ตอนที่ 47 : ✖ EP.44✖ 100%
ฉันยังไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไร...
เมื่อฉันรู้ว่า ฉันไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรเลย
ในวาระสุดท้ายนั้น...ฉันรู้ดีว่าเราต้องหายไป
Cry Out - ONE OK ROCK
ค่ำคืนที่มีเพียงพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนฟ้าส่องแสงสีนวลของมันไม่ให้มืดมิดเหมือนคืนเดือนดับที่ผ่านมา แสงสว่างของมันก็ไม่ได้สามารถทำให้มองเห็นทุกสิ่งที่หมอกควันที่ถูกสรรค์สร้างไว้ให้ชัดเจนนัก
ถึงจะมีกระแสลมพัดเท่าไหร่ มันก็ไม่พัดให้หมอกดูจางตา....
ขอขอบคุณที่มันบดบังเสียงจนไม่มีใครเห็นการมีอยู่ของเด็กหนุ่ม ไม่รู้สึกได้แม้แต่กลิ่นกายของจื่อเทาแม้แต่พวกสายเลือดเดียวกัน เพราะถ้าไม่อย่างนั้น...เด็กหน้าเหวี่ยงก็คงจะไม่ได้ยินบทสนทนาและการมาของใคร
และเพราะสุสานแห่งนี้อยู่ในอาณาเขตบริเวณปราสาท ที่มีป้ายหลุมหน้าศพตั้งกระจัดกระจาย เช่นเดียวกับรูปปั้นแกะสลักของผู้ที่ดับสูญที่สร้างประดับไว้อย่างนั้นแต่ ทว่าไร้ซึ่งไม้กางเขนที่ตัวเย็นต่างเกลียดกลัวเว้นแต่พวกเลือดบริสุทธิที่มันปักหลักนิ่งเป็นสักขีพยานว่าใครเป็นคนเปิดประตูบ้านที่แท้จริง
‘เพราะฉันรู้ใจที่ดำมืดของเธอต่างหาก’
สองครั้ง....สองครา
มือเรียวลูบไล้ขนสีดำของสัตว์เลี้ยงที่ถูกอุ้มไว้แนบอก ในความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาเดินอาบแสงจันทร์อะไรอย่างที่อี้ชิงบอกไว้ จื่อเทาออกมาจากห้องปรุงยาของคุณหมอผู้ประจำการของปราสาทนี้ตั้งแต่กาลิคออกจากห้องนั้นไปได้ไม่เท่าไหร่ จะให้นั่งอยู่ต่อก็ขี้คร้านต่อสายตาของแบคฮยอนที่จ้องมองตาเหมือนแทบจะสาปให้เขาแช่แข็งอยู่ตรงนั้น ตีความหมายทางสายตาไม่ออกจึงต้องเดินตามสัตว์เลี้ยงตัวเองออกมาเพราะกลัวว่าจะไปเล่นซนที่ไหน และกาลิคมันก็ซนเสียไกลจนเขาต้องหยุดมันไว้ที่นี่ ในตอนแรกก็ว่าได้ตัวกาลิคแล้วจะแวะไปเยี่ยมหลุมศพพ่อของตัวเองเสียหน่อย ถ้าไม่ติดว่ารู้ถึงการมาของใครเสียก่อน
“นายไม่ควรจะมาที่นี่อีก!!” เสียงของซูยอนกำลังขึ้นเสียงใส่ใครบางคนอย่างหงุดหงิดโดยที่มันไม่ได้ดังถึงขนาดว่าใครจะได้ยินแห่ยกโขยงกันมาที่นี่
“เฉกเช่นเธอเหมือนกันที่ก็ไม่ควรจะมาเหยียบที่นี่อีก”
“แต่ฉันมีสิทธิ”
“ก็ตายไปแล้วนิ่”
“แต่ก็ยังไม่ตายจริง ๆ เรื่องนั้นนายก็รู้เด็กนั่นมันก็รู้” น้ำเสียงดูไม่ยากว่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยกำลังพาลใส่เสียจนจื่อเทาที่แอบฟังอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไกลเกือบสี่สิบเมตรหรี่ตาใส่แมวดำที่อุ้มเล่น
ก็เพราะว่ารู้น่ะสิ!!
“แต่จื่อเทาก็ทำได้ดีนิ่...ก็แนบเนียนเสียจนคู่หมั้นเธอมันเชื่อไม่ใช่หรอไง?” ร่างเพียวพยักหน้าตอบอย่างเห็นด้วยเมื่อฝ่ายนั้นพูดต่อจากหญิงสาว ที่จริงไม่ใช่เขาที่แนบเนียนอยู่ฝ่ายเดียว
“.....”
“ส่วนไอ้เด็กนั่นที่เธอกำลังพูดถึงนั่นมันน้องชายของฉันสิก้า”
เจ้าของชื่อยิ้มเย๊าะ “น้องของนาย ? โอ้ว! นี่ฉันต้องหูฝาดไปแล้วแน่ ๆ น้องชายอิท่าไหนล่ะถึงกล้าส่งให้มาเป็นหนอนแล้วโดยหวังให้คริสรู้แล้วจะได้ฆ่าทิ้งน่ะ อ๊คแทคฮยอน”
“เหอะ!”
“แล้วตายไหมล่ะ ?”
“ฉันต้องถามเธอต่างหาก คริสมันจะเป็นจะตายจนมันจะฆ่าจื่อเทาเลยหรือเปล่าที่เห็นร่างปลอม ๆ ของเธอสลาย” แทคฮยอนยิ้มร้ายแถมยังพูดเย้ยโทสะหญิงสาวต่อ “ดูมันจะเจ็บแค้นแค่แป๊บเดียวนะมันถึงไม่ฆ่าจื่อเทาทิ้งซะ แต่กลับยกขโยงพวกมันมาฆ่าพวกพ้องของฉันไปเกือบหมด”
ร่างปลอม ๆ ที่หญิงสาวสร้างขึ้นมาด้วยขี้เถ้ากับเลือดและลูกเล่นพรางตาของเธอมันก็แนบเนียนยิ่งกว่า
ใครกันแน่ที่เสียเย๊อะกว่ากัน แถมเจ้าตัวเธอเองก็ยังอยู่ครบไม่ได้ตายจริง ๆ เสียหน่อย
“เห้อ...ฉันอุตส่าห์ฝากความหวังไว้ที่ไอ้อี้ฟานว่ามันจะลงมือฆ่าเทาทันทีที่เห็นเธอตายนะ แต่เห้อ...ฉันผิดหวังจริง ๆ” แทคฮยอนถอนหายใจยาวอย่างผิดหวังที่นึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่มันไม่เป็นความหวังเมื่อเขารู้ข่าวว่าแผนมันไม่แผนมันไม่เป็นไปตามนั้น
จากที่จะยืมมือแวมไพร์ตนนั้นฆ่าให้จื่อเทาตายไปซะ ให้คริสมันเสียใจ เจ็บแค้นที่เห็นคู่หมั้นมันตายต่อหน้าต่อตาโดยฝีมือของเด็กเลือดผสมนั่น แต่ไม่เลย คริสมันเลือดเย็นกว่านั้นเย๊อะ...มันแค้นก็จริง แต่มันไม่ได้ฆ่าจื่อเทาทิ้ง มันเก็บเด็กนั่นไว้แล้วทรมาณด้วยการให้เห็นเผ่าพันธ์ไรแคนท์ตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา
รักมาก...รักเสียจนฆ่าไม่ลง
“แต่ก็ถึงอย่างงั้นเถอะ” จองซูยอนผ่อนหายใจสงบอารมณ์เคืองที่ผสมกันไปหมดให้เบาลง “ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่นายจะเข้ามาที่นี่”
“ไหนบอกมาซิคู่ค้าพันธมิตรของฉันว่ามันยังไม่ถึงเวลาตรงไหน?”
ปึก!
การสนทนานั้นถูกตัดขาดออกจากโสตประสาตของจื่อเทาทันที กับร่างของตัวเองที่ทิ้งน้ำหนักตัวทรุดเข่าลงไปกับพื้น กระพริบดวงตาถี่ ๆ เหมือนกักเก็บอะไรบ้างอย่างไม่ให้ออกมา ปล่อยแมวดำลงจากอ้อมแขนจนมันวิ่งไปทางเดิมที่มันมา ฝ่ามือเรียวทั้งสองข้างกำแน่นเสียจนเห็นเส้นเลือดโปดปูนขึ้นมาจะแทบจะทะลุผิวหนัง
“อย่างนี้นี่เอง” จื่อเทากระซิบบอกกับตัวเอง เบาเสียไว้ใจได้ว่าจะไม่มีใครได้ยินมัน
จื่อเทารู้ดีว่าหญิงสาวคู่หมั้นของอี้ฟานรู้จักอ๊คแทคฮยอนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายคนโตของเผ่าพันธ์ และรู้ด้วยว่าทั้งคู่รู้จักกันถึงระดับไหน รู้ดีถึงแผนการก่อน ๆ เพราะจองซูยอนเป็นฝ่ายร่วมมืออย่างดีพาเขาเข้ามาที่นี่โดยสร้างเหตุการณ์ชุลมุน แต่ความจริงอีกข้อที่เขาไม่เคยรู้มัน และความจริงมันก็ทำให้เจ็บปวดได้เสมอ และมันได้ทำให้เข้าใจความหมายของประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี
‘ในการศึกสรางครามย่อมไม่เกี่ยงวิธีการ’
อีกฟากฝั่งที่เป็นกำแพงสูงตระหง่านกั้นกันไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายนอกได้เข้าถึงรังไว้คอยพักพิง อี้ฟานกำลังยืนมองดูสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวเหมือนมดขนอาหารอยู่บนป้อมปราการที่สร้างไว้ให้อยู่ตรงมุมอับลับสายตา ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของมันแม้แต่ทหารรับใช้เพราะเขาไม่เคยสั่งให้มาประจำการรักษาพื้นที่ในเขตของสุสาน
สัมผัสได้การได้ยินไม่ชัดนักแต่ก็พอจับใจความได้ แต่ทว่าการมองเห็นนั้นถือว่าอู๋อี้ฟานมองเห็นและการเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน
“อ่า...ควรทำยังไงดีนะ” ไอเย็นออกมาจากปากรูปกระจับพูดเบา ๆ กับตัวเอง นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องดูความเคลื่อนไหวอย่างละสายตาไม่ได้ซักวินาทีเดียว
“แกคิดว่ายังไงกาลิค?” ก้มหน้าลงไปขอความคิดเห็นกับแมวดำที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนที่กำลังเอาหน้าของมันมาครอเครียกับเสื้อเชิ๊ตสีดำพอดีตัว
เมี้ยววว
ครอเครียเสียจนต้องยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
‘You say I’m crazy~~’
‘Cause you don’t think I know what you’ve done~~’
คริสงึมงำออกมาอย่างเป็นเนื้อเพลงเหมือนกับกำลังร้องเพลงประกอบภาพที่กำลังเห็นอยู่เบื้องล่าง ก่อนจะแหวนหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่กำลังสว่างสไวด้วยแสงจันทร์ที่เต็มดวง สลับกับมองเด็กหนุ่มที่เขาพาตัวกลับมาอยู่ที่นี่ด้วยกันถึงสองครั้งสองครา
ครั้งแรกที่พาตัวกลับมาคริสเองคงต้องใช้คำว่า “ลากตัวกลับมา” เสียมากกว่าจากสภาพของจื่อเทาที่ค่อนข้างจะสะบักสะบอมจมกองเลือดแถมยังลักพาตัวมาอย่างต่อหน้าต่อยงกุกในสภาพที่ขู่เข็นจะฆ่าจื่อเทาต่อหน้าแน่ ๆ ถ้าไม่ปล่อยให้เด็กนี่กลับมากับตน ครั้งที่สองนี่คือไปรับถึงที่ ไม่ต้องใช้แรงกำลังขู่เข็น อุ้มมาทั้ง ๆ ที่หลับอุตุไม่รู้เรื่องโดยที่ยงกุกก็เปิดทางให้เสียดิบดี ตลกนะว่าไหม?
ร่างสูงยกยิ้มขันให้กับตัวเองแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเขารู้สึกได้ถึงบางอย่าง ในอาณาเขตของตัวเองแต่อยู่นอกกำแพง
“อ่า..มีบางอย่างอยู่กำลังมาที่นี่แหละกาลิค”
“....”
“ซักห้า....สิบ อ่าไม่สิมากกว่าสิบตัว” คริสขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้สึกถึงจำนวนที่มากกว่าเดิม
ดวงตาคมหันกลับไปจ้องมองบุคคลที่ยังอยู่ในพื้นที่แห่งความไว้อาลัยไม่ไหวติง เสียงนิ่งเย็นสั่งออกกลางอากาศอย่างแผ่วเบาแต่มีน้ำหนักหมายส่งไปยังอีกที่หนึ่งที่กำลังทำภาระกิจที่เขาวานสั่ง
“ทำเวลาหน่อยเลย์”
“เออรู้แล้ว! นี่ก็สั่งจังเลย!” คุณหมอหน้าหวานที่เริ่มจะมีอาชีพเป็นพ่อหมดเป็นอาชีพเสริมตะโกนลั่นเสียงหลงเริ่มจะอารมณ์เสีย
“วัน ๆ ทำอะไรกับเขาบ้างไหมวะอี้ฟาน นอกจากสั่งกับตามติดชีวิตเมียเนี่ยห๊ะ!” เสียงบ่นระงมทั่วห้อง มือพรางใส่ส่วนผสมที่ในคัมภีร์เล่มเก่าคร่ำครึที่อี้ชิงก็ต้องมาคอยสู่รบปรบมือกับมันให้อยู่นิ่งบอกเอาไว้
“นี่ก็ดื้อด้านฟังยากฟังเย็น!” แว๊ดใส่ให้อีกหนึ่งที มองดูคัมภีร์ที่ลอยเหนืออากาศคลี่หน้ากระดาษเองจนดังพับๆ ไม่ก็แกล้งทำเป็นตกลงโต๊ะจนอี้ชิงเอามือทุบมันอีกรอบ
“ใจร้อนอารมณ์เสียก็ไม่ช่วยให้มันสงบหรอกครับอี้ชิง” เป็นน้องเล็กของบ้านเสียเองที่ออกความคิดเห็นหลังจากที่นั่งดูอี้ชิงจับโน่นผสมนี้ลงในอ่างน้ำโบราณสลับกับหันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่เอาแต่มองไปข้างนอกหน้าต่างอย่างไม่วางตา
“ตอนแรกก็จะไม่ใจร้อนหรอกคยองซู ได้ยินที่พี่เรามันสั่งมาไหมล่ะ แล้วดูไอ้คัมภีร์นี่ดิ อยู่นิ่งเสียที่ไหนเห็นมันนิ่งได้ก็ตอนอยู่ในมือชานยอลนั่นแหละ”
อี้ชิงมุ่ยหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ว่าตามจริงอย่างที่พูดกับคยองซู ไอ้คัมภีร์นี่ดูจะไม่ค่อยหือกับคนกลางของปราสาทเท่าไหร่นัก เพราะเห็นตอนอยู่ในมือของชานยอลนี่นิ่งไม่กระดิกซักแอะ ขนาดว่าปล่อยให้นอนนิ่ง ๆ บนโต๊ะแล้วชานยอนดูอยู่ มันยังไม่กล้าปีกกล้าขาแข็งเลยเหอะให้ตาย แต่พอชานยอลไม่อยู่เท่านั้นแหละ แผลงฤทธิ์ขึ้นมาทันที
“แต่ผมเห็นตอนที่แบคฮยอนเข้ามามันก็หยุดนิ่งเลยนะ ล่วงลงบนโต๊ะนอนอยู่เฉย ๆ เลย” ตัวเล็กว่าพร้อมทำตาแป๋ว
“นั่นสิ...ไหนแบคฮยอนมาหาพี่หน่อยสิ” คุณหมอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วค่อยกวักมือเรียกคุณหมอตัวน้อยอีกคนที่เพิ่งจะโดนเปลี่ยนไม่กี่วัน
ในตอนแรกอี้ชิงก็ไม่ได้เอะใจเพราะที่คัมภีร์ที่ลอยอยู่เหมือนจะว่าง่ายแต่ก็หล่นลงดังตุบเหมือนจะกวนประสาท ก็แค่จังหวะพอดีกับที่แบคฮยอนเปิดประตูเข้ามาเสียแรง แต่ถ้าปกติมันก็น่าจะนิ่งแค่แปบเดียวแล้วแผลงฤทธิ์ทำเป็นกระดุกกระดิกเตรียมหนีแล้วให้เขาคอยไล่ตะคุบ แต่นี่กลับนิ่งเหมือนนอนตายไม่หือไม่อือจนกว่าแบคฮยอนจะได้ขยับขาไปนั่งทับที่เก่าที่จื่อเทาเคยนั่งนั่นแหละมันถึงได้ควบคุมยากต่อ
แรก ๆ ก็หวั่นใจว่าจะโดนโกรธเหมือนชานยอล แต่พอคิดให้ดี ๆ แล้วดูจากปฏิกิริยาของเจ้าซามอยด์ที่เขาเคยเรียกยอมเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แล้วก็คงต้องคิดใหม่
ก็อี้ชิงไม่ใช่ปาร์คชานยอล
แบคฮยอนเคลื่อนย้ายตัวเองมาอยู่ข้าง ๆ อี้ชิงโดยสิ่งที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้านั้นเป็นกาละมังโลหะโบราณ ข้าง ๆ คือคัมภีร์เล่มหน้าที่แทบใช้หนุนแทนหมอนได้
“อารมณ์เย็นขึ้นบ้างหรือยังเจ้าซามอยด์?” ลองตะล่อมๆถามดูอารมณ์อีกฝ่ายแล้วก็ต้องยิ้มเมื่อแบคฮยอนพยักหน้าแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ให้ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในระดับหนึ่งล่ะนะ
“แล้ว...เข้าใจพี่ฉันหรือยัง?” เป็นคยองซูที่หายวับตัวเองมาโผล่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะวางของ อี้ชิงหรี่ตามองคนเล็กที่ไม่กินเส้นกับพี่ชายคนรอง อยู่ดี ๆ มาถามว่าดีกับพี่ชายตัวเองหรือยัง ทุกทีไม่เคยเห็นเรียกชานยอลว่าพี่ตั้งแต่โดนมันจับให้หมั้นกับจงอิน
“ตัวเองเข้าใจพี่ชายตัวเองหรือยังเถอะไปถามเขา” อี้ชิงบ่นเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้ นี่ถ้าอยู่ใกล้มือกว่านี้จะขยี้ผมไปแล้ว
“อ้าว! เค้าก็อยากรู้นี่ว่าเข้าใจชานยอลหรือยัง ถึงชานยอลจะน่าโกรธก็เถอะ...แต่ก็นะ เขาก็รักของเขานี่ แม้ว่าชานยอลจะแสดงวิธีแปลก ๆ เหมือนจะฆ่าให้ตายไปหน่อยก็เถอะ” คยองซูทำหน้าเหรอหราตาโตกว่าเดิมใช่เหตุผลของตัวเองอย่างเต็มที่ จริงอยู่ที่คยองซูจะโกรธในสิ่งที่ชานยอลทำอยู่ เคยถามอยู่หลายครั้งหลายคราฝ่ายพี่ก็ไม่ยอมบอกแถมยังเมินเฉยใส่
ชานยอลก็ยังคงเป็นชานยอลอยู่แบบนั้น ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าอะไร ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับของ ๆ ตัวเอง เพราะคนเรามีเหตุผลของตัวเอง ไม่ว่าเหตุผลหรือการกระทำนั้นมันจะงี้เง่าหรือโหดร้ายขนาดนั้น มันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเหตุผลทั้งนั้น
สำหรับชานยอลแล้วไม่ต้องมีคำว่าสมเหตุสมผล ขอแค่ให้บรรลุเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ก็พอ
และเป้าหมายของชานยอลก็มีอยู่เพียงอย่างเดียง สิ่งเดียวที่ชานยอลเหลืออยู่...บยอนแบคฮยอน
จงอินได้บอกกับคยองซูไว้แบบนั้นก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางมาที่นี่ประมาณสามถึงสี่คืนก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นคยองซูไม่มีวันได้ร่วมหัวจมท้ายกับชานยอลนั่งดูอาซ้อสับซูยอนเสียเละคาโต๊ะอาหารหรอก
คยองซูก็แค่เลือกปฏิบัติ
“อืม” ผู้ถูกซักถามตอบเพียงประโยคสั้น ๆ คำเดียวแต่เล่นเอาเงียบกันหมดทั้งห้อง มันอาจจะเป็นข้อดีในตัวแบคฮยอนที่พอจะเข้าใจอะไรก็ดูจะเข้าใจง่ายดาย แต่พอไม่เข้าอะไร ก็จะไม่เปิดรับและก็ไม่เข้าใจมันอยู่แบบนั้น ซึ่งในข้อดีก็มีข้อเสียของมัน
“พี่อี้ชิงจะให้ผมช่วยอะไร?” หันไปถามพร้อมสบตาคุณหมอหน้าหวาน หน้าตาครุ่นคิดของอี้ชิงตีกันยุ่งไปหมดก่อนจะอ้าปากบอกให้เห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่คงจะคมใช่เล่น
“ก็อย่างที่คยองซูบอก....ลองดูหน่อยแบคฮยอน ถ้าหากว่าได้ผลก็แปลว่ามันก็เชื่องกับเราไม่ต่างจากที่มันกลัวชานยอล...โอ้วให้ตายเหอะ! ชานยอลนี่มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวกับทุกอย่างแม้กระทั่งหนังสือเวทจริง ๆ เถอะน่า”
“แล้วถ้าไม่..” แบคฮยอนทำหน้าตาไม่แน่ใจ แต่สายตากลมนัยน์ตาจากสีน้ำตาลแอลมอลไล่มองรูปร่างคัมภีย์อย่างจดจ่อเรียบเฉย ๆ ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่ทว่ามันกลับเป็นไปเองโดยปริยาย
“ต้องลองดู” อี้ชิงพยักเพยิดหน้าดั่งเรียกความมั่นใจให้คุณหมอผู้รักษาฮันเตอร์
แบคฮยอนพยักหน้าตอบอย่างไม่แน่ใจนัก มือเรียวลูบไล้ที่หน้าคำภีร์เก่าแก่ที่มีมุมเหล็กลายฉลุกรอบทองหม่น ๆ สี่มุมนูน สายตาเพ่งพินิจมองดูอย่างนิ่งสงบแต่รู้สึกที่ความเย็นเยือกออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ปากเรียวขยับออกคำสั่งอย่างช้า ๆ เรียบนิ่งแต่กดดัน
“ลอยขึ้นมาแล้วทำตามที่สั่ง...แต่ถ้าแกยังดื้อด้านฉันสาบานได้ว่าคัมภีร์เก่าที่อายุร้อยกว่าปีอย่างแกจะเป็นเพียงแค่หนังสือไร้ค่าที่อยู่ในเปลวไฟของฟีนิกซ์”
จากที่แน่นิ่งเหมือนนอนตายไม่ไหวติงหรือว่าเปิดหน้ากระดาษเองเสียงจนสร้างความรำคาญในครั้งก่อนหน้า ค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่าง ๆ ช้าโดยว่าง่ายเปิดหน้ากระดาษที่อี้ชิงเคยเปิดค้างไว้อย่างเร็วพลัน เสียจนอี้ชิงกับคยองซูมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตาไม่เว้นแต่เจ้าของคำพูด
“เหลือเชื่อ” คยองซูเหวอเบา ๆ ถามกับแบคฮยอนต่อ “นายพูดแบบนั้นไปได้ยังไง”
“ฉันก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ความรู้สึกมันบอกให้พูดแบบนั้น” แบคฮยอนตอบไปตามความจริง เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดมันแบบนั้น แต่บางสิ่งบางอย่างในหัวบอกให้พูดไปแบบที่ออกมาจากปาก สั่งเขาให้ควบคุมมันและสั่งให้มันจำนนต่อเขาเองในเวลาเดียวกัน
“พี่อี้ชิงครับ...จัดการต่อเลย” แบคฮยอนหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณว่าให้คุณหมอประจำอาณาเขตนี้ทำภาระกิจต่อ “เดี๋ยวผมจะอยู่ดูมันข้าง ๆ พี่เอง ถ้ามันดื้อ ก็เผามันทิ้งไปเลย” แกล้งทำเสียงขู่แต่กลับใช้ได้ผลโดยที่หนังสือโบราณได้รีบเปิดหน้าที่ต้องการค้างเอาไว้แถมยังลอยอยู่กลางอากาศอย่างไม่ขยับเขยื้อน
“เอาล่ะ..ต่อกันเลยก่อนจะไม่ทันเวลา...อี้ฟานเอ๊ยยย คลายเวทกันไรแคนท์ให้พวกมันเข้ามาแล้วยังจะให้มาสร้างเวทปิดพวกมันอีก” พอเจอหน้าที่เปิดค้างไว้แล้วก็ต้องบ่นพึมพัมหัวเสียอีกรอบ
“มันจะรู้ไหมวะว่าต้องใช้เลือดไรแคนท์มาผสม...เลือดแท้ ๆ ไม่มีอะไรผสม”
“แล้วเมื่อก่อนตอนที่พี่ฮิมชานปรุงเวท ใช้เลือดไรแคนท์ของใคร” คยองซูถามตอบอย่างฉงน เขาจำได้ว่าผู้ที่ร่ายเวทครั้งนั้นไม่ใช่พี่อี้ชิงแต่เป็นแวมไพร์ที่แฝงตัวเป็นบาทหลวง
“ไม่ใช่เลือดพี่สะใภ้หรอ?”
“ไม่ใช่...เลือดของลูกผสมไม่สามารถใช้ได้ ถึงแม้เทาจะแข็งแกร่งกว่าเลือดบริสุทธิ์แค่ไหนก็ตาม”
“แล้วตอนนั้นพี่ฮิมชานใช้เลือดของใคร?”
อี้ชิงทำสีหน้าครุ่นคิด เม้มปากเข้าหากันอย่างกังวลที่จะตอบมันจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม ยิ่งนึกถึงเหตุในคืนนั้นแล้วยิ่งยากที่จะกลืนน้ำลายเหนียวนืดให้ลงคอ คุณหมอหน้าหวานจำได้ติดตาในใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกที่บาทหลวงกำมะลอตนนั้นยิงกระสุนที่ทำด้วยซิลเวอร์ไนเตรทไปที่ไรแคนท์ตัวนั้นก่อนจะใช้ดาบคู่กายกรีดเอาเลือดออกมา
“ยูยองแจ”
เสียงประตูถูกผลักออกอีกครั้งแสดงถึงผู้มาใหม่อีกตนที่อี้ชิงนึกถึงอยู่แหม็บ ๆ และเป็นฝ่ายที่พูดชื่อนั้นออกมาเอง
“ฉันใช้เลือดของยูยองแจ ก่อนจะลบความจำเจ้าอ้วนนั่น”
ดวงตากังวลของแวมไพร์ทั้งเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกและสัญชาติญาณที่ตื่นตัวตลอดเวลาที่ฮิมชานไม่ได้มาเพียงผู้เดียวแต่กลับเอาผู้แปลกหน้าเข้ามาด้วย
จะไม่ตระหนกและระวังตัวเสียจนเขี้ยวเล็บโผล่ออกมาเลยถ้าคนข้างกายไม่ใช่ไรแคนท์
“เย็นไว้สาว ๆ พี่พาเขามาเอง” ฮิมชานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไกล่เกรี่ยให้อย่างใจเย็นไม่ให้ทั้งสองฝ่ายฝัดกันเสียก่อน แล้วดูหน้าไอ้คนที่เขาพามาด้วยนี่ ต่อให้มันทำหน้านิ่ง ๆ ก็ยังเสี่ยงให้ไปนอนเล่นบนพื้น
“พี่พาไรแคนท์เข้าบ้านคนอื่นเนี่ยนะ!” คยองซูโวยลั่น
“ก็คริสมันให้ไปพามา” ฮิมชานว่าต่อ
“ไว้ใจได้แค่ไหนว่ามันจะไม่ขย้ำเราคาบ้านล่ะ”
“ถ้ามาจากฝั่งยงกุกก็ไม่ใช่ปัญหา” ฮิมชานพูดออกมาตามความจริงอย่างเป็นต่อเด็ก ๆ ทั้งสามที่ยังไงก็อายุน้อยกว่าเขาอยู่ดี “อีกอย่างคริสก็ไปขอด้วยตัวเอง ยงกุกมันก็เห็นด้วย...หน้าตาคล้ายเมียมันไหมล่ะ?”
“แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าไรแคนท์ที่พี่พามาด้วยจะเต็มใจมา” คยองซูยังถามด้วยความหวาดระแวงไม่เลิก แหงแหละ พาศัตรูเข้าบ้านนะ ถึงเขาจะไม่ชอบสงคราม แต่นั้นก็ไรแคนท์ที่เป็นศัตรูไม่ใช่หรือไง
อี้ชิงส่ายหัวอย่างเหลือเชื่อที่เห็นคนเล็กของบ้านนี้ยิงคำถามเหมือนสอบสวนนักโทษ ก็แหงแหละถึงไม่ชอบสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์แต่สัญชาติญาณมันก็ยังอยู่ในเลือด แต่ที่ต้องมองอย่างไม่วางตามากกว่าคือไรแคนท์ที่ฮิมชานพามาด้วยต่างหาก อะไรมันจะคล้ายขนาดนั้น ถ้ายกเว้นร้อยยิ้มที่ยิ้งมองก็ยิ่งกวนอวัยวะเบื้องล่างอี้ชิงจะคิดว่านั่นคือร่างอวตารของจื่อเทาจริง ๆ
“บางทีเราก็ต้องสละเลือดในการจ่อจลาจลบ้าง” มนุษย์ไรแคนท์พูดมาอย่างด้วยท่าทีไม่ทุกร้อน ไล่สายตามองไปทั่วอนุพื้นที่ของห้องประจำการของคุณหมอหน้าหวาน
“ขอแนะตัวอย่างเป็นทางการ” สายตาจรดลงพื้นห้องก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้ามาสบตาฝั่งตรงข้ามที่กลายเป็นว่าลงเรือลำเดียวกันไปชั่วขณะ
“ฉันเป็นลูกชายคนโตของฮันเกิงหรือพูดง่าย ๆ ก็เป็นพี่ของหวางจื่อเทา เพียงแค่คนละแม่ มั่นใจได้ว่าเลือดฉันไม่เป็นด่างหรือเป็นเด็กพันธ์ทางเพราะแม่ฉันเป็นไรแค่นเต็มตัว” รอยยิ้มกวนประสาทผุดขึ้นที่มุมปากของเจ้าของใบหน้าที่แทบจะออกมาเป็นพิมพ์เดียวกับเด็กเลือดผสม
“สวัสดี ฉันชื่อ จองจุนยอง ไหนบอกฉันมาสิว่าไอ้เด็กเวรอี้ฟานอะไรนั่นมันดูแลน้องของฉันดีหรือเปล่า”
หวางจื่อเทาไม่สามารถขยับให้ตัวเองไปไหนได้ เขายังอยู่ตรงนั้น ตรงที่เดิมที่หลังต้นไม้ใหญ่ราวกับถูกคำสาปให้อยู่แต่ตรงนั้น รับฟังเสียงเจรจาพูดคุยของซูจองและแทคฮยอนราวกับนิ่งเฉย ไร้การขับเคลื่อนใด ๆ มือที่กำไว้แน่นยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายมันลงง่าย ๆ นัก เพราะสิ่งที่ได้ยินโดยที่ตัวเองได้ทำตัวเป็นเด็กไร้มารยาทแอบฟังเขาพูดคุยกันอย่างไม่ตั้งใจ
เสียงพูดคุยเหล่านั้นไม่มีวันหยุดหายยุติไป เช่นเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงของใครที่ลอยเข้ามาเหมือนครั้งก่อนที่ใครเผลอเรียกชื่อจริงของเด็กเลือดผสม ปลุกในพันธะที่ผูกไว้ให้ฟื้นอีกครั้ง
‘จื่อเทา...หวางจื่อเทา’
เคยนึกโกรธทุกครั้งที่ใครต่อใครนึกเรียกขานเขาอย่างเต็มชื่อ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ถ้าเป็นตอนนี้จื่อเทาคงอยากจะรู้สึกขอบคุณเสียมากกว่า
‘ได้ยินไหม?....อยู่ใกล้ ๆ กันตอนนี้หรือเปล่า?’
ช่วยพาเขาออกไปจากตรงนี้ที...
จื่อเทากำลังขอร้องและอ้อนวอนให้ใครผู้นั้นที่เรียกเขาได้แบบนี้อยู่เพียงผู้เดียวที่จื่อเทาไม่รู้ว่าตอนนี้อี้ฟานอยู่ตรงไหน จื่อเทารู้เพียงว่าอี้ฟานสามารถจับตารู้เห็นว่าเขาอยู่ตรงไหนได้ทุกที่เพียงแค่มีใครเอ่ยชื่อจริง ต่างจากร่างสูงเพียวนี่เท่านั้นที่ไม่รู้เลยว่าผู้ที่สร้างพันธะนี้อยู่ที่ไหน จื่อเทาถึงได้หนีหัวซูกหัวซุนในครั้งก่อนด้วยความระแวง
“ได้ยินแล้ว" เสียงทุ้มใหญ่แผ่วบังดังขึ้นให้ได้ยินที่ข้างหูพลันทำให้ต้องหันไปมอง แววตาสงบนิ่งที่อ่านยากจดจ้องมองดวงหน้าของนักโทษแสนหวงแหนที่ต่างก็มองเขาด้วยสายตาไม่ตระหนกเหมือนครั้งตอนที่เล่นแมวจับหนูในครั้งก่อน
อี้ฟานกดศีรษะของเทาไว้แนบกับเขา พึมพำเบา ๆ ข้างหูในเสียงที่ชวนหลงไหล มือแกร่งเอื้อมลูบไล้กำปั้นข้างหนึ่งที่เขาเห็นว่าอาเทาของเขากำมันแน่นและนานเสียเหลือเกิน
“พี่อยู่ใกล้ ๆ เทาตลอด” เด็กน้อยของเขาไม่ได้ขวัญเสียที่ได้ยินอะไรเหมือนกันที่เขาต่างก็ได้ยินเพิ่มเติมจากทั้งสองนั่น หรือไม่แม้แต่ตกใจที่เห็นว่าเขาโผล่มาให้เห็นโดยฉับพลัน แต่ว่ากำลังพยายามควบคุมอารมณ์ที่มันคงตีรวนกันไปหมด คริสไม่ได้ปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยผ่านไปให้ยืดเยื้อจนสองตนนั้นจะสงสัยในความผิดปกติ
“ลุกไหวไหม รู้สึกว่าจะล้มทั้งยืนนะ” ถึงจะถามด้วยความเป็นห่วงแต่คำหลังมันก็อดไม่ได้ที่จะพูดไปแบบนั้น
จื่อเทาส่ายหน้าช้า ๆ อย่างยอมรับว่าตัวเองไม่มีแม้แรงที่จะลุกเหมือนกับพลังงานมันถูกดูดหายไปหมด อี้ฟานจะอุ้มเด็กที่ตัวเล็กกว่าตนไม่เท่าไหร่พาดไว้บนบ่าแกร่ง
“อากาศเย็นมากแล้ว....ออกไปจากตรงนี้กันเถอะจื่อเทา เข้าไปคุยกันข้างใน ”
TBC...
#พคล
อีก3-4ตอน จบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะบอกว่าคิดถึงthe war of love
รอดูกันเถอะว่าพี่ๆเขาจะทำไง
555
ปล ตามมาฟัง one ok rock