คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : {Hakuryuu}
ในความฝันตัวผมกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่าง
ดิ้นรน ไขว่คว้า และวิ่งตามสิ่งนั้นโดยไม่คิดชีวิต
…และผมก็ได้พบ…
ใครบางคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด
คนๆนั้นหันกลับมาและส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้เหมือนทุกครั้ง
ผมตะโกนเรียกชื่อใครคนนั้นสุดเสียง
สองเท้าออกวิ่ง เอื้อมมือคว้าเงาร่างตรงหน้า
แต่สิ่งที่เอื้อมคว้าได้กลับเป็นเพียงแผ่นหินสลักธรรมดา
…ที่สลักชื่อ…
.
.
.
.
.
‘Shuu’
“!!”
ฮาคุริวลุกพรวดจากเตียงอย่างรวดเร็วเพราะฝันร้ายที่พบเจอ หยาดเหงื่อไหลซึมเป็นทางยาวหยดลงบนเสื้อนอนที่เปียกชุ่ม
ฝัน..?
ภาพหลุมศพที่โผล่ขึ้นมาราวกับย้อนเวลากลับไปในวันพิธีทำให้ฮาคุริวกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านในยามเช้าก่อนเหลือบมองรูปถ่ายที่ตั้งอยู่เหนือเตียงนอนด้วยความเคยชิน
“อรุณสวัสดิ์ชู” ฮาคุริวหลุดพึมพำออกมาพลางยื่นมือหยิบกรอบรูปนั่นขึ้นมา
เด็กหนุ่มผมสีดำขลับกำลังยืนยิ้มให้กับกล้องด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความสุข ข้างๆมีตัวเขาเองกำลังยืนทำหน้าเซ็งใส่กล้องโดยมีฉากหลังเป็นอพาร์ตเม้นต์ที่เขาอาศัยอยู่ …ยังจำได้ดีเลยว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นแค่ไหนกับการย้ายมาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
“ฮาคุริว”
น้ำเสียงที่เคยเรียก รอยยิ้มที่เคยได้รับ ความอบอุ่นที่เคยสัมผัส ทุกอย่างในตัวของชูเขายังคงรู้สึกได้เหมือนอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ๆทั้งที่ทุกอย่างมันจบสิ้นลงตั้งแต่เดือนที่แล้ว
…จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของหมอนั่นอีกแล้ว…
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่นๆที่มีเพียงความซึมเศร้าและโหยหาเรื่องในอดีต ฮาคุริวเหม่อมองรูปใบนั้นนานหลายนาทีก่อนนำมันกลับไปวางที่เดิมแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวสำหรับเช้าวันใหม่
“โอ๊ะ” วินาทีแรกที่ยืนขึ้นราวกับโลกทั้งใบเอนเอียงพลิกกลับไปอีกด้าน ประสาทสัมผัสด้านชาไปหมด ก่อนจะล้มลงบนเตียงโดยไม่รู้สึกตัว
อาการปวดหัวตุบๆในสมองเป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่า ‘อาการเมาค้าง’ จากเมื่อคืนยังส่งผลอยู่ ถ้าชูรู้เข้ามีหวังบ่นจนหูชา
“หืม?” คิดไปแล้วร่างสูงก็ก้มมองเสื้อตัวเองที่ถูกเปลี่ยนสรรพเสร็จโดยที่เจ้าตัวจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนเปลี่ยนให้ แวบนึงที่เผลอคิดไปว่าคงเป็นชูอีกตามเคย แต่เรื่องแบบนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้…
“หยุดคิดเพ้อเจ้อซะฮาคุริว” ฮาคุริวเอ่ยสั่งกับตัวเองพลางส่ายหน้าอย่างเอื่อมระอาไล่บรรยากาศอึกครึมที่ปกคลุมออกก่อนตรงไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แปรงฟันให้เรียบร้อย
กิ๊งก่อง กิ๊งก่อง
คล้ายกับเป็นเรื่องเดจาวูปรากฎขึ้นรอบสอง เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันแต่ต่างกันตรงที่ว่าวันนี้เขาดันตื่นเช้ากว่าเมื่อวานเลยไม่ต้องเสียเวลาทอดด่าคนที่มาปลุกตื่นในตอนเช้าในใจ
ขยันมาไม่เว้นวันจริงนะ
แต่ก็ไม่วายแอบประชดประชัน เมื่อวานเจ้าสึรุงิก็ดันมาพูดอะไรที่น้ำเน่าจำพวกมิตรงดงาม ความห่วงใยของเพื่อนคนอื่น…แต่ขอทีเหอะ!ของแบบนั้นเขาไม่สนสักนิด สิ่งที่เขาแคร์มีแค่ชูเท่านั้น!
แต่หมอนั่นก็ไม่อยู่แล้ว…
‘เลิกยึดติดกับอดีตซะที!!’
เสียงตะโกนของสึรุงิแทรกขึ้นในความทรงจำ หลังจากนั้นเขาก็ตวาดไล่ไปด้วยความโมโห …ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร การใช้ชีวิตที่เหมือนว่าอีกฝ่ายยังมีตัวตนแบบนี้ เขารู้ดีว่ากำลังหลอกตัวเอง
ก็แค่ต้องการเวลาทำใจเท่านั้น
แกร๊ก
ประตูหน้าถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า คนที่ปรากฏในวันนี้ก็ยังคงเป็นสึรุงิเหมือนเมื่อวาน ร่างโปร่งมองตรงมาไร้ซึ่งความหวาดหวั่นก่อนโชว์ถุงมินิมาร์ตที่บรรจุแซนวิชเต็มถุงที่ใช้เป็นข้ออ้าง
“อาหารเช้า” พูดสั้นๆเพียงแค่นั้นแล้วถือโอกาสแทรกตัวเข้ามาภายในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต
“เฮ้!” ฮาคุริวส่งเสียงไม่พอใจแต่สึรุงิก็ยังหน้าด้านถอดรองเท้าและเดินเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว “อย่าเข้าบ้านคนอื่นตามใจชอบเซ่!”
กึก
ร่างโปร่งวางถุงมินิมาร์ตลงบนโต๊ะเล็ก ทำท่าจะเตรียมน้ำดื่มน้ำชาสำหรับมื้อเช้าแสนเรียบง่าย แต่สายตาพลันสะดุดกับถุงซุปเปอร์มาเก็ตที่ตั้งเหี่ยวอยู่ไม่ไกล
“สึรุงิ!” ฮาคุริวเดินเข้ามาในห้องครัวด้วยความโกรธ อาการเมาค้างสร่างลงในทันใดเมื่อเห็นร่างโปร่งยืนมองกองถุงที่ตั้งบนโต๊ะ สึรุงิหันกลับมาถามด้วยแววสงสัย
“นายจะทำหม้อไฟ?”
ฉับพลันความรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว ภาพการใช้ชีวิตเรียบง่ายในครั้งที่ยังมีชูปรากฏขึ้นในความทรงจำ
“หม้อไฟ?” ฮาคุริวคิ้วขมวดเมื่อเห็นหม้อต้มที่ไม่ได้ใช้มานานตั้งอยู่บนโต๊ะข้าว ตามด้วยพวกผักและเนื้อที่วางเรียงอยู่บนจานใหญ่ข้างๆ
“อื้อ เทนมะคุงบอกว่าจะทำต่อเมื่อในโอกาสพิเศษ” ชูอธิบาย ดูท่าทางมีความสุขเสียเต็มประดาจนน่าหมั่นไส้
“แล้ว…”ฮาคุริวเว้นช่วง “มันเนื่องในโอกาสอะไรกันล่ะ?” คำถามที่ออกมาทำให้ชูชะงักไปเล็กน้อย เสเหลือบมองไปทางอื่นด้วยแววมีพิรุธ
จะบอกได้ไงล่ะว่าแค่อยากกินเฉยๆ
“เอ่อ...ก็…” คนอยากกินหม้อไฟเถียงนึกหาคำแก้ตัว ฮาคุริวหรี่ตาลงมองคนมีพิรุธด้วยแววจับผิดยิ่งทำให้สมองน้อยๆของชูคิดคำแก้ตัวไม่ออก “เอ่อ…กะ ก็เนื่องในโอกาสที่ฉันย้ายมาอยู่กับนายไง”
คำแก้ตัวที่โพล่งมาไม่คิดทำให้ฮาคุริวเป็นฝ่ายชะงักก่อนหน้าแดงระเรื่อจางๆจนร่างบางเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ฮาคุริว นายหน้าแดงทำไม?”
“ไม่มีอะไร” ร่างสูงกระแอมกลบเกลื่อนความอาย “เหตุผลน่ะชั่งมันเถอะ ฉันชอบหม้อไฟเหมือนกัน”
“จริงเหรอ!” ชูยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “งั้นวันหลังเรามาทำด้วยกันอีกนะ”
“………”สติกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินสึรุงิพึมพำบางอย่างพลางหยิบของในถุงซุปเปอร์มาเก็ตที่คาดว่าคงถูกตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมาดมกลิ่นว่าเสียแล้วรึยัง
“เสียหมดแล้ว” คำพูดของสึรุงิทำให้ฮาคุริวรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “จะให้ทิ้งไหม?” ร่างโปร่งหันกลับมาถาม
ฮาคุริวตัดสินใจอยู่นานก่อนพยักหน้าส่งๆโดยไม่ทันนึกเฉลียวใจว่าของเหล่านั้นมาอยู่ในบ้านตัวเองได้อย่างไร
หลังจากทิ้งของเสียลงขยะเรียบร้อย สึรุงิเดินเข้าห้องครัวรื้อหาถ้วยชาทำหน้าที่บริการประหนึ่งเป็นเจ้าบ้าน ส่วนเจ้าบ้านตัวจริงที่คุ้นเคยกับการมีคนมาบริการก็เอาแต่นั่งบนโซฟาเงียบๆ ไร้ซึ่งคำพูดระหว่างทั้งสองคน
“วันนี้มีซ้อม” จู่ๆสึรุงิก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ วางถ้วยชาลงตรงหน้าฮาคุริว ตวัดดวงตาคมขึ้นสบตรงๆราวกับกำลังคาดหวังบางอย่าง
“ฉันไม่ไป” ฮาคุริวตัดบท ยกน้ำชาขึ้นดื่มโดยไม่กลัวว่ามันจะร้อนหรือลวกปาก สึรุงิกำหมัดแน่นอย่างกลั้นความรู้สึก เค้นเสียงของตัวเองออกมาให้เหมือนเป็นปกติ
“เหรอ...” และบทสนทนาก็จบลง ความเงียบเริ่มคุกคามเข้ามาอีกครั้ง
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เสียงนาฬิกาที่แขวนบนฝาผนังบอกเวลาเก้าโมงตรง ซึ่งนับว่าเช้ามากสำหรับคนที่พึ่งไปดื่มจนแฮงค์มาเมื่อวาน ฮาคุริวก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันที่ต้องมานั่งดื่มชาดูทีวีกับคนที่พึ่งตวาดไล่ไปเมื่อวาน
ร่างสูงเหลือบมองคนข้างกายที่กำลังจดจ่อกับการดูทีวีโดยหยิบแซนวิชเข้าปากไปพลาง ดูเหมือนสึรุงิจะไม่ได้โกรธหรือติดใจอะไรกับเรื่องนั้น ซึ่งแปลว่าเขาไม่จำเป็นต้องเก็บมันมาใส่ใจเช่นกัน
“……” ริมฝีปากคล้ายกับจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ในทันที นัยน์ตาสีส้มจ้องมองเพื่อนคนข้างๆเนินนานจนร่างโปร่งหันกลับมามอง
“มีอะไร?”
“เปล่า” เป็นอีกครั้งที่ฮาคุริวตัดบทไปอย่างรวดเร็ว แม้จะมีเสียงพูดคุยจากทีวีแต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังเงียบจนน่าอึดอัดอยู่ดี
และในที่สุดฮาคุริวก็ทนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้น “เมื่อวาน…” เว้นช่วงไปเล็กน้อยราวกับกำลังชั่งใจ “นายเป็นคนเปลี่ยนเสื้อให้ฉัน?” ว่าพลางชี้ไปที่เสื้อนอนของตัวเองที่สวมอยู่ สึรุงินิ่งไปก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“อืม…ฉันกับเทนมะช่วยเปลี่ยนให้นายเอง”
“งั้นเหรอ” เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ ไม่รู้ทำไมฮาคุริวถึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา…บางทีเขาอาจต้องการให้อีกฝ่ายตอบว่า ‘เปล่า’ หรืออะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้หวัง…
ว่าคนในความฝันยังมีตัวตนอยู่จริง
“ทำไม?”
“แค่สงสัย” ฮาคุริวตอบ เหลือบมองสึรุงิด้วยแววหงุดหงิด “แล้วเมื่อไหร่นายจะกลับ”
“…งั้นฉันกลับเลยละกัน” สึรุงิตัดสินใจถอยก่อนที่จะลงเอยด้วยการทะเลาะกันเหมือนเมื่อวาน ร่างโปร่งลุกขึ้นและกลับไปตัวเปล่าโดยบอกลาเพียงสั้นๆ
ฮาคุริวตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองเพียงลำพัง บรรยากาศเงียบๆทำให้เขารู้สึกตกอยู่ในอารมณ์เศร้าซึมอีกครั้ง
[…อย่างที่รู้ๆกันนะคะ วันนี้เป็นวันมงคลอันดีสำหรับคู่บ่าวสาวสุดฮอตที่มาแรงในช่วงนี้ เอาล่ะค่ะท่านผู้ชม ดิฉันมาถึงหน้าห้องเจ้าสาวกันแล้วค่ะ เดี๋ยวเราจะไปสัมภาษณ์ความรู้สึกของเธอกันนะคะ]
เสียงของนักข่าวสาวกระตือรือร้นเป็นพิเศษกับการสัมภาษณ์เบื้องหลังก่อนพิธีแต่งงานของดาราสาวชื่อดัง ภาพหญิงสาวหน้าตาสะสวยสวมชุดพิธีแต่งงานกำลังยิ้มมาให้ทางกล้อง หากเป็นปกติฮาคุริวคงกดเปลี่ยนช่องไปแล้วแต่สิ่งที่เธอสวมอยู่บนศีรษะนั้นทำให้ฮาคุริวฉุดคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ฮาคุริว นี่มันอะไรน่ะ” ชูร้องถามอย่างสงสัยพลางชูผ้าคลุมสีขาวที่ผ่านการทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้วให้ร่างสูงได้ดู ฮาคุริวหันไปมองเหนื่อยๆก่อนเบิกตากว้างกึ่งตกใจ รีบถามกลับแทนที่จะตอบคำถามของชู
“นายไปเอามันมาจากไหน!”
“หืม?ในห้องเก็บของน่ะ ว่าแต่…นี่มันใช้ทำอะไรงั้นเหรอ” ร่างบางเอ่ยถาม ดวงตาสีนิลฉายชัดว่าถูกใจในลวดลายลูกไม้ประดับของมัน
“มันเป็นของสำหรับผู้หญิง นายเอามันไปเก็บซะ” ฮาคุริวว่า โบกมือไล่ให้ชูกลับไปทำความสะอาดตามปกติ
“เอ๊ะ หรือจะเป็นผ้าคลุมเจ้าสาว!?” ชูร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ใบหน้าหวานฉายแววอ้อนวอนขอร้องเจ้าของบ้าน “ฉันขอใส่ได้ไหม”
“ฟังฉันอีกครั้งนะชู” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “มันคือของสำ-หรับ-ผู้-หญิง” เน้นชัดๆทีละคำให้เข้าสมองน้อยๆของเด็กบ้านนอกที่ไม่ค่อยจะคิดอะไร
“แล้วผู้ชายใส่ไม่ได้งั้นเหรอ?” ชูถามกลับด้วยใบหน้าใสซื่อแทบทำเอาฮาคุริวยั๊วะขึ้นมาตงิดๆ
ต้องอธิบายยังไงถึงจะเข้าให้ห๊า!!!
“งั้นเหรอ…ในเมืองเขาแยกแยะสิ่งของสำหรับชายหญิงสินะ” ชูพึมพำเบาๆก่อนเล่าถึงเรื่องหมู่บ้านตัวเอง “แต่ที่หมู่บ้านของฉันนะ จะหญิงหรือชายก็ใส่ได้หมดแหละไม่มีจำกัด …พวกคนในเมืองนี่ยุ่งยากจังแฮะ”
ฮาคุริวมองค้อนเด็กหนุ่มก่อนนึกบางอย่างออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพียงแวบหนึ่งแล้วเลื่อนหายไป “แต่ถ้านายอยากใส่มันก็พอมีวิธีนะ”
“หืม?” ชูหันมามองด้วยความอยากรู้ ฮาคุริวกระแอมเบาๆ เหลือบมองไปนอกหน้าต่างและเอ่ยด้วยใบหน้าที่ติดสีแดงระเรื่อ
“ก็มาเป็นเจ้าสาวของฉันไง”
ชูชะงักไปเล็กน้อย จ้องตาฮาคุริวเนินนานราวกับเวลาได้ถูกหยุดลงตรงนี้ ฝ่ายฮาคุริวที่ถูกจ้องเป็นคนเบือนหลบไปก่อน เฝ้ารอคำตอบของคนแสนซื่อด้วยแววระทึก แอบกลัวลึกๆว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในความหมายของสิ่งที่เขาได้เอ่ยออกไป ซึ่งจริงๆแล้วชูในตอนนี้นั้น…
เจ้าสาว?
ชูกระพริบตาปริบๆด้วยความงุนงง คำๆนี้เป็นคำที่ยากเกินกว่าเด็กชนบทอย่างเขาจะรู้ได้จึงครุ่นคิดขนานหนักแล้วเอียงคออย่างสงสัยก่อนเอ่ยถามเด็กเมืองกรุงกลับไปว่า
“ถ้าเป็นเจ้าสาวของฮาคุริวก็จะได้สวมไอ้นี่งั้นเหรอ?”
“อะ อืม..” ฮาคุริวตอบ ชูมองใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดของฝ่ายตรงข้ามสลับกับผ้าสีขาวในมือไปมาก่อนตัดสินใจแล้วตอบกลับไปว่า
“เข้าใจล่ะ งั้นฉันจะเป็นเจ้าสาวของฮาคุริวนะ!”
คำแน่วแน่แทบทำเอาฮาคุริวสำลักความสุขตาย ร่างสูงยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถจนตัวสั่น
“ดูนายทำหน้าเข้าสิ” ชูหรี่ตาลงมองอย่างไม่ไว้ใจ “คงไม่ใช่หลอกให้ฉันตกลงอะไรแปลกๆหรอกนะ”
“มะ ไม่ใช่หรอก” ฮาคุริวฝืนพูดให้เป็นเสียงปกติ แต่ก็ยังปกปิดรอยยิ้มบิดเบี้ยวที่เกิดจากการกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ได้อยู่ดี “มานี่สิ”
ร่างสูงกวักมือเรียกให้ชูไปนั่งลงข้างๆซึ่งร่างบางก็ทำตามอย่างว่าง่ายไม่ท้วงติง ฮาคุริวเอื้อมหยิบผ้าสีขาวโปร่งในมือและขยับยิ้มบาง เอ่ยกระซิบเสียงเบาจนชูอดใจเต้นด้วยไม่ได้
“หลับตาลง”
ดวงตาสีนิลเงยสบกับนัยน์ตาสีสว่างของร่างสูงอีกครั้งก่อนที่ชูจะยอมปิดตาลงช้าๆ ในตอนที่ความมืดกำลังปกคลุมโลกของเขานั้น…เขาสัมผัสได้ว่าฮาคุริวกำลังทำอะไรบางอย่างกับผมของเขา
ตึกตัก
เสียงหัวใจของตัวเองในตอนนี้เริ่มได้ยินอย่างชัดเจน ความสุขปริ่มล้นท่วมหัวใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ เสียงหัวใจเต้นดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้รู้สึกตื่นเต้นกับการรอคอยในคราวนี้
อยากลืมตาเร็วๆจัง…
และไม่นานคำภาวนาของชูก็เป็นจริงเมื่อฮาคุริวเลิกยุ่งวุ่นวายกับเส้นผมของเขาแล้วบอกให้ลืมตาขึ้นได้
ผ้าคลุมสีขาวที่คลุมเหนือเส้นผมสีดำสะท้อนอยู่ในดวงตาสีนิลที่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มือเรียวเอื้อมแตะมันอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวมันบุบสลาย รอยยิ้มหวานเผยขึ้นอย่างยากจะห้ามอยู่เช่นเดียวกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อจางๆด้วยความตื้นตัน
“สวยจัง…”ชูพึมพำด้วยรอยยิ้ม รู้สึกถึงความสุขที่ล้นทะลักออกมาจากดวงใจดวงน้อยๆดวงนี้ “เหมือนในงานพิธีเลยเนอะฮาคุริว”
“อา…ก็นะ” ฮาคุริวเอ่ยพลางวางกระจกที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะใกล้ๆ “เจ้าบ่าวก็มีแล้ว บาทหลวงคงไม่ต้อง ขาดแค่แหวนแล้วก็…”
“แล้วก็อะไร” ชูตื่นเต้นจนทนไม่ไหวหลุดถามออกไปเรียกรอยยิ้มมีเลศนัยให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮาคุริว
“จูบสาบาน”
สิ้นคำภาพตรงหน้าถูกปดบังโดยใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แม้จะแผ่วเบาแต่ก็อ่อนหวานสื่อถึงความรักแสนบริสุทธิ์ที่มอบให้หมดทั้งหัวใจ
ชูในตอนแรกแสดงอาการตื่นตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกที่สื่อผ่านทางริมฝีปากร่างบางก็ยอมรับมันแต่โดยดี ไม่นานจูบสาบานของทั้งสองก็ได้จบลง แต่รสหวานที่ติดอยู่ในริมฝีปากยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจ
“ฮะๆ ขาดแต่แหวนแต่งงานล่ะนะ” ชูพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่คิดว่าคนอย่างฮาคุริวจะทำอะไรหวานๆแบบนี้เป็นเหมือนกับคนอื่นเขา ฝ่ายคนถูกหัวเราะเพียงแค่เกาศีรษะแก้เขินและลุกเดินหนีไปทางอื่นทิ้งให้ชูนั่งหัวเราะกับนิสัยน่ารักๆของอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็น
“คิกๆ” นิ้วเรียวปาดน้ำตาที่คลอบนดวงตาคู่สวย พลันดวงตาเหลือบเห็นบางอย่างที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย…
“ฮาคุริว!” สิ้นความคิดชูรีบลุกพรวดวิ่งตามหาเด็กหนุ่มให้ทั่วบ้าน ก่อนจะพบเจ้าตัวยืนครุ่นคิดบางอย่างอยู่นอกระเบียงทางเดิน พอร่างสูงหันมาเห็นก็แสดงใบหน้าเหยเกเล็กน้อยก่อนถูกจู่โจมเข้าใส่ด้วยแรงของร่างบางทั้งหมดที่มี
“คิกๆ…”ชูหัวเราะออกมาแผ่วเบาด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าครั้งไหนจนฮาคุริวอดยิ้มตามด้วยไม่ได้ ร่างบางยืดตัวขึ้นให้พอกับระดับความสูงกระซิบถ้อยคำข้างใบหูของอีกฝ่ายแผ่วเบา
“ขอบคุณนะ”
ติ๊ด
รีโมตในมือกดปิดรายการทีวีไร้สาระที่เผลอนั่งดูมาเป็นชั่วโมงก่อนฮาคุริวจะลุกขึ้น ตัดสินใจแต่งตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวเตรียมตัวออกจากบ้านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
กึก
ก่อนชะงักลงเล็กน้อยกับแผ่นโน้ตที่ทิ้งไว้เมื่อวาน ร่างสูงขยำมันทิ้งลงถังขยะใกล้ๆแล้วดึงใบใหม่ขึ้นมาเขียนแปะทับที่เดิมด้วยความเคยชิน
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้วแต่ก็ยังอยากทำ….
ฮาคุริวมองสภาพบ้านที่เงียบเหงาเป็นครั้งสุดท้าย กดล็อกกุญแจและปิดประตูบ้านลงช้าๆโดยไม่ทันสังเกตร่างของใครบางคนที่กำลังยืนมองแสงสว่างเบื้องหน้าที่ค่อยๆริบหรี่ลงด้วยใบหน้าที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา
“ฮาคุริว…”
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
ตอนสองจบลงจนได้ ฟิ้ว!//ปาดเหงื่อ
ทีแรกกะให้เนื้อเรื่องเป็นเหมือนตอนแรกแต่เปลี่ยนแค่ฮาคุริวเป็นคนดำเนินเรื่อง แต่ไม่เอาดีกว่า!ไม่งั้นมีหวังเรื่องนี้ยืดกว่าเดิมอีกแหงแซ่ะ!
สารภาพนิดนึงว่าตอนแต่งบทของฮาคุริวจบแล้วอ่านอีกทีเรารู้สึกว่ามันแหม่งๆ ประมาณว่าสำนวนเหมือนไม่ใช่ตอนที่ใช้เขียนในบทของชู คนอ่านคิดว่ายังไงคะ?เราว่ามันแปลกๆนะ…อ๊ะ แต่ชั่งมันเถอะ! ที่สำคัญกว่านั้นคือขอบคุณที่ติดตามนะคะ^^
Ps.อัพช้าไม่โกรธเรานะ (‘ ^ ’)
อัพ: 04 ส.ค. 56
ความคิดเห็น