ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #58 : Chapter 55 ฮยอกแจ [The END]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.09K
      3
      21 มี.ค. 55

     

    Chapter 55

    ฮยอกแจ

     

                กลางดึกคืนหนึ่ง เป็นคืนที่พระจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากในคืนที่แสงจันทร์มืดมิดจะทำให้ใครบางคนได้เห็นดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าบ้าง แต่ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน เมฆกำลังรวมตัวกันเพื่อก่อให้เกิดสายฝนโหมกระหน่ำ

     

                เปรี้ยง!

     

                เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวจนร่างสูงโปร่งผวาตื่นขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ เพราะเขาลืมปิดหน้าต่างนี่เอง ซีวอนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อัลบั้มรูปเก่าๆ ที่เขาและคยูฮยอนเคยมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันเลื่อนจากอกแกร่งตกลงมาบนตัก

     

                เขาดูอัลบั้มรูปแล้วก็เผลอหลับไป...

     

                ซีวอนวางอัลบั้มรูปไว้ข้างๆ หัวเตียง เขาลุกเดินออกไปปิดหน้าต่าง เสียงฟ้าร้องค่อยเบาลงไปบ้าง และเสียงสายฝนก็ค่อยๆ หายไปเช่นเดียวกัน แต่ด้านนอกนั้นยังมีฝนตกลงมาไม่ขาดสาย แต่หางตาของซีวอนก็เหลือบเห็นใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาในบ้าน

     

                “ใครกัน?”

     

                ซีวอนถามตัวเองเบาๆ เขารีบรุดออกไปยังส่วนต้อนรับ ประตูหน้าบ้านเปิดออกพร้อมกับนำพาเสียงสายฝนเข้ามาด้วย ท่ามกลางความตกตะลึง ชายผู้นั้นยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ เขาปิดประตูอย่างเบามือ เนื้อตัวเปียกโชกเพราะตากฝนเมื่อครู่นี้ และเมื่อหันมาเผชิญหน้ากัน ชายหนุ่มคนนั้นก็สะดุ้งสุดตัว

     

                “ค...คยูฮยอน...” น้ำเสียงของซีวอนสั่นไหวและพูดจาอย่างตะกุกตะกัก มันจะเป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกันที่โจ คยูฮยอนจะยืนอยู่ตรงหน้าของเขา

     

                “หนาวจัง” เสียงของคยูฮยอนก็สั่นไม่แพ้กัน ร่างโปร่งก้มหน้างุดราวกับเขินอายต่อสายตาที่คมกริบของซีวอน ทว่าซีวอนกลับสาวเท้าเข้าไปหาร่างนั้นแล้วโอบกอดอีกฝ่ายไว้แนบแน่น

     

                “กลับมาแล้วเหรอคยูฮยอน นายกลับมาแล้วจริงๆ” ซีวอนพูดเหมือนกำลังพร่ำเพ้อ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย นอกเหนือจากคำถามนั้นเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว ทุกๆ คำพูด ทุกๆ ความรู้สึกมันจุกแน่นอยู่ในหัวใจ คนในอ้อมกอดของซีวอนก็ตัวสั่นไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้องไห้หรือว่ากำลังหนาวสั่นกันแน่

     

                “ฉัน...ฮึก...ฉัน...” คยูฮยอนค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของซีวอน ทว่ามือบางกลับเอาแต่สัมผัสใบหน้าของซีวอนด้วยความคิดถึงอย่างลึกซึ้งที่สุด ดวงตาของคยูฮยอนสั่นไหวเหมือนหยดน้ำที่กำลังต้องแสงของดวงอาทิตย์

     

    ความคิดถึงมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง มันกัดกินหัวใจของเราทีละนิดๆ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็คิดถึงจนแทบจะเป็นบ้าเสียให้ได้ คิดถึงจนหัวใจแทบจะแหลกสลาย

     

                “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

     

                “ขอโทษ” คยูฮยอนเอ่ยคำขอโทษสั้นๆ แล้วก้มหน้างุด

     

                “ไม่ต้องขอโทษด้วยเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย ฉันรักนาย โจ คยูฮยอนได้ยินฉันไหมว่าฉันรักนาย...รักมาก”

     

                คยูฮยอนได้แต่พยักหน้าอยู่อย่างนั้น เขาพยักหน้าระรัวอย่างมีความสุข น้ำตายังคงเอ่อไหลอาบเต็มสองข้างแก้ม มือเรียวเฝ้าลูบไล้ใบหน้าคมคายของซีวอนด้วยความโหยหา คยูฮยอนทำอะไรไม่ได้หรอก เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากการร้องไห้

     

                ในคืนนั้นไม่ได้มีบทสนทนาใดๆ มากมายนัก ซีวอนโอบไหล่คยูฮยอนเข้าไปในห้องนอน หยิบเสื้อของคยูฮยอนที่ยังพับเก็บไว้ในตู้เป็นอย่างดีออกมาให้ เสื้อตัวโปรดของคยูฮยอนมีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่คยูฮยอนชอบ ซีวอนเพิ่งซักเสื้อผ้าทั้งหมดเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง ราวกับเขารู้ว่าจะมีใครบางคนที่เคยจากไปกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

     

                ซีวอนรอให้คยูฮยอนเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยที่ไม่เบื่อเลย เขามองตามคยูฮยอนเท่านั้น นึกไปถึงวันแรกที่ได้พบกัน ซีวอนก็มองคยูฮยอนอยู่อย่างนี้ มองแบบไม่ให้คลาดสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว

     

                เมื่อคยูฮยอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมาหาซีวอนพร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง แต่ซีวอนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร เมื่อครู่เขากอดคยูฮยอนที่ตัวเปียกปอนจนเสื้อตัวเองพลอยชื้นไปด้วย และตอนนี้ซีวอนก็อยากจะกอดคยูฮยอนไว้อีกครั้ง

     

                เขาดึงมือคยูฮยอนมานั่งบนตักแล้วโอบกอดไว้แน่น ซีวอนหลับตาลงแล้วโยกตัวไปมาช้าๆ อย่างคนที่มีความสุขที่สุด แต่คนที่ถูกกอดเอาแต่ร้องไห้

     

                “ร้องไห้เหรอ? ร้องไห้ทำไม?” ซีวอนถามเสียงทุ้มและนุ่มลึกมากเหลือเกิน คยูฮยอนได้แต่ส่ายหน้า คยูฮยอนจ้องหน้าซีวอนได้เพียงเสี้ยววินาทีก็เลื่อนหน้าเข้ามาจูบซีวอนก่อน แต่สุดท้ายก็ถูกซีวอนจับตัววางลงบนเตียงอย่างเบามือ และซีวอนกลายเป็นคนที่มอบจูบอันแสนหวานให้คยูฮยอนเสียเอง

     

                ซีวอนนอนทาบทับอยู่บนร่างของคยูฮยอนอย่างแนบแน่น ปลายเท้าของทั้งสองสัมผัสและเกี่ยวรัดราวกับหยอกล้อกัน เรียวขาแนบชิดติดกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นขาของใคร แม้แต่หน้าท้องก็ไม่เหลือที่ว่างให้สายลมใดๆ พัดผ่านไปได้ และที่สุดก็คือริมฝีปากของพวกเขายังคงคลอเคลียด้วยความนุ่มนวลและเร่าร้อนสลับกันไป

     

                เสื้อผ้าของทั้งสองหลุดลุ่ยไปตามอารมณ์ปรารถนาที่พุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ซีวอนจูบสัมผัสทุกๆ ส่วนของคยูฮยอน แม้กระทั่งปลายเท้าที่ถูกมองว่าเป็นอวัยวะที่สกปรกที่สุด เขาก็จูบมันแทนคำพูดทุกๆ คำ

     

                ซีวอนสอดประสานร่างกายของเขาให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับคยูฮยอน เขาไม่ได้เร่งรีบมากนักเพราะกลัวว่าเมื่อทุกอย่างจบลง นี่อาจจะเป็นเพียงแค่ความฝัน จนถึงกระทั่งตอนนี้ แม้ว่าจะได้สัมผัสร่างกายของคยูฮยอนอยู่อย่างนี้ แต่ซีวอนก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าความจริงกำลังเกิดขึ้นกับเขาแล้ว

     

                หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ๆ เสียงครวญครางที่ดังก้องก็ค่อยๆ เงียบสงบลง เหลือเพียงแต่เสียงหอบครางของคนสองคนเท่านั้น ซีวอนตั้งใจว่าคืนนี้เขาจะไม่หลับ เขาจะไม่เผลอหลับเด็ดขาด ไม่มีทาง

     

     

                เช้าตรู่ของวันหนึ่ง เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ทอแสงสดใส เสียงนกร้องจิ๊บๆ ดังเข้ามาในห้องนอน ผ้าม่านฟ้าพลิ้วไหวตามสายลมของฤดูใบไม้ร่วง ซีวอนทอดถอนหายใจ ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว ฤดูร้อนช่างผันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

     

                ร่างสูงโปร่งลุกออกจากเตียงไปยืนเกาะขอบหน้าต่าง หยดน้ำแพรวพราวระยิบระยับไหลตามแนวขอบหน้าต่างทำให้ซีวอนหวนนึกถึงคืนที่สายฝนโหมกระหน่ำ

     

                มันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว หรือเมื่อคืนนี้กันแน่นะ

     

                หลังจากยืนทบทวนเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ซีวอนหันขวับไปทางเตียงนอนหลังเดิม เขาหวังเพียงว่าคยูฮยอนอาจจะนอนอยู่ที่นี่ แต่ก็ว่างเปล่า มีเพียงผ้าห่มและเสื้อนอนของเขาที่ถอดทิ้งไว้เมื่อคืนนี้ ทว่าข้างๆ หัวเตียงกลับมีอัลบั้มรูปของเขากับคยูฮยอนวางไว้อยู่

     

                ซีวอนรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นถี่รัว ไม่ผิดแน่ เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมาก และเขาก็เดินไปปิดหน้าต่าง แต่แปลกเหลือเกิน ทำไมตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา หน้าต่างจึงยังเปิดอยู่ และถ้าหากฝนตกจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฝนไม่สาดเข้ามาในห้องเลยทั้งๆ ที่หน้าต่างก็เปิดไว้

     

                เมื่อคืนฝนตกแน่ๆ แต่คยูฮยอน...โจ คยูฮยอนมาหาเขาจริงหรือเปล่า ซีวอนไม่อยากจะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ความรู้สึกปวดร้าวโดยที่ไม่มีคยูฮยอนช่างทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน

     

                มือแกร่งเลื่อนไปโดนเสื้อที่ถอดทิ้งไว้ ซีวอนได้แต่เบิกตากว้าง เสื้อตัวนั้นชื้นและมีกลิ่นอับของฝน เขาส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่อยากเชื่อ คยูฮยอนที่มาหาเขาเมื่อคืนนี้อยู่ที่ไหนกัน และเมื่อคืนเป็นคยูฮยอนที่กลับมาหาเขาจริงๆ หรือเป็นเพียงวิญญาณกันแน่

     

                ซีวอนทำอะไรไม่ได้อีกเลย เขาได้แต่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ ในเช้าวันนั้น และบนหัวเตียงก็มีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่ซีวอนยังไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่มันมีใจความว่า...

     

                ...สิ่งที่สูญสลายไปแล้ว จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก

     

     

                วันแรกของฤดูใบไม้ร่วง จงอุนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่สิ เขาตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด หรืออาจจะพูดได้ว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเลยก็ยังได้ ถึงแม้อยากจะนอนมากแค่ไหนก็คงนอนไม่หลับ ในเมื่อเช้าวันนี้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตกำลังจะเดินทางมาเหยียบแผ่นดินเกาหลีอีกครั้ง

     

                “จงอุน จะออกไปไหนตั้งแต่เช้า?” จองซูผู้เป็นน้าชายเอ่ยถามขึ้นเมื่อกำลังเดินลงมาดื่มชาชั้นล่างแล้วเห็นหลานกำลังสวมรองเท้าเตรียมตัวออกไปข้างนอก

     

                “ไปสนามบินครับ”

     

                “ไปทำไม?” จองซูถามเหมือนรู้อยู่แล้ว มีหลายเรื่องที่จองซูรู้ก็ทำเป็นไม่รู้ เขามีนิสัยแบบนี้เสมอ เหมือนตอนเรื่องของฮยอกแจกับทงเฮก็เช่นกัน จองซูคิดมาตลอดมาทงเฮอาจจะไม่ใช่ลูกชายของฮยอกแจ แต่เมื่อฮยอกแจเชื่อแบบนั้น เขาก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ ออกมาเลย

     

                จงอุนสวมรองเท้าเสร็จพอดี เขายืนขึ้นจนเต็มความสูง จะว่าไปแล้วจงอุนก็ไม่ใช่ผู้ชายที่สูงสง่าเหมือนใครๆ แต่จองซูก็เห็นถึงเสน่ห์ในตัวของหลานชายของเขาเอง มีลูกค้าประจำหลายๆ คนที่มาทำผมร้านเขาเพราะอยากจะเห็นหน้าจงอุนเท่านั้น

     

                “ผมไปนะครับ” จงอุนไม่ตอบคำถาม แต่โค้งลาจองซูแทน

     

                “ไปรับหรือไปส่งล่ะ?” คำถามของจองซูทำให้คนเป็นหลานรู้สึกอึดอัดใจ แต่เมื่อจองซูยิ้ม จงอุนก็ยิ้มตามไปด้วย

     

                “ไปรับครับ”

     

                “อื้อ อย่ากลับดึกนักล่ะ” จองซูพูดจบก็ขยิบตาให้ จงอุนโค้งลาอีกครั้งและเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดถ้าไม่จำเป็น แต่จองซูรู้ดีว่าหลังจากจงอุนได้พบหน้าคนที่อยากพบมาตลอดแล้ว คงมีเรื่องให้พวกเขาพูดคุยกันอีกมากมายเลยทีเดียว

     

                จงอุนมาถึงสนามบินก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง และเมื่อเขานั่งรออยู่ในสนามบิน เขานึกถึงวันแรกที่เขามาส่งรยออุคที่นี่ วันที่รยออุคจากไปครั้งแรก วันที่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกโหวงเหวงตามไปด้วย

     

                จงอุนรู้สึกเหมือนกับว่ารยออุคเพิ่งไปอังกฤษเมื่อวันก่อนนี้เอง แม้ว่าที่ผ่านมาจะทรมานมากเพียงใด แต่ความรู้สึกที่ต้องจากกับรยออุคยังคงชัดเจนในใจของเขา

     

                และสองชั่วโมงที่จงอุนได้แต่นั่งรอให้รยออุคกลับมา มันเป็นช่วงที่เข็มนาฬิกาหมุนช้ามากมายเหลือเกิน

     

                เมื่อถึงที่รยออุคต้องลงมาจากเครื่อง จงอุนไม่ได้โดดเด่นกว่าใครเลย เขายืนแทรกอยู่ที่ทางออกของผู้โดยสารขาเข้า มีผู้คนมากมายมารอรับคนที่เดินทางเข้ามาในเกาหลี รยออุคถือกระเป๋าสีน้ำตาลใบเล็ก และลากกระเป๋าใบใหญ่อีกหนึ่งใบ จงอุนจะยกมือทักทาย หากแต่รยออุคโบกมือขึ้นมาก่อน ทว่าเลยไปทางอื่น

     

                จงอุนลืมคิดเรื่องนี้ไป นอกจากเขาแล้ว พ่อกับแม่ของรยออุคก็คงมารอรับลูกชายของตัวเองด้วย จงอุนได้แต่เดินคอตกออกมาจากสนามบิน เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบไปมองรยออุค หากแต่ความรู้สึกอุ่นๆ ก็สัมผัสเข้าที่ข้อมือของเขา

     

                “พี่จงอุนครับ”

     

    จงอุนหยุดกึก ก่อนจะยืนด้วยความนิ่งอึ้ง เขาไม่ได้หันไปมอง รยออุคต่างหากที่เดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมกับพูดคำหนึ่งคำ

     

    “ผมกลับมาแล้วนะครับ”

     

     

                “ป๊า”

     

    ทงเฮเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้อง ขณะที่ฮยอกแจนั่งอยู่ที่พื้น ด้านหน้าของเขามีกระเป๋าใบใหญ่อยู่หนึ่งใบ ในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ฮยอกแจชอบใส่เป็นประจำ และตอนนี้มือหนากำลังพับโอเวอร์โค้ทสีแดงสดที่ทงเฮซื้อให้เมื่อฤดูหนาวปีก่อน ฮยอกแจจะนำของชิ้นนี้ติดตัวไปด้วยไม่ว่าเขาจะอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้ก็ตาม

     

    ทงเฮเดินเข้ามาใกล้แล้วแตะมือฮยอกไว้ก่อนที่ฮยอกแจจะวางโอเวอร์โค้ทลงในกระเป๋าเดินทาง ฮยอกแจจึงหันไปเอ่ยถาม

     

    “ทำไมล่ะ?”

     

                “อย่าเอาเสื้อตัวนี้ไปเลยครับ เราไปหาซื้อใหม่เอาก็ได้”

     

                “แต่ทงเฮอุตส่าห์ซื้อให้ป๊า อะไรที่ทงเฮทำให้ป๊า ป๊าไม่อยากทิ้งมันไว้ที่นี่” ฮยอกแจจับเสื้อไว้แน่นด้วยความรัก ทงเฮไม่รู้จะพูดอะไร เขาไม่กล้าพูดออกไปว่าเสื้อตัวนี้มาจากเงินของใคร เพราะถ้าบอกออกไปแล้วอาจจะทำให้ฮยอกแจรู้สึกแย่มากกว่าที่จะรู้สึกดีก็ได้

     

                “ถ้าป๊าเอาเสื้อตัวนี้ไป ทงเฮก็จะเอาไปด้วย เราจะได้ใส่เสื้อเหมือนกัน...ดีไหมครับ?”

     

                “อื้อ” ฮยอกแจพยักหน้าแล้วยิ้มกว้าง มือหนาลูบผมทงเฮอย่างเบามือ ก่อนจะโน้มลงไปจูบหน้าผากของทงเฮอย่างเคยชิน แล้วก็นึกขึ้นได้ “จริงสิ เมื่อกี้ทงเฮเรียกป๊าทำไม? มีอะไรหรือเปล่า?”

     

                “เมื่อกี้...ลุงจองซูโทรมาครับ”

     

                “เขา...เขาว่ายังไงบ้าง?” ฮยอกแจรู้สึกเหมือนตัวเองพูดตะกุกตะกักขึ้นมาในทันที จองซูคงไม่อยากจะคุยกับเขาอีกแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะจองซูไม่สามารถให้อภัยแก่เขาได้เลยต้องไล่เขาออกไปนอกประเทศแบบนี้

     

                ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วในใจของฮยอกแจเข้าใจความหวังดีของจองซูเป็นอย่างดี จองซูไม่โทรมาหาเขาเลยก็เพราะจองซูผูกพันกับเขามากเกินไป ผูกพันมากเสียจนไม่กล้าพบ ไม่กล้าฟังเสียง เพราะจองซูกลัวว่าจะต้องเหนี่ยวรั้งให้น้องชายคนนี้ไม่ไปไหนนั่นเอง

     

                “ไม่ต้องกังวลหรอกครับป๊า ลุงจองซูแค่บอกให้พวกเขาเดินทางโดยปลอดภัย เขาบอกว่าจะไม่ไปส่งทงเฮกับป๊าที่สนามบิน ทงเฮ...ทงเฮคิดว่า...” จู่ๆ ทงเฮก็น้ำตาคลอ ฮยอกแจรีบดึงมือของทงเฮมากุมไว้หลวมๆ แล้วลูบที่หลังมือ ก่อนจะเอ่ยคำ

     

                “ลุงจองซูรักเรามาก เขาเลยไม่อยากไปส่งเรา”

     

                “จริงเหรอครับ?” ทงเฮถามด้วยเสียงสั่นเครือ ฮยอกแจพยักหน้ารัวพร้อมกับแววตาที่จริงใจมากที่สุด

     

                ทั้งสองจัดกระเป๋าเดินทางคนละใบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องนำอะไรไปมากมาย เพราะพวกเขาสามารถซื้อของใช้อย่างอื่นได้จากที่ที่จะไปอยู่ ฮยอกแจนำไดอารี่ที่เคยซ่อนไว้ที่หัวเตียงออกมาแล้ววางลงด้านบนสุดของกระเป๋า ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น ทงเฮก็กำลังวางหนังสือนิทานเจ้าชายน้อยลงในกระเป๋าของตัวเองเช่นเดียวกัน

     

                ความทรงจำดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ฮยอกแจกับทงเฮจะนำติดตัวและหัวใจไปด้วย

     

                แต่ความทรงจำใดก็ตามที่เลวร้าย เขาจะทิ้งมันไว้กับบ้านหลังนี้ บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีความรักของพวกเขาอบอวลอยู่

     

                ทงเฮลุกขึ้นยืนและลากกระเป๋ามาไว้ด้านนอกห้อง ฮยอกแจก็เปิดประตูออกมาพอดี พอทงเฮเห็นหน้าฮยอกแจ เขาก็เอ่ยขึ้นทันที

     

                “ทงเฮเอาหนังสือเจ้าชายน้อยไปด้วย” ทงเฮยิ้มบางๆ พร้อมกับเอียงศีรษะอย่างน่ารัก ฮยอกแจดีใจที่ทงเฮหยิบหนังสือเล่มโปรดไป แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าส่งให้เท่านั้นเอง “ป๊าไม่ดีใจเหรอครับ?”

     

                “ดีใจสิ ดีใจมากๆ” ฮยอกแจให้คำตอบได้ในทันที ทงเฮเดินเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดฮยอกแจเอาไว้แน่น ใบหน้าหวานซุกลงกับอกแกร่ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แค่นี้ทงเฮก็มีความสุขถึงขนาดที่ว่าต่อให้ต้องตายในวันพรุ่งนี้ทงเฮก็จะไม่เสียใจ

     

                “ป๊าบอกว่าดีใจ แต่ไม่เห็นยิ้มกว้างเหมือนทุกครั้งเลย” ทงเฮบอกเสียงงอนๆ

     

                “เพราะป๊าดีใจมากๆ มากจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี” ฮยอกแจกอดทงเฮตอบกลับไปบ้าง “เมื่อไรที่เราตกหลุมรักกัน เมื่อนั้นเราต่างก็ต้องการซึ่งกันและกัน ทงเฮยังจำนิทานเจ้าชายน้อยได้ใช่ไหม?”

     

                “จำได้ครับ” ทงเฮพยักหน้ารัวแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาฮยอกแจด้วยความรัก

     

                “ถ้าป๊าเป็นหมาป่าของเจ้าชายน้อยอย่างที่ทงเฮเคยบอก ทงเฮจะเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในโลกของป๊า และป๊าก็จะเป็นหมาป่าตัวเดียวในโลกของทงเฮเช่นกัน”

     

                “อาจอชี!” ทงเฮเรียกคนตรงหน้าพลางสะอื้นไห้อย่างรุนแรง การร้องไห้ที่มาจากความสุขมันคงให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

     

     

                เช้าวันต่อมา ก่อนที่ทงเฮและฮยอกแจจะเดินทางไปที่สนามบิน ฮยอกแจได้พาทงเฮแวะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งก่อน ฮยอกแจก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบพาไปที่ไหนก็มักจะปล่อยให้ทงเฮคาดเดาไปต่างๆ นานา

     

                แต่ว่าครั้งนี้ทงเฮมั่นใจว่าเขาเดาไม่ผิดแน่

     

                เพราะวันนี้ตรงกับวันที่ที่อยู่ในใบนัดของโรงพยาบาลพอดี เขาและฮยอกแจต้องมาฟังผลตรวจดีเอ็นเอด้วยกัน และยิ่งเข้าใกล้โรงพยาบาลมากเท่าไร ทงเฮก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น

     

                ถ้าหากว่าผลการตรวจไม่ได้ออกมาอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ ความรักที่ฮยอกแจและทงเฮมอบให้แก่กันมันจะจบลงเช่นไร ทงเฮจะยังรักฮยอกแจได้อยู่ไหม แล้วฮยอกแจจะรู้สึกผิดต่อสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาหรือเปล่า

     

                ในขณะที่เดินทางไปรับผลตรวจดีเอ็นเอ ฮยอกแจไม่ยอมปล่อยมือของทงเฮเลยแม้แต่นิด เขากุมมือบางของทงเฮแล้วบีบไว้แน่นเป็นระยะ ทงเฮเองก็จับความรู้สึกตื่นเต้นที่ออกมาจากตัวของฮยอกแจได้เช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีทางของมัน ฮยอกแจและทงเฮไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้

     

                โชคดีมากที่วันนี้แพทย์ที่ตรวจดีเอ็นเอให้พวกเขาอยู่ที่โรงพยาบาลพอดี ฮยอกแจและทงเฮจึงเข้าไปฟังผลด้วยตัวเอง แต่เมื่อเข้าไปในห้องแล้วเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของแพทย์ผู้นั้น พวกเขาก็พลอยรู้สึกเครียดและกังวลตามไปด้วย

     

                “นั่งก่อนสิครับคุณฮยอกแจ คุณทงเฮ”

     

                เขายืนขึ้นแล้วผายมือให้ฮยอกแจกับทงเฮนั่งตรงข้าม ฮยอกแจหันไปมองหน้าทงเฮแล้วส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไร เขายืนยันคำเดิมว่าต่อให้ผลจะออกมาเช่นไรก็ตาม ความรู้สึกของเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน

     

                “ผลการตรวจเป็นยังไงเหรอครับคุณหมอ?” ฮยอกแจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่สุภาพ ตอนนั้นนายแพทย์ก็ยิ่งทำหน้าเครียดมากขึ้นไปอีก

     

                “ผลการตรวจดีเอ็นเอของพวกคุณออกมาแล้วครับ...”

     

                แพทย์ทำหน้าลำบากใจอย่างสุดประมาณ ทงเฮก็อดทำหน้าลุ้นตามแพทย์ไปด้วยไม่ได้ แพทย์วัยกลางคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพื่อเรียกสติของตนเองกลับมาอีกครั้ง ผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน เขาไม่ได้พิสูจน์เพียงแค่ครั้งเดียว แต่พิสูจน์ซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจด้วยว่าผลที่ออกมานั้นถูกต้องและชัดเจนมากที่สุด

     

                “ว่ายังไงครับคุณหมอ?” ทงเฮถามขึ้นอย่างหมดความอดทน

     

                “คือว่าคุณฮยอกแจกับคุณทงเฮ ทั้งสองคน...”

     

                เหมือนเสียงทุกอย่างค่อยเงียบลงไป ฮยอกแจไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว สมองเขาเบลอไปหมดจนไม่แน่ใจว่านายแพทย์ตรงหน้าพูดออกมาหรือยัง

     

                “ทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันครับ”

     

                “คุณหมอว่ายังไงนะครับ?” ฮยอกแจถามด้วยดวงตาลุกวาวจนนายแพทย์สูงวัยก็ยังตกใจตามไปด้วย

     

                “ผลการพิสูจน์บอกว่าคุณไม่ได้เป็นพ่อลูกกัน ผม...ผมเสียใจด้วยนะครับ”

     

                “ทงเฮ!” ฮยอกแจตะโกนลั่นแล้วโผกอดทงเฮไว้แน่น

     

                “ป๊า!” ทงเฮก็ซุกหน้ากับไหล่หนาของฮยอกแจเช่นเดียวกัน พวกเขายิ้มออกมาอย่างโล่งใจมากที่สุดในชีวิต แต่คนที่เป็นนายแพทย์กลับนั่งอ้าปากเหวอด้วยความงุนงงกับภาพตรงหน้า ปกติถ้าผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะเสียใจไม่ใช่หรือไง

     

                แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับฮยอกแจกับทงเฮอีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา ในเมื่อทงเฮเข้าใจฮยอกแจ และอี ฮยอกแจก็เข้าใจอี ทงเฮเพียงคนเดียว แค่นั้นก็มากเกินกว่าที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้หมดแล้ว

     

     

                หลังจากฟังผลตรวจดีเอ็นเอเสร็จแล้ว ฮยอกแจและทงเฮก็เตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศ แม้พวกเขาจะยังรู้สึกใจหายที่ชาตินี้อาจจะไม่ได้กลับมาเหยียบที่แผ่นดินเกิดอีก แต่การมีชีวิตใหม่ก็ย่อมให้ความตื่นเต้นมากกว่า

     

                ฮยอกแจและทงเฮไปโหลดกระเป๋าและเช็คอินก่อนจะเข้าไปนั่งด้านในเพื่อรอให้ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ใบหน้าของทงเฮวันนี้สดใสและมีรอยยิ้มตลอดทั้งวัน ฮยอกแจเห็นทงเฮยิ้มก็อมยิ้มตามไปด้วย

     

                “จะไม่เสียใจใช่ไหม?” ฮยอกแจหันไปถาม

     

                “มาถามอะไรตอนนี้ล่ะครับ เราตัดสินใจไปแล้วนี่นา”

     

    ทงเฮบอกพร้อมกับวางมือลงบนมือหนาของฮยอกแจ ทงเฮเชื่อใจฮยอกแจเสมอมา แม้บางครั้งเคยพูดว่าจะไม่เชื่อฮยอกแจอีกแล้ว แต่ลึกๆ ทงเฮก็ยังเชื่อถือฮยอกแจมากที่สุดกว่าใครในโลกนี้

     

    “ป๊ารู้ไหม? ไม่ว่าจะเป็นก้าวที่ทงเฮวิ่งหนีป๊าไป หรือก้าวที่ทงเฮวิ่งเข้ามากอดป๊า ทุกๆ ก้าวของทงเฮเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะว่าป๊าเป็นคนสอน”

     

    “อื้อ” ฮยอกแจไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากพยักหน้า เขารู้สึกแสบจมูกราวกับจะร้องไห้เมื่อได้ยินคำนี้

     

    “และที่ทงเฮพูดได้ก็เพราะว่าป๊าเป็นคนฝึกให้ทงเฮพูด” ฮยอกแจพยักหน้าอีกครั้ง น้ำตาไหลออกมาช้าๆ จนทงเฮหัวเราะออกมาเบาๆ “อย่าร้องไห้สิครับ ทงเฮไม่ได้พูดให้ป๊าเสียใจสักหน่อย”

     

    “ป๊าไม่ได้ร้องไห้เพราะเสียใจ ป๊ากำลังดีใจต่างหาก”

     

                “ทงเฮน่ะ อยากจะพูดคำนั้นกับป๊านะครับ” ทงเฮเอื้อมมืออีกข้างไปกุมมือของฮยอกแจไว้ แต่ฮยอกแจกลับดึงมือออกแล้วกุมมือที่บอบบางของทงเฮไว้เสียเอง “ทงเฮรักป๊า ไม่ได้รักป๊าเพราะป๊าเป็นพ่อของทงเฮ แต่รักอย่างที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่ง”

     

                “ป๊า...ป๊าก็...”

     

                “ทงเฮจะเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในโลกนี้ของคุณฮยอกแจนะครับ”

     

                “ป๊ารักทงเฮ รักมากๆ รัก...” ฮยอกแจดึงทงเฮเข้าไปกอดไว้แน่น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะร้องไห้มากขนาดนี้ ฮยอกแจซาบซึ้งใจมากเหลือเกินที่ในที่สุดความรักที่เขาต้องซ้อนเร้นมาไว้ตลอดเกือบครึ่งชีวิตก็ถูกเปิดเผยและทำให้เขามีความสุขขึ้นมาจนได้

     

                ฮยอกแจอยากจะขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณซง จีฮโยที่มอบทงเฮให้แก่เขา ขอบคุณทุกๆ คนบนโลกใบนี้ และที่ฮยอกแจอยากจะขอบคุณมากที่สุด เขาอยากขอบคุณความรักของทงเฮนั่นเอง

     

                “ป๊าดูนี่สิครับ” ทงเฮดันอกของฮยอกแจออกห่าง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบของบางอย่างออกมา มันเป็นของขวัญวันเกิดที่ฮยอกแจซื้อให้แก่ทงเฮเมื่อปีก่อน

     

                “เครื่องนับก้าว” ฮยอกแจเอ่ยขึ้นเพราะเขายังจำเครื่องนับก้าวได้เป็นอย่างดี

     

                “ทงเฮไม่เคยกดมันเลยสักครั้ง แต่ว่าวันนี้และหลังจากวันนี้ไป...เรามาตั้งเครื่องนับก้าวใหม่และเดินไปด้วยกันนะครับ”

     

                ฮยอกแจได้แต่พูดคำว่ารักอยู่ในหัวใจเท่านั้น วันนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าการอดทนต่ออะไรบางอย่างด้วยความรู้สึกที่จริงใจ ในที่สุดแล้วเขาก็จะต้องได้รับสิ่งดีๆ ตอบกลับมาสักวันอย่างแน่นอน

     

                และวันนี้สิ่งที่ฮยอกแจต้องการมากที่สุด เขาก็ได้รับมาแล้ว

     

    นั่นก็คือ...

     

    หัวใจของอี ทงเฮนั่นเอง

     

    ------ The END ------

     

     

     

    Talk with Lee Seen

                ในที่สุดก็จบแล้วนะคะกับฟิกเรื่องนี้

    มีหลายเรื่องที่ยังไม่เคลียร์ใช่ไหม?

    พบกันได้ในตอนพิเศษค่ะ ซีนคงจะยังไม่เอาลงจนกว่าหนังสือจะออกมา

    แต่ว่า...ตอนนี้จากคนที่สั่งจองมาทั้งหมดมีคนโอนเงินมาแค่ 3-4 คนเองนะคะ

    ซีนก็เลยไม่แน่ใจว่าจะยังมีคนต้องการหนังสืออยู่ไหม?

    ตอนนี้ซีนยังรับปากไม่ได้ว่าจะทำหนังสืออีกหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับดีมานด์ของแฟนฟิคแล้วล่ะค่ะ

     

    แต่...ไม่ว่ายังไงก็ตาม ซีนคิดว่าซีนคงทำหนังสือให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ไม่ได้แล้ว

    เลยจำเป็นต้องขอโทษคนที่โอนเงินมาก่อนหน้านี้ ถ้าใครต้องการเงินคืนรบกวนส่งเลขที่บัญชีเข้ามาในอีเมล์ของซีนได้เลยนะคะ ซีนจะโอนเงินคืนให้ทันทีค่ะ

     

    สำหรับคนที่รอได้ อาจจะต้องรอไปถึงเดือนพฤษภาคม เนื่องจากซีนจะสอบเสร็จปลายเดือนเมษายนค่ะ

    (ธรรมศาสตร์ปิดเทอมช้ามากกกกก เพราะติดน้ำท่วม)

     

    ยังไงคนที่ยังไม่โอนเงินก็ช่วยยืนยันทางอีเมล์กับซีนด้วยนะคะว่ายังต้องการหนังสืออยู่

     

    ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ค่ะ

    ปล. ใครมีคำถามอะไรทิ้งไว้ได้เลยนะคะ เดี๋ยวซีนจะกลับมาตอบทุกๆ คำถามเลยค่า

     

     

     

     

    อีกสักเล็กน้อยก่อนไป มีใครไปคอนเสิร์ต SS4 ที่ผ่านมาบ้างคะ

    ซีนไปสามวัน ฟินทุกวัน

    วันแรกไป 1,500 แต่ได้นั่ง 3000 เพราะคนไม่เต็ม อื้อหือ! ฮยอกแจขึ้นมาตรงหน้าตั้งสองรอบ กรี๊ดมาก

    วันที่สองไป 5000 SN แถว A เลยได้ถ่ายแฟนแคมตอนจบไว้ ฮยอกแจไม่มองแม้แต่หางตา แถมยังหันหลังให้อีก โชคดีที่เฮนรี่ยังหันมามองและชูสองนิ้วให้ ตายอย่างสงบ
    http://www.youtube.com/watch?v=yigfRL-mWwA

    วันที่สาม ตอนแรกว่าจะไม่ไปล่ะ แต่เห็นคนขายบัตร 4500 โซน SD แถว F แล้วเขาไม่ได้อัพราคาด้วย ซีนก็เลยตัดสินใจไปเลยเดี๋ยวนั้น(ตอนสิบเอ็ดโมง) พอไปถึง โชคดีมากเลย คนที่นั่ง SD แถว A ที่นั่ง 1 เขาไม่มา ซีนเลยมีโอกาสได้เอาหมอนกล้วยให้ฮยอกแจด้วย อ๊ะๆ มีใครเห็นหมอนกล้วยที่ฮยอกแจถือกันบ้างไหมคะ? ดีใจมากๆ และฟินที่สุดตรงนี้ ร้องไห้โฮเลย ฮยอกแจเดินตั้งแต่ SD SE SF SG SH SI SJ SK SL มายังเวทีตรงกลาง ก่อนจะเดินผ่าน AR กับ AL ไปเมนสเตจ และเอาหมอนกล้วยไปทำเป็นกีตาร์ ฟินที่สุดคือเขาเอาไปหลังเวทีโดยไม่มีใครในเอสเจได้สัมผัสหมอนกล้วยนั้นเลย
     
    ขอบคุณคนที่ถ่ายรูปนี้เอาไว้ และคนที่เมนชั่นรูปนี้มาให้ลีซีนนะค้า

    อ้อ! ซีนยังได้ถ่ายแฟนแคมตอนจบของวันที่สามไว้อีกด้วยนะคะ ฮยอกแจมองผ่านอีกแล้ว โชคดีที่ทงเฮมาเต้นด้านหน้ากล้อง ให้อภัยทุกๆ อย่างกับฮยอกแจ ให้อภัยตั้งแต่หมอนกล้วยใบนั้นแล้ว
    http://www.youtube.com/watch?v=78n6LfgcUE8

    (เวิ่นจบแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับพื้นที่เล็กๆ นี้ ใครมีอะไรฟินหรือประทับใจอะไรในคอนก็มาเล่าให้ซีนอ่านได้เลยนะคะ แบ่งๆ กันฟิน แต่...อย่าลืมคอมเม้นท์ฟิคให้ซีนด้วยน้า......)

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×