ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Inazuma Go:SICK SERIES

    ลำดับตอนที่ #1 : Tenma: Insomnia

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 509
      7
      4 ต.ค. 63

    ::Note::

    ข้อมูลที่นำเสนอเป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้น

    กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน




    Insomnia




     

    [Matsukaze Tenma]


    ผมเป็นโรคนอนไม่หลับ


    หลายคืนแล้วที่ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้ในตอนกลางคืน อาการเหล่านั้นส่งผลต่อชีวิตประจำวันทุกด้าน


    เริ่มจากการเรียน  ผมไม่สามารถเรียนรู้เรื่องได้เพราะสมองมันตื้อไปหมดและง่วงซึมตลอดเวลาจนเพื่อนๆเริ่มถอยห่าง  ขอบตาของผมคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า สุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหวเลยพาผมไปหาหมอและได้ยานอนหลับกลับมา


    แรกๆอาการของผมก็ดีขึ้น ร่างกายได้พักผ่อน รู้สึกมีชีวิตชีวา แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง…. ผมไม่สามารถขาดยานอนหลับได้  หากไม่ได้กินมันผมจะกระวนกระวายเหมือนคนมีอาการอยากเสพยานั่นแหละ


    ผมรู้สึกขยักแขยงตัวเอง.…จนหลังๆทุกครั้งที่กลืนมันลงคอ ผมรู้สึกเลวร้ายย่ำแย่ยิ่งกว่าตอนที่ไม่ได้นอนติดกันหลายคืนเสียอีก รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าร่างกายของผมปฏิเสธยาไปแล้ว


    ไม่ว่าคนรอบข้างจะแอบปดเป็นผงผสมชงกับน้ำ หรือของกินต่างๆ  ร่างกายของผมก็จะต่อต้านและปฏิเสธมันออกจากร่างกายทันที


    ผมเป็นโรคนอนไม่หลับอีกครั้ง


    แม่พาผมไปหาหมออีกครั้ง  คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะผมเครียดกับเรื่องต่างๆและยังคิดมากกับการนอนไม่หลับทำให้ร่างกายปฏิเสธยา  ดังนั้นหมอจึงให้ผมมาพักอยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์เพื่อดูอาการ


    คืนแรกหมอแอบผสมยาลงในข้าว ผมที่ไม่รู้ก็กินจนหมดแต่เหมือนร่างกายผมจะรู้เพราะหลังจากพยาบาลออกไปได้ห้านาที ผมก็อาเจียนเอาของพวกนั้นออกมาหมด  และคืนนั้นผมก็นอนไม่หลับ


    เช้าวันต่อมาคุณหมอเข้ามาถามไถ่อาการ ผมตอบไปว่าผมรู้ว่าเขาใส่ยานอนหลับในอาหาร คุณหมอดูตกใจแต่ก็ยอมรับว่าทำแบบนั้นจริงๆพร้อมกับขอโทษผม  ผมเข้าใจจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป


    ช่วงสายๆคุณหมอแวะเข้ามาอีกครั้ง แนะนำว่าให้ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่าอยู่แต่ในห้อง ผมเลยขอออกไปเดินเล่นนิดๆหน่อยๆ เด็กๆในโรงพยาบาลพากันวิ่งหนีผม บางคนถึงกับร้องไห้โฮเพราะดวงตาที่ดำคล้ำจนน่ากลัวของผมผมไม่โทษพวกเขาหรอก


    ในคืนที่สอง ร่างกายผมดูอ่อนเพลียเนื่องจากไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวันนับตั้งแต่ก่อนเข้าโรงพยาบาลนี่ก็วันที่แปดแล้ว ผมแทบจะเหมือนซอมบี้เดินได้ คุณหมอจึงฉีดยานอนหลับให้ผม แรกๆก็เกิดอาการพะอืดพะอมหน่อยๆแต่ผ่านไปสักพักผมก็หลับในที่สุด


    คืนนั้นผมฝันร้าย


    ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเป็นตอนค่ำซะแล้ว คุณหมอบอกว่าแม่มาเยี่ยมในช่วงที่ผมหลับ  ผมคิดว่าคืนนี้ผมต้องนอนไม่หลับแน่ๆ ก็เพราะผมนอนมาทั้งวันแล้วนี่นา  ที่สำคัญฝันร้ายที่ยาวนานนั่นทำให้ผมไม่อยากที่จะหลับตาลงในความมืดอีกเลย


    เป็นอย่างคาด ในคืนที่สามผมนอนไม่หลับแต่ผมแกล้งหลับตอนที่นางพยาบาลเข้ามาเช็คเพื่อจะได้ไม่โดนฉีดยานั่นอีก


    ไฟในห้องมืดสนิทแต่ดวงตาของผมยังเบิกกว้างในความมืดนั้น ไร้ความง่วงอย่างสิ้นเชิง คงเพราะวันนี้เป็นคืนไร้จันทร์จึงไม่มีแสงสักนิดส่องเข้ามาในห้อง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลงไปในความมืด


    วันที่สี่ คุณหมอเข้ามาถามอาการเหมือนปกติ ผมพยายามทำให้ดูร่าเริงแข็งแรงเพื่อจะได้กลับบ้านไวๆแต่ดูเหมือนหมอเขาจะยังไม่ยอมเชื่อและดึงดันจะให้ผมอยู่อีกสองสามวัน


    ก็อย่างว่าแหละ ยังไงก็หลอกสายตาคนเป็นหมอไม่ได้ง่ายๆหรอก เฮ้อ


    ตอนบ่ายผมออกไปเดินเล่นอีกครั้ง เด็กๆก็ยังวิ่งหนีผมเหมือนเคย แต่ที่พัฒนาคือมีคนเข้ามาคุยกับผมเขาเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาดูเป็นปกติมากกว่าจะเป็นคนป่วย ร่าเริง สดใส ทำให้นึกถึงตัวเองก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาล


    เรานั่งคุยกันเป็นชั่วโมง แต่น่าแปลกที่ไม่มีประเด็นถามถึงสาเหตุที่มาอยู่โรงพยาบาลเลยสักนิด ผมเองก็ไม่ได้ถามเขา เขาเองก็ไม่อยากพูดถึง คุยไปคุยมาก็เพลินจนลืมเวลาจนกระทั่งนางพยาบาลมาดุนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว


    “ได้เวลาตรวจร่างกายแล้วนะ”นางพยาบาลคนหนึ่งพูด


    “อ๋าไม่อยากเลย”เด็กหนุ่มที่ผมไม่รู้จักชื่อส่งเสียงกระปอดกระแปด


    “เร็วเข้า คุณหมอรอนานแล้วนะ”เธอดุ


    “คร้าบๆ”เด็กคนนั้นขานรับ เหลือบหันมามองผมแว๊บนึงแล้วส่งยิ้มให้ “แล้วเจอกันนะ”


    ผมกับเขาจากกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้จักชื่อของอีกคน  คืนนั้นทั้งคืนผมแทบรอให้ถึงวันต่อมาไม่ไหว  มันเหมือนกับว่านานแล้วที่ไม่เคยคุยกับใครได้ถูกคอแบบนี้


    ผมนั่งนึกต่างๆนานาว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรดี  สมองที่เบลอเพราะความง่วงของผมทำให้ผมจำหน้าของเขาไม่ได้ รู้แต่ว่าเขามีรอยยิ้มสดใส


    อ้อแล้วก็สีผมของเขา


    เหมือนกับสีของพระอาทิตย์ยามเย็น


    เช้าวันที่ห้าดูเป็นวันที่สดใสกว่าทุกวัน คุณหมอเข้ามาตรวจเหมือนทุกครั้งและเสนอวิธีใช้อโรม่าผ่อนคลายความเครียด  มันเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ผมได้แต่ยู่หน้าในใจ  มันต้องเป็นกลิ่นที่ฉุนมากแน่ๆ แต่ผมก็ตกลงที่จะให้เขาลองใช้ดูและเก็บมันลงในกระเป๋ากางเกง


    การตรวจตอนเช้าผ่านไป ผมพยายามเดินหาเด็กคนเมื่อวานที่คุยด้วยแต่ก็ยังไม่เจอ พอลองถามนางพยาบาลที่อยู่แถวนั้นดู เธอก็อาสานำไปเพราะกำลังจะไปห้องแถวๆนั้นพอดี


    “เป็นเพื่อนของเขาเหรอจ๊ะ”


    “อะ เอ่อครับ”ถึงจะยังไม่รู้จักชื่อกัน แต่ถ้าคุยกันมากกว่าห้าประโยคล่ะก็ผมถือว่าเขาเป็นเพื่อนของผมแล้วล่ะ


    “ดีจังเลยนะ”นางพยาบาลยิ้ม “ปกติที่นี่ไม่ค่อยมีเด็กวัยรุ่นเท่าไหร่ เขาก็เลยดูเหงาๆ”


    ผมเงียบไปพักหนึ่ง  แปลว่าคนๆนั้นอยู่ที่นี่ก่อนผมนานเลยงั้นสิ จะเป็นไรมั๊ยนะถ้าผม


    “เขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ”แล้วผมก็ถามออกไปจนได้


    “อ๋อ เขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิดน่ะ”


    “ร่างกายอ่อนแอ?”


    “ใช่ สมัยเด็กๆน่ะเทียวเข้าเทียวออกที่นี่เป็นว่าเล่นเลยล่ะจ้ะ..เอาล่ะ ห้องนี้แหละ”


    ยังฟังไม่จบเธอก็ส่งถึงห้องซะแล้ว  ผมก้มหัวเอ่ยขอบคุณแล้วหันไปมองห้องตรงหน้า  หัวใจเต้นตุ่มๆต่อมๆแปลกๆ นี่คืออาการตื่นเต้นสินะ


    ก๊อก ก๊อก


    ………….


    ไม่มีเสียงตอบรับ ผมจึงยกมือเคาะอีกรอบก่อนจะสังเกตว่าประตูมันแง้มๆอยู่เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป


    ใครจะคิดว่าภาพที่เห็นจะเป็นเจ้าของห้องกำลังจะปีนหน้าต่าง  ผมตกใจรีบถลาเข้าไปดึงอีกฝ่ายกลับมาโดยลืมคิดไปว่านี่มันชั้นหนึ่ง ต่อให้ตกลงไปก็ไม่ถึงขั้นพิการ


    “อะ อ้าว นายนั่นเอง”เขาหันมามองผมอย่างแปลกใจแล้วส่งยิ้มแห้งๆให้


    เขาไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรก็บอกให้ตามมา แล้วกระโดดลงหน้าต่างไปเลย ผมทำกล้าๆกลัวๆอยู่นานก่อนจะยอมโดดตามลงไป


    เขาพาผมไปที่อีกอาคารนึง ดูเหมือนจะเป็นอาคารสำหรับทำการบำบัดร่างกาย ในนั้นมีหลายคนที่ทำสิ่งง่ายๆอย่างยากลำบาก มองแล้วอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้


    “พี่ยูอิจิ”


    สติของผมกลับมาอีกครั้งตอนที่เด็กคนนั้นตะโกนเรียกใครสักคนแล้ววิ่งถลาเข้าไปหา เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงวัยสิบเจ็ด หน้าตาจัดได้ว่าดีพอสมควรติดตรงที่ว่า...


    “ทำไมขา..


    ผมรีบยกมือปิดปากเมื่อโดนสายตาคนด้านหลังจ้องเขม่นมา  ผมพึ่งสังเกตว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นด้วย  จากรูปร่างท่าทางคงเป็นน้องชายของคนๆนี้


    “อา...ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือหรอก”ชายหนุ่มคนนั้นพูดยิ้มๆ ดูเป็นมิตรผิดกับคนน้องลิบลับเลย


    “นี่เพื่อนใหม่ผมเองพี่ยูอิจิ เขาชื่อ….”เด็กผมทรงพระอาทิตย์ชะงักแล้วหันมาถามผม “นายชื่ออะไรนะ?”


    ..มัตสึคาเซะ เทนมะ”


    “นี่เทนมะ ส่วนนี่คือพี่ยูอิจิ”เขาแนะนำ “ส่วนฉันชื่อไทโย..อาเมมิยะ ไทโย” ไทโยยิ้ม “ตลกดีนะที่เราสนิทกันโดยที่ไม่รู้จักชื่อ”


    “เทนมะคุงดูเป็นเด็กแข็งแรงดีนะ”พี่ยูอิจิพูดขึ้นหลังจากมองสำรวจผม “ไม่ค่อยเหมือนคนป่วยเลย”


    “ไม่จริงหรอกฮะ!”ผมรีบแย้งเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง นั่นทำให้ผมอ้ำอึ้ง


    “ผมน่ะผม..


    พี่ยูอิจิเหมือนจะเข้าใจจึงไม่ได้ท้วงอะไรต่อและแนะนำคนที่อยู่ข้างหลัง


    “อ้อ จริงสินี่ เคียวสึเกะ น้องชายของฉันเอง อายุเท่ากับพวกเธอน่ะ”


    “สึรุงิ เคียวสึเกะ”สึรุงิแนะนำตัวเองเสียงเรียบ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาซะเลย


    “แล้วพี่ยูอิจิกำลังจะไปไหนฮะ?กายภาพบำบัดเสร็จแล้วเหรอ”


    ไทโยดูมีความสุขมากๆเวลาได้อยู่ใกล้พี่ยูอิจิ..ผมหมายถึงเอ่อ จะว่ายังไงดี  ตอนอยู่กับผมเขาก็แฮปปี้ดีอะนะ แต่กับพี่ยูอิจิมันเหมือนต่างออกไปอีกแบบนึงน่ะ


    “อืม กำลังจะกลับห้องน่ะ”


    “งั้นเหรอครับ”ไทโยยิ้ม “เดี๋ยวผมเข็นไปส่งให้นะ” แล้วก็ฉวยโอกาสแย่งที่สึรุงิคนน้องและใส่เกียร์เข็นรถเข็นติดจรวดไปทันที


    @#$)_*&^%!!!


    สึรุงิสบถออกมามากมาย ส่วนผมมัวแต่อึ้งได้แต่มองตาปริบๆ อานี่ผมถูกทิ้ง?


    “เฮ้นายน่ะ จะยืนตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่”


    “?”ผมได้แต่มองสึรุงิงงๆ  เขาทำท่าหัวเสียแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดไป ผมก็รีบเดินตามทันที


    ระหว่างเดินกลับอาคารไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศน่าอึดอัดพอดูอะไรนะ ให้ผมหาเรื่องชวนคุยเหรอ? ไม่ไหวล่ะ ผมไม่ได้นอนติดกันมาสองคืนแล้ว สมองมันตื้อไปหมด


    แกร๊ก


    “ชิ”


    ห้องของพี่ยูอิจิว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของไทโยกับเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ควรจะอยู่ที่นี่ สึรุงิชักสีหน้าหงุดหงิด ส่วนผมที่เซ่อซ่าก็ดันเผลอเดินตามสึรุงิมาจนถึงห้องของพี่ยูอิจิจนได้  ความจริงแล้วผมน่าจะกลับห้องของตัวเองนะ


    “เอ่อ..


    สึรุงิหันมามองผม  หวาย..ตาของเขาดุชะมัดเลย แล้วแบบนี้ใครจะกล้าพูดล่ะ


    “เข้ามาสิ”เขาคงตีความสีหน้าผมผิดเลยชวนให้เข้าไปแทน ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอก่อนเดินเข้าไปในห้อง


    รู้สึกเหมือนเดินขึ้นลานประหารชอบกล


    “นายป่วยเป็นอะไร”


    หลังจากเงียบกันประมาณห้านาทีสึรุงิก็เป็นคนทำลายความเงียบโดยการถามคำถามผม แต่เอ๊ะทำไมจู่ๆนึกถึงฉากตำรวจสอบปากคำผู้ร้ายได้นะ?


    “เป็นโรคนอนไม่หลับน่ะ”จบคำสึรุงิมองผมด้วยสายตากึ่งไม่เชื่อเลยต้องอธิบายเพิ่ม


    “คุณหมออยากดูอาการเพราะว่าร่างกายของฉันปฏิเสธยา  เขาพยายามบำบัดให้ฉันนอนหลับได้เหมือนคนปกติแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก”ประโยคท้ายผมพึมพำแต่คิดว่าสึรุงิคงได้ยิน


    “ไม่ยักรู้ว่ามีโรคแบบนี้ด้วย”


    “ความจริงมันก็ไม่ใช่โรคหรอก เป็นแค่อาการเรื้อรังที่ปล่อยไปนานๆแล้วจัดการยากจนเหมือนเป็นโรคก็เท่านั้นแหละ”ผมบอก  ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้องมานั่งแก้ความเข้าใจผิดของคนอื่นด้วย


    “ได้ยินว่าที่นอนไม่กลับมีสาเหตุมาจากความเครียดนายเครียดงั้นเหรอ?”


    ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่า แต่จู่ๆมันก็เป็นขึ้นมาเอง”


    “นานที่สุดนายไม่ได้นอนกี่วัน?”


    “เอ๋ไม่เคยมีคนถามเรื่องนี้แฮะ”ผมหัวเราะ “คงสักหกวันได้มั้ง แล้วพ้นจากวันนั้นไปก็น็อกประมาณสามวัน สภาพดูไม่ได้สุดๆเลยล่ะ”


    “หือ”สึรุงิครางในลำคอเหมือนจะสนใจ


    “แล้วสึรุงิมาเยี่ยมพี่ยูอิจิบ่อยงั้นเหรอ”ได้โอกาสผมก็ถามกลับบ้าง


    “อืม ก็มาทุกวัน”


    “แปลกเนอะที่ไม่เคยเจอกันเลย”ผมยิ้ม บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว แบบนี้ต้องสนิทกันได้เร็วแน่ๆ


    “โรงพยาบาลตั้งกว้าง ไม่แปลกหรอก”


    “จริงด้วย”


    “นายเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่”


    “ประมาณสี่วันก่อน”


    “หืมแล้วโรงเรียนไม่ไปรึไง”


    “ถึงไปก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก  สมองมันตื้อน่ะ คิดอะไรไม่ออกหรอก”ผมตอบ


    …………….


    “จะว่าไปแล้วไทโยกับพี่ยูอิจินี่ช้าจังเลยนะ”ผมเปลี่ยนเรื่องคุยขณะมองประตู ก่อนลุกจากที่นั่ง “เดี๋ยวฉัน


    “เทนมะ”


    ครั้งแรกที่โดนเรียกชื่อมันรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ไม่เคยรู้เลยว่าการถูกเรียกชื่อจริงมันจะทำให้รู้สึกดีแบบนี้


    “อะ..อะไรเหรอ”


    “นายน่ะ….


    ปัง!


    “กลับมาแล้ว!


    ไทโยโผล่พรวดเข้ามาด้วยรอยยิ้มร่าต่างจากพี่ยูอิจิที่หน้าซีดเผือก การขัดจังหวะนั้นทำให้ผมลืมเรื่องที่สึรุงิกำลังจะพูดไปซะสนิท


    “เทนมะ เมื่อกี้พยาบาลตามหาตัวนายอยู่แน่ะ ได้เวลาตรวจแล้วไม่ใช่เหรอ”


    “จริงด้วย!”ผมร้องอย่างตกใจ รีบบอกลาทั้งสามคนแล้วออกจากห้องมา


    ตอนกลับไปถึงห้องคุณหมอดุใหญ่เลย  พวกเขาถามคำถามนั่นนี่ซักไซ้ผิดปกติ ผมเลี่ยงๆที่จะบอกว่าไม่ได้นอนมาสองคืนเพราะกลัวโดนจับฉีดยา


    “โอเค ถ้าอาการดีขึ้นแบบนี้อีกไม่กี่วันหมอจะปล่อยเธอกลับบ้าน”


    ผมรู้สึกดีใจสุดๆจนเกือบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่  เอาตรงๆอาการของผมมันไม่ได้ดีขึ้นหรอก แค่แกล้งทำเป็นหลับตาตอนที่พวกพยาบาลมาตรวจก็เท่านั้นเอง


    “ยังไงก็ตามคืนนี้จะมีพยาบาลเฝ้าเธอ ทำตัวดีๆล่ะ..อ้อ อย่าลืมใช้อโรม่าที่หมอให้ด้วยนะ”


    แล้วคุณหมอก็ออกไปทิ้งให้ผมตะลึง  จะมีพยาบาลมาเฝ้า!!? ไม่เอาด้วยหรอก ผมนอนไม่หลับแน่ๆถ้ามีคนแปลกหน้ามาอยู่ข้างๆ(ถึงปกติก็นอนไม่หลับอยู่แล้วก็เถอะ)


    “จะปิดไฟแล้วนะจ๊ะ”


    ไฟในห้องดับลง  ผมนอนตะแคงให้กับเธอแกล้งทำเป็นหลับแต่ดวงตายังใสแจ๋วไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลย เผลอๆอาจจะตื่นตัวมากกว่าตอนกลางวันด้วยซ้ำ


    หลังจากนั้นหลายชั่วโมงเสียงกรนเบาๆก็แว่วเข้าหู พอชะเง้อหน้าดูพบว่าพยาบาลสาวสัปหงกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


    ทำงานคุ้มเงินเดือนดีนะ


    ผมประชด กลายเป็นว่าคนที่สมควรหลับกลับต้องเฝ้าคนที่สมควรตื่นซะงั้น


    พลิกตัวไปมาอยู่เกือบสิบนาทีและเริ่มทนเสียงกรนของเธอไม่ไหว สุดท้ายผมเลยย่องออกจากห้องเงียบๆ  อาจจะเดินป้วนเปี้ยนสำรวจในโรงพยาบาลจนเกือบสว่างแล้วค่อยกลับห้อง..เป็นความคิดที่ดีใช้ได้เลย  ทำไมสี่วันก่อนหน้านี้ถึงคิดไม่ออกนะ


    บนระเบียงทางเดินเปิดไฟแค่สลัวๆพอมองทาง  บรรยากาศตอนกลางวันกับตอนกลางคืนแตกต่างกันลิบลับ ถึงท่าทางจะเหมือนมีอะไรพร้อมโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อแต่ผมไม่กลัวหรอก


    “ใครน่ะ!”เสียงหวานๆของพยาบาลทำให้ผมตกใจ ก่อนรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน


    ใครจะไปคิดว่าพยาบาลก็ต้องเดินตรวจเวร


    ผมชะเง้อมองเห็นพยาบาลส่องไฟฉายด่อมๆมองๆแถวบันไดที่พึ่งวิ่งผ่านอยู่พักนึงก่อนเธอจะเดินลงไป  ผมลอบถอนหายใจโล่งอก ถ้าโดนจับได้ต้องโดนไม่ใช่น้อยแน่ๆ


    นี่สิที่น่ากลัวกว่าผี


    “เทนมะ?”


    !!!


    ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงเรียกนั่น หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มทีเดียว ก่อนจะค่อยๆรวบรวมความกล้าหันไปมอง


    “สะ สึรุงิ?”


    พวกผมมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งก่อนเขาจะบอกให้ผมไปที่ห้องของยูอิจิเพราะเห็นแสงไฟอยู่ไวๆ


    “ทำไมนายออกมาข้างนอก”


    “เอ่อ..คืนนี้มีคนมาเฝ้าก็เลยรู้สึกอึดอัดน่ะ”ผมตอบตามจริง


    “แล้วทำไมสึรุงิยังไม่นอนล่ะ”


    ไม่สิ ต้องถามว่าทำไมถึงยังอยู่โรงพยาบาลได้ต่างหาก ที่นี่หมดเวลาเยี่ยมไข้ตั้งแต่สองทุ่มนี่


    “ไม่ง่วง”


    “นายนอนได้ก็น่าจะนอนนะ”ได้ยินคำตอบแบบนั้นผมก็อดแย้งขึ้นมาไม่ได้ สำหรับผมที่ไม่ได้นอนอย่างคนปกติมานานแทบจะลืมความรู้สึกเวลาทิ้งตัวลงหมอนแล้วผลอยหลับไปซะแล้ว


    “อืม..นั่นสินะ”สึรุงิตอบ “แต่ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนาย”


    “หา?”


    “ก็ถ้านายนอนไม่หลับ เราไปคุยกันข้างนอกดีมั๊ย”สึรุงิยกผ้าห่มผืนใหญ่ในมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ระเบียงด้านนอกคงเพราะกลัวรบกวนพี่ยูอิจิ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย


    “อื้ม!


    อากาศด้านนอกหนาวกำลังพอดี เวลาลมพัดชวนให้กำชับผ้าห่มแล้วขยับเข้าหาคนข้างๆ  ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้นั่งอยู่ใกล้ๆกับสึรุงิ


    “อะไรน่ะ”


    ขณะที่พวกเราขดตัวนั่งชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง สึรุงิก็ถามเพราะมีบางอย่างสะกิดโดนตัว  ผมก้มลงล้วงหยิบดู


    “อ่า..ลืมสนิทเลย”


    มันเป็นอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ที่คุณหมอให้เมื่อเช้า


    “อโรม่าน่ะ คุณหมอให้นี่มาบำบัด”


    “น่าจะลองดูนะ”สึรุงิว่า ก่อนจะลองจุดมันดู กลิ่นลาเวนเดอร์โชยออกมาจางๆไม่ได้ฉุนอย่างที่ผมคิด


    “หอมดีเนอะ”ผมยิ้ม ดันน้ำมันหอมให้อยู่ที่มุมของระเบียงห้องแล้วอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมต้องเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์นะ?”


    “กลิ่นของลาเวนเดอร์จะทำให้หลับฝันดี”คำตอบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับทำให้ผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ


    “งั้นถ้าคืนนี้หลับฝันดีก็ดีสิเนอะ”


    หลังจากมองดาวบนฟ้า พูดคุยเรื่อยเปื่อย ผลัดกันเล่าเรื่องตลกแล้วก็วกกลับมาเรื่องเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง คราวนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นมาหน่อย เช่น เรื่องของที่ชอบ ของที่ไม่ชอบ วิชาที่เรียนได้ดีและไม่ดี งานอดิเรกที่ทำ แล้วก็เรื่องครอบครัวทำให้ผมได้รู้เรื่องของสึรุงิเพิ่มขึ้นอีกหลายเรื่อง


    รวมถึงสาเหตุที่ขาของพี่ยูอิจิขยับไม่ได้ด้วย


    ท้องฟ้าภายนอกยังเป็นสีคล้ำเข้มเหมือนเดิม แต่หากสังเกตดีๆจะพบว่ามันเริ่มสว่างขึ้นทีละนิดๆแล้ว  สึรุงิเริ่มเล่าเรื่องน้อยลงและเป็นฝ่ายฟังมากขึ้น ส่วนตอนนี้ก็ดูเหมือนจะฟังบ้างไม่ฟังบ้างและสัปหงกอยู่หลายครั้งทำให้ผมหัวเราะเล็กๆ


    “ถ้าง่วงจะนอนก็ได้นะ”ผมบอก ดึงผ้าห่มที่ตกให้คลุมไหล่อีกฝ่ายเหมือนเดิม


    “ไม่ล่ะ..ฉันยัง..คุยได้”สึรุงิงึมงำแล้วก็เงียบไป


    “สึรุงิ..”ผมกลั้นหายใจ “หลับรึยัง?”


    ..ยัง”


    ถึงจะตอบแบบนั้นแต่เขาเหมือนคนหลับไปแล้ว ผมรู้ว่เขายังฟังอยู่ต่อให้ดวงตาคล้อยปิดไปแล้วก็ตาม


    “นี่สึรุงิ...”ผมกระซิบ “ขอบใจนะ”


    ..?..


    “ที่อยู่คุยเป็นเพื่อนไง ขอบใจนะ”ผมย้ำคำขอบคุณอีกครั้ง สึรุงิพยักหน้าเบาๆแล้วก็ฟุบหลับซบบนไหล่ของผม


    แล้วเสียงกรนเบาๆก็แว่วดังมา


    แปลกจัง


    ท้องฟ้าสีน้ำเงินจางลงทุกที ตอนนี้มันเป็นสีฟ้าเข้มๆหม่นๆบอกเวลาใกล้ถึงเช้า อโรม่าที่จุดมอดดับไปแล้วเหลือแค่กลิ่นหลงเหลือในอากาศ  ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก


    นานแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้


    ผมเหลือบมองคนข้างๆ  น่าขำดีนะ เราพึ่งรู้จักกันไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับมานั่งอยู่ข้างกันแล้วกลายเป็นเพื่อนสนิทกันซะแล้ว


    สมองที่หนักอึ้งเริ่มทำงานช้าลงเรื่อยๆ ความง่วงที่จู่โจมมาตลอดทั้งวันไม่เคยทำให้เขาหลับได้สักที เว้นเสียแต่คราวนี้ที่เขารู้สึกเหมือนกำลังคล้อยจะหลับ


    อ้าว?


    ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านั้นภาพตรงหน้าก็ค่อยๆหรี่ลง เล็กลงจนมืดไปในที่สุดไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอก็ตามมา


    และคืนนั้นก็เป็นคืนที่ฝันดี

     

    .


    .


    .


    สองวันต่อมาผมก็ตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง วันที่เจ็ดของการอยู่โรงพยาบาลโดยมีแม่อยู่ข้างๆ และมีเสียงท้องของตัวเองร้องดังโครกครากก่อนจะรู้ว่าหิวข้าวจนไส้กิ่ว


    คุณหมอทั้งเทศน์ทั้งดุได้ยี่สิบนาทีกว่าจะปล่อยให้ผมกินข้าว  แล้วระหว่างที่ผมกินข้าวต้มแม่ก็บ่นต่อ ผมจำรายละเอียดที่แม่บ่นไม่ได้หรอกแต่ได้ยินประมาณว่า หายจากโรคนอนไม่หลับจะได้เป็นโรคกระเพาะแทน


    กินเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลยนะ  หมอคิดว่าต่อจากนี้อาการเธอคงจะดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ อโรม่าใช้ได้ผลดีใช่มั๊ยหืม?”


    “มากๆเลยครับ”


    “ดีแล้วล่ะ ถ้ามีอาการไม่ดีอะไรยังไงอีกก็ติดต่อกลับมาหาได้นะครับ”คุณหมอหันไปบอกแม่แล้วเดินไปที่ประตู “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว


    “คุณหมอครับ”แต่ก่อนที่คุณหมอจะไปผมรั้งเอาไว้


    “ผมฝันด้วยล่ะ”


    คุณหมอชะงัก ดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นมองมาด้วยแววประหลาดใจ “แล้วเธอฝันว่าอะไรล่ะ?”


    “ความ-ลับ”ผมฉีกยิ้ม รู้สึกเรี่ยวแรงเริ่มกลับคืนมาแล้ว “แต่เป็นฝันดีมากๆเลยครับ”


    คุณหมอพยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน


    “ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ”


    จากนั้นในห้องก็เหลือแค่ผมกับแม่สองคน  แม่เอาเสื้อมาให้ผมเปลี่ยนด้วย อา..คิดถึงเสื้อผ้าในห้องจัง  ลืมไปเลยว่ามีเสื้อพวกนี้ด้วย สงสัยใส่เสื้อของโรงพยาบาลจนชินไปแล้ว


    ตอนออกมาจากห้องแม่ก็ไม่อยู่แล้ว สงสัยคงไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ผมเดินตามระเบียงทางเดินแล้วก็ชะงักกับเด็กหนุ่มผมส้มที่ทำท่าลับๆล่อๆอยู่ตรงกำแพง


    “ไทโย”ผมส่งเสียงเรียก  เขาหันมาอย่างตื่นๆแต่พอเห็นผมเขาก็เบิกตากว้างแล้วฉีกยิ้มที่กว้างยิ่งกว่า


    “เทนมะ!นายตื่นแล้ว!ดีใจจัง..”แล้วเขาก็ชะงักไปเพราะเห็นเสื้อผ้าที่ผมใส่ รอยยิ้มเจือนลงเล็กน้อย “นายจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ”


    “อื้ม หมอให้ฉันกลับบ้านได้แล้วน่ะ”


    “ว้า..เสียดายจัง”ไทโยถอนหายใจ “แต่ก็ดีใจด้วยนะ”


    พอได้ยินคำนี้บอกตรงๆว่าผมเขินแปลกๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นคำของสัญญาณเริ่มให้อะไรๆดีขึ้นเรื่อยๆ


    “อื้ม ขอบใจนะ”


    “เดี๋ยวเถอะ ไทโยคุง!!”เสียงเอ็ดของพยาบาลดังมาแต่ไกล


    “อึ๋ย!ฉันไปก่อนนะเทนมะ แล้วเจอกัน!”ไทโยวิ่งหนีพยาบาลสาว  เธอที่พึ่งวิ่งมาหยุดพักหอบน้อยๆตรงที่ที่ไทโยยืนอยู่เมื่อครู่


    “จริงๆเล้ยเด็กคนนี้อ้าว มัตสึคาเซะคุง”


    พอมองดีๆแล้วผมก็รู้ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่พาผมไปส่งที่ห้องของไทโยวันนั้น


    “สะ สวัสดีครับ”


    “ได้ข่าวว่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอจ๊ะ”


    “ครับ”


    “เหรอ..หายป่วยแล้วสินะ ยินดีด้วยนะจ๊ะ”


    “ขอบคุณมากครับ”


    “ถ้ายังไงก็ช่วยแวะมาคุยเล่นกับไทโยคุงด้วยนะเอาล่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะ”เธอยิ้มแล้วก็วิ่งตามเด็กหนุ่มผมทรงพระอาทิตย์ต่อ


    “เทนมะคุง”


    เดินยังไม่ถึงห้องโถงรับรองก็เจอกับพี่ยูอิจิและสึรุงิเดินออกมาจากมุมทางเดิน


    “พี่ยูอิจิ สึรุงิ กำลังจะไปไหนเหรอครับ”


    “ห้องกายภาพบำบัดน่ะ”สึรุงิเป็นคนตอบ  ดูเหมือนเขาจะเริ่มสังเกตแล้วว่าผมใส่ชุดเล่นไม่ใช่ชุดของทางโรงพยาบาล


    “ว่าแต่เทนมะคุงเถอะ แต่งตัวแบบนั้นได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ”


    “ครับ”


    “เหรอ..ยินดีด้วยนะ”พี่ยูอิจิยิ้ม


    “ขอบคุณมากครับ” ผมเกาแก้มแก้เก้อ  การหายป่วยมันดีแบบนี้เองสินะ


    “สึรุงิคุง มาอยู่นี่เอง”เสียงจากบุรุษพยาบาลคนหนึ่งดังขึ้น “ได้เวลาแล้วนะครับ”


    “อะ..ครับ งั้นขอตัวก่อนนะทั้งสองคน”


    จากนั้นพี่ยูอิจิก็ถูกเข็นไปโดยบุรุษพยาบาล  บนทางเดินเหลือแค่ผมกับสึรุงิสองคน


    “เรื่องที่นายหายป่วยยินดีด้วยนะ”


    “อื้ม..ขอบใจนะ หมอบอกว่าเพราะอโรม่าแต่ฉันว่าจริงๆแล้วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสึรุงิด้วยแหละ”ผมยิ้มอายๆ


    “อืม


    “แล้วฉันจะมาเยี่ยมพี่ยูอิจิบ่อยๆนะ..ได้ใช่มั๊ย?”


    “อืม


    ผมมองสึรุงิอย่างแปลกใจ เขาดูนิ่งๆซึมๆชอบกลนะ


    “นี่สึรุงิ”


    “หืม?”


    “ฉันมีเรื่องจะบอก”


    สึรุงิเงยหน้าขึ้นมองผม  ผมเดินเข้าไปหา ระยะห่างของเราเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ผมยืดตัวน้อยๆเพื่อที่จะได้กระซิบข้างหูเขาว่า


    ไม่ใช่เพราะอโรม่าหรอก”


    “หา?”


    ผมยิ้มน้อยๆแล้วมองใบหน้างุนงงของอีกฝ่ายขำๆ


    “ไม่เข้าใจเหรอ..ที่ต้องการสื่อน่ะ”

    .

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เพราะมีนายอยู่ด้วยในคืนนั้น ฉันถึงนอนหลับได้อย่างวางใจไงล่ะ




















     ==============================================

    แต่งจบแล้ว เย้\-o-/

    ถ้าชอบก็ช่วยเม้นต์ๆกันหน่อยเน้อ ‘o’

    ((First update: 22 ก.ค. 57))

    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×