดริมฝีปากจนแดงก่ำ จิตใจของนางอ่อนยวบ
กลิ่นอายเยียบเย็นที่แผ่กระจายอยู่ทั่วร่าง ท่าทีสูงส่งเหนือผู้คนของแม่ทัพ
ปิดกั้นไม่ให้ผู้อื่นกรายใกล้ ไม่มีความอ่อนโยนและรอยยิ้มดุจบุปผาแย้มบานยามราตรี ใบหน้าของเหล่าชาวบ้านล้วนเปลี่ยนเป็นสีซีด
บ้างก็กล้ำกลืนน้ำตาแห่งความหวาดกลัว โศกเศร้า และเคียดแค้น
ซาสึเกะไม่ได้แยแสต่อท่าทางตกตะลึงของเหล่าชาวบ้านที่อยู่รอบกาย
แม่ทัพหนุ่มเพียงกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาดทรงอำนาจดังขึ้นมาท่ามกลางสายลมเย็นออกมาว่า
“เผาหมู่บ้านนี้ซะ”
พลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวโลหิตที่อยู่ในปาก
ซากุระกัดปากแน่น แต่ไม่ทันที่จะได้ชิงตะโกนออกมาก่อน เสียงของคิซาชิก็ดังขึ้น “เรายอมแล้วอุจิวะ!
เรายอมท่านแล้ว...” นั่นเป็นน้ำเสียงปนความเจ็บปวดของบาดแผลดังขึ้นมาจากหัวหน้าหมู่บ้าน
ซาสึเกะชะงัก เขายกมือขึ้นห้ามปรามทหารอีกรอบ
แล้วหยุดฟังคิซาชิ “ฮารุโนะจะเข้าร่วมสงรามกับอุจิวะ...” คิซาชิกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกทุกข์ตรม
“หากยอมแต่แรกก็คงไม่ต้องโง่เจ็บตัวแบบนี้”
น้ำเสียงของท่านแม่ทัพบ่งบอกถึงความถืออำนาจและความโอหัง “ต่อจากนี้ไป ทุกๆ เดือน ฮารุโนะจงส่งเครื่องราชบรรณาการและเสบียงมายังเมืองหลวงแห่งแคว้นอุจิวะ
จะคอยมีทหารรับอยู่หน้าประตูเมืองเอง”
สายลมเย็นยามราตรีพัดกระโชก เส้นผมสีดำปลิวไสวเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยอง
จริง ๆ แล้วซาสึเกะไม่คิดจะรับฟังคำขอร้องหลังเอ่ยลั่นวาจาไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ทว่าเมื่อนัยน์ตาสีดำยังมองมาที่หญิงสาวเจ้าของเรือนผมยาวสีดอกซากุระสวยที่ทรุดตัวอยู่กับพื้นเบื้องหน้า
ท่านแม่ทัพแห่งอุจิวะกลับนึกคิดต่างออกไปจากทุกที — เขารู้สึกสนใจในความสามารถของนาง
นัยน์ตาดำสนิทของซาสึเกะพลันกระเพื่อมไหว
จับจ้องซากุระแล้วโพล่งขึ้น “ไปกับข้า” เมื่อสิ้นเสียง
ใบหน้าก็ซากุระก็เผยถึงความตกใจ เสียงหวานเอ่ยขึ้น “ท่านว่าไงนะ?”
“เจ้ามีฝีมือ” ดวงตาของซากุระไหววูบกับน้ำเสียงเย็นชานั้น
ซาสึเกะเพียงเดินมากระชากมือหญิงสาวให้ลุกขึ้น ก่อนเหวี่ยงให้ทหารรับตัวนางไว้แทน
“ปล่อยข้านะ!” ซากุระพยายามดิ้น แต่นั้นไม่เป็นผล ทหารของอุจิวะมีเรี่ยวแรงที่เยอะกว่าในตอนนี้
หญิงสาวเพียงหลั่งน้ำตา มองบิดามารดาที่ตัวสั่นนั่งอยู่กับพื้นอยู่ไม่ห่าง
“ได้โปรด ท่านจะเอาอะไรไปก็ได้
แต่ไม่ต้องไม่ใช่ลูกสาวข้า” เมบุกิเสียงสั่น แทบจะก้มหน้าผากแนบพื้นขอความเห็นใจ
สามีที่อยู่ข้าง ๆ ก็บาดเจ็บ ไหนลูกสาวกำลังจะถูกทหารพาไปอีก แต่ซาสึเกะมีอาการสงบนิ่ง
แทบจะไม่สนใจคำอ้อนวอน ท่านแม่ทัพรำคาญหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มทนแล้ว
ในเมื่อไม่มีอะไรที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อซาสึเกะอีก
เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ
ซากุระถูกเหวี่ยงขึ้นกรงขังรถม้ารวมกับพวกผู้หญิงจากหมู่บ้านอื่น
หญิงสาวร้องครวญ “ท่านจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ...ปล่อยข้าไปเถิด” ภายใต้แววตาอ้อนวอนจากนัยน์ตาสีเขียวหยกสวย ซาสึเกะเพียงแค่พูดกับซากุระอย่างเย็นชาเป็นที่สุด
“น่ารำคาญ”
ซาสึเกะทิ้งท้ายไว้เป็นประโยคสุดท้าย ท่านแม่ทัพเดินกลับไปขึ้นคร่อมม้าคู่ใจอีกรอบอยู่บนหลังม้า
“ขนของมีค่าจากหมู่บ้านนี้ไปให้หมด!” ท้ายที่สุดเหล่าชาวบ้านนั้นยอมจำนน ยกทรัพย์สินเงินทองและหีบข้าวของมีค่ายกให้ทหารอุจิวะ
มีเพียงหยาดน้ำตาชาวบ้านที่สิ้นหวัง
ต่อไปนี้ตราพัดสีแดงขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลอุจิวะกำลังจะเป็นผู้นำ โดยเฉพาะคิซาชิและเมบุกิที่ใจสลายเป็นที่สุด
ทำได้เพียงมองลูกสาวที่ต้องถูกพรากไปอย่างทำอะไรไม่ได้ทั้งน้ำตา
“เคลื่อนทัพ! กลับสู่แคว้นอุจิวะ!”
มวลหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ
รัตติกาลงดงามพร่างพราย ดวงตาสีหยกของซากุระหรี่ลงไม่ต่างอะไรจากกลีบดอกซากุระที่ร่วงโรยพัดผ่านดวงจันทรา
หญิงสาวเพียงมองหมู่บิดามารดาและหมู่บ้านห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าจากเรือนเหมือนนกที่จากรัง
แต่ช่างน่าเศร้าที่นกน้อยตัวนี้ ไม่สามารถล่วงรู้ชะตากรรมภายภาคหน้าของตัวเองได้อีกเสียแล้ว
つづく。
______________________________________________________________________
Author’s
Note
สวัสดีค่ะ นักอ่านทุกท่าน ♥
มาถึงบทที่ 1 แล้ว เป็นยังไงกันบ้างคะ?
นี่แอบรู้สึกว่าตัวเองเขียนซาสึเกะพูดเยอะไปไหม ทหารคนอื่นไม่พูดเลย ท่านแม่ทัพพูดอยู่คนเดียว (หัวเราะ)
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้ซากุระเป็นสาวแกร่งจริง ๆ และก็พยายามคงคาแรคเตอร์ความเป็นหนุ่มสุขุมของซาสึเกะไว้ (ซึ่งไม่รู้ว่าทำได้ไหม...)
หวังว่าจะชอบกันนะคะ สามารถติชมได้เสมอเลยค่ะ ยินดีพร้อมรับฟังและแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น
คาดว่าฟิคเรื่องนี้น่าจะได้อัพเกือบทุก 1-2 อาทิตย์ ยังไงก็ขอฝากติดตามด้วยนะคะ
สามารถเล่นแท็กทวิตเตอร์ได้ที่ #ฟิคSSเดอะมูน
ลงนามวันที่ 23 เมษายน 2017 - ด้วยรัก, Lenavef
______________________________________________________________________
ความคิดเห็น