คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : {Shuu}
ในความฝัน ตัวผมอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง…
บนเก้าอี้ยาวทั้งสองทางมีแขกสวมชุดสีขาวสะอาดเรียบ
ใครบางคนยืนรออยู่ที่ปลายสุดของทางเดินตรงนั้น
แสงที่สาดสะท้อนย้อนทางมาทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเท่าไหร่นัก
แต่เงาที่คุ้นเคยนั่นกำลังเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง
บาทหลวงผู้ซึ่งยืนถัดจากคนๆนั้นกำลังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาทางผม
ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง
อย่าบอกนะว่านี่เป็น
.
.
.
.
.
…พิธีแต่งงาน?...
พรึ่บ!
ร่างเล็กเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหงื่อที่ไหลชโลมกาย นัยน์ตาสีนิลที่ฉายแววตื่นตระหนกค่อยๆสงบลงก่อนผ่อนลมหายใจแผ่วเบาออกมาเมื่อรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน
“เฮ้อ…”
ดวงตาคู่สวยเหลือบเห็นคนที่นอนอุตุข้างกาย ใบหน้าหล่อเหลายามนอนหลับชั่งดูน่ารักในสายตาของชู ปอยผมสีขาวที่คลอเคลียใบหน้าทำให้เด็กหนุ่มหน้าหวานอดเอื้อมมือไปปัดมันออกไม่ได้
“ดันฝันแปลกๆซะได้สิเรา” ชูบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเกลี่ยปอยผมหน้าของฮาคุริวออก
พิธีแต่งงานงั้นเหรอ
พลันภาพในความฝันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตัวโบสถ์โออ่าสวยงามวิจิตรถูกประดับตกแต่งเรียบๆไม่หวือหวาโดยช่อดอกไม้ขาวสลับสีช่อสีชมพูหวานตามแท่นพิธี พรมแดงถูกปูจากหน้าโบสถ์ไปยังที่ปลายสุดของทางเดิน กับดอกไม้ร่วงโรยจากเบื้องบนโดยฝีมือเด็กสาวเด็กชายทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง
แขกผู้มาร่วมงานต่างยิ้มแย้มแสดงความยินดี ทุกคนต่างยินดี ในมือของตนกุมดอกลิลลี่สีขาวสะอาดดั่งชุดเจ้าสาวที่กำลังสวมอยู่ ภาพทุกอย่างถ่ายทอดผ่านผ้าคลุมสีขาวสะอาดที่มีเพียงบุคคลเดียวที่สามารถเปิดได้
อ่า…เขารู้ว่ามันแปลกที่มาจินตนาการตัวเองในชุดเจ้าสาว
รอยยิ้มของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่เมื่อได้นึกถึงก็อดที่จะใจเต้นขึ้นมาไม่ได้ มันเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก…….เหมือนรอยยิ้มของฮาคุริว
“ชุดเจ้าสาว งานพิธี แหวน จูบสาบาน” ชั่งเป็นเรื่องที่โรแมนติกเกินกว่าที่เด็กชายอย่างเขาควรจะฝันถึง
“อือ…” เสียงครางแผ่วเบาจากเจ้าตัวทำเอาชูหลุดจากห้วงความคิด รีบดึงมือที่เล่นปอยผมหน้าของอีกฝ่ายกลับอย่างว่องไวก่อนเจ้าของนัยน์ตาสีสว่างจะทันรู้ตัว
นัยน์ตาสีส้มเริ่มปรือขึ้นอย่างงัวเงีย ฮาคุริวขยี้ตาตัวเองเบาๆก่อนยกมือขึ้นบังปากที่หาววอดๆของตัวเอง ชูมองคนข้างตัวด้วยแววยิ้มก่อนทักทายเสียงใส
“อรุณสวัสดิ์”
“อือ…หิวน้ำจัง” ฮาคุริวพึมพำเบาๆ ก่อนเอ่ยทักทายเสียงแผ่ว “อรุณสวัสดิ์ชู”
“หิวน้ำเหรอ?เดี๋ยวฉันไปหาให้นะ” ชูรีบอาสาอย่างรวดเร็วพลางทำท่าลุกจากเตียงนอนที่ค่อนข้างแคบเกินไปสำหรับคนสองคน อาจเป็นเพราะชูตัวบางร่างน้อยหรือปัจจัยอื่นก็ตามแต่มันไม่ได้ทำให้ฮาคุริวไม่รู้สึกอึดอัดเวลานอนนัก
กิ๊งก่อง กิ๊งก่อง
เสียงออดที่ดังแต่เช้าของวันทำให้ชูที่กำลังเดินไปทางห้องครัวชะงักแล้วหันไปมองทางฮาคุริวเป็นเชิงถามว่าควรเปิดประตูต้อนรับหรือแกล้งเนียนทำเป็นไม่อยู่แทนดี
กิ๊งก่องๆๆๆๆๆๆๆ
แต่เหมือนอีกฝ่ายที่อยู่นอกประตูจะรู้ไต๋ทัน กดออดรัวกระหน่ำโดยไร้ซึ่งความเกรงใจเจ้าบ้านและเพื่อนบ้านระแหวกใกล้เคียง ฮาคุริวคิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกรำคาญ หากเขาไม่ออกไปต้อนรับแขกคนนี้มีหวังได้รับคำบ่นจากเพื่อนบ้านจนหูชาเป็นแน่
“อารู้แล้วน่า!” ฮาคุริวตะโกนตอบแขกผู้มาเยือนยามเช้า “น่ารำคาญจริงเชียว” บ่นอีกครั้งก่อนเลิกผ้าห่มขึ้นไปเปิดประตูด้วยตัวเอง ชูเห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาน้ำให้ฮาคุริวดื่มและแน่นอน….สำหรับแขกอีกคนด้วย
“………………….” เสียงคุยจากทางประตูหน้าทำให้ชูอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฮาคุริวถึงไม่เชิญแขกเข้ามาข้างใน เด็กหนุ่มจึงแอบหลบมองสถานการณ์จากภายในบ้าน แขกที่มาเช้าวันนี้คือสึรุงิ เคียวสึเกะ
ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเป็นเพื่อนสนิทฮาคุริวนี่นา
“….ฉันไม่เป็นไร นายเลิกเซ้าซี้เถอะน่า” แม้จะมองไม่เห็นหน้าของฮาคุริวในตอนนี้ แต่น้ำเสียงติดรำคาญนั่นบ่งบอกได้ร้อยเปอร์เซนว่าฮาคุริวนั้นใกล้ถึงจุดหมดความอดทน สึรุงิพูดอะไรตอบกลับสองสามคำซึ่งเขาไม่ได้ยินและนั่น…ทำให้ฮาคุริวเหลืออดออกมาจริงๆ
“กลับไปซะ!!” เสียงตวาดลั่นทำเอาชูสะดุ้งโหยงเกือบทำถาดแก้วน้ำในมือหล่น บางทีเขาควรจะจัดการกับมันก่อนที่จะสร้างเรื่องให้ฮาคุริวอารมณ์เสียมากขึ้นกว่าเดิม
คิดแบบนั้นชูก็รีบนำถาดกลับไปวางไว้ในห้องครัวที่เดิมแล้วเดินกลับออกมาประตูหน้าใหม่ คราวนี้เสียงกระแทกประตูปิดเสียงดัง ปัง! เหมือนจงใจทำใส่คนอารมณ์เย็นที่ยืนอยู่นอกประตูบานนั้น
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ชูถามอย่างกังวล ฮาคุริวไม่ตอบเพียงเดินผ่านไปอย่างหงุดหงิดราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา “ฮาคุริว…”
นัยน์ตาสีนิลได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยแววเศร้าก่อนถอนหายใจเบาๆ
สงสัยต้องรอให้อารมณ์เย็นลงกว่านี้
……………………………………………………
……………………………..
…………
….
“ถ้าได้กินหม้อไฟ ฮาคุริวต้องกลับมาร่าเริงแน่”
เป็นการคาดการณ์ของชู หนุ่มน้อยจากชนบทผู้รักการทำอาหารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่กับฮาคุริวเมื่อสองเดือนก่อนก็ได้รับหน้าที่อันแสนสำคัญยิ่งอย่าง “แม่บ้าน” แทนค่าที่พักอาศัย ซึ่งแน่นอนว่าคนรักการทำงานบ้านอย่างชูไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธข้อเสนอดีๆแบบนี้
ถ้าหายอารมณ์เสียไวๆก็ดีสิ
ก่อนจะออกมาซื้อวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นเขาได้ชวนฮาคุริวออกมาจ่ายตลาดด้วยกันแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังทำเป็นเมินตัวตนของเขาเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิด
เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเด็กๆได้สักทีนะ… รู้ไหมว่าการถูกเมินน่ะมันน่าน้อยใจแค่ไหน!
คิดไปคิดมาก็แอบโกรธนิดๆ เผลอกำถือถุงซุปเปอร์มาเก็ตในมือซะแน่นโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องมาโดนฮาคุริวพาลโกรธใส่ด้วยล่ะ!
แกร๊ก…
“กลับมาแล้ว” ชูร้องบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจางๆ ถ้าฮาคุริวรู้ว่ามื้อเย็นวันนี้เป็นอะไรต้องดีใจจนโผเข้ามากอดเขาแน่
“ฮาคุริว ทายซิว่าเย็นวันนี้เราจะกินอะไรกัน” ร่างบางตะโกนถามขณะจัดการวางรองเท้าของตัวเองให้เรียบร้อย
เมื่อเดินเข้าไปเขาหวังจะได้เห็นใบหน้ากึ่งเซ็งของเจ้าของบ้านที่กำลังดูทีวีแก้เซ็งบนโซฟาสีเลือดหมูในห้องนั่งเล่น แต่ผิดคาดเมื่อภายในห้องนั้นไร้ซึ่งวี่แววของคน
“ฮาคุริว?” ชูร้องเรียกด้วยความสงสัย วางวัตถุดิบมื้อเย็นไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นก่อนเดินเข้าไปดูในห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล รวมถึงห้องครัวและห้องนอนที่อยู่ลึกสุด แต่ก็ไร้วี่แววของคนที่กำลังตามหา
หรือจะออกไปข้างนอกนะ?
คิดได้แบบนั้นสองเท้าก็เดินวกกลับไปที่ระเบียงทางเดินอีกครั้งและหยุดลงตรงหน้าเครื่องโทรศัพท์ประจำบ้านที่แปะโน้ตสั้นๆของเจ้าบ้านเอาไว้ว่า…
‘ออกไปกินมื้อเย็นกับพวกเทนมะ’
“…………………”
ความเงียบปกคลุมรอบด้าน ชูมองโน้ตกระดาษแผ่นนั้นด้วยดวงตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ความรู้สึก ไม่รู้ว่านานขนาดไหนที่เขาเอาแต่จ้องโน้ตแผ่นนั้นราวกับต้องการคาดคั้นบางอย่างจากมัน แต่ถึงจ้องไปมากกว่านั้นก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี
มือที่ถือแผ่นโน้ตวางมันทิ้งลงที่เดิมพร้อมเสียงถอนหายใจแผ่วเบา ชูเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่ม ดวงตาจับจ้องไปยังถุงซุปเปอร์มาเก็ตที่กองรวมกันบนโต๊ะเล็กตรงหน้าแล้วถอนหายใจแผ่วเบาอีกที
…หม้อไฟวันนี้คงต้องเลื่อนไปเป็นวันอื่น…
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังบอกเวลาตีหนึ่งตรงเด๊ะ เป็นเวลาค่ำเกินกว่าเด็กอายุสิบห้าจะออกไปข้างนอก ชูละสายตาจากนาฬิกาเรือนนั้นกลับไปยังหน้าจอทีวีที่นั่งจ้องมันมานานหลายชั่วโมงเพื่อฆ่าเวลารอเจ้าบ้านกลับมา
“ง่วงจัง…” ริมฝีปากพึมพำเสียงแผ่วก่อนยกมือขึ้นป้องปากหาวแล้วยกมือขึ้นกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์
มัวไปอยู่ไหนของเขานะ
ชูคิด ใกล้สัปหงกหัวคว่ำโต๊ะลงทุกที การรอมันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรอเพราะฮาคุริวไม่ได้บอกว่าจะไปค้างที่อื่น แต่เวลานี้มันก็….
บางทีอาจจะไปค้างบ้านเทนมะคุง
ในเวลานี้สิ่งที่คิดได้ก็มีเพียงอย่างเดียว อันที่จริง…เขาสมควรคิดได้ตั้งแต่สามหรือสี่ชั่วโมงก่อน ชูยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกครั้งก่อนกดปิดทีวีจากรีโมตแล้วลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งแช่ราวๆเจ็ดชั่วโมง
อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันมั่ง!
นี่เขาติดนิสัยขี้โมโหมาจากฮาคุริวแล้วหรือยังไงกันนะถึงได้เอาแต่พาลคิดโมโหใส่ฮาคุริวอยู่เรื่อย ไม่สิ…เพราะฮาคุริวทำตัวแปลกไปต่างหากเขาถึงได้ต้องมาคอยกังวลแบบนี้! เรื่องที่เมินเมื่อเช้ายังพอทำใจรับได้ แต่เรื่องที่ปล่อยให้เขารอเจ็ดชั่วโมงนี่มันออกจะเกินขอบเขตไปสักหน่อย หรือฮาคุริวจะเกลียดเขาแล้ว?
“…………………”
ให้ตาย…หวังว่ามันเป็นแค่อาการคิดมากของเขาเพียงคนเดียวนะ
ชูแอบภาวนาในใจก่อนเปิดประตูห้องนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างบางทิ้งตัวลงนอนฟุบกับเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง ความง่วงเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วโดยไม่รอช้าทำให้สมองที่กำลังฟุ้งซ่านเริ่มสงบลง
ไม่หรอก จริงๆก็พอสังเกตได้มาพักหนึ่งแล้วว่าฮาคุริวทำตัวแปลกไป
เสียงหนึ่งในใจเอ่ยกระซิบบอก เตือนให้เลิกหวังอะไรลมๆแล้งๆกับสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ
เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ดวงตาสีนิลเหม่อมองเพดานสีขาว นึกย้อนไปยังภาพอดีตเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่สงสัยแต่ภาพทุกอย่างเริ่มขาดตอน เลือนลางลงเหลือเพียงสีขาวที่ว่างเปล่า เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งมากขึ้นทุกทีจนเริ่มเคลิ้มหลับ
คงไม่ใช่ว่าเขาเผลอทำอะไรให้ฮาคุริวไม่พอใจหรอกนะ?
คือสิ่งสุดท้ายที่ชูคิดก่อนสติสัมปชัญญะจะดับวูบ หลุดเข้าห้วงฝันอันแสนยาวนานของค่ำคืนนี้…
……………………………………………
……………………………..
…………
….
“อือ…” เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นจากลำคอก่อนร่างที่นอนสะลึมสะลือใต้ผ้าห่มหนาจะลุกขึ้นเพราะเสียงพูดคุยที่ดังออกมาจากทางประตูหน้า
“...เมาแอ๋เลย…” ชูลุกขึ้นจากเตียงได้ไม่ทันไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเทนมะและสึรุงิที่ช่วยประคองฮาคุริวเข้ามาภายใน
“หนักจังแฮะ” เทนมะบ่น ก่อนวางตัวคนเมาที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ลงบนเตียง พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมาสบกับนัยน์ตาสีนิลของเขาเข้าโดยบังเอิญ
“ขอโทษนะชู…ฉันดันพาฮาคุริวไปเมาอีกแล้ว”
“อีกแล้ว?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “หมายความว่ายังไงเทนมะคุง”
แต่เทนมะไม่ได้ตอบเอาแต่ก้มหน้าเงียบจนกระทั่งสึรุงิสะกิด คนตัวเล็กถึงได้รู้สึกตัวในที่สุด “พวกฉันกลับก่อนล่ะ” และทิ้งให้ชูรับมือกับคนเมาเพียงลำพังโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ
ซ่า ซ่า ซ่า
นี่พวกเราพึ่งจะสิบห้าเองนะ!ไอ้เรื่องแอลกอฮอล์นี่ไม่สมควรแตะเลยสักนิด!!
น้ำจากก๊อกถูกเติมเต็มถังสีเหลืองอ่อนอย่างรวดเร็ว ชูเอื้อมมือปิดก๊อกน้ำก่อนหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ใกล้ๆโยนลงในถังใบเล็กเพื่อชุบน้ำให้ชุ่ม แล้วบิดให้หมาดสำหรับเช็ดตัวคนที่เมาหมดสภาพอยู่บนเตียง
ตื่นเมื่อไหร่จะลงโทษให้เข็ดเลยคอยดู!!
ชูกระแทกถังน้ำลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงจนน้ำกระเซ็นออกมาจากถังเปื้อนใบหน้าของคนนอน เรียกสติอันเลือนรางให้กลับมาเล็กน้อย
“…ใคร?” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม ดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาพยายามฝืนมองใบหน้าของบุคคลตรงหน้า
“จะใครซะอีกล่ะ” ชูบ่น ถลกแขนเสื้อนอนของตัวเองขึ้นแล้วปลดกระดุมของอีกฝ่าย ไร้ซึ่งความอายอย่างที่เหล่าเคะสมควรจะมี
“อืออออ” ฮาคุริวครางต่ำเมื่อสัมผัสเปียกชื้นจากผ้าค่อยๆเลื่อนผ่านร่างกาย ชูแอบเบ้หน้าเล็กน้อยกับกลิ่นเหล้าที่ลอยมาเตะจมูก
ทำไมถึงปล่อยให้กินลงไปได้นะ ไม่สิ…ที่สำคัญกว่าคือทำไมบ้านเทนมะคุงถึงมีเหล้าได้ต่างหาก!
ระหว่างเช็ดตัวไปชูก็บ่นในใจบ้าง หลุดปากบ่นออกมาบ้าง จับฮาคุริวพลิกตัวแล้วเช็ดหลังและเปลี่ยนเสื้อให้สรรพเสร็จ
“ฮึก…” เสียงสะอื้นแผ่วเบาทำให้ชูที่กำลังจะยกถังน้ำไปทำความสะอาดชะงัก หันกลับไปมองทางต้นเสียงแล้วต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“!!!”
หยาดน้ำตาที่ไหลรินลงอาบแก้มทำให้ชูถึงกับทำอะไรไม่ถูก ถึงเขาจะสนิทกับฮาคุริวมากก็จริง ถึงจะเคยได้เห็นหลายด้านของคนๆนี้มามากแล้วก็จริง แต่การที่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นตลอดสามปีที่รู้จักกันมา
“...ชู...” เจ้าของชื่อถึงกับมือไม้อ่อนเกือบเผลอทำถังน้ำในมือหล่น นัยน์ตาสีดำขลับสะท้อนภาพใบหน้าของฮาคุริวที่กำลังร้องไห้ราวกับกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญไป
นายร้องไห้ทำไมฮาคุริว?
“อย่าไปเลย…” คำที่หลุดออกจากปากทำให้คนถูกรั้งนิ่งงัน ร่างบางถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเดินกลับไปทรุดลงนั่งยังที่เดิม
ไม่ไปไหนหรอก…
มือบางเข้าสอดประสานกับฝ่ามืออุ่นของร่างสูง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านทำให้สีหน้าของฮาคุริวดูผ่อนคลายลง
ต่อให้นายไล่… ฉันก็ไม่ไปไหนหรอก
“ชู…” ริมฝีปากพึมพำชื่อนั้นอีกรอบ เจ้าของชื่อเผลอกุมมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้วไง
ริมฝีปากบางคล้ายจะเอ่ยในสิ่งที่คิดออกไปให้ได้ยิน แต่ก็ต้องกลืนมันลงไปและเผยยิ้มข่มขื่นออกมาแทน ทำได้เพียงทอดสายตามองคนตรงหน้าด้วยแววเศร้า
…เมื่อไหร่นายจะเลิกเมินฉันสักที…
ในเช้าวันใหม่ชูตื่นขึ้นมาในสภาพที่นอนฟุบกับพื้น มือที่เคยกุมบางสิ่งไว้กลับว่างเปล่า ร่างบางฝืนพยุงตัวขึ้นนั่งบนพื้น ความเจ็บแปล๊บจากหลังทำให้รู้ว่าการนอนบนพื้นแข็งๆนั้นไม่ส่งผลดีต่อร่างกายสักเท่าไหร่
ยังง่วงอยู่เลยแฮะ
ชูคิดพลางอ้าปากหาวเบาๆแต่เช้า รู้สึกเหมือนร่างกายมันหนักอึ้งจนแทบขยับไม่ไหว อาจเป็นเพราะการนอนบนพื้นแข็งๆ หรือเพราะเหตุอื่นก็ไม่อาจทราบ
ดวงตาสีนิลเหลือบมองบนเตียงที่ว่างเปล่าก่อนพยุงร่างตัวเองขึ้นจากพื้นบิดขี้เกียจให้หายเมื่อยและพาตัวเองไปยังห้องน้ำที่อยู่ถัดไปไม่ไกล
ซ่า ซ่า
เสียงก๊อกน้ำจากอ่างล้างมือทำให้ชูหยุดฝีเท้าลง ฟังจากเสียงแล้วคาดว่าฮาคุริวคงกำลังแปรงฟันอยู่ พอคิดถึงเมื่อคืนที่ต้องนอนบนพื้นแข็งโดยไร้ซึ่งผ้าห่มหรือแม้แต่ความเห็นใจที่จะอุ้มขึ้นไปนอนบนที่นอนนุ่มๆทั้งๆที่เขาอุตส่าห์นั่งเฝ้าจนเกือบสว่าง ชูก็นึกฉุนขึ้นมาตงิดๆ
“ฮาคุริวใจร้ายจังนะ ปล่อยให้ฉันนอนบนพื้นแข็งๆแบบนั้น” ชูเริ่มบทสนทนาตอนเช้าพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ซ่า ซ่า
ฮาคุริวทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด แปรงฟันและบ้วนปาก ไม่สนใจเขาที่ยืนอยู่ข้างหลัง คราวนี้ชูเริ่มจะเดือดขึ้นมาจริงๆ มือบางพุ่งหมายเข้ากระชากคนร่างสูงให้หันมาเผชิญหน้า
“เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็กซะ…!!!” แต่แทนที่จะแตะตัวได้ มือนั้นกลับทะลุผ่านไปเฉยๆราวกับเป็นธาตุอากาศ
แกร๊ง
แปรงสีฟันของฮาคุริวถูกวางลงบนแก้วใบเล็กพร้อมกับเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกบนใบหน้าออกให้หมดและนั่นทำให้ชูได้เห็นสิ่งที่ตื่นตะลึง
ที่ตรงนั้น…ไม่มีเงาของเขา!!
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!?
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
ตอนแรกกะจะแต่งเป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ แต่ไปๆมาๆไหงมันยาวขึ้นมาได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย!
เพราะฉะนั้น…แปะตอนแรกไว้ก่อนละกัน
ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ก็รอติดตามด้วยล่ะ!
Ps.ติชมกันหน่อย~ ขอบคุณ
อัพ:26 ก.ค.56
แก้ไขครั้งที่หนึ่ง: 04 ส.ค. 56
ความคิดเห็น