ตอนที่ 7 : ✖ EP.5 ✖
“เจอฮิมชานยังไง!!!” เสียงตวาดของเจ้าของปราสาทหลังใหญ่หลังนี้ดังขึ้นเมื่อรู้ว่าน้องชายของตัวเองถูกลักพาตัวไปด้วยฝีมือของคู่อริต่างสายพันธุ์ ความโมโหแพร่กระจายไปทั่วของปราสาทหลังนี้ทันทีที่เห็นคนที่ออกไปนอกปราสาทกลับมาเพียงลำพังไร้ซึ่งอีกคนและแถมยังกลับมาแบบสภาพที่ดูไม่จืด
.....หวางจื่อเถากำลังบาดเจ็บ.......
ถึงแม้จะไม่ได้ถึงกลับเจ็บปางตายแต่สภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยบากแผลจากการต่อสู้ก็พอจะรู้ว่า ต้องใช้เวลาในการดูแลตัวเองยาวนานเหมือนกัน
เด็กหน้าเหวี่ยงตอบคำถามที่ถูกยิ่งใส่อย่างไม่ยั้งจากยงกุกผู้ที่เป็นญาติผู้พี่ของเขาและยองแจ ผู้ที่พาเขาออกมาจากที่นั่น
ที่ทรานซิลวาเนียร์
เขาเองไม่หน้าใจอ่อนให้ยูยองแจตามเขาออกไปตั้งแต่แรก แต่อย่างที่ใครๆรู้ถึงเกียรติศัพท์ของคนที่โดนจับตัวไปเป็นเป็นอย่างดีในเรื่องของการขี้อ้อน ไม่ว่าจะคำพูดหรือสายตารวมไปถึงการกระทำ
แล้วเป็นยังไงล่ะ....ใจอ่อนจนได้เรื่อง
ผมโดนพี่ยงกุกไล่ให้มาจัดการกับบาดแผลของตัวเองให้เรียบและกำชับกับผมนักหนาว่าให้ดูแดตัวเองให้หายดีและถ้าเป็นไปได้ผมไม่ควรออกไปจากอาณาเขตเลยได้ยิ่งดี หลายคนอาจจะคิดว่าผู้ชายห่ามๆแบบนั้นคงจะร้ายกาจที่สุดแต่ขอโทษเถอะสำหรับผมและยองแจ บังยงกุกเขายังไม่เลวร้ายเท่ากับสิ่งที่ผมเจอมาหรอก
ทุกอย่างมันเกิดมาจากความผิดพลาด.....
สิ่งที่ผมได้ทำลงไปมันเป็นเพราะหน้าที่.......
แต่สิ่งที่ได้กลับมาในตอนจบ.....คือการสูญเสียครั้งทวีคูณ
สูญเสียทุกสิ่งอย่าง....เว้นไว้แต่ความทรงจำที่ยังไม่สูญเสียไป
ทั้งๆที่อยากให้มันหายไปเสียเหลือเกิน......
ผมกลับเข้ามาในห้องนอนของตนเองที่ถูกจัดรับรองไว้ให้ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ซึ่งโดยปกติแล้วห้องนี้มันก็เป็นห้องของผมตั้งแต่ไหนแต่ไรเพียงแต่ว่าไม่ค่อยจะมาอยู่อย่างจริงๆจังๆเพราะส่วนใหญ่ผมจะอยู่แต่ที่ทรานซิลวาเนียร์ ห้องนอนที่ถูกตกแต่งไปด้วยโทนสีหม่นๆที่ผมชื่นชอบ
ผมจำไม่ได้หรอกว่าผมรอดจากการต่อสู้กับแดฮยอนมาได้ยังไง แต่ที่ผมจำได้คือผมพลาดเข้าเต็มๆ จนต้องมานั่งรักษาตัวเองและเหมือนโดนกักบริเวณไม่ให้ได้ไปไหนเป็นเวลาสองวันเต็มๆ
เมี้ยววววววว
เสียงร้องของสัตว์เลี้ยงตัวน้อยสีดำดังขึ้นมาพร้อมกับใช้ลำตัวคลอเคลียขาของเจ้าของของมัน จนเถาต้องอุ้มมันขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง
“กาลิค..”
เมี้ยววววววววว
เถาคลี่ยิ้มบางๆให้ลูกแมวตัวโปรดพรางกับอุ้มชูขึ้นกลางอากาศพร้อมกับพาตัวเองเอนหลังลงไปที่เตียงนอนตัวใหญ่ มันก็คงจะมีแต่กาลิคที่พอจะเข้าใจความรู้สึกและความคิดของเขาแล้วล่ะมั๊ง
“เจ็บจังเลยกาลิค”
“ดูแผลของฉันสิ เจ็บชะมัด” เด็กหน้าเหวี่ยงพูดคุยกับเจ้าแมวสี่ขาที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศเพราะฝีมือของตัวเองที่อุ้มเอาไว้ก่อนที่มันจะดิ้นคลุกคลักจนเจ้าตัวต้องปล่อยมันลงกับตัว
“อย่าทรยศฉันนะกาลิค...อย่าบอกเจ้านายของแกว่าฉันอยู่ที่นี่” แมวดำตัวเล็กนั่งฟังเจ้าของของมันที่แสดงคำสั่งโดยไม่ได้จ้องหน้ากับมันพร้อมเลียอุ้งมื้อของตัวเองก่อนจะค่อยคลานไปกัดคอเสื้อของเถาเถา จนเจ้าของของมันที่แสดงคำสั่งโดยไม่ได้สนใจอะไรต้องชะโงกหน้ามามองสัตว์ของตน
“พี่ยงกุกกลับมาแล้ว? ....อ่า เหมือนฉันจะได้กลิ่นเลือด” ร่างเล็กกระเด้งตัวลุกจากเตียงหลังจากที่เหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งมาถึงห้องตัวเอง มันไม่ใช่กลิ่นเลือดของเหยื่อแต่มันเป็นกลิ่นเลือดและสาบของไรแคนท์ด้วยกัน จนเจ้าตัวต้องออกไปดูให้เห็นกับตาว่าไอ้กลิ่นที่ว่านี่มันเป็นของใคร
“พี่โรคจิตหรือเปล่าเนี่ยบังยงกุกปล่อยให้เลือดไหลอยู่ได้เดี๋ยวเลือดก็หมดตัวตายหรอก” และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับบ่นอุบไปทั่งปราสาทเมื่อเห็นหยดเลือดเต็มทางเดินจนมันเริ่มจะกลายเป็นลิ่มอยู่รอมร่อ เลือดของยงกุก และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บอะไรเลยด้วยซ้ำซึ่งดูจากคนตอบที่เหมือนกวนประสาตของจื่อเถาจริงๆ ตอบมาได้ยังไงว่าลืมไปเลยว่าแขนตัวเองเป็นแผล
“ว่าแต่พี่ไปไหนมา?” เถาเดินกลับมาพร้อมกับกล่องพยาบาลอีกครั้ง
“ไปอ่อยเหยื่อ” ยงกุกตอบคำถามของเถาที่อยู่ดีๆก็ยิงคำถามใส่พร้อมกับยื่นแขนที่เป็นแผลให้เถาได้ทำแผลให้ ที่จริงแล้วยงกุกไม่มีความจำเป็นจะต้องทำแผลเพียงเล็กน้อยแค่นี้เท่าไหร่นัก เพราะว่าเดี๋ยวมันก็กลับมาปกติเอง
“อ่อยเหยื่อ? ทำไมต้องอ่อยเหยื่อ ปกติเห็นแต่ไปล่าเหยื่อ สงสัยเหยื่อคงจะเป็นฮันเตอร์”
“รู้อยู่แล้วยังจะถามอีกทำไม”
“เปล่าผมก็แค่สงสัย”
“....”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงคืนพระจันทร์ทรงกรด ทำไมพี่ต้องออกไปอ่อย?”
“ก็อยากเลื่อนเวลาให้มันเร็วขึ้น นี่!นายเอาอะไรมันทาที่แผลเนี่ยเถา” ร่างสูงเริ่มที่จะรู้สึกแสบๆเหมือนถูกไฟครอกบริเวณแผลของตนเอง และเมื่อได้ยินคำตอบของเจ้าตัวเล็ก ยงกุกก็ถึงกับแทบจะฉีกร่างของคนที่ทำแผลให้ทันที
“ผงโลหะเงินน่ะ โรยไปนิดเดียวเอง แต่ไม่ต้องห่วงหรอกฮยอง แขนไม่ขาดหรอก ผมแค่ทำให้ฮยองจำ แล้วจะได้ไม่ต้องไปลงทุนทำตัวซาดิส จิกแขนตัวเองจนเป็นแผลลึกจนเลือดไหล เพราะผมขี้เกียจให้ใครมาทำความสะอาดคราบเลือด”
มีใครบอกเถาบ้างหรือเปล่าว่าไรแคนท์ไม่ถูกกับของจำพวกโลหะเงิน ไม่ต้องบอกอย่างน้อยสัญชาติยานของเด็กนี่ก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าโดนโลหะเงินไม่ได้ แต่เพราะว่ารู้และต้องการให้ยงกุกเข็ดหลาบกับได้นิสัยบ้าเลือดซาดิสเกินตัวของเขา ก็เลยต้องเล่นเอาผงโลหะเงินมาโรยใส่แผลซะบ้างจะได้จำว่าห้ามทำแบบนี้อีก!
แล้วก็คิดซะว่าจะได้เจ๊ากันไปที่ทำเหมือนกักบริเวณเขาเป็นเวลาสองวัน
“อ้อ! อีกอย่าง เจ็บนานๆ จะได้ไม่ต้องโดนใครกล่าวหาว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกฮันเตอร์อายุแค่16ปี”
เถาจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ลงไปในกล่องพยาบาลแล้วเดินเอาไปเก็บไว้ในที่ที่มันได้จากมาเมื่อสักครู่แล้วจึงค่อยเดินมานั่งข้างๆยงกุกเพื่อจะเอาผงโลหะเงินออกจากรอยแผลของยงกุก ขณะที่เอาผงโลหะเงินออก เจ้าตัวก็บ่นงึมงัมๆไปด้วยจนยงกุกเริ่มจะรำคาญ
“ติดนิสัยขี้บ่นมาจากยองแจหรือไงเถา” คำบ่นของยงกุกไม่ได้เป็นที่สนใจของคนที่นั่งเอาอะไรบางอย่างมาเขี่ยผงโลหะออกจากแขนของตนเองสักเท่าไหร่ แต่หน้าเหวี่ยงๆกับส่งสายตาดุๆไปยังพี่ชายคนโตร่วมเผ่าพันธุ์ของตนเอง นอกจากเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจะเป็นนักล่าแล้ว พวกเขายังชอบใช้สายตาเข่นฆ่ากันเองให้บางครั้ง และเหมือนเด็กหน้าเหวี่ยงจะใช้สายตาบ่งบอกกับอีกคนว่า ถ้าไม่อยู่เฉยๆเขาจะเอาผงโลหะสีเงินมาโรยใส่แผลอีก
“คีมภีร์หายไป” เถาเริ่มเปิดประโยคสนทนาอีกรอบเมื่อทำแผลให้ยุงกุกเสร็จอย่างจริงจัง
“อยู่ที่เด็กนั่น”
เถาร้องอ๋อในใจพร้อมกับพยักหน้าว่าเป็นเชิงเข้าใจ สรุปง่ายแบบสั้นๆและได้ใจความก็คือ คัมภีร์ของพวกเขาไม่ได้หายไปไหน แต่ไปอยู่ในมือของหนูน้อยฮันเตอร์โดยที่เจ้าของนั้นเอาไปให้เอากับมือ แถมอ่อยด้วยการฝากเลือดเอาไว้เพื่อให้ออกมาตามหา
“จื่อเถา!” อยู่ดีๆคนที่นั่งแงะเอาเศษผงโลหะเงินออกจากบริเวณแผลที่เถาโปรยเอาไว้เรียกเจ้าของชื่อโดยไม่มองหน้า จนเด็กที่กำลังจะเอากล่องพยาบาลไปเก็บต้องเหลียวหลังหันมามอง
“เรียกทำไมล่ะ ผมจะออกไปข้างนอกต่อนะ”
“อย่าออกไปนอกอาณาเขตของเราก็แล้วกัน” เจ้าของปราสาทหลังนี้ก็ยังคงทำภารกิจของตัวเองต่อไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามาสบตากับคู่สนทนา จนหวางจื่อเถาที่ตอนแรกแค่หยุดฟังกลายเป็นต้องหันมาเผชิญหน้ากับผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่
“ร่างกายของนายยังไม่คงที่ ฉันยังไม่อยากให้นายออกไปล่าเหยื่อนอกอาณาเขต” เด็กดื้อเงียบได้ยินคำตอบของยงกุกแล้วก็พยักหน้าตอบทันทีพร้อมกับหันหลังกลับไปเอาก่อลงปฐมพยาบาลเก็บเข้าที่โดยที่ไม่ได้ฟังคำพูดต่อไปของคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเลย
“เพราะเจ้านั่นมันมาถึงโรมาเนียร์แล้ว”
บรรยากาศยามค่ำคืน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบ แม้แต่เสียงแมลงตัวเล็กๆก็ยังไม่มีให้ได้ยิน มันเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ เจ้าของร่างสมส่วน ดวงตาที่เฉียบคมพร้อมกับใบหน้าสวยแต่ติดจะนิ่งไปเสียหน่อยกำลังนั่งผ่อนลมหายใจอยู่บนยอดต้นสนต้นใหญ่ที่หันหน้าออกไปยังแม่น้ำดานูปที่ไหลไปสู่ทะเลดำของโรมาเนียที่ทั้งมืดและสงบ ดวงตาเรียวสวยเหม่อมมองออกไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ผิวขาวนวลสะท้อนแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยว ถึงแม้ว่าแสงพระจันทร์จะไม่ได้สว่างมากนักแต่มันก็มากพอที่จะส่งให้ผิวขาวนั้นมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเหมือนว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ....ใช่ว่าหวางจื่อเถาจะไม่ฟังคำสั่งของบังยงกุกเรื่องที่ไม่ให้ออกมานอกอาณาเขตของตนเอง แต่จะให้ทำยังไงได้ก็ในเมื่อมันออกมาแล้ว เผลอๆมันอาจจะยังไม่เลยอาณาเขตของเขาเลยด้วยซ้ำ
ก็เพียงแค่มานั่งคิดอะไรนิดหน่อย.........
ดวงตาฉายแววโศกเศร้าออกมาได้เด่นชัดเวลาที่เจ้าตัวอยู่เพียงลำพัง ถ้ายองแจอยู่ด้วยตอนนี้แล้วมาเห็นแววตาของเข้าตอนนี้ เชื่อเถอะว่าเจ้านั่นไม่ซักถามเปรียบประหนึ่งว่าเจ้าตัวอยู่หน่วยพิสูจน์หลักฐานก็คงต้องโวยวายตามประสาของเด็กค่อนข้างงอแง
“ป่านนี้นายจะเป็นไงบ้างนะยูยองแจ” ร่างบางพรูลมหายใจทันทีเมื่อคิดถึงเด็กร่างอวบที่โดนจับตัวไปพรางก็แอบนึกโทษตัวเองไปด้วยที่ดันช่วยเอาไว้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าช่วยไม่ได้ แต่โดนกันออกมาต่างหาก
กรี๊ดดดดดดดดดด
จู่ๆเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นซึ่งมาจากไม่ไกลจากที่หวางจื่อเถาอยู่สัก100เมตรพร้อมกับฝูงนกที่บินออกจากต้นไม้ที่อยู่แถวบริเวณ เสียงนั้นดังมากพอที่จะเป็นอิทธิพลขนาดหย่อมภายในใจจนต้องกระโดดลงจากต้นสนต้นใหญ่เพื่อจะไปในที่จุดเกิดเหตุ จนมาหยุดดูอยู่แค่หลังต้นไม้ใหญ่เท่านั้น เพราะเขาทำได้แค่มองดูห่างๆ ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของเขา
และภาพตรงหน้าที่ถึงแม้จะไม่ชัดเจนเท่าไหร่มันก็สามารถทำให้ลมหายใจร่างบางเริ่มติดขัด
ร่างของหญิงสาวหรือเหยื่อผู้โชคร้ายคนหนึ่งล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีเอาตัวรอดจากอสูรกายร้าย หญิงสาวถูกยึดผมจากทางด้านหลังจนหน้าหงาย และภาพที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นคือ อสูรกายตนนั้นแยกเขี้ยวคมกริบพร้อมกับฝังมันลงไปยังลำคอขาวนวลของหญิงสาวผู้โชคร้ายอย่างรวดเร็ว จากเสียงที่เคยมีไว้เรียกกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ตอนนี้มันกลับเงียบสงบลงพร้อมกับลมหายใจที่ค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะถูกอสูรกายตนนั้นปล่อยลงพื้นอย่างไม่ใยดี
“ขอโทษด้วยนะคุณสุภาพสตรี แต่ก็ขอขอบคุณที่มาเป็นอาหารมื้อค่ำของฉัน”
น้ำเสียงเรียบๆที่ดังกังวานราวกับเกิดจากความตั้งใจของอสูรกายที่คร่าชีวิตและวิญญาณของหญิงโชคร้ายคนนั้นพร้อมกับรูปร่างและลักษณะท่าทางนั้น สร้างความตกใจให้กับคนที่แอบเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทั้งหมด
จำได้...หวางจื่อเถาจำเสียงนี้ได้
เสียงของอู๋อี้ฟาน.......
‘หนีต่อไปสิ...หนีไปเลย..ต่อให้หนีให้ตายยังไงเราก็จะได้เจอกัน หวางจื่อเถา’ น้ำเสียงนั้นเข้ามาในโสตประสาตการรับรู้ของจื่อเถาช้าๆอีกครั้ง ถึงแม้ว่าภาพตรงหน้าที่เขาเห็นได้ไม่เด่นชัดที่เกิดจากการแอบดูอยู่ไกลๆนั้นจะไม่ได้ขยับปากตามเสียงที่เขาได้ยินซักนิด
มันดูเหมือนไม่ใช่ความบังเอิญเสียแล้วในความคิดของหวางจื่อเถาที่ต้องมาเจอกับคนที่ตัวเองหลบหนีแถบหัวซุกหัวซุนมาตลอด มันไม่ใช่ความบังเอิญ ใช่....ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ใบหน้าที่แสดงคงวามเรียบเฉยเผยให้รอยยิ้มออกมาเล็กน้อย จนเถาที่ยื่นมองอยู่ถึงแม้จะไกลแค่ไหนแต่ถ้ามันเห็นชัดแล้วและยิ่งรู้ว่าเป็นใครก็เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นอีกครั้ง ลางสังหรณ์มันกำลังจะบอกว่าเขาว่า......ถ้าเขายังยืนอยู่ตรงนี้ อาจจะเป็นการยากที่เขาจะได้กลับไปยังปราสาทถ้าอู๋อี้ฟานเห็นตัวเขา
แต่เหมือนความคิดของหวางจื่อเถาจะช้าไปนิดเดียว คนที่เจ้าตัวเห็นนั้นกลับหันหน้ามาทางที่เขายืนอยู่ ถึงแม่ว่าจะไกลกันพอสมควรบอกกับเจ้าตัวอยู่ในที่ๆสามารถมองเห็นได้อยาก แต่รู้อะไรบางอย่างหรือไม่ว่าแวมไพร์นั้นสายตาจะเห็นเด่นชัดในยามราตรีถึงแม้จะมีอะไรมาบดบังก็เถอะ
ความหวาดกลัวกลับเข้ามาอีกครั้ง....และมันสั่งการให้เขาต้องหนีไปจากตรงหนีให้เร็วที่สุด
เพราะเขากำลังตรงมาทางนี้....
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของไรแคนท์อย่างจื่อเถาดังไปทั่วพื้นป่า ความมืดปกคลุมไปทั่วพื้นที่ถึงแม้จะมีแสงจันทร์ฉายแสงออกมานำทางให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคของคนตัวเล็กเลยซักนิด เพราะในสมองของเขาตอนนี้คือเขาต้องรีบไปให้ไกลที่สุด
“ล้อกันเล่นใช่ไหม” แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับเขาไปซักหน่อยเมื่อเหมือนกับยิ่งวิ่งหนีเท่าไหร่ก็เหมือนกันมันยิ่งหาทางออกไม่เจอเท่านั้น ความรู้สึกกดดันเริ่มเข้ามาแทนทีทุกสิ่งทุกอย่างจนเจ้าตัวเริ่มอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
เขาไม่ใช่คนที่เรียบเฉยหรือเย็นชาในอย่างที่ทุกเห็น.....
มันก็เหมือนก็เหมือนหน้ากากอย่างหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ใครอ่านความรู้สึกของเขาได้ก็เท่านั้น.....
‘พี่บังยกกุก...ช่วยผมด้วย’
ความเหนื่อยหอบที่เกิดจากการวิ่งเหมือนหนูติดจั่นทำให้เขาต้องหยุดลงก่อนจะหาต้นไม้ต้นใหญ่เป็นที่กำบังตนเองจากสิ่งที่กำลังตามเขามาในความคิด
เสียงหอบของการหายใจดังไปทั่วเพราะความเงียบสงบเขาปกคลุมไปทั่วจนเจ้าตัวเองต้องเอามือมาปิกปากตัวเองไว้เพื่อควบคุมสติของตัวเอง
เสียงหลอกหลอนและความรู้สึกการถูกตามนั่นหายไปแล้ว........
เมื่อเจ้าตัวแน่ใจแล้วว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว หวางจื่อเถาค่อยๆเดินออกจากต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้หลบซ่อนตัวเองอย่างช้าและสำรวจรอบพื้นที่บริเวณนั้นพร้อมกับการหายใจที่เหนื่อยหอบของตนเองก่อนจะหันกลับหลังเพื่อไปตรงไปยังปราสาทของตนเอง
ตุบ!! หมับ!!
แรงกระแทกที่ตกเองชนเข้ากับสิ่งที่คิดว่าปลอดภัยแล้วพร้อมกับแรงบีบที่บริเวณข้อมือของคนตัวเล็กด้วยน้ำมือของคนที่อยู่ตรงหน้า รอยยิ้มเย้ยหยันของเขาแต้มไปบนใบหน้าที่เรียบเฉยและเดาใจไม่ได้กับดวงตาสีนิลที่แสนเย็นชาและเรียบเฉยที่จ้องมาทางหวางจื่อเถา ก่อนที่ริมฝีปากบางของคนตรงหน้าจะคลี่ยิ้มออกมา
“ยังไม่ตายอีกหรอ...หวางจื่อเถา?”
TBC.......
เล็กบอกว่า มาอัพตอนดึกเพราะมัน60เม้นแล้วจริงๆ เกินมาตั้ง1เม้น ขอบคุณค่ะ
อู๋ฟานเจออาหมวยแล้ว!!! เจอกันแบบ พลิกล็อคกันน่าดูถล่มทลาย(ใครเกิดทันเพลงนี้ถือว่าแก่นะ จริงๆ) เฮียบังได้โปรดให้อภัยกับความซาดิสจิตๆของน้องเถาที่เอาผงโลหะเงินมาโรยใส่แผลด้วยเถอะนะ น้องเขามีเหตุผล เคยอ่านมาอยู่หน่อยๆว่าอาเถาชอบเลี้ยงแมวดำ
เม้นติชม ดุด่าว่ากล่าวเล็กได้นะ จะได้ปรับปรุงเผื่อจะมีใครหลงเข้ามาแล้วอ่านกับเม้นให้เราบ้างTT
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เหบยๆๆๆ แล้วมันจะเป็นยังไงกันล่ะเนี่ย
แล้วไม่คิดจะไปช่วยยองแจรึไงงงงงงง???
พี่บังก้ไม่ออกมาช่วยน้องเทาเลยยยยยย ทำไงอ่ะคราวนี้
มัวแต่ไปอ่อยน้อง 16 อยู่รึไง
ไหนว่าปลอดภัยแล้วไงวะ?
ไง๋มันมาป๊ะกันได้ละนี่!?
อิพี่คริสแม่งโรคจิตเห๊อะะะะะะะะะ
อิพี่บังงงง ช่วยน้องเทาถ้วยยยยยยยยยย T^T
เเต่เฮียทักทายได้เเบบ -''- ให้ตายเถอะจะโกรธเเค้นอะไร
เค้าหนักหนาห้ะ !!!
แต่งได้น่าตามมากกกกกก
ทำไมร้ายจังเลย
อัพฟิคบัพด้วย ค้างฮิมแจมากข่า
อาเถาน้อยแย่แล้ววว
แล้วก็ . . . เลยเถอะเฮีย เค้าเชียร์เฮียอยู่นะคะ
(อินี่หื่นตลอด 55555555555555555 )
ลุ้นมากจะเป็นไงต่อไปนะ
ปล. อยากรู้อ่ะ เทาไปทำไรกะเฮียไว้ เฮียถึงได้
น่าตามที่สุดดดดดดด รอตอนต่อไปป~