ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #55 : Chapter 52 ซีวอน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.08K
      4
      10 ก.พ. 55

     

    Chapter 52

    ซีวอน

     

                วันนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่บ้านหลังใหญ่โตจะมีคนนั่งเต็มห้องรับแขก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่ากลับไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ เล็ดลอดออกมา น้ำเปล่าที่เคยเย็นเฉียบค่อยๆ คลายความเย็นลงจนหยดน้ำเกาะพราวเต็มข้างแก้ว ก่อนจะไหลลงไปเจิ่งนองอยู่ในจานรองแก้ว แต่ละคนมีหน้าตาเรียบเฉยยากที่จะเดาความรู้สึกได้ ยกเว้นคนหนึ่งที่มีหน้าตาบึ้งตึงด้วยความกรุ่นโกรธที่อัดอั้นอยู่เต็มอก

     

                “ผมไม่แต่ง ยังไงก็ไม่แต่ง!” อี ซองมินพรวดพราดลุกขึ้นยืนก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นจนหญิงวัยกลางคนที่ค่อนไปทางสูงอายุยกมือขึ้นทาบหน้าอกด้วยหัวใจที่สั่นระรัว

     

                “ใจเย็นๆ ก่อนสิลูก”

     

                “ใจเย็นไม่ได้หรอกครับคุณน้า ผมบอกกับทุกคนไปหลายครั้งแล้วว่าเราไม่ได้รักกัน ลูกชายของคุณน้าก็มีคนรักอยู่แล้ว ผมเองก็เหมือนกัน” ท้ายประโยคซองมินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาลงราวกับจะกลืนหายลงไปในลำคอเนื่องจากได้รับสายตาดุดันส่งมาจากผู้เป็นแม่ ชางมินที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงจับข้อมือของซองมินแล้วดึงให้นั่งลงตามเดิม “พี่ชางมิน!

     

                “เหตุผลล่ะครับแม่?” ชางมินสูดหายใจเข้าลึกทั้งๆ ที่ในใจของเขาเองก็ร้อนลุ่มไม่ต่างจากซองมิน แต่กลับควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า

     

                “ก็เพราะว่า...”

     

                “ไม่ต้องหรอกเธอ เดี๋ยวฉันพูดเองดีกว่า” แม่ของซองมินแตะมือของเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะหันหน้ามาหาเด็กๆ ทั้งสองคน “เพราะชางมินเป็นลูกชายของเพื่อนน้า และน้าก็ไม่เห็นว่าชางมินกับซองมินจะไม่เหมาะสมกันตรงไหน”

     

                “เหมาะสมเหรอครับ?” ชางมินแทบจะแค่นเสียงออกมาจากลำคอ “เราสองคนต่างก็เป็นผู้ชาย นี่เหรอครับที่เรียกว่าเหมาะสม”

     

                “แล้วคนที่เธอสองคนบอกว่ารักไม่ได้เป็นผู้ชายหรือไง?” แม่ของชางมินพูดเรียบๆ แต่กลับทำให้บรรยากาศในบ้านเงียบกริบขึ้นมาทันที ซองมินเองก็พูดไม่ออก ส่วนชางมินก็จนปัญญาจะหาเหตุผลใดๆ มาอ้าง และญาติคนอื่นๆ ที่มานั่งร่วมเจรจาต่างก็กระพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง

     

                “ซองมิน ชางมินลูกชายของน้าไม่ดีตรงไหนเหรอ?” แม่ของชางมินทำเสียงอ่อนลงอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาซองมิน คว้ามือมากุมไว้แน่นแล้วเอ่ยถาม

     

                “ไม่ใช่ไม่ดีหรอกครับ แต่ว่า...”

     

                “หืม...แต่อะไร?” เธอเลิกคิ้วถามขึ้น แต่ซองมินรู้สึกว่านั่นเป็นการกระทำที่กดดันเขามากเหลือเกิน

     

                “ตั้งแต่พี่ชางมินเรียนจบและกลับมาที่เกาหลี คุณน้าก็ให้พี่ชางมินมาหาผมตลอด พาไปรับไปส่ง ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็มีพี่ชางมินไปด้วยเสมอ เราเป็นเหมือนเงาของกันและกันก็จริง แต่เราไม่เคยคิดกับอีกฝ่ายเกินไปกว่าพี่กับน้อง คุณน้ากับคุณแม่อยากจะให้ผมแต่งงานกับพี่ชางมิน แต่ไม่มีใครเลยถามเราเลยว่า...เราอยากจะแต่งงานกันหรือเปล่า”

     

                “จะมีสักกี่ครอบครัวกันที่ยอมให้ลูกชายแต่งงานกับผู้ชาย?!” แม่ของซองมินผุดลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าลูกชายคนเดียวของเธอ “ไม่ใช่เพราะลูกหรอกเหรอที่พาเพื่อนคนนั้นเข้ามาในบ้าน ชางมินเลยเปลี่ยนใจจากลูก แล้วก็ไม่ใช่เพราะไอ้เจ๊กนั่นหรอกเหรอที่มันปั่นหัวลูกจนทุกอย่างมันวุ่นวายแบบนี้”

     

                “แล้วที่มันวุ่นวายไม่ใช่เพราะแม่เจ้ากี้เจ้าการผมหรอกเหรอครับ?!

     

                “อี ซองมิน!” คุณนายอีตะคอกลูกชายเสียงดังจนตัวของเธอสั่นเทิ้มไปเพราะความโกรธ น้ำตาของซองมินค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างช้าๆ ชางมินจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ ชางมินดูแลซองมินเสมอมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนซองมินเองก็ใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่ายจนดูเหมือนว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักกัน แต่ทว่า...มันไม่ใช่แบบที่ทุกคนคิดเลย

     

                ชางมินรักคยูฮยอน และซองมินเองก็รักฮันกยอง

     

                พวกเขาทั้งสองไม่ได้รักกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

                “ก็ได้ ไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง” แม่ของซองมินกดเสียงให้เบาลง เธอดึงชายเสื้อลงด้วยท่าทางถือตัว ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตามเดิมแล้วเมินหน้าไปทางอื่น ซองมินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองแม่ของตัวเองอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเธอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เขาก็เบิกตากว้าง “แต่อย่าคิดนะว่าแม่จะปล่อยให้ลูกไปหาไอ้เจ๊กขาด้วนนั่นอีก ถ้าคิดหนี ต่อให้ต้องล่ามโซ่ลูก แม่ก็จะทำ!

     

                “คุณน้าครับ คุณน้าทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ” ชางมินส่ายหน้าระรัวด้วยความสงสารซองมินที่เขารักดั่งน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง ที่พวกเขาเป็นห่วงเป็นใยกัน ดูแลกัน อาจจะเป็นเพราะว่าชางมินไม่มีน้องชาย เมื่อมีซองมินเข้ามา ซองมินจึงเป็นเหมือนน้องชายของเขา ซองมินเองก็คิดเช่นนั้น ชางมินเหมือนพี่ชายแท้ๆ จนบางครั้งก็เกือบลืมคิดไปว่าชางมินเป็นแค่ลูกชายของเพื่อนแม่เท่านั้น

     

                “ซองมินบังคับให้น้าทำแบบนี้เอง” แม่ของซองมินพูดอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเบนหน้าหนีอีกครั้ง

     

                “ผม...ผมว่ามันอาจจะเร็วเกินไปถ้าเราจะตัดสินใจตอนนี้ ผมขอคุยกับซองมินก่อนได้ไหมครับ ขอให้เราได้พูดคุยกันว่าจะแต่งหรือเปล่า นะครับแม่ นะครับคุณน้า” ชางมินเอ่ยบอกด้วยเพราะว่าตระหนักและทบทวนอย่างดีที่สุดแล้ว ในทีแรกแม่ของซองมินทำเป็นหูทวนลมเพราะไม่อยากฟังความจากใครอีก แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ชางมินพาซองมินเข้าไปคุยกันในห้อง

     

                “ทำไมต้องคุยกันล่ะครับ ยังไงผมก็จะไม่แต่ง” ซองมินบอกด้วยเสียงอู้อี้พร้อมกับยืนยันคำเดิม

     

                “เข้าไปคุยกับพี่ก่อนเถอะนะคนดี คุยกันแปบเดียวเอง” ชางมินยื่นมือออกไปให้ซองมินเกาะเอาไว้ ซองมินเงยหน้ามองร่างสูงโปร่งด้วยภาพที่ลางเลือน ก่อนจะวางมือบนอุ้งมือหนาของชางมินแล้วจึงเข้าไปคุยกันอยู่ในห้อง

     

                “พี่รู้ว่าซองมินไม่อยากแต่ง พี่เองก็ไม่อยากเหมือนกัน”

     

                “ก็ไม่ต้องแต่งสิครับ” ซองมินโพล่งสวนขึ้นมา

     

                “ถ้าไม่แต่งจะเป็นยังไง พี่น่ะไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าไม่แต่งแม่ก็ไม่ได้ว่า แต่แม่ของซองมินจะไม่ให้ซองมินออกไปไหน เขาจะทำแบบที่พูดจริงๆ ซองมินก็รู้ใช่ไหม”

     

                “ผมยอมตายอยู่ที่นี่ดีกว่าต้องแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รัก”

     

                “จะตาย...โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าคนที่ตัวเองรัก ทนได้เหรอ?” คำพูดจากชางมินทำให้ซองมินเงียบลงพลางทบทวนความคิดของตัวเองอีกครั้ง ถูกแล้วล่ะ เขาทนไม่ได้ ทนไม่ได้สักวินาที การได้พบฮันกยองอีกครั้งทำให้หัวใจของซองมินชุ่มชื่นไปด้วยน้ำตาแห่งความสุข แม้บางครั้งจะเป็นน้ำตาที่เศร้าบ้าง แต่มันก็ยังอิ่มเอมและเป็นสุขใจ ถ้าไม่มีฮันกยอง ซองมินก็นึกไม่ออกว่าเขาจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร

     

                “ถ้างั้น...” ซองมินเดินเข้าหาชางมินแล้วช้อนตาขึ้นมองด้วยดวงตาที่พราวระยับไปด้วยน้ำตา “เราหนีไปด้วยกันดีไหมครับพี่ชางมิน หนีไปที่ไหนก็ได้”

     

                “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า นายกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” คำพูดของชางมินทำให้อีกฝ่ายอยากจะเค้นน้ำตาออกมาอีกสักรอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ

     

                “ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรสักอย่างเลย เหมือนคนโง่ เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นทางข้างหน้า”

     

                “แต่งงานกันเถอะ!” สิ้นเสียงของชางมิน ซองมินคิดว่าตัวเองหูฝาดไป แต่แล้วเสียงทุ้มก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แต่งงานกับพี่”

     

                “ทำไมล่ะครับ?”

     

                “ถ้าเราแต่งงานกัน แม่ของเราก็จะสบายใจ ซองมินก็จะออกจากบ้านได้ ถ้าอยากไปหาเขา พี่ก็จะพาไป ส่วนพี่...พี่เองก็จะได้ทำในสิ่งที่พี่อยากจะทำ” ชางมินเงียบไว้ เขายังไม่อยากบอกเรื่องที่คยูฮยอนยังไม่ตายให้ซองมินรู้ในตอนนี้

     

                “เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” ซองมินยังคงพูดออกมาด้วยความสับสนและงุนงง

     

                “แล้วชีวิตเรามันใช่เรื่องเล่นๆ เหรอ?”

     

    คำพูดนั้นเพียงคำเดียวทำให้ซองมินได้ยื่นมือไปให้ชางมินดูแลตลอดชีวิต ไม่ว่าเขาจะแต่งงานกันหรือไม่ มันไม่ได้สลักสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะหัวใจของทั้งสองได้มอบให้ใครอีกคนตามแต่ใจของพวกเขาจะปรารถนา

     

                ซองมินโผเข้ากอดชางมินทั้งๆ ที่ยังคงสับสนที่ชางมินไม่ได้ห้ามปรามเขาให้เลิกคบหากับฮันกยอง บางทีอาจจะเป็นเพราะชางมินเห็นน้ำตาของเขาในวันนี้จึงไม่อยากทำให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งคู่โอบกอดกันอยู่นานแสนนานจนกระทั่งน้ำตาของซองมินเหือดแห้งลง

     

                ซองมินและชางมินได้ตกลงปลงใจกันแล้ว...พวกเขาจะแต่งงานกัน

     

     

                ชายร่างเล็กที่หอบหนังสือภาษาอังกฤษเล่มใหญ่ไปตามทางเดินเป็นที่สนใจของคนในหมู่บ้าน ตลอดทางมีชาวต่างชาติโผล่หน้าออกมาทักทาย แต่จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนัก ในประเทศอังกฤษ คิม รยออุคต่างหากที่เป็นชาวต่างชาติ

     

                ก่อนจะออกจากหมู่บ้านเพื่อมุ่งหน้าไปสู่โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หนังสือที่ถือไว้ร่วงลงบนพื้น แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจ เขาควานโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายใบใหญ่ ก่อนจะมองดูเบอร์ที่ไม่คุ้นตาแล้วกดรับสาย

     

                “สวัสดีครับ” รยออุคเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มลงไปหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง

     

                [รยออุค] เพียงแค่เสียงเรียกชื่อสั้นๆ ก็ทำให้รยออุคชะงักมือไว้เช่นเดิม รยออุคมองไปรอบๆ อีกครั้ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวมากนัก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจหรือส่งเสียงใดๆ ออกไป [คิม รยออุค...นี่น้าเอง]

     

                “เอ่อ...” รยออุคยืนขึ้นมาตามเดิม แม้อากาศของประเทศอังกฤษจะไม่หนาวมาก แต่ก็ไม่ได้ร้อนมากเสียจนมือของเขาจะมีเหงื่อมากขนาดนี้ มันไหลออกมามากกว่าปกติจนเขาต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู แต่แล้วเสียงเรียกก็ดังอีกครั้ง

     

                [น้ารู้ว่ารยออุคตกใจ แต่สิ่งที่น้ากำลังจะพูดเป็นความ...] รยออุคกดวางสายไปในทันที ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเอง รยออุครู้สึกราวกับว่าเสียงที่ลอดมาตามสัญญาณโทรศัพท์นั้นช่างเยือกเย็นจนหนาวไปถึงขั้วหัวใจ หัวใจของคิม รยออุคตอนนี้เต้นแรงกว่าปกติ มันเต้นระส่ำจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกเสียให้ได้ แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     

                ...หมายเลขเดิม

     

                “ค...ครับ” รยออุคกดรับสายด้วยเสียงอันสั่นเทา ร่างที่บอบบางของเขาก็กำลังสั่นเล็กน้อยเหมือนลูกนก

     

                [น้ายังไม่ตายนะ น้ายังไม่ตายจริงๆ]

     

                “คุ...คุณน้าคยูฮยอน...” รยออุคจำเสียงคยูฮยอนได้เป็นอย่างดี เสียงที่ใจดี เสียงที่นุ่มนวลแบบนั้นจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากน้าชายของเขา “คุณน้าเสียไปแล้ว...ไม่ใช่เหรอครับ?”

     

                [คือ...เอ่อ...มันเป็นแค่การจัดฉากน่ะ]

     

                คยูฮยอนเล่าทุกๆ เรื่องราวที่เขาได้ร่วมมือกับชางมินตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น ไม่มีคนอื่นได้ล่วงรู้ความจริง แม้แต่ซีวอนเองก็ยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้ นอกจากชางมินแล้ว คิม รยออุคก็ถือเป็นคนแรกที่ได้รู้ความลับ ใจหนึ่งรยออุคโกรธน้าชายมากที่ทำให้คนในครอบครัวเสียใจ แต่อีกใจหนึ่งรยออุครู้สึกเหมือนว่าของวิเศษที่สุดที่เขาเคยทำหายไป ตอนนี้มันกลับมาแล้ว

     

                คยูฮยอนเป็นสิ่งที่วิเศษเหลือเกิน

     

                “คุณน้ากำลังจะบอกว่า...เพราะคุณน้าได้ยินคุณน้าเขยคุยกับทงเฮผ่านทางโทรศัพท์เหรอครับ ก็เลยหนีไปแบบนี้น่ะเหรอ?”

     

                [ขอเวลาน้าอีกสักพักเถอะรยออุค] คยูฮยอนบอกพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังตามมาด้วย

     

                “อีกสักพัก? ทำแบบนี้ไม่ได้หมายถึงตลอดชีวิตหรอกเหรอครับ?” คำถามของรยออุค คยูฮยอนเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ใจเขาโบยบินไปหาซีวอนอยู่ทุกวินาที แต่สมองของเขากลับต่อต้านและท้าทายความรู้สึกจากหัวใจอยู่เสมอ คยูฮยอนจึงเป็นทุกข์เช่นทุกวันนี้ “ถึงผมจะยังเด็ก แต่ผมก็อยากบอกคุณน้าว่า...บางสิ่งที่เราได้ยินมันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”

     

                [น้าผิดด้วยเหรอที่ระแวง ผิดด้วยเหรอที่จะกลัวว่าบางสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว มันจะเกิดซ้ำอีก รยออุค...น้าเป็นคนผิดอย่างนั้นเหรอ?]

     

                “ไม่ผิดทั้งหมดหรอกครับ แต่...” รยออุคเว้นไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะหาที่นั่งพักบริเวณสวนหย่อมใกล้ๆ กับโรงเรียน ดูท่าวันนี้เขาจะไม่ได้เข้าเรียนเสียแล้ว “ผมสงสารคุณน้าซีวอน”

     

                [ใครๆ ก็สงสารซีวอน ไม่เห็นมีคนสงสารน้าบ้างเลย]

     

                รยออุคก็จนปัญญาจะพูดออกไปอีกแล้ว หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที คยูฮยอนก็วางสายไปโดยขอร้องไม่ให้รยออุคบอกเรื่องนี้กับใคร แม้คนในครอบครัวก็ห้ามบอก รยออุคได้แต่กำโทรศัพท์ไว้ในมือด้วยความกังวลใจ เขาอยากบอกเรื่องนี้กับใครสักคน

     

                คนที่สมควรจะได้รับรู้ความจริง

     

                ซีวอนควรจะได้มีความสุขกับน้าชายของเขา ส่วนทงเฮ...แม้รยออุคจะไม่ได้พูดคุยกับทงเฮสักเท่าไร แต่เขาย่อมรู้ดีว่าทงเฮรู้สึกอย่างไร การที่คยูฮยอนต้องมาตาย ทงเฮคงโทษว่ามันเป็นความผิดของตัวเอง และการที่แม่ของเขากับญาติต่อว่าทงเฮแบบนั้น ทงเฮต้องยิ่งรู้สึกแย่ไปกันใหญ่ รยออุคเปิดอีเมล์ของตัวเองจากโทรศัพท์ เขาตั้งใจจะส่งข้อความหาทงเฮ ทว่าอีเมล์ฉบับล่าสุดกลับมาจากทงเฮนี่เอง

     

                ถึงรยออุค

     

              นายสบายดีไหม? ฉันคิดถึงนายจังเลย คิดถึงมากกว่าทุกวัน นายไม่เคยตอบจดหมายของฉัน คงจะไม่อยากใช้ภาษาเกาหลีสินะ...ใช่ไหม? ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ นายจะกลับหรือไม่กลับมาที่นี่ก็แล้วแต่นายแล้วกัน ฉันมีเพื่อนใหม่แล้ว

     

              แต่พี่จงอุนน่ะ...ถ้านายไม่กลับ น่ากลัวว่าเขาจะรอนายไปตลอดชีวิต

     

              จาก...อี ทงเฮ

     

                รยออุครู้สึกได้ทันทีว่าทงเฮพยายามทำตัวให้ตลกเฮฮา พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ในใจของทงเฮกำลังหวาดกลัวว่าเขาจะไม่รัก กลัวว่าเขาจะตัดความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนไปหมด แต่ไม่มีวันจะเป็นแบบนั้น รยออุคเป็นเพื่อนของทงเฮ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด และจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ของเพื่อนแบบนี้ตลอดไป

     

                เขากดตอบอีเมล์กลับไปในทันที รยออุครีบร้อนที่จะบอกกับทงเฮว่าคยูฮยอนยังไม่ตาย หากแต่คำพูดของคยูฮยอนที่ขอร้องเอาไว้กลับแวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง สิ่งที่ตั้งใจจะบอกกับทงเฮจึงลืมเลือนไปทั้งหมด รยออุคทำได้เพียงแค่ตอบเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อความของทงเฮเท่านั้น

     

                ถึงทงเฮคนโง่

     

              ฉันสบายดี และก็คิดถึงนายมากๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามากกว่าทุกวันหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่า...มันมากทุกวันเลย คิดถึงนาย คิดถึงคนที่อยู่ที่เกาหลี ถึงฉันจะอยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งๆ แต่บางครั้งก็อยากจะพูดภาษาบ้านเกิดของตัวเองบ้างเหมือนกันนะ แล้วก็นาย...อย่ามีเพื่อนใหม่เสียก่อนล่ะ ถ้าฉันกลับไปแล้วพบว่านายสนิทกับคนอื่นมากกว่าฉัน ฉันเอาตายแน่

     

              ส่วนพี่จงอุน...ถ้าเขาอยากมีคนอื่นก็มีไปเถอะ หัวใจของเขาไม่ได้เป็นของฉันตั้งแต่แรก ถ้าในอนาคตมันจะไม่เป็นของฉัน ฉันก็ไม่ขาดทุนหรอก ถือว่าได้รักไปแล้วนี่นา

     

              ปล. เรื่องที่นาย(อาจจะ)กังวลอยู่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดเลยนะ นายไม่ผิด นายไม่ได้ทำอะไรเลย มันเป็นการตัดสินใจของคนๆ หนึ่งที่ทำให้นายรู้สึกแย่ แต่จริงๆ แล้วนายไม่ได้ผิดอะไรเลย

     

                ในช่วงปัจฉิมลิขิต รยออุคได้บอกใบ้ความจริงกับทงเฮไป แต่เขาไม่รู้ว่าทงเฮจะสามารถเข้าใจได้หรือไม่ แค่ได้บอกเพียงเล็กน้อย จิตใจของรยออุคก็รู้สึกสงบมากขึ้น แต่สิ่งที่รยออุคยังกังวลใจอยู่ เขาได้เขียนข้อความเท็จลงไปในอีเมล์ด้วย

     

                แท้จริงแล้วรยออุคตั้งใจจะบอกให้ทงเฮมีเพื่อนใหม่ไปเลยก็ได้ แต่เขาไม่อยากให้จงอุนมีคนอื่นนอกจากเขา แต่ด้วยความคิดบ้าๆ ของตัวเอง เขาจึงส่งข้อความไปทั้งอย่างนั้น

     

                มนุษย์เรามักจะทำอะไรโง่ๆ เสมอ บางครั้งโง่เง่ายิ่งกว่าเต่าล้านปีเสียอีก ชีวิตของคนบนโลกจึงไม่เคยสงบสุขเสียที

     

     

                ซีวอนนั่งถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านมาหลายวัน แต่ซีวอนก็ยังลืมไม่ได้ บางครั้งเขาก็มีความสุขที่ได้นึกถึงใบหน้าที่โกรธขึ้งนั้น แต่ชั่วแวบเดียวก็กลับมาเสียใจที่คนๆ นั้นไม่ใช่คยูฮยอน

     

                เพราะคยูฮยอนไม่ได้อยู่โลกนี้อีกแล้ว

     

                ไม่มีคยูฮยอน ซีวอนก็ไม่มีลมหายใจ เขานั่งเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา แม้เมื่อคืนเขาจะดื่มเหล้ามาบ้าง แต่ซีวอนก็มั่นใจว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้คั่งค้างอยู่ในตัวของเขา ทว่าเสียงเรียกครั้งที่สามของพยาบาลกลับดังขึ้นจนซีวอนสะดุ้งเฮือก

     

                “คุณหมอคะ?!

     

                “ครับ” ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัวจนเก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง ซีวอนตั้งสติแล้วกลับลงมานั่งตามเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพยาบาลแล้วกระพริบตาปริบๆ

     

                “ดิฉันเอาประวัติคนไข้มาให้น่ะค่ะ คุณหมอจะตรวจเดี๋ยวนี้เลยไหมคะ?”

     

                “เดี๋ยวอีกห้านาทีผมจะออกไป” ซีวอนบอกส่งๆ พอนางพยาบาลออกไปแล้ว เขาก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างอ่อนแรง ซีวอนไม่มีสมาธิ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น เขาเพียงแค่ประวิงเวลาให้ครบห้านาทีแล้วออกไปตรวจคนไข้ประจำวัน

     

                ซีวอนตรวจอาการเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น มันเป็นเวลาสั้นกว่าทุกครั้งที่เขาเคยทำมา ก่อนจะเขียนใบสั่งยาและยื่นแฟ้มส่งคืนให้กับพยาบาล หลังจากนั้นก็หันหลังออกมาจากห้องทันที มีเสียงเรียกตามมา แต่เขาไม่ได้สนใจนัก ซีวอนเก็บตัวอยู่ในห้องอีกครั้งจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงหกโมงเย็น

     

                “คุณหมอคะ รบกวนไปดูคนไข้ที่ตรวจไปเมื่อตอนบ่ายหน่อยได้ไหมคะ อาการไม่ดีขึ้นเลยค่ะ”

     

                ซีวอนพยักหน้ารับรู้และเดินตามออกไปอย่างเนือยๆ เขาจำได้ว่าตัวเองอ่านประวัติของคนไข้อย่างละเอียดแล้วว่าคนไข้มีอาการแพ้ยาบางชนิดอย่างรุนแรง เขาจึงสั่งยาอีกชนิดให้แทน แต่แผลที่เท้าของคนไข้ก็อาการไม่ดีขึ้นเลย

     

                “เป็นยังไงบ้างครับ ปวดไหม?”

     

                “ปวดค่ะหมอ ปวดตั้งแต่กินยาเลย เท้าก็บวมขึ้นเรื่อยๆ ปวดจนจะเป็นลมอยู่แล้วค่ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น ก่อนจะชี้นิ้วไปยังเท้าของตนเอง แล้วหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เอาแต่บ่นถึงความเจ็บปวดของตัวเองจนซีวอนนึกรำคาญ เขาเลยฉีดยายับยั้งเชื้อเข้าที่หลอดเลือดดำของผู้ป่วย ก่อนจะเดินกลับห้อง

     

                แต่เพียงแค่สามนาทีต่อจากนั้น

     

                “คุณหมอ!

     

                “มีอะไรอีกคุณมิน?”

     

                “คะ...คนไข้ คนไข้ช็อกแล้วค่ะ”

     

                “ว่าไงนะ?!” ซีวอนผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งกลับไปยังเตียงผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ยาที่เขาฉีดเข้าเส้นเลือดของคนไข้ แม้จะครอบคลุมเชื้อได้ดีกว่า แต่ยาก็ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วทันทีจนคนไข้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง คนไข้หมดสติไปแล้วพร้อมกับญาติที่ถลันเข้ามากระตุกร่างที่แน่นิ่ง

     

                “ทำอะไรสักอย่างสิหมอ!” ชายหนุ่มร่างท้วมที่ดูแล้วน่าจะเป็นลูกชายของคนไข้เอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียและหวาดกลัว ซีวอนจึงลองจับชีพจรของคนไข้ดู พบว่าชีพจรเต้นเร็วมาก แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาชีพจรก็อ่อนแรงลงจนแทบจะหยุดเต้น

     

                “ย้ายผู้ป่วยไปห้องไอซียูด่วน!

     

                เขาออกคำสั่งเพียงสั้นๆ ก่อนจะตามไปห้องไอซียูภายในเวลาไม่ถึงนาที ญาติของผู้ป่วยค่อยๆ ทยอยกันมาที่โรงพยาบาล ทุกสายตาจ้องมองเข้าไปด้านในด้วยความเคียดแค้น ซีวอนพยายามปั๊มหัวใจให้กับคนไข้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล

     

                เธอตายแล้ว...

     

                เขามองดูใบหน้าที่เรียบเฉยของหญิงวัยกลางคนด้วยความทุกข์ตรมในใจ แม้เธอจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ซีวอนกลับรู้สึกว่าเธอและญาติของเธอกำลังสาปแช่งเขา

     

                ซีวอนทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียวนอกจากมองคนอื่นตายไปต่อหน้าต่อตา เหมือนที่เขาช่วยชีวิตคยูฮยอนไม่ทัน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ชีวิตของเขาช่างไร้ค่า ไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจอีกต่อไปแล้ว

     

                คุณหมอหนุ่มผลักประตูห้องไอซียูออกไปด้วยท่าทางห่อเหี่ยว ญาติของผู้ป่วยสี่ถึงห้าคนวิ่งกรูกันเข้ามารุมถามด้วยแววตามีความหวัง หากแต่ซีวอนกลับส่ายหน้าไปมาช้าๆ เท่านั้น

     

                “หมอขอโทษด้วยนะครับ”

     

                “ขอโทษงั้นเหรอไอ้สารเลว!” ลูกชายของคนไข้กระชากคอเสื้อของซีวอนทันทีที่เขาพูดจบ ซีวอนยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาโดนหมัดหนักๆ ชกเข้าเต็มใบหน้าจนเซถลาไปกับพื้น แล้วญาติคนอื่นก็ดึงตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นออกไปทางอื่น

     

                “ผมขอโทษจริงๆ ครับ” ซีวอนบอกอีกครั้งพร้อมกับร้องไห้ หากแต่เสียงของชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นสามีของผู้เสียชีวิตกลับเดินมาหยุดตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยขึ้น

     

                “คุณเตรียมทนายเอาไว้แล้วกัน แล้วค่อยไปเจอกันในศาล”

     

                เขาบอกแค่นั้น ก่อนจะมองซีวอนด้วยสายตาที่รังเกียจเหยียดหยามมากที่สุด ซีวอนเคยได้รับสายตาเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่คยูฮยอนจากไป และในวันนี้ก็ทำให้เขานึกเรื่องราวของความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองอีกครั้ง

     

                เพราะตัวเขาเอง ทุกอย่างเลยกลายเป็นแบบนี้

     

                เป็นเพราะ...ชเว ซีวอน

     

     

    Loading-------------50%

     

                เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอยู่ด้านในห้องทำให้ดวงตาคู่สวยที่ทอดมองออกไปไกลหันกลับเข้ามาด้านใน เขาทอดถอนหายใจเสียงแผ่วเบาราวกับสายลม ก่อนจะเปิดประตูกระจกแล้วเข้ามาเผชิญกับความเป็นจริง ความจริงที่ว่าโลกใบนี้ยังมีคนอื่นอยู่ข้างเขา แต่ทว่าความจริงเหล่านั้นช่างน่าเสียดาย

     

                น่าเสียดายที่ไม่มีซีวอนอยู่ด้วย

     

                หลายครั้งที่คยูฮยอนนึกสมน้ำหน้าซีวอนที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดอยู่เพียงลำพัง แต่ลึกๆ แล้วคยูฮยอนเองก็รู้ดี ไม่เพียงแต่ซีวอนเท่านั้นที่รู้สึกผิด คยูฮยอนก็รู้สึกด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกสมน้ำหน้าที่เขาส่งไปให้ซีวอน แท้จริงแล้วมันตกตะกอนอยู่ภายในใจของคยูฮยอนเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง

     

                เมื่อคยูฮยอนเข้ามาในห้องและดันประตูกระจกให้ปิดลง เขาพบว่าอากาศในห้องอบอุ่นกว่าด้านนอกมากโข แม้จะเป็นลมในฤดูร้อน แต่หากอยู่อย่างอ้างว้างแล้ว ลมที่ร้อนระอุก็อาจจะกลับกลายเป็นพายุที่แสนเหน็บหนาวก็ได้

     

                โทรศัพท์ยังคงดังอยู่อย่างนั้น คยูฮยอนเห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็รู้สึกสงบลงกว่าเดิม เขาคิดว่ารยออุคจะโทรมาเสียอีก คยูฮยอนยังไม่พร้อมตอบคำถามจากหลานชายในตอนนี้ วันก่อนที่เขาโทรไปบอกความจริงกับรยออุค รยออุคคงช็อคอยู่ แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไป คำถามมากมายจะผุดขึ้นในใจของรยออุครวมทั้งคนอื่นๆ ด้วย หากรยออุคปากสว่างบอกเรื่องนี้กับใครก็ตาม

     

                “ครับพี่ชางมิน” แม้ว่าจะโชคดีที่คนโทรเข้ามาเป็นชางมิน แต่ใช่ว่าคยูฮยอนจะอยากคุยกับชางมินในตอนนี้ ที่จริงแล้วเขายังอยากอยู่คนเดียว แต่เพียงใช้ชางมินเป็นเกราะกำบังความวุ่นวายจากคนอื่นก็เท่านั้น

     

                [คยูฮยอน...] ชางมินเรียกชื่อของเขาแล้วเงียบเสียงลงเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดในหัวสมอง [อยู่ได้ไหม ที่นั่นสะดวกสบายดีหรือเปล่า?]

     

                “ครับ ผมอยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไร พี่ชางมินทำธุระเสร็จแล้วเหรอครับ?” คยูฮยอนโกหกไปในช่วงแรก เพราะยิ่งเขาอยู่ที่เกาหลี ถึงแม้จะอยู่ในห้องพักของโรงแรมห้าดาว แต่เพราะเป็นบรรยากาศของเกาหลีนั่นแหละ เพราะด้วยสภาพที่คุ้นเคยของที่นี่จึงทำให้เขาหดหู่นัก เพราะฉะนั้นคยูฮยอนจึงรีบถามเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

     

                [คือ...คือว่าพี่...]

     

                “ยังไม่ได้กลับเร็วๆ นี้ใช่ไหมครับ?” คยูฮยอนเดาสถานการณ์ได้ดี เขามีลางสังหรณ์ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นหากได้กลับมาในแผ่นดินที่เขาพยายามจะวิ่งหนีไป แต่สิ่งที่ยุ่งยากที่คยูฮยอนคาดไม่ถึงกำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว

     

                [รออีกหน่อยนะคยูฮยอน อาจจะภายในสองอาทิตย์นี้ หรือไม่ก็ภายในเดือนนี้ พี่จะจัดการโดยเร็วที่สุด]

     

                “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับพี่ชางมิน”

     

                [ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากไปเลย นายดูแลตัวเองดีๆ เถอะ อย่าให้ป่วย อย่าลืมกินข้าว ถ้าเบื่อก็ออกไปข้างนอกเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเห็นหรอก ที่นั่นแม้จะเป็นโรงแรมห้าดาวก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในโซลสักหน่อย] ชางมินประมาทเกินไป เขาไม่อาจรู้ว่าคยูฮยอนได้ออกไปข้างนอกแล้วเมื่อสามวันก่อน และไม่ใช่เพียงห้างสรรพสินค้าแถวนี้ แต่คยูฮยอนเข้าไปในโซล และได้พบกับซีวอนเสียด้วย

     

                ยิ่งชางมินพยายามปิดบัง คยูฮยอนก็ยิ่งอยากรู้ แต่เพียงแค่เขาไม่กล้าถามด้วยเพราะกลัวกับคำว่าเสียมารยาท บางทีชางมินอาจจะมีเรื่องส่วนตัวที่ไม่สามารถบอกกับเขาได้ เหมือนที่เขาเองก็มีเรื่องที่ปิดบังชางมินอยู่เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าชางมินตั้งใจจะบอกเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็เท่านั้น

     

                [พี่ต้องแต่งงานกับซองมินเสียก่อน มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และพี่ยังไม่สามารถเล่าให้ฟังได้ทั้งหมดในตอนนี้...] เสียงของชางมินค่อยๆ หายไปพร้อมกับภาพเคลื่อนไหวบางอย่างเข้ามาแทนที่ คำว่าแต่งงานที่ดังขึ้นมานั้นกระทบเข้ากับโสตประสาทของคยูฮยอน ก่อนจะส่งต่อไปจนถึงสมองของการรับรู้ มันทำให้คยูฮยอนนึกถึงตอนที่ตัวเองได้แต่งงานกับซีวอน

     

                เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน...

     

                เมื่อคิดถึงซีวอน คยูฮยอนก็เห็นภาพซีวอนปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง กว่าจะได้สติกลับมา คยูฮยอนก็รู้ตัวว่าภาพนั้นไม่ใช่จินตนาการของเขา แต่เป็นภาพนิ่งของซีวอนที่อยู่ในหน้าจอโทรทัศน์

     

                “ทะ...ทีวี” คยูฮยอนกลายเป็นคนติดอ่างไปชั่วขณะ แล้วเสียงชางมินก็ดังขึ้น

     

                [ทีวี? ในทีวีมีอะไรเหรอ?]

     

    เมื่อคยูฮยอนไม่ได้ตอบ ชางมินจึงรีบเปิดทีวีเพื่อฟังการรายงานข่าว ในขณะที่คยูฮยอนเร่งเสียงโทรทัศน์ที่เขาปิดเสียงไว้ก่อนจะออกไปรับลมตรงระเบียงด้านนอก เมื่อเสียงทีวีดังขึ้น เขาก็ได้เห็นการรายงานข่าวที่ฟังดูแล้วน่าสะเทือนใจและสะใจไปพร้อมๆ กัน

     

                คยูฮยอนบอกกับตัวเองว่าเขาสะใจที่เห็นข่าวนั้น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย น้ำตาของเขากำลังเอ่อไหล

     

                ซีวอนทำให้คนไข้เสียชีวิต และถูกฟ้องร้องด้วยจำนวนเงินเกือบสองร้อยล้านวอน ตัวเลขที่น่าตกใจนั่น แม้จะไม่อาจบรรเทาความโศกเศร้าให้กับญาติผู้ป่วยได้ แต่หากมองในมุมของซีวอนแล้ว เงินจำนวนที่มากมายขนาดนี้ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ นอกเสียจากว่าจะมีการตกลงยอมความ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีทนายมาคอยไกล่เกลี่ย

     

                ใช่แล้ว...ทนายความ

     

                คยูฮยอนเกือบจะลืมเลือนไปแล้วว่าเขาเคยถามว่าชางมินมีอาชีพอะไร เขาไม่เคยเห็นชางมินทำงานมาก่อน แต่คยูฮยอนก็ยังพอจะจำได้ว่าชางมินเป็นทนายความ แล้วเสียงของทนายความหนุ่มก็เอ่ยขึ้น

     

                [อยากให้พี่ช่วยอะไรหรือเปล่า?] ชางมินไม่ได้ถามแบบขอไปที หากคยูฮยอนต้องการความช่วยเหลือ เขาพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาทุกเมื่อ แต่คำพูดจากคยูฮยอนเป็นสิ่งที่น่าตกใจจนไม่อาจคาดเดาได้

     

                “สมน้ำหน้า!

     

                [คยูฮยอน ไม่เอาน่า อย่าพูดแบบนี้สิ]

     

                “ก็มันน่าสมน้ำหน้าจริงๆ นี่ครับ ผมสะใจที่เขาโดนแบบนั้น มันสมควรแล้ว ไม่สิ! ยังไม่สมควร ยังไม่พอกับสิ่งที่เขาเคยทำไว้หรอก”

     

                ทั้งๆ ที่คำพูดของคยูฮยอนฟังดูเหมือนคนเคียดแค้น แต่ชางมินกลับได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นเบาๆ มาจากโทรศัพท์ เขารู้ได้ทันทีว่าคยูฮยอนรู้สึกอย่างไร

     

                คยูฮยอนไม่ได้เกลียดซีวอน แต่ในขณะนี้...คยูฮยอนกำลังเกลียดตัวเอง

     

                เกลียดที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด

     

                เกลียดที่ช่วยเหลืออะไรซีวอนไม่ได้เลยสักอย่างเดียว

     

     

                ทงเฮวิ่งพรวดพราดเข้ามาในร้านเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่ถ้าเทียบกับวันก่อนแล้ว ตอนที่ทงเฮร้องไห้ ตอนที่ทงเฮทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ฮยอกแจกลับชอบให้ทงเฮทำตัวสดใสร่าเริงแบบวันนี้มากกว่า แต่ทว่าดูเหมือนท่าทางของทงเฮจะไม่ร่าเริงอย่างที่ฮยอกแจคิด

     

                “ป๊า!” ทงเฮตะโกนร้องเรียกราวกับว่าพวกเขาห่างไกลกันหลายร้อยเมตร โชคดีที่ช่วงหัวค่ำไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว ฮยอกแจจึงไม่ได้ว่าอะไรที่ทงเฮจะส่งเสียงดัง

     

                “วิ่งมาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย บอกแล้วไงว่าอย่าวิ่ง ดูสิยืนหอบอีกแล้ว” ฮยอกแจบอกเสียงเชิงตำหนิ แต่ดวงตากลับฉายแววความเป็นห่วงออกมาอย่างเหลือล้น

     

                “ดู...ดูนี่สิครับ!” ทงเฮไม่บอกอะไรไปมากกว่านั้น เขายื่นโทรศัพท์ในมือให้ฮยอกแจดู มันเป็นเว็บเพจของสำนักพิมพ์ออนไลน์แห่งหนึ่ง ข่าวนั้นอยู่หน้าแรกและมีคนให้ความสนใจอย่างมากมาย มีการแสดงความคิดเห็นออกเป็นสองฝั่งอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างโจทก์ แต่ก็ยังมีคนกลุ่มน้อยที่เห็นใจจำเลย

     

                แต่ที่แน่ๆ คนที่แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง

     

                พวกเขาไม่ได้เป็นญาติของผู้เสียหาย ไม่ได้เป็นเพื่อน หรืออาจจะรู้จักในฐานะเพื่อนของเพื่อนของคนรู้จัก แค่นั้นก็ทำให้เข้าข้างกันได้แล้ว

     

                “หมอซีวอนนี่นา” ฮยอกแจพึมพำเบาๆ ในขณะที่ก้มลงดูหน้าจอ แต่ยังไม่ยอมอ่านเสียที ทงเฮจึงกระตุกแขนเสื้อของฮยอกแจด้วยท่าทางเร่งเร้า

     

                “รีบๆ อ่านสิครับ รีบอ่านเข้าเถอะ” ทงเฮย้ำอีกครั้ง คราวนี้ถึงฮยอกแจจะไม่อยากรู้ความเป็นไปของคนในภาพข่าว แต่เขาก็ต้องทำตามสายตาวิงวอนของทงเฮจนได้ ทงเฮมีอิทธิพลต่อเขาเสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

     

                ฮยอกแจใช้เวลาอ่านเกือบห้านาที เนื้อหาข่าวก็ไม่ได้ยาวมากนัก แต่เขาจำเป็นต้องอ่านทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ฮยอกแจไม่กล้าอ่านผ่านๆ เพราะพาดหัวข่าวที่เด่นหราและมีสีสันผิดแผกจากเนื้อหาข่าวทำให้เรื่องนี้ดูน่าสนใจและน่าค้นหามากขึ้น

     

                ฮยอกแจอยากรู้ว่าซีวอนผิดจริงอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือเปล่า

     

                แต่ถึงแม้เขาจะอ่านบางประโยคซ้ำไปมาอยู่สองสามรอบ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าสรุปแล้วซีวอนผิดจริงหรือไม่ เขาไม่ใช่หมอ และไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่าคนเป็นหมอมีจรรณยาบรรณอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้น ฮยอกแจไม่สามารถตัดสินให้ใครผิดหรือถูก เพราะแม้แต่ตัวเอง เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้น ในสังคมมองว่าผิดหรือถูกอย่างไรกันแน่

     

                ทว่าต่อให้พยายามจะเข้าข้างซีวอนผู้ซึ่งเป็นคนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน ถึงจะไม่ถูกชะตานัก แต่ฮยอกแจก็ยังรู้จักซีวอนมากกว่ากลุ่มคนอีกฝั่งหนึ่ง เขาจึงพยายามเข้าข้างซีวอนอย่างไม่มีข้อกังขา แต่ดูเหมือนว่าเนื้อหาข่าวจะจงใจทำให้ทุกคนมองซีวอนในภาพลบนิดๆ

     

                มีการดึงประวัติการเสียชีวิตของคยูฮยอนในเดือนก่อนมาเกี่ยวข้องเพื่อให้ดูเหมือนว่าการปฏิบัติหน้าที่ของซีวอนมีความบกพร่อง และข่าวดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ฮยอกแจรู้สึกโกรธเล็กๆ ที่คนเอนเอียงไปทางฝั่งคนไข้เช่นนั้น

     

    แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าหากตัวเองไม่รู้จักทั้งสองฝ่ายเลย เขาจะยังอยู่ข้างซีวอนหรือไม่

     

                “ทงเฮจะทำยังไงดี?” เสียงของทงเฮที่ดังขึ้นข้างๆ หูทำให้ฮยอกแจโทรศัพท์ลง เขามองหน้าทงเฮด้วยความงุนงง จนทงเฮต้องเอ่ยถามซ้ำ “ทงเฮจะต้องทำอะไร?”

     

                “ทำอะไร?” ฮยอกแจทวนคำถาม “ทำไมต้องทำอะไรล่ะ?”

     

                “ชีวิตของเขากำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ บางทีสาเหตุเริ่มต้นอาจจะเกิดจากทงเฮก็ได้นะครับ ทงเฮควรจะยื่นมือไปช่วยเขาดีไหม?”

     

                “ไม่!” ฮยอกแจปฏิเสธเสียงแข็งทันทีที่ทงเฮพูดจบ

     

                “ตอนทงเฮเดือดร้อน เขาก็ช่วยชีวิตทงเฮเอาไว้”

     

                “ทำไมเราต้องเอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องแบบนั้นล่ะ ทงเฮอยู่เฉยๆ เถอะ อย่าไปวุ่นวายเลย”

     

                “แล้วถ้า...” ทงเฮยังคงลังเลใจ เขารู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่คิดไม่ออก

     

                “มันเป็นชะตาชีวิตของเขาเอง สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่เป็นเรื่องที่ไม่ดี และถ้าทงเฮไปข้องเกี่ยว ประวัติของทงเฮก็จะไม่ดีไปด้วย เข้าใจที่ป๊าพูดไหม?” ท้ายประโยคนั้น เสียงของฮยอกแจฟังดูกังวานจนทงเฮรู้สึกว่าฮยอกแจเหมาะที่จะเป็นพ่อของเขามากกว่าเป็นคนรัก

     

                ไม่หรอก ความจริงทงเฮอยากให้ฮยอกแจเป็นทั้งสองอย่างในร่างเดียว

     

                ทงเฮเงียบลง ในขณะที่ฮยอกแจก็เงียบลงไปด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนคิดเรื่องเดียวกัน แต่คิดไม่เหมือนกัน

     

                ทงเฮรู้สึกว่าต่อให้เขาไม่เข้าไปช่วยโดยตรง แต่เขาก็ควรจะช่วยสักอย่าง

     

                ในขณะที่ฮยอกแจกลับรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เขาเอนเอียงมาทางซีวอนอยู่บ้าง แต่กลับไม่คิดให้ความช่วยเหลือใดๆ เลย บางทีฮยอกแจอาจจะรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเขาไม่มีปัญญาที่จะช่วยเหลือซีวอนได้ เขาไม่ได้กว้างขวางพอที่จะรู้จักทนายความเก่งๆ ไม่มีเงินมากมายพอที่จะช่วยเหลือซีวอน เขาจึงได้แต่สวดภาวนาอยู่ในใจเท่านั้น

     

                ไม่ใช่เพราะฮยอกแจชอบซีวอน แต่เพราะเขาไม่อยากให้มีเรื่องติดค้างกันอีกแล้ว

     

     

                คืนนั้น ทงเฮครุ่นคิดหาวิธีที่จะช่วยซีวอนอยู่ตลอดเวลา เขาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนอนของตัวเองที่ไมได้เข้ามานานแล้ว ทงเฮบอกฮยอกแจว่าเขาจะมาหยิบของ แต่เข้ามานานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ออกไปเสียที

     

                ทงเฮคิดว่าเขาต้องการความเงียบ แต่ยิ่งเงียบเท่าไร สมองของทงเฮก็ยิ่งว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น เขานึกอะไรไม่ออก เพราะทงเฮเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและคิดว่าตัวเขาจะช่วยเหลือซีวอนได้อย่างไรดี ซึ่งเด็กอายุย่างสิบเจ็ดอย่างเขาไม่สามารถทำได้เลย ความจริงในข้อนี้เป็นสิ่งที่บดบังแสงสว่างเอาไว้

     

                ทงเฮคิดต่อไปว่าถ้ารยออุคอยู่ที่นี่และช่วยกันคิดหาทางออกก็คงจะดีไม่น้อย

     

                ใช่แล้ว! คิม รยออุคนั่นเอง ทงเฮดีดนิ้วมือราวกับตัวเองเล่นเกมส์บิงโกแล้วสามารถเรียงตัวเลขได้สำเร็จเป็นคนแรก เขารีบเปิดอินเทอร์เน็ตแล้วส่งข่าวนี้บอกกับรยออุคอย่างรวดเร็ว ทงเฮคิดตื้นๆ ว่ารยออุคเป็นญาติกับซีวอน ถึงจะไม่ใช่ญาติโดยตรง แต่ซีวอนก็เป็นน้าเขยของรยออุค

     

                ทว่าหลังจากกดอีเมล์ส่งไปให้รยออุคแล้ว ทงเฮก็ฉุกคิดขึ้นได้ ไม่มีทางที่ครอบครัวของรยออุคจะช่วยเหลือซีวอน เพราะคนในครอบครัวนั้นคิดว่าซีวอนเป็นต้นเหตุทำให้คยูฮยอนตาย เมื่อคยูฮยอนจากไป ซีวอนก็ถูกตัดขาดจากครอบครัวนั้นไปด้วย แต่โชคดียังคงเป็นของทงเฮอยู่ ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นในขณะที่ทงเฮกำลังโทษว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเอง รยออุคก็ส่งข้อความตอบกลับมา

     

                แม้ว่าข้อความในอีเมล์ตอบกลับจะเป็นที่น่าตกใจอยู่ไม่น้อย แต่สองสิ่งที่ทงเฮได้รู้ก็คึอ...หนึ่งเขาไม่ใช่คนผิดอีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดนั้นเกิดจากการกระทำของคนๆ หนึ่งอย่างที่รยออุคว่าจริงๆ บางทีความผิดของทงเฮอาจจะยังไม่จางหาย มันลอยล่องอยู่ในอากาศเช่นเดิม เพียงแต่ว่าทงเฮละทิ้งมันออกไป และเขาล้มเลิกที่จะยอมรับความผิดไว้กับตัวเอง

     

                ส่วนข้อที่สองนั้นก็คือ...ถึงแม้ว่าบรรดาญาติของรยออุคจะไม่ให้ความช่วยเหลือซีวอนก็ตาม แต่รยออุคก็เป็นคนเดียวที่ยังเห็นใจซีวอนที่สุด รยออุคอาจจะไม่ได้รักซีวอนเลยสักนิด แต่เขากำลังทำเพื่อน้าชายของตัวเอง

     

                และในอีเมล์มีเพียงข้อความสั้นๆ ตอบกลับมาว่า...

     

                จริงๆ คุณน้ายังไม่ตาย นายบอกคุณน้าซีวอนแค่นี้แหละ เพราะฉันเองก็บอกนายได้เท่านี้เหมือนกัน

     

                ทงเฮเข้าใจความหมายของรยออุคดี วินาทีนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากขึ้นกว่าเมื่อตอนอายุสิบหก ทงเฮคิดว่าเขาเข้าใจความคิดของรยออุคพอๆ กับที่เข้าใจในความรู้สึกของฮยอกแจก่อนหน้านี้

     

                คนๆ หนึ่งมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของอีกคนหนึ่งเสมอ ถ้าหากพวกเขามีความรู้สึกใดๆ ต่อกัน ไม่ว่าจะรัก...หรือเกลียดกันก็ตาม

     

                สำหรับเขากับฮยอกแจ มันเป็นความรัก และสำหรับซีวอนกับคยูฮยอน มันเป็นความรู้สึกในแบบเดียวกัน

     

                ทงเฮรีบต่อสายไปหาซีวอนทันทีหลังจากได้รับอีเมล์ตอบกลับมาจากรยออุค เขารู้สึกถึงกล้ามเนื้อภายในร่างกายที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ราวกับมีคนกำลังตีกลองลั่นอยู่ในนั้นนับพันนับหมื่นคน ทงเฮรู้สึกกลัวว่าฮยอกแจอาจจะมาพบเห็นที่เขาทำแบบนี้แล้วเกิดไม่พอใจขึ้นมา ทงเฮไม่อยากทำให้ฮยอกแจไม่สบายใจ

     

                แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำในสิ่งที่ฮยอกแจห้าม

     

                โชคดีที่มีเสียงรถยนต์จอดอยู่หน้าบ้านพอดี ฮยอกแจจึงเดินออกไปดู ทงเฮได้โอกาสต่อสายหาซีวอน ในวินาทีที่สัญญาณรอสายดังขึ้นนั้น เสียงหัวใจของทงเฮเต้นแรงและเร็วขึ้นจนรู้สึกได้ แม้ทงเฮจะยังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคยูฮยอนยังไม่ตาย แต่รยออุคไม่ใช่คนขี้โกหก ทงเฮจึงเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

     

                หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยากให้ความจริงมันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ได้

     

                ทงเฮไม่สงสัยเลยสักนิดว่าทำไมคยูฮยอนจึงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่งานศพก็จัดออกใหญ่โต ญาติๆ ของคยูฮยอนทุกคนต่างสวมชุดดำไปร่วมงานที่แสนเศร้านั้น ใบหน้าของหลายๆ คนดูหมองคล้ำเพราะความเศร้าโศก บรรยากาศทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นและรู้สึกได้จริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่ญาติของคยูฮยอนจะร่วมกันโกหก

     

                หรืออาจจะมีเพียงรยออุคคนเดียวที่รู้ความจริงตั้งแต่แรกและเก็บความลับนี้เอาไว้ แต่ทั้งหมดนั่น ทงเฮไม่ทันได้นึกสงสัยเลย สิ่งที่เขาคิดอยู่ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวก็คือการโทรไปบอกข่าวดีนี้แก่ซีวอนเพื่อให้ซีวอนมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตที่โหดร้าย

     

                เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานแล้ว แต่ยังไม่มีคนรับสาย ทงเฮลองโทรไปอีกครั้งก่อนจะพบว่าสายถูกตัดลงอย่างกะทันหัน และเมื่อโทรอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก็โทรไม่ติดเสียแล้ว

     

                ทงเฮไม่มีวันรู้เลยว่าการกระทำของเขาได้สร้างความรำคาญใจให้ใครบางคนมากเพียงใด ซีวอนที่เครียดจนถึงที่สุดไม่อยากพบปะพูดคุยกับใครสักคน เขานั่งอยู่ในห้องครัวมืดๆ ในบ้านหลังเก่าที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับคยูฮยอนมากว่าสิบปี ดื่มบรั่นดีพลางคิดถึงเรื่องในอดีต

     

                เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ซีวอนหงุดหงิด และยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อพบว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นทงเฮนี่เอง เขาขว้างโทรศัพท์ทิ้งจนมันแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ชิ้นส่วนต่างๆ กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ซีวอนคิดว่าโทรศัพท์ไม่มีความจำเป็นกับเขา และในชีวิตนี้เขาก็จะไม่ใช้มันอีกต่อไปแล้ว

     

                แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทงเฮได้ส่งข้อความเสียงฝากไปให้ซีวอนพอดี

     

                “คุณซีวอนครับ อย่าท้อนะครับ รยออุคบอกกับผมว่าคุณคยูฮยอนยังไม่ตาย คุณคยูฮยอนอาจจะต้องการใช้เวลาเพื่อตั้งสติ ใช้เวลาเพื่อทบทวนเรื่องราวต่างๆ เขาไม่ตายเพราะเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อคุณซีวอนนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าท้อนะครับ ห้ามหมดกำลังใจเด็ดขาด”

     

                ทงเฮมองโทรศัพท์ในมือของตัวเองหลังจากฝากข้อความเสียงเรียบร้อยแล้ว เขาไม่รู้ว่าซีวอนจะมีโอกาสได้ฟังข้อความจากเขาหรือเปล่า แต่แค่นี้ทงเฮก็พึงพอใจแล้ว เขามีความสุขแล้วกับการช่วยเหลือในส่วนของตัวเอง และหลังจากนี้มันเป็นชะตาชีวิตของซีวอนเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

     

                ทงเฮเชื่อตามคำพูดของฮยอกแจ

     

                หลังจากนั้นทงเฮเดินออกไปนอกห้อง แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกและผิดหวังนิดหน่อยที่ฮยอกแจกำลังนั่งคุยกับใครบางคน จุนซูนั่นเอง และเสียงรถยนต์เมื่อครู่นี้ก็คงจะเป็นของจุนซูด้วยเช่นกัน ทงเฮนึกสงสัยว่าทำไมจุนซูถึงตั้งตัวเร็วนักทั้งๆ ที่กลับเกาหลีมาได้ครึ่งปีเท่านั้น และรถยนต์ก็ไม่ได้มีราคาถูกๆ

     

                จุนซูอาจจะขยันขันแข็งและเก็บเงินได้ หรือไม่ก็มาจากคนรักคนใหม่ของเขา ฮยอกแจเคยบอกทงเฮเอาไว้ว่าไม่ต้องคิดมาก จุนซูเป็นพวกที่ไม่ชอบยึดติด แม้ช่วงขณะหนึ่งจะบอกว่ารักฮยอกแจหนักหนา แต่สุดท้ายก็มีรักใหม่ได้อย่างง่ายดายราวกับว่าความรู้สึกในแบบคนรักไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

     

                ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ทงเฮก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่จุนซูมาอยู่ที่นี่ เขารู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง จะก้าวขาก็ก้าวไม่ออก จนกระทั่งจุนซูหันมาเห็นและลุกขึ้นยืน

     

                “ทงเฮออกมาพอดี” สิ้นคำพูดของจุนซู ฮยอกแจก็หันมามองทงเฮด้วยพร้อมกับกวักมือเรียก

     

                “สวัสดีครับอาจุนซู”

     

                “คงอึดอัดสินะถ้าฉันยังอยู่ที่นี่ งั้นฉันกลับก่อนล่ะ นายกับลูก...เอ้ย! ทงเฮจะได้มีเวลาคุยกัน” ไม่รู้ว่าคุยกันในความหมายของจุนซูแปลว่าอะไร แต่ตอนที่เจ้าตัวพูดคำนั้น ดวงตาของจุนซูมีประกายแวววาวชอบกล ฮยอกแจยืนขึ้นในทันทีแล้วคว้าแขนจุนซูเอาไว้ ในตอนนั้นทงเฮรู้สึกถึงใบหน้าที่ชาวาบ และโหนกแก้มก็กระตุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

     

                สาเหตุอาจจะมี แต่ทงเฮไม่รู้ตัวว่าเขากำลังตกอยู่ในอาการหึงขั้นรุนแรง

     

                “เมื่อกี้บอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ?” ฮยอกแจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่จุนซูกลับส่ายหน้ารัวแล้วยิ้มกว้าง

     

                “แค่บ่นลอยๆ น่ะ ไม่ได้ต้องการให้ใครทำให้กินสักหน่อย เอ้อ...ฉันว่าฉันควรจะรีบไปดีกว่า พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า” จุนซูบอกเหตุผลที่เขาควรจะกลับ ก่อนจะยืดตัวมากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูฮยอกแจ ทงเฮได้แต่เบนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับเป็นส่วนเกิน

     

                “บ้าน่า ไม่เคยสักหน่อย” ฮยอกแจผลักจุนซูเบาๆ ให้เดินไปนอกบ้าน ทงเฮรีบรุดหนีเข้าไปในห้องนอนของฮยอกแจ แต่ก่อนที่จะได้ปิดประตูลง เขาสังเกตเห็นว่าใบหูของฮยอกแจแดงก่ำ ทำให้นึกสงสัยว่าเมื่อครู่จุนซูกระซิบว่าอะไรกันแน่

     

                เมื่อเข้ามาในห้อง ทงเฮก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความสับสน เขาหันหน้าออกไปทางหน้าต่างและได้ยินเสียงรถยนต์เคลื่อนผ่านไป ไฟหน้ารถก็ค่อยๆ หายไปด้วย จนเหลือเพียงแสงของดวงจันทร์และแสงไฟตามท้องถนนในหมู่บ้าน

     

                อีกสองนาทีหลังจากนั้นฮยอกแจก็เดินเข้ามาในห้องบ้าง ทงเฮตำหนิฮยอกแจอยู่ในใจว่าเข้ามาช้าเหลือเกิน ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเวลาเพียงแค่สองนาทีเท่านั้นเอง ฮยอกแจล้มตัวลงนอนข้างๆ กับทงเฮ เขานอนหงายลืมตามองเพดานสีขาวที่ว่างเปล่า เหลือบตามองทงเฮที่หันหลังให้เขาพลางนึกถึงคำพูดของจุนซูแล้วยิ้มเก้อเขินออกมาเพียงคนเดียว

     

                ฮยอกแจไม่ได้โอบกอดทงเฮเหมือนทุกคืน อาจเป็นเพราะคำพูดของจุนซูทำให้คืนนี้เขาอยากจะนอนอยู่แบบนี้ จนในที่สุดฮยอกแจก็พลิกตัวนอนหันหลังให้ทงเฮบ้าง บนเตียงกว้างจึงปรากฏว่าทั้งคู่หันหน้าหนีจากกัน

     

                นานทีเดียวในความมืด ทงเฮนอนไม่หลับเพราะไม่ได้รับอ้อมกอด ในขณะที่ฮยอกแจก็นอนไม่หลับด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน เขาไม่ได้กอดทงเฮ แล้วทงเฮก็ค่อยๆ เอี้ยวตัวมามอง เมื่อเห็นเพียงแผ่นหลังของฮยอกแจ ทงเฮได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ความเงียบทำให้ฮยอกแจได้ยินเสียงนั้น ทงเฮยังไม่พูดอะไรออกมา เขาหันหลังกลับไปนอนตามเดิมแล้วจึงเปล่งเสียงขึ้น

     

                “ป๊า”

     

                “อือ” ฮยอกแจตอบมาในลำคอ ทำให้ทงเฮไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วหรือยัง แต่เขาก็เอ่ยถามต่อ

     

                “เมื่อกี้...อาจุนซูเขาพูดว่าอะไรเหรอ?”

     

                เมื่อพูดจบ ทงเฮพบว่าในห้องนอนไม่เงียบเสียทีเดียว มีเสียงเครื่องปรับอากาศด้วย เขาอยากให้เสียงหึ่งๆ นั้นเป็นคำตอบของฮยอกแจ และทงเฮกลัวว่าฮยอกแจจะพูดเสียงเบามาก จึงตั้งใจฟังมากกว่าทุกครั้ง แต่คำตอบของฮยอกแจทำให้ทงเฮผิดหวัง

     

                “ไม่มีอะไรหรอก”

     

                “ไม่มีเหรอ อืม...คงเป็นเรื่องของคนสองคนสินะ” คำว่าคนสองคนทงเฮหมายถึงฮยอกแจกับจุนซู

     

                “ใช่” แต่คำตอบของฮยอกแจ หมายถึงตัวเขากับทงเฮนั่นเอง แล้วทงเฮจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

     

                “ทำไมป๊าไม่คบกับอาจุนซูเสียล่ะ?” ทงเฮเอ่ยถามอย่างประชดประชัน แต่ฮยอกแจไม่รู้ หรือเขาอาจจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังเฉไฉเพราะอยากแกล้งทงเฮ ทงเฮพูดโกหกไม่ค่อยเนียน และก็เป็นฮยอกแจที่มักจะจับโกหกได้เสมอ ขึ้นอยู่กับจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

     

                “ป๊าไม่ได้ชอบผู้ชาย...” ฮยอกแจเว้นไปเงียบหนึ่ง แน่นอนว่าทงเฮขมวดคิ้วฉับอย่างนึกแปลกใจ เพราะทงเฮเองก็เป็นผู้ชายเช่นกัน “...คนอื่น นอกจากทงเฮ”

     

                “แล้วผู้หญิงล่ะ...ไม่ชอบบ้างเหรอ?” ทงเฮเอ่ยถามอีกครั้งอย่างงี่เง่า ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฮยอกแจรักใคร แต่เขาก็ยังเอาแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยเช่นนั้น และทงเฮทำให้ฮยอกแจเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

     

                “ไม่ชอบหรอก” ฮยอกแจตอบสั้นๆ ทั้งที่ยังหันหลังให้กัน

     

                “ถ้าป๊าจะรักผู้หญิงสักคน ทงเฮจะไม่ว่าเลยนะ”

     

                “ทำไม?” เสียงของฮยอกแจเริ่มแหบแห้งลง แต่ทงเฮก็ยังไม่หยุดพูดเรื่องนี้

     

                “ป๊าเคยรักผู้หญิงมาก่อนไม่ใช่เหรอ แม่ของทงเฮไง จริงๆ แล้วผู้ชายย่อมคู่กับผู้หญิง ไม่แน่...สักวันทงเฮอาจจะหลงรักผู้หญิงสักคนหนึ่ง อาจจะได้แต่งงานแล้วมีลูกกับเธอก็ได้”

     

                “พูดเหมือนเรื่องตลก!” ฮยอกแจพูดคล้ายสบถออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยประโยคคล้ายคำถาม แต่ถ้าฟังดีๆ แล้วจะพบว่ามันไม่ใช่ “ทงเฮไม่ได้มีคนรักอยู่แล้วหรือไง”

     

                ทงเฮระบายรอยยิ้มออกมานิดๆ ที่คำตอบของฮยอกแจเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ยังมีคำถามมากมายอยู่ในใจ อยากจะถามต่อไปอีก แต่ฮยอกแจกลับพูดขึ้นมาเสียก่อน และเป็นคำพูดที่ทำให้ทงเฮหมดสิ้นคำถามไปทั้งหมดเลย

     

                “ใครคนหนึ่ง...ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว” ฮยอกแจหยุดคำพูดที่คล้ายดั่งบทกวีที่ไม่มีสัมผัสนอกหรือสัมผัสในไว้เพียงเท่านั้น แต่ทงเฮกลับอิ่มเอมใจเหลือเกินที่ได้ยินและได้ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

     

                ทงเฮขยับพลิกตัวเข้าหาฮยอกแจแล้ววาดแขนเรียวโอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง เมื่อฮยอกแจถูกสวมกอดก่อน เขาจึงรีบหันมาแล้วโอบกอดร่างเล็กของทงเฮไว้แนบแน่น การสิ้นสุดของราตรีมีเพียงเท่านี้ แค่พวกเขากอดกันไว้อย่างนี้แล้วหลับตาลง

     

                ฮยอกแจโน้มลงใกล้แก้มเนียนของทงเฮแล้วกระซิบคำพูดหนึ่งเหมือนกับที่จุนซูกระซิบบอกกับเขา

     

                “คืนนี้...กี่ครั้งดีล่ะ?”

     

                ฮยอกแจไม่ได้บอกทงเฮว่านั่นเป็นคำพูดจากจุนซู เขาเพียงแต่ทำให้มันดูเป็นสองแง่สองง่าม และทงเฮก็รู้สึกเขินอายจนหน้าแดงหูแดงเหมือนที่ฮยอกแจเป็นมาก่อนหน้านี้ คำตอบของคำถามมีตั้งแต่แรกแล้ว แต่พวกเขาแค่สองเท่านั้นเองที่ได้รับรู้มัน

     

     

    Talk with Lee Seen

                เป็นหนึ่งในไม่กี่ตอนที่ซีนชอบ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

    รู้ว่าเป็นความสุขเล็กๆ ที่ได้แต่งตอนนี้

    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ของทุกๆ คนค่ะ

     

    เปิดจองฟิควอนเดอร์คยู เล่มละ 270 บาท ถ้าสั่งหลงรัก คิดค่าส่งเพิ่มเล่มละ 10 บาท

    ถ้าไม่ได้สั่งหลงรัก คิดค่าส่งเล่มละ 40 บาทค่ะ

    ส่งชื่อและจำนวนที่ต้องการจองเข้าเมล์ am_zyne@hotmail.com ได้เลยค่ะ

    (ขอบคุณสำหรับพื้นที่เล็กๆ)

     

               

               

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×