ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผลิบานดั่งโรยรา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 63


         ลมพัดโบกโบยพัดโชยกลิ่นบุปผาหอมชื่นรอบจวนเหลียนเหอภายในจวน​ จินหนานหลง ​ องค์ชายน้อยผู้มีเรือนผมสีเงินสวมอาภรณ์สีคราม​ นิ้วเรียวจับคัมภีร์​ในมือมั่นเหมาะ​ นัยน์ตา​จ้องมองยังตัวอักษร​แน่วแน่

         "หลงหลง" เสียงจากเด็กชายอีกคนหนึ่ง​ ผิง​เชิง บุตรบุญ​ธรรมแห่ง​เทพวารี วิ่งตรงเข้ามายังจวน

       " เจ้าช่างขยันมาหาข้าจริง"

       "หลงหลง​ เจ้าทำอะไรอยู่ฤๅ"

        "หากเจ้ามีตาก็น่าจะดูออกหนิ"


    ืืืื​    " ฮือๆๆ​ หลงๆท่านมิรู้รึ ข้าตาบอดตั้งแต่พบเจ้าแล้ว"


        "งั้นฤๅ"


       " หลงหลง​ ท่านอ่านหนังสือพวกนี้ทั้งวันไม่เบื่อบ้างรึ" พลางหยิบหนังสือที่กองอยู่มาเปิดเล่น

       " ... "

       " หลงหลง​ ท่านไปเล่นกับข้าหน่อยเถิด"

       " ... "

       " องค์ชาย​ยย โปรดเมตตาเด็กน้อยผู้อาภัพคนนี้ด้วยเถิด"

       " หากข้าไปกับเจ้า.... "

        " ข้าจะเลิกกวนท่าน​ 2 วัน" คู่สนทนาของเขายังคงนิ่งเฉย

        " งั้น​ 1 เดือน"

         เด็กชายเพียงแย้มรอยยิ้มเยี่ยงผู้ชนะออกมาแล้วเดินนำออกไปจากจวน
     

     ร่างเด็กน้อยทั้งสองเดินมายัง​สวนพฤกษาชาติ​รอบจวน​


       "หลงหลง​ ท่านอยากทำอันใด"

       " เล่นหมาก​" พูดไม่ทันจบคำ​เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมมือที่ดึงเขาไปยังท่าเรือ

       "พายเรือเล่นกัน" เสียงเสนาะเอ่ย

        'เฮ้ออ​ เจ้านี่นะ'​
     

        ร่างเด็กน้อยทั้งสองนั่งลงบนเรือไม้​ ในสระปทุม​แก้ว​ เสียงไม้พายกระทบผิวน้ำตวัดเป็นคลื่น​ผสานกับเสียงแห่งพงไพร​ ดั่งถูกต้องมนต์​สะกด​


    ​    แววตาของเด็กน้อยเบื้องหน้าสบมองยังดอกปทุมแก้วมิวางตา​ เรือนผมสีดำขลับของเขาพริ้วไสวตามสายลม​

       "หลงหลง​ ท่านดูสิ​หากกล่าวว่าการผลิบานของพวกมันเป็นดั่งจุดเริ่มต้นแห่งการโรยราเจ้าคิดเห็นเป็นประการใด"

       " กล่าวได้ไม่เลว​ หากการผลิบานเป็นดั่งจุดเริ่มต้นแห่งการโรยรา​ เจ้าก็สามารถจดจำช่วงเวลาแห่งการผลิบานนี้ได้มิใช่รึ​ เช่นนั้นแล้วมันก็จะบานอยู่ในใจเจ้านิจนิรันดร์​ " พร้อมหยิบปิ่นเล่มงามยื่นไปยังคู่สนทนา​ " ข้าให้​ "

       " ปิ่นดอกปทุมแก้ว? ท​่​าน... ทำเองฤๅ "

       " ห้ามให้ใคร"


       ' เฮ่ออ​เรื่องราวที่ผ่านมา​เจ้ายังจำได้หรือไม่​ เสี่ยวเชิง​ '​ บุรุษ​ร่างสูงเลื่อนนิ้วเรียวเสยผมสีเงินยาวที่ปรกหน้าขึ้น​ ไอน้ำจากอ่างแก้วล่องลอยทั่วบริเวณ​กระทบผิวกายรวมตัวเป็นหยดน้ำสะท้อนแสงเทียนรอบข้างประกายระยิบระยับ

        เสียงสวบ​ สาบ​ ดังขึ้นจากพุ่มไม้ประดับในสวนที่อยู่ใกล้เคียง เสียงฝีเท้าเหล่านั้นค่อยดังชัดขึ้นเรื่อยๆ

        " เร็ว​ " เสียงหนึ่งดังขึ้น​จากพุ่มไม้

     

         เสียงฝีเท้าค่อยๆดังใกล้เข้ามา​เรื่อยๆ​ บุรุษผู้สวมอาภรณ์​บางสีขาวในอ่างกว้าง​ เลื่อนมือจับกระบี่ข้างกายมั่น


         'มาแล้วรึ​ พวกเจ้าช่างรนหาที่ตายดีจริง'​ 


         ขณะบุรุษร่างสูงกำลังลุกขึ้นจากอ่างพร้อมจับกระบี่ในมือมั่น​ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น​ ทำให้เขาชะงัก​ไปในทันใด

     

         "พวกเจ้าลากข้ามาทำไมเนี่ย" เสียงดรุณี​จากพุ่มไม้เอ่ย


         "เจ้าก็ดูนั่นสิ​ ตรงนั้น" เสียงสตรีอีกคนตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


          'เป็นพวกนางงั้นรึ​ บุรุษ​รูปงามเยี่ยงข้าช่างน่าเวทนาเสียจริง​ ถูกจับจ้องอยู่เป็นนิจ'​พร้อมวางกระบี่ลงข้างกายแล้วแช่น้ำในอ่างต่ออย่างสบายใจ


         "อ่างแก้วงั้นรึ? อ่างช่างกว้างและเงางามยิ่งนัก"


          "เจ้าบ้ารึเปล่าเนี่ย​ ใครจะลากเจ้ามาดูอ่างแก้วยามนี้กัน"


         " ลวดลาย​ที่ขอบอ่างช่างปราณีตยิ่ง​ ยามไอน้ำเกาะตามผิวสะท้อนแสงเทียนช่างงดงามหาใดเปรียบ"

     

        '​นางเป็นใครกัน​ บังอาจมองว่าอ่างแก้วงามกว่าข้างั้นรึ​ บังอาจ​ ช่างบังอาจยิ่งนัก!'​


     

        " นี่ๆๆ​ เจ้าดูนั่นสิๆทั้งกล้ามเนื้อ​ เรือนผมสีเงิน​ ท่าทางสุขุมนั่น​ เจ้าเห็นหรือไม่"

    บุรุษ​ในอ่างขยับตัวเผยให้เห็นเนื้อผ้าที่แนบผิวยิ่งขึ้น


        " อืมมม งดงาม" นางเอ่ย

        'เห้ออความงามของข้า​ ช่างล่มเมืองเสียจริง'​


        " อ่างแก้วใต้ผิวกายเขานั้นช่างงดงาม​ งดงามเป็นเลิศเสียจริง" นางเอ่ยต่อ


        '​ เจ้า! ' ทันใดนั้น

     

        " นี่ก็ล่วงเข้ายามซิ่วแล้วข้ากลับหละ​ "เสียงดรุณี​ผู้เดิมเอ่ย


       " เจ้ามิดูต่อหน่อยรึ"

       " ไปเถอะ"


       'เรือนกายบุรุษ​โสภณ​เพียงนี้เลยรึ​ เห็นทีข้าจักต้องไปศึกษาเสียแล้ว' นางพลางนึกแล้วเร่งเดินจาก

     

       " รอข้าด้วยยย​ ฟางหัว​ "


     

       'ฟางหัว?​ ฟาง​ หัว​ รึ รูปเจ้าจักงามเยี่ยงนามหรือไม่​ ข้าใคร่รู้​นัก' เขาพลางนึกพร้อมหันหลังสบมองยังร่างสตรีที่กำลังวิ่งห่างออกไป

     

        " องค์ชาย​" เสียงแม่ทัพเหม่ยที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยพร้อมคารวะ


        " ว่ามา" บุรุษในอ่างแก้วเอ่ย


        " หน่วยใต้รายงานมาว่า​ ค้นหาจนทั่วแล้วมิพบ​พะยะค่ะ"

     

       "หน่วยอื่นเล่า?"

       "ก็มิพบพะยะค่ะ"

     

       "มิพบอีกแล้วรึ!​ ประกาศออกไปหากใครพบข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม"

     

       " พะยะค่ะ"

     

       ' เสี่ยวเชิงเจ้าอยู่แห่งใดกันแน่​ เหตุใดเจ้าจึงตระบัดสัตย์​เยี่ยงนี้'​


     

                    ~~~~~~~~~~~~~


     

         เช้าวันรุ่งขึ้นแสงทองสาดส่องกระทบสตรีร่างบางที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา​ แสงสุริยา​ในยานนี้้นั้นสร้างความลำคา​ญ​ไม่น้อย​

     

         "ฟางหัววว​ เจ้าตื่นได้แล้ว"


        "เจ้าจักรีบร้อนไปใย" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงงัวเงียพร้อมดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าเพื่อบังแสงอาทิตย์


       "เจ้าลืมไปแล้วฤๅ วันนี้เจ้าต้องไปเรียนนะ"

        "งั้นฤๅ"

     

        "ข้าได้ยินว่าวันนี้มีอาจารย์​คนใหม่มาสอนด้วยหละ"


        " เจ้าไปก่อนเถอะ​ เดี๋ยวข้าตามไป"นางเอ่ยด้วยความหงุดหงิด


        "เจ้าเอ่ยแล้วนะห้ามคืนคำ​ งั้นข้าไปก่อนหละ" แล้วนางก็เดินจากไปอย่างร่าเริง


     

        'เฮ้ออ​ ห้องข้าเงียบเสียที​ ตอนนี้ยังเช้านักเหลือเวลาอีกกกครึ่งชั่วยาม​ ยังพอมีเวลา'​ คิดได้ดังนั้นนางก็นอนหลับต่อดังเดิม


        อีกหนึ่งชั่วยามถัดมา​ เสียงฝีเท้าเเละลมหายใจเหนื่อยหอบ​เคลื่อนตรงเข้ามายังสำนัก

     

         "ฟางหัวเหตุใดเจ้ามาช้าเพียงนี้! "

         "อาจารย์​มาหรือยัง?"

         "หากข้ายังไม่มาเจ้าจักทำเยี่ยงไรฤๅ" เสียงบุรุษเอ่ยขึ้น​


         ใบหน้าอันซีดเผือกเริ่มฉายเด่นขึ้นบนใบหน้านางพร้อมดวงตาที่แฝงด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด


     

         'เรือนผมสีเงินนี่! รูปร่างเยี่ยงนี้! มิผิดแน่​ บุรุษ​ผู้นั้น​ ข้าช่างซวยซ้ำซวยซ้อนดีจริงๆ'​


     

                        ~~~~~~~~~~~


                           อธิบายเพิ่มเติม


         ยามซิ่ว = เวลา​ 19.00 น.- 20.59 น.


        1ชั่วยาม​ = 2 ชั่วโมง


        ฟางหัว​ หมายถึง​ กลิ่นหอมอันงดงามค่ะ

    ( ชื่อเติมคือ​ หลินฟางหัว)​


        หลงหลง​ = จินหนานหลง​ (เป็นการเรียกอย่างสนิทสนม)​


        เสี่ยวเชิง​ = ผิงเชิง​ (เป็นการเรียกอย่างเอ็นดู)​

     

         อ่างแก้วในที่นี้คืออ่างขนาดใหญ่​ไว้สำหรับแช่ตัวเพื่อฟื้นฟู​พลังปราณ​ ฝังอยู่ใต้ดินบางส่วน​ รอบข้างอ่างถูกตกแต่งสวนพฤกษา​เพื่อความงดงาม​ ยามกลางวันจะมีหลังคาที่ประดับด้วยสิ่งต่างๆอันงดงาม​ เพื่อบังแดดเละตกแต่ง​ แต่เมื่อถึงยามราตรีหลังคาจะแปรเป็นกระจกใสเพื่อให้เห็นดวงดาวบนนภา

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×