ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] Strawberry Lee Donghae [EunHae, WonKyu]

    ลำดับตอนที่ #6 : chapter 5 การวาดภาพคือสิ่งเดียวที่ทงเฮไม่ต้องโกหก

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 54


     

    Chapter 5

     

                หลังจากที่ทำความสะอาดมาตั้งแต่เช้า คยูฮยอนก็หลบมานั่งพักเหนื่อยอยู่ในครัวเพียงลำพัง เขานึกถึงกลิ่นเหม็นหึ่งของเหล้าที่โชยออกมาจากสาบเสื้อของซีวอนเมื่อคืนก่อน แม้ว่าความรู้สึกในหัวใจมันจะเจ็บปวดสักแค่ไหน หากแต่ริมฝีปากเรียวสวยกลับคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข

     

                คยูฮยอนเต็มใจที่จะอยู่ในฐานะนี้ ขอเพียงแค่ซีวอนยังต้องการร่างกายของเขา

     

                เสียงรถยนต์ที่กำลังจอดเทียบอยู่หน้าบ้านทำให้ใบหน้าหวานชะเง้อคอมองลอดหน้าต่างออกไป ขาเรียวผุดลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นบุคคลที่เดินลงมาจากรถ

     

                “คุณซีวอน” คยูฮยอนกำลังจะวิ่งออกไปหาคุณผู้ชายของบ้าน ทว่าใบหน้าสวยกลับต้องสลดลงเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนก้าวตามลงมาด้วย

     

                จะออกไปตอนนี้ดีไหมนะ?

     

                คำถามหนึ่งเกิดขึ้นมาในหัวใจ คยูฮยอนนั่งลงตามเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นภาพเหล่านั้น ทว่าเสียงของซีวอนกลับดังขึ้น

     

                “คยูฮยอน โจ คยูฮยอน!” ร่างโปร่งหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะวิ่งตรงไปยังห้องรับแขกเพื่อรับใช้คุณซีวอนของเขาในทันที

     

     

     

                “ซีวอน ปล่อยพี่นะ พี่ต้องกลับไปทำงาน” ภาพที่คยูฮยอนเห็นเป็นภาพแรกคือฮีชอลกำลังพยายามแกะข้อมือของตัวเองออกจากซีวอน

     

                “คุณซีวอนมีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”

     

                “ผมไม่ให้พี่ฮีชอลไปทำงานแบบนั้นอีกแล้ว” ซีวอนกระชากแขนคนรักเข้าหาตัว ก่อนจะตวาดเสียงดังจนคยูฮยอนสะดุ้ง ร่างสูงไม่ได้ใส่ใจคยูฮยอนที่ยืนมองอยู่สักนิด ทำเหมือนคยูฮยอนไร้ซึ่งตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

     

                “มันเป็นงานของพี่ นายไม่เข้าใจหรือไง”

     

                “งานที่ต้องเอาตัวเข้าแลกน่ะเหรอ?”

     

                เพียะ!

     

                คยูฮยอนยกมือขึ้นปิดปากแทบไม่ทันเมื่อฝ่ามือเรียวของฮีชอลฟาดเข้าเต็มใบหน้าคม ทุกอย่างดูเงียบเชียบเหมือนกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ ซีวอนสงบลงไปเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกับคนรักช้าๆ

     

                “ถ้าพี่ฮีชอลชอบงานแบบนั้น ผมคงทนคบกับพี่ต่อไปไม่ได้”

     

                “ซีวอน” ฮีชอลเรียกชื่อคนรักด้วยความตกใจ

     

                “กลับบ้านดีๆ นะครับพี่ฮีชอล ต่อไปเราอย่ามาเจอกันอีกเลย” ซีวอนทำท่าจะเดินขึ้นไปบนห้องของตัวเอง ในขณะที่ฮีชอลพยายามจะดึงชายเสื้อของร่างสูงเอาไว้ คยูฮยอนเองก็ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่น้อย ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

     

                ท่าทางของซีวอนทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาไม่ได้แคร์ฮีชอลเลยสักนิด

     

                “หยุดเดี๋ยวนี้นะชเว ซีวอน” ฮีชอลตะคอกคนรักเสียงดังลั่น ขายาวหยุดกึกอยู่ที่ราวบันได ก่อนจะถูกฮีชอลกระชากลงมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ฮีชอลเขย่งตัวขึ้นไปจูบที่ริมฝีปากของซีวอนเบาๆ ทำให้ทุกอย่างกลับกลายมาเป็นปกติราวกับเวทมนตร์

     

                “ผมบอกให้พี่กลับบ้านไม่ใช่เหรอ” ซีวอนลูบไล้ใบหน้าสวยของคนรักพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

     

                “ก็นายโกรธที่ไอ้บ้านั่นมันจูบพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ก็ยอมให้นายทำโทษแล้วไง” ฮีชอลเอ่ยบอกอย่างเขินอาย ก่อนจะหลบสายตาเจ้าชู้ของซีวอนจนกระทั่งหันมาสบตากับคยูฮยอนเข้า คยูฮยอนจึงรีบเบนหน้าหนีไปทางอื่น

     

                เขาไม่ควรจะมองซีวอนและฮีชอลแสดงความรักกันตั้งแต่แรก

     

                “พี่ขึ้นไปรอผมบนห้องก่อน เดี๋ยวผมจะทำโทษพี่ให้สมใจเลย” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนจะปล่อยให้ฮีชอลขึ้นไปรอบนห้อง แล้วเขาจึงเดินมาหาคยูฮยอนที่ยืนน้ำตอคลออยู่เพียงคนเดียว

     

                “คุณซีวอนมีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” คยูฮยอนถามคำถามเดิมๆ ที่มันแทบจะเป็นชื่อเล่นของเขาได้อยู่แล้ว

     

                “เจ็บใช่ไหมที่เห็นฉันทำแบบนี้” มือหนาบีบคางมนแน่นแล้วเอ่ยถาม คยูฮยอนพยักหน้ารัวทำให้น้ำตาอุ่นไหลออกเป็นทางยาว ร่างโปร่งกำลังสงสัยว่าซีวอนให้เขามายืนดูภาพที่มีความสุขนี้ทำไมกัน หากแต่ซีวอนก็ช่วยเฉลยคำถามนั้นของเขาในทันที “ฉันก็เจ็บเวลาที่เห็นฮีชอลไปจูบกับผู้ชายคนอื่น เพราะฉะนั้น...นายอย่าทำแบบนี้กับฉันนะ”

     

                คยูฮยอนพยักหน้ารับอย่างจำยอม แวบหนึ่งเขามองเห็นความเศร้าที่ออกมาจากดวงตาของร่างสูง ซีวอนหอมแก้มคยูฮยอนเบาๆ ก่อนจะขยี้ผมนุ่มจนยุ่งเหยิงแล้ววิ่งจากไป ทิ้งให้คยูฮยอนมองตามด้วยความปวดร้าวเช่นทุกครั้ง

     

     

     

                ทงเฮรีบออกมาจากมหาวิทยาลัยทันทีที่วิชาเรียนใบภาคเช้าจบลง โชคดีที่วันนี้ไม่มีเรียนในตอนบ่ายอีกแล้ว เขาจึงสามารถออกมาจากมหาวิทยาลัยได้อย่างสบายใจ ร่างบางหยุดยืนอยู่มุมหนึ่งที่ป้ายรถประจำทาง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์เครื่องถูกๆ ขึ้นมาโทรหาคนเป็นแม่

     

                โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา

     

                “แม่ครับ วันนี้ผมจะกลับบ้านช้าหน่อยนะครับ” คนที่กำลังแอบมองได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ไม่ใช่งานพิเศษหรอกครับแม่ ผมจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดน่ะครับ”

     

                ทงเฮพูดคุยกับคนเป็นแม่อยู่พักใหญ่ ก่อนจะกดวางสายลงไปด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล ริมฝีปากสีเชอร์รี่เอ่ยคำว่าขอโทษเบาๆ กับโทรศัพท์ ก่อนจะเดินออกมายืนรอรถประจำทางแทนที่จะเดินไปยังห้องสมุดอย่างที่เจ้าตัวว่า

     

                “ทงเฮ!” เสียงเรียกชื่อทำให้ทงเฮสะดุ้งเฮือก ก่อนจะถอนหายใจเมื่อรู้ว่าคนที่เรียกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน

     

                “มีอะไร?” ทงเฮหันมาถามอี ฮยอกแจที่แอบตามเขามาตั้งแต่ห้องเรียนแล้ว รถประจำทางจอดตรงป้ายพอดี ขาเรียวกำลังจะก้าวขึ้นไปเพื่อเลี่ยงการสนทนา หากแต่ฮยอกแจกลับดึงแขนแล้วเหนี่ยวรั้งเอาไว้จนทงเฮพลาดขึ้นไปบนรถประจำทางคันนั้น “นายต้องการอะไรกันแน่ฮยอกแจ”

     

                “นายจะไปห้องสมุดไม่ใช่เหรอ ห้องสมุดอยู่ทางโน้น” ฮยอกแจชี้นิ้วเข้าไปในมหาวิทยาลัยประกอบคำพูด ทว่าทงเฮกลับดึงแขนของตัวเองออกแล้วเชิดหน้าขึ้น

     

                “ฉันไม่ได้บอกว่าจะไปห้องสมุดของมหาลัย”

     

                “แต่นายก็ไม่ได้จะไปห้องสมุดที่อื่นเหมือนกัน” ฮยอกแจพูดดักทางคนตัวเล็ก

     

                “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยฮยอกแจ แล้วก็ปล่อยฉันซะ ฉันต้องรีบไป” ทงเฮเดินหนีออกไปทางอื่น ทว่าฮยอกแจกลับรวบร่างบางมากอดไว้ท่ามกลางสายตาของคนอีกมากมายที่กำลังยืนรอรถประจำทาง ใบหน้าหวานขึ้นสีเรื่อจนต้องก้มหน้างุดเพื่อหลบสายตาคมกริบที่ฮยอกแจกำลังจดจ้องเขา ก่อนจะทุบหน้าอกแกร่งเบาๆ เป็นเชิงประท้วง ฮยอกแจจึงยอมปล่อยวงแขนแต่โดยดี

     

                “ฉันรับได้นะถ้านายจะโกหกทุกคนที่นี่ เพราะคนพวกนั้นก็ใส่หน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ฉันรับไม่ได้จริงๆ ที่นายโกหกป้าทงจา”

     

                “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าทำเป็นรู้ดี” ทงเฮมองอีกฝ่ายตาขวาง เขาทำเหมือนตัวเองกับฮยอกแจเกลียดกันเข้ากระดูกดำ แต่ในใจของทงเฮนั้นกลับเจียมตัวเองดีว่าเขาและฮยอกแจมีฐานะต่างกันอย่างไร

     

                ในขณะที่ฮยอกแจเป็นลูกชายเจ้าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

     

                ทงเฮกลับเป็นคนที่มาขอเรียนฟรีอย่างหน้าด้านๆ เท่านั้น

     

                “โทรไปบอกแม่นายซะว่าฉันกำลังจะไปส่งนายที่บ้าน” ฮยอกแจพยายามจะแย่งโทรศัพท์มาจากร่างบางเหมือนกับวันก่อน ทว่าวันนี้ทงเฮกลับไหวตัวและหลบได้ทัน

     

                “อย่ามายุ่งกับฉัน”

     

                “ทงเฮ” ฮยอกแจเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยท่าทางเหนื่อยใจ แต่ทงเฮกลับเดินถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลัก แล้วถามขึ้น

     

                “นายก็กำลังโกหกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ทงเฮกระตุกยิ้มอย่างเหนือกว่าในขณะที่ฮยอกแจย่นคิ้วด้วยความสงสัย

     

                “ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น”

     

                “งั้นเหรอ” ทงเฮแค่นเสียงถาม “แล้วนายตามฉันมาทำไมล่ะ นายชอบฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอฮยอกแจ คลั่งไคล้ฉันจนต้องมาวุ่นวายถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

     

                คำพูดของทงเฮนั้นถูกต้องทุกอย่าง ทว่าฮยอกแจกลับนิ่งอึ้งเพราะไม่กล้าสารภาพความรู้สึกออกไป ฮยอกแจยืนนิ่งและปล่อยให้ทงเฮเดินจากไปเท่านั้น คิบอมขับรถผ่านมาพอดีและเห็นทงเฮกำลังยืนอยู่คนเดียว เขาจึงจอดเทียบฟุตบาทและเลื่อนกระจกลงเพื่อเอ่ยถามขึ้น

     

                “ทงเฮจะไปไหนเหรอ ให้ฉันไปส่งไหม”

     

                ทงเฮยิ้มกว้างให้กับคนบนรถ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านในทันที ในขณะที่ฮยอกแจเดินตามทงเฮมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย พูดชักแม่น้ำเป็นสิบๆ สายเพียงแค่ต้องการบอกว่าจะไปที่ไหน ให้ไปส่งหรือเปล่า

     

                หากแต่ทงเฮกลับไม่รับรู้ถึงความปรารถนาดีเหล่านั้นเลย

     

     

     

                ในรถยนต์คันหรูของคิบอม

     

                “นายจะไปสวนสาธารณะนัมซานทำไมเหรอ” คิบอมเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เขาขับรถออกห่างจากมหาวิทยาลัยได้สักพัก

     

                “ไปหาเพื่อนน่ะ” ทงเฮตอบเพียงแค่สิ่งที่คิบอมถามเท่านั้น ก่อนจะเสมองออกไปด้านนอกเพราะไม่อยากจะถูกถามต่ออีก

     

                “ฉันไม่เคยไปสถานที่แบบนั้นมาก่อนเลย”

     

                “หืม?” คำพูดของคิบอมทำให้ทงเฮหันไปเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

     

                “ครอบครัวของฉันบอกว่าสวนสาธารณะเป็นสถานที่ของชนชั้นกลาง เราเลยสร้างสวนไว้ในบ้านของตัวเอง มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เหมือนกับสวนสาธารณะทั่วไป”

     

                “นายคงรวยมากเลยสินะ” ทงเฮเอ่ยบอกเสียงเศร้าจนคิบอมจับความรู้สึกของน้ำเสียงนั้นได้

     

                “นายพูดเหมือนว่าตัวเองไม่รวยอย่างนั้นแหละ”

     

                “แล้วถ้าฉันไม่รวยล่ะ” ทงเฮถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ทำเอาคิบอมที่บังคับพวงมาลัยอยู่ถึงกับหันมามองหน้าหวานจนรถแทบเสียหลัก

     

                “ฉันไม่รู้หรอกว่าครอบครัวของนายรวยหรือเปล่า แต่ครอบครัวของฑูตเป็นครอบครัวที่มีเกียรติและมีหน้าตาในสังคม ฉันพูดถูกไหม” คิบอมหันมาถามทว่าดวงตาของทงเฮกำลังทำให้เขารู้สึกกลัว

     

                “นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อฉันเป็นใคร เป็นทูตประจำประเทศไหน นายจะเชื่อทุกอย่างที่ฉันพูดได้เหรอ”

     

                “ฉัน...” คิบอมถึงกับพูดไม่ออก เขาจอดรถที่ลานจอดรถใกล้กับสวนสาธารณะ ก่อนจะขอตัวกลับเพราะคิดว่าทงเฮจะไปพบเพื่อนจริงๆ หากแต่ทงเฮกลับเอ่ยชวนขึ้น

     

                “อยากรู้ไหมล่ะว่าฉันมาที่นี่ทำไม”

     

                ทงเฮเดินนำออกไปกลางสวนสาธารณะนัมซาน ก่อนจะแวะไปขออุปกรณ์บางอย่างจากคนรู้จักที่อยู่ในสวน ซึ่งคิบอมก็พอจะมองออกว่ามันคือขาตั้งกระดานวาดภาพ คิบอมกำลังสับสนกับการกระทำของคนตรงหน้า แต่เขาก็ยังเดินตามทงเฮและเฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ

     

                ทงเฮเขียนตัวอักษรบางอย่างลงบนกระดาษแล้วตั้งมันไว้ด้านหน้าของตัวเอง เมื่อคิบอมลองอ่านดูก็ถึงกับต้องเบิกตาโพลงทันที

     

                รับจ้างวาดภาพเหมือน

     

                “นายกำลังเล่นตลกอะไรเนี่ยอี ทงเฮ” ร่างสูงเอ่ยถาม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ คนตัวเล็กที่หยิบกระดาษออกมาวางไว้บนกระดาน

     

                “ทำงานพิเศษไงล่ะ”

     

                “ฉันไม่เข้าใจ งานพิเศษอะไร ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย” คิบอมเริ่มส่งเสียงดังขึ้นในขณะที่ทงเฮจดดินสอลงบนกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ ร่างบางวาดภาพคนที่มีหน้าตาบูดเบี้ยวและมีน้ำตาไหลออกมาเต็มพื้น เป็นภาพที่สวยงามแต่ก็โศกเศร้าในคราวเดียวกันจนคิบอมต้องส่ายหน้าช้าๆ “นายไม่ใช่คนรวยเหรอทงเฮ นายเป็นแบบที่ซองมินพูดจริงๆ เหรอ”

     

                “ใช่ ฉันเป็นคนจน ฉันถึงต้องมาทำงานพิเศษแบบนี้ไง น่าสมเพชใช่ไหม? ชั้นต่ำใช่ไหม?” ทงเฮตอบเสียงเรียบ คิบอมมองใบหน้าของทงเฮ ใบหน้าที่เจ็บปวดเหมือนกับในรูปภาพนั้นทุกประการ ร่างสูงยืนขึ้นแล้วผละออกมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งเพียงทงเฮที่นั่งร้องไห้กลางสวนสาธารณะอย่างไม่อายผู้คน

     

                เพราะการวาดภาพคือสิ่งเดียวที่ทงเฮไม่ต้องโกหก

     

                เพราะการวาดภาพคือการแสดงออกความรู้สึกที่แท้จริง ไม่อาจเสแสร้งได้แม้อยากจะทำแค่ไหนก็ตาม

     

     

     

     

    Talk with Lee Seen

                กลับมาแล้วค่ะ อัพแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวพอ

    เพราะว่าอีกเรื่องอัพไปก็ไม่มีคนอ่าน

    ขอทำใจอีกสักเดือน ถ้าคอมเม้นท์ยังไม่ขึ้น ก็คงเลิกแต่งแล้ว

    ยังไงช่วยคอมเม้นท์ให้กับฟิกเรื่องนี้ด้วยนะคะ

    ซีนจะได้มีกำลังใจในการอัพต่อไป ขอบคุณมากๆค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×