ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #53 : Chapter 51 ยาก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.96K
      5
      27 ม.ค. 55

    Chapter 51

    ยาก

     

                “ว่าไงนะครับ ต้องกลับเดี๋ยวนี้เลยเหรอ?” เสียงทุ้มที่ดังมาจากห้องนอนทำให้คยูฮยอนซึ่งกำลังเตรียมขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้าชะงักมือลงแล้วแอบฟังคำสนทนานั้นโดยไม่ตั้งใจ “แม่ครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อวันก่อนเอง นี่มันยังไม่ถึงอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ”

     

                ชางมินกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน แต่เท่าที่ฟังดูแล้วคนๆ นั้นน่าจะเป็นแม่ของเขา ร่างสูงโปร่งเปิดประตูแล้วเดินออกมาจากห้องนอนทำให้คยูฮยอนทำทีเป็นว่ากำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหาร และเมื่อชางมินคล้อยหลังไปแล้ว คยูฮยอนจึงค่อยๆ หันกลับไปมองอีกครั้ง ตอนนี้ชางมินทิ้งตัวลงบนโซฟา มือข้างหนึ่งกุมหน้าผากด้วยท่าทางเคร่งเครียด

     

                “ยังไงผมก็คงไม่กลับในเร็วๆ นี้หรอกครับ ผมมีบางอย่างที่ต้องรับผิดชอบที่นี่”

     

                คยูฮยอนที่ได้ยินได้ฟังทุกๆ ประโยคจากปากของชางมินได้แต่เม้มริมฝีปากตัวเองแน่น สิ่งที่ชางมินต้องรับผิดชอบไม่ใช่หน้าที่การงานเลย ชางมินต้องหยุดพักงานที่เกาหลีชั่วคราวก็เพื่อมาดูแลคนๆ หนึ่ง และคนที่ชางมินต้องรับผิดชอบก็ไม่ใช่ใครอื่น โจ คยูฮยอนคนนี้นี่เอง

     

                “ซองมินเขาก็รับผิดชอบตัวเองได้ครับ อีกอย่าง...เราไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นนอกจากพี่กับน้อง”

     

                คยูฮยอนกำลังรู้สึกว่าตัวเองได้ทำบางอย่างผิดพลาดไป เขาไม่เพียงแต่ต้องการทำให้ซีวอนเสียใจเท่านั้น แต่คนที่ต้องพลอยมาร่วมรับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ยังมีชางมินและคนอื่นๆ อีกด้วย คยูฮยอนมือไม้สั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาเดินถอยหลังจนชนเข้ากับจานกระเบื้องที่ใส่ขนมปังปิ้งจนมันหล่นและแตกกระจาย

     

                ในตอนนั้น เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชางมินหันมามองอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสืบเท้าเข้ามาในห้องครัวเพื่อถามไถ่คยูฮยอน

     

                “เกิดอะไรขึ้น แล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ชางมินไม่ได้ตำหนิคยูฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว เขาพุ่งความสนใจไปที่ตัวของคยูฮยอนเท่านั้น

     

                “ไม่...ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมแค่ซุ่มซ่ามน่ะ” คยูฮยอนบอก ก่อนจะหลบสายตาเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ที่แอบฟังอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ “เดี๋ยวผมจะรีบทำความสะอาดให้นะครับ โอ๊ย!

     

                ด้วยความลุกลี้ลุกลนของเจ้าตัวทำให้คยูฮยอนก้าวไปเหยียบเศษกระเบื้องจนได้ ร่างโปร่งเกือบจะล้มลงด้วยความเจ็บปวดและความตกใจ แต่ชางมินก็ถลันเข้าไปประคองไว้แล้วพามานั่งทำแผลที่โซฟา

     

                ตลอดเวลาที่ชางมินทำแผลให้นั้น คยูฮยอนไม่ได้นึกขอบคุณชางมินอยู่ในใจเลยสักนิด สายตาของเขาเหม่อลอยแม้ว่าจะจ้องมองชางมิน คยูฮยอนไม่ได้เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นชางมินเลย เขากำลังเห็นภาพของซีวอนที่ซ้อนทับอยู่

     

                “คงจะดีถ้าซีวอนอยู่ตรงนี้...” เสียงหวานเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงหดหู่และเศร้าสร้อยจนชางมินเงยหน้าขึ้นมาสบตา

     

                “คิดถึงซีวอนเหรอ?” เขาเอ่ยถามขึ้น

     

                “ครับ?” คยูฮยอนเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อตอนนั้น เขาทำหน้าตาเหรอหราแล้วเอ่ยถามกลับไป “ทำไมถึงคิดว่าผมคิดถึงซีวอนล่ะ?”

     

                “ก็เมื่อกี้นายพูดว่า...คงจะดีถ้าซีวอนอยู่ตรงนี้”

     

                “ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยนะครับ” คยูฮยอนทำหน้างุนงง เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยสักคำ แม้จะคิดอย่างที่ชางมินว่าก็เถอะ สุดท้ายมือบางก็ยกขึ้นทาบริมฝีปากของตัวเองอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะครับพี่ชางมิน”

     

     

                “ไม่ต้องขอโทษหรอก ถ้าพี่ไม่ได้โกรธ นายก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”

     

                “แต่...”

     

                “คยูฮยอน!” ชางมินเรียกเสียงดุ “พี่ไม่อนุญาตให้นายพูดคำว่าขอโทษหรือขอบคุณใดๆ ทั้งสิ้น พี่ไม่อยากได้ยินมัน เพราะ...ยิ่งนายพูดคำนี้มากเท่าไรก็แปลว่านายยังรู้สึกผิดต่อพี่และลืมเขาไม่ได้”

     

                คยูฮยอนไม่ได้ตอบอะไรอีก แม้ในใจของเขาจะยังมีคำขอบคุณและขอโทษอีกมากมายที่อยากจะบอกชางมิน ใช่แล้วล่ะ เขาทั้งรู้สึกผิดต่อชางมิน รู้สึกโกรธแค้นตัวเองที่ขี้ขลาดแบบนี้ ในขณะเดียวกันคยูฮยอนก็ยังไม่เคยลืมซีวอนได้เลย

     

                เขาบอกว่าจะลืม...แต่ไม่เคยพยายามที่จะลืมเลยสักครั้ง

     

                ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ซีวอนก็ยังเป็นคนเดียวที่คยูฮยอนเก็บเอาไว้ในหัวใจเสมอมา

     

                “พี่ทำแผลให้เสร็จแล้วล่ะ แต่ดูสิ...มันน่าเกลียดชะมัด!” ชางมินปล่อยเท้าของคยูฮยอนให้เป็นอิสระ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมากับสภาพการทำแผลของตัวเอง เขาปิดผ้าพันแผลบิดๆ เบี้ยวๆ และไม่น่าดูเอาเสียเลย คยูฮยอนเห็นแล้วก็พลอยหัวเราะออกมาด้วย

     

                “ก็พี่ชางมินไม่ใช่หมอนี่ครับ ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว” คยูฮยอนบอก ก่อนจะขยับตัวให้ชางมินขึ้นมานั่งบนโซฟาด้วยกัน

     

                “เวลานายเจ็บป่วย ซีวอนเขาคงดูแลนายดีมากเลยสินะ เพราะว่าเขาเป็นหมอ เขาน่าจะดูแลนายได้ดีที่สุด” คำพูดของชางมินทำให้คนฟังได้แต่กระพริบตาปริบๆ เพราะพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย จริงอยู่ที่ซีวอนดูแลเขาเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นกับคยูฮยอน ไม่ว่าจะอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่หนักหนาสาหัสจนเลือดตกยางออก ซีวอนก็ช่วยดูแลได้เป็นอย่างดี

               

                แต่สิ่งที่คยูฮยอนไม่เคยชอบเลยก็คือ...ซีวอนดูแลเขาดีอย่างไร ซีวอนก็ดูแลคนไข้ของตัวเองดีอย่างนั้น คยูฮยอนจึงไม่เคยรู้สึกถึงความแตกต่างของความพิเศษหรือความไม่พิเศษนี้

     

                เขาคิดว่าซีวอนรักทุกๆ คนบนโลกเท่าๆ กับที่รักเขา

     

                ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่คยูฮยอนมองข้ามมันไปตลอดก็คือซีวอนไม่เคยอยู่เฝ้าไข้คนอื่นตลอดทั้งคืนเหมือนที่เคยทำกับคยูฮยอน ซีวอนไม่เคยทิ้งคนไข้คนหนึ่งเพื่อมาดูแลคนไข้อีกคนหนึ่ง หากคนไข้คนนั้นไม่ได้ชื่อว่าคยูฮยอน และซีวอนไม่เคยรักษาใครด้วยความรักเหมือนที่เขารักษาคยูฮยอน

     

                เมื่อรักษาคนอื่น ซีวอนก็ทำเพื่อคนอื่น

     

                แต่เมื่อรักษาคยูฮยอน เขาทำเพื่อตัวเอง เพราะหากขาดคยูฮยอนไปแล้ว ซีวอนก็จะอยู่ไม่ได้

     

                ทั้งหมดนี้คยูฮยอนลืมเลือนมันไปหมดแล้วเพียงเพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นยังคอยย้ำเตือนจิตใจ เรื่องของทงเฮทำให้ความรู้สึกที่เคยปลื้มใจและมีความสุขถูกทำลายลงไปจนหมดสิ้น เพียงแค่เรื่องของทงเฮเท่านั้น ถ้าคยูฮยอนตัดความรู้สึกปวดร้าวในอดีตออกไปได้ เขาก็จะมองเห็น...ว่าซีวอนรักตัวเองมากแค่ไหน

     

                “จริงสิครับ เมื่อกี้แม่ของพี่ชางมินโทรมา...” คยูฮยอนไม่ได้อยากจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น แต่เขาเป็นห่วงชางมิน ด้วยน้ำเสียงและหน้าตาของชางมินบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังเคร่งเครียดกับเรื่องบางอย่าง

     

                “แม่อยากให้พี่กลับเกาหลีน่ะ พอพี่บอกว่ายังไม่กลับในตอนนี้ก็เลยมีปากเสียงกันนิดหน่อย”

     

                “เพราะผมเหรอครับ?”

     

                “หืม?” ชางมินเลิกคิ้วถาม

     

                “เพราะผมใช่ไหม พี่ชางมินถึงไม่อยากกลับไป เพราะพี่ชางมินกลัวว่าผมจะอยู่คนเดียวไม่ได้ใช่ไหมครับ?”

     

                “ไม่ใช่หรอก” ชางมินโคลงศีรษะปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยต่อ “พี่รู้ว่านายดูแลตัวเองได้ แต่พี่ก็ยังอยากอยู่กับนาย พี่อยากใช้ชีวิตอยู่กับนาย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วกินอาหารที่นายทำให้ อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นี่ไปนานๆ”

     

                “กลับไปพบคุณแม่ก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้นี่ครับ” คยูฮยอนบอกอีกฝ่ายพลางเอื้อมมือไปแตะหลังมือของชางมินเบาๆ

     

                “แต่พี่กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก” นั่นเป็นแค่ลางสังหรณ์ของชางมิน เขารู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เหมือนที่เขาเคยกลัวมาก่อนว่าคยูฮยอนกับซีวอนจะกลับมาคืนดีกัน แล้วมันก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้จริงๆ

     

                “ถ้าพี่ชางมินกลัว ให้ผมกลับไปพร้อมกันนะครับ เราจะได้ไม่ต้องแยกจากกันไง”

     

     

                จงอุนนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไร้ความเคลื่อนไหวมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขารู้สึกเหงาและอ้างว้างมากขึ้นทุกวันตั้งแต่เกิดเรื่องที่เกิดขึ้นที่สวนสาธารณะในเย็นวันนั้น จงอุนไม่ได้โกรธเคืองกึนยองเลยสักนิด เพราะว่าเขาเองก็ไม่ได้ผูกพันกับเธอ เขาจึงไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย

     

                แต่อย่างน้อย...มีสิ่งที่หนึ่งที่จงอุนรู้สึก เขารู้สึกขอบคุณต่อกึนยองเป็นอย่างมาก เธอไม่เพียงแต่ทำให้เขาเห็นว่าตัวเองมีค่า แต่เธอยังทำให้เขารู้ใจตัวเองมากขึ้นไปอีกว่าความรักที่เขามีให้กับรยออุคมันเป็นความจริงมากแค่ไหน

     

                แม้ว่าตอนนี้จงอุนจะยังสัมผัสมันไม่ได้

     

                แต่เขาก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน

     

                ทว่าหลายวันมาแล้วที่รยออุคยังไม่ตอบอีเมล์กลับมา จงอุนพยายามติดต่อ พยายามส่งอีเมล์ไปซ้ำๆ เพื่อหวังว่าเมื่อรยออุคเช็คอีเมล์แล้วจะได้รู้ว่าเขาทุกข์ร้อนใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่เลย รยออุคคงไม่รู้สึกแบบนั้นกับเขาอีกแล้ว

     

                หรือไม่...คิม รยออุคก็คงหลงรักคนอื่นไปแล้วจริงๆ อย่างที่กึนยองบอก

     

                จงอุนพับหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คลง ก่อนจะลุกพรวดพราดออกไปจากห้องนอน เขาอยากจะออกไปดื่มกับเพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันตอนมัธยมปลาย เขาเครียดและว้าวุ่นในใจเกินกว่าที่จะอยู่ตามลำพังในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี่อีกแล้ว

     

                แต่เมื่อลงมาข้างล่าง จงอุนก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าอยู่ในร้าน จองซูเคยสอนไว้เสมอ ต่อให้จะอารมณ์หงุดหงิดมาจากไหนก็ตาม ถ้ามีลูกค้าอยู่ในร้าน เขาจะต้องยิ้มแย้ม เพราะเมื่อลูกค้าเห็นรอยยิ้มจากคนในร้านแล้วก็ทำให้อยากจะเข้ามาใช้บริการอีก

     

                รอยยิ้มที่จงอุนวาดออกมานั้นบังเอิญส่งไปทางลูกค้าที่มองเขาผ่านกระจกพอดี ทั้งคู่สบตากันเพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้นเท่านั้น ก่อนที่จงอุนจะรีบผลุนผลันออกไปเพราะเข้าใจว่าเธอคือกึนยอง ความเคยชินที่เห็นกึนยองอยู่ทุกวันทำให้เขาเห็นคนอื่นเป็นเธอ

     

                แต่ก่อนที่มือแกร่งจะผลักประตูกระจกออกไป ขาเรียวยาวก็หยุดกึก จงอุนค่อยๆ หันหลังกลับมาช้าๆ ก่อนจะจ้องมองใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในกระจกเงาอีกครั้ง

     

                “รยอ...”

     

                “ผมเองครับ” คำตอบรับที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสทำให้จองซูที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอุปกรณ์เหลือบมามอง ดูเหมือนผู้เป็นลุงจะเดาใจหลานชายจากการอ่านสายตาได้ จองซูจึงเดินเลี่ยงไปหลังฉากกั้นหน้าร้าน บริเวณหน้าร้านจึงเหลือเพียงจงอุนและรยออุคเท่านั้น

     

                “กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?” จงอุนถามเสียงเรียบ ในใจรู้สึกเดือดปุดๆ จนแทบจะระเบิดออกมา ทั้งดีใจ ทั้งโมโห ทุกความรู้สึกมันผสมปนเปและตีกันจนมั่วไปหมด

     

                “กลับมาได้เกือบอาทิตย์แล้วครับ คืนนี้ก็จะกลับไปเรียนต่อแล้ว” รยออุคตอบด้วยเสียงราบเรียบ ต่างจากจงอุนที่กำมือแน่นจนตัวสั่นเทา “พี่จงอุน...”

                “คงสะใจมากใช่ไหมที่เห็นพี่เป็นคนโง่ คงจะสนุกมากเลยล่ะสิที่ได้ปั่นหัวคนอื่นแบบนี้ ที่ผ่านมาพี่ไม่รู้ใจตัวเอง มันเป็นความผิดของพี่เอง แต่การที่นายมาทำแบบนี้ นายคิดว่าความรักมันแค่เรื่องตลกอย่างนั้นเหรอ รยออุค...ถ้าเลิกรักกันแล้วก็บอกมาตรงๆ เลย อย่าทำแบบนี้!

     

                เขาระบายออกมาจนหมดแล้วก็ผลักประตูร้านออกไปอย่างแรง รยออุคได้แต่นั่งอ้าปากค้างอยู่ที่เก้าอี้พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา ในขณะที่จองซูที่ได้ยินคำพูดของหลานชายทั้งหมดก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากฉากกั้นร้าน ก่อนจะชี้นิ้วไปที่รยออุคสลับไปมากับหลานชายของตัวเองที่เพิ่งวิ่งหนีออกไป แล้วเสียงตะกุกตะกักก็ค่อยๆ เอ่ยถามขึ้น

     

                “จะ...จงอุนรัก...รัก...”

     

                “เดี๋ยวผมกลับมาอธิบายให้ฟังนะครับคุณลุงจองซู” รยออุคกระชากผ้าคลุมไหล่ออก ก่อนจะค้อมศีรษะลาจองซูแล้ววิ่งตามจงอุนออกไปอย่างรวดเร็ว รยออุควิ่งตามออกไปได้ไม่กี่นาทีก็เห็นจงอุนเดินทอดน่องอยู่ริมฟุตบาท ท่าทีของชายหนุ่มสงบนิ่งราวกับไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองพูดเมื่อครู่นี้ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า และเมื่อรยออุคแตะมือบางที่แขนของจงอุน เขาก็หยุดก้าวเดิน

     

                “พี่จงอุน” สิ้นเสียงเรียกของรยออุค จงอุนก็ทำท่าจะเดินหนีอีกครั้ง มือเล็กๆ จึงรีบคว้าจับชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น “ฟังผมก่อนได้ไหม?”

     

                “มีอะไรต้องฟังอีก ในเมื่อพี่เข้าใจทุกอย่างแล้ว”

     

                “ผม...” แม้ว่ามันจะเหมือนการแก้ตัวมากแค่ไหน แต่รยออุคก็ยังอยากจะอธิบายออกไป “ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกนะครับ แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะปั่นหัวพี่จงอุนด้วย”

     

                “แล้วที่ผ่านมามันหมายความว่าไง ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์ ไม่ให้ที่อยู่  ให้แค่อีเมล์เท่านั้น และทุกครั้งที่พี่ส่งเมล์ไปหานาย ก็ได้แค่ข้อความตอบกลับมาสั้นๆ พูดถึงดินฟ้าอากาศ พูดถึงเพื่อนใหม่ นายไม่เคยบอกเลยสักครั้งว่า...นายคิดถึงพี่มากแค่ไหน”

     

                “ผมคิดถึงพี่จงอุน” รยออุคขยำชายเสื้อของจงอุนไว้แน่น เขาก้มหน้าแล้วบอกความในใจด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาอุ่นหยดลงบนพื้นมากมาย ก่อนที่ร่างเล็กจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาอีกฝ่ายแล้วโอบกอดไว้จากด้านหลัง “คิดถึงพี่จงอุนแทบจะขาดใจ”

     

                “พี่ยังเชื่อคำพูดของนายได้อีกเหรอ?”

     

                “ไม่ต้องเชื่อก็ได้ครับ แค่ฟังผมพูดก็พอ” รยออุคซบหน้าไปกับแผ่นหลังของจงอุน แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงบางเบา “ผมต้องหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงพี่จงอุนมากเกินไป ทั้งๆ ที่อยากจะกลับมาหาอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่อยากจะเห็นหน้าแต่ก็แข็งใจเอาไว้ ผมกลัวว่าจะเรียนไม่จบ กลัวว่าไปอยู่ที่นั่นแล้วจะกลับมามือเปล่าเพราะทนต่อความคิดถึงไม่ไหว”

     

                จงอุนไม่รู้ว่าร่างกายและหัวใจของเขาเป็นอะไรกันแน่ แค่เพียงรยออุคพูดออกมาไม่กี่ประโยค เขาก็พร้อมที่จะเชื่อคำพูดทั้งหมดนั่นแล้ว แต่ร่างสูงก็ยังยืนนิ่งเฉย ไม่หันกลับไปมองอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว

     

                “ผมไม่เคยลืมพี่จงอุนเลยนะครับ รยออุคคนนี้...เมื่อก่อนรักพี่จงอุนยังไง ตอนนี้ก็ยังรักอยู่อย่างนั้น ไม่ได้คิดจะกลั่นแกล้ง ไม่ได้คิดจะทำร้าย แต่...เพราะรักมากเกินไปเลยต้องข่มใจเอาไว้แบบนี้”

     

                เสียงของรยออุคสั่นเทาเหมือนกับร่างกาย ก่อนที่ขาเรียวจะอ่อนแรงจนทรุดนั่งยองๆ กับพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้เหมือนเด็กๆ จงอุนเบิกตากว้าง ก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วประคองร่างของรยออุคขึ้นมา

     

                “พอแล้ว เลิกร้องไห้ได้แล้ว” เขาพูดแล้วเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าหวานของอีกฝ่ายด้วยความรัก

     

                “แต่พี่จงอุนไม่เข้าใจผม”

     

                “พี่เข้าใจแล้ว เข้าใจเกือบทั้งหมด” คำพูดของจงอุนทำให้รยออุคทำหน้าฉงนด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จงอุนจะค่อยๆ เอ่ยถามขึ้น “แต่พี่ยังสงสัย...ว่านายกลับมาที่นี่ทำไม?”

     

                “ผมกลับมาร่วมงานศพญาติสนิทน่ะครับ” รยออุคบอกพลางก้มหน้าลง เขาไม่ได้พูดออกไปหรอกว่าญาติสนิทคนนั้นคือใคร รยออุคไม่อยากให้จงอุนต้องมาคิดมากกับเรื่องนี้อีก มันคงจะจบลงไปแล้ว

     

                “แล้วนายก็จะกลับอังกฤษวันนี้น่ะเหรอ จะหนีกลับทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะได้พบหน้ากัน”

     

                “ตอนแรกผมคิดว่าผมทนได้ที่จะไม่ต้องเห็นหน้าพี่จงอุนก่อนไป ผมกลัวว่าถ้าได้เห็นแล้ว ผมจะไม่อยากไปไหนอีก แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะแวะมาหาพี่จงอุนอีกครั้ง”

     

                “แล้วครั้งนี้นายจะหายไปอีกนานไหม?” จงอุนจ้องมองดวงตาของรยออุคที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามากมาย ก่อนจะเอื้อมมือบางมากุมไว้แน่น

     

                “อีกสองเดือนข้างหน้า ผมจะรีบกลับมาครับ”

     

                “สัญญานะ” รยออุคพยักหน้ารัวเมื่อได้รับการให้อภัยจากคนที่ตัวเองรักมากที่สุด จงอุนดึงร่างเล็กเข้าไปกอดไว้แนบแน่น เขาแค่อยากให้รยออุคสัญญาเท่านั้น และไม่ว่าจะอีกนานเท่าไร คิม จงอุนก็จะรอ

     

                รอวันที่พวกเขาจะได้เป็นแฟนกันจริงๆ เสียที

     

     

                สองวันต่อมา ทุกอย่างเงียบสงบลงราวกับท้องทะเลที่ปราศจากคลื่น ปราศจากพายุ ปราศจากแม้กระทั่งผู้คน หลายครั้งที่ซีวอนไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง เขาหวังอยู่ทุกคืนว่าถ้าหลับลงไปแล้วจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก

     

                แต่ความเป็นจริงมักจะโหดร้ายเสมอ

     

                ซีวอนต้องตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อพบกับความอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว เขาลุกจากที่นอน อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานเหมือนเครื่องจักรที่ถูกใส่โปรแกรมเข้าไป ไม่มีความรู้สึก ไม่มีรอยยิ้มอีกเลย

     

                บ้านช่องที่เคยสะอาดเอี่ยมอยู่เสมอ บัดนี้ก็มีแต่กลิ่นเหม็นสาบของเสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก จานชามที่ใช้แล้วก็ถูกวางทิ้งไว้อยู่ในอ่างล้างจานโดยไม่มีใครมาคอยจัดการให้เลย

     

                หลายครั้งที่ซีวอนดื่มเหล้าและออกไปทำงานจนถูกผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเรียกไปตักเตือน แต่เขาก็ยังทำมันอีกซ้ำๆ จนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

     

                วันนี้ซีวอนรู้สึกอ่อนเพลียจนต้องออกเวรเร็วกว่าปกติ เขาทิ้งงาน ทิ้งคนไข้ และไม่มีความรับผิดชอบใดๆ หลงเหลืออีกเลย ร่างสูงเดินไปที่รถยนต์และขับออกไปอย่างไร้จุดหมาย มีบางสถานที่ที่เขาชะลอความเร็วลงเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต

     

                ร้านที่เขาและคยูฮยอนเคยไปด้วยกัน ร้านเหล่านั้นยังคงอยู่ แต่คนที่เคยไปกับเขา...ไม่มีอีกแล้ว

     

                ซีวอนขับรถยนต์ไปตามถนนสีเทาเรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่หม่นหมอง เขามองเห็นคู่รักเดินจูงมือกันเป็นคู่ๆ บางคู่ก็คล้องแขนกัน โอบไหล่กัน เมื่อก่อนเขาก็เคยทำเช่นนั้น แต่เพราะว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ปล่อยให้ความสนุกชั่วครู่ชั่วยามมาอยู่เหนือความรัก เขาจึงต้องสูญเสียคยูฮยอนไป

     

                การจากไปของคยูฮยอนเป็นความผิดของเขา

     

                และไม่ว่าจะผ่านไปอีกนานสักแค่ไหน ซีวอนก็ไม่คิดจะให้อภัยตัวเองเด็ดขาด

     

                ดวงตาคมคายที่เคยมีแต่แววตาสดใสเป็นประกาย ตอนนี้มีแต่ความหมองคล้ำและเหม่อลอย เขามองออกไปนอกรถ เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังข้ามถนนผ่านหน้าเขาไป ยิ่งเคลื่อนรถเข้าไปใกล้ ใบหน้าของชายคนนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น

     

                “คยูฮยอน...” ซีวอนจอดรถก่อนที่จะถึงทางม้าลายพอดี ผู้ชายคนนั้นเดินผ่านหน้าเขาไปแล้ว ซีวอนเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่เขาก็ยังจดจำชายคนนั้นได้ “โจ คยูฮยอน”

     

                เขาพึมพำอีกครั้งพร้อมกับผลักประตูรถออกไปอย่างไม่คิด ไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แต่ซีวอนไม่สนใจ เขาวิ่งตามชายหนุ่มที่ว่านั่นไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงบีบแตรของรถยนต์ที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนน แต่ซีวอนก็ไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลย

     

                เขาสนใจเพียงคยูฮยอนเท่านั้น

     

                “คยูฮยอน!” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนตรงหน้าพร้อมกับคว้ามือเรียวเอาไว้อย่างถือวิสาสะ ชายหนุ่มหน้าหวานหันกลับมาอย่างตกใจ ก่อนจะสะบัดมือออกด้วยท่าทางถือตัวจนถุงอาหารที่อยู่ในมือหล่นกระจาย

     

                “คุณจะทำอะไรน่ะ?”

     

                “คยู...คยูฮยอน...นายยังไม่ตายเหรอ?” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำหูน้ำตาไหลจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองอย่างสงสัย ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนกลับส่ายหน้าแล้วก้าวถอยหลังหนีห่างออกไป

     

                “ผมไม่ได้ชื่อคยูฮยอน คุณจำคนผิดแล้ว”

     

                “ไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงของซีวอนแสดงความผิดหวังออกมาทันที “แต่คุณเหมือนคยูฮยอนของผมมากเลย หน้าตาก็เหมือน ท่าทางเหมือน แม้แต่เสียง...ก็ยังเหมือนกัน”

     

                “ผมบอกว่าไม่ใช่ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง?!” ชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายกับคยูฮยอนรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ก่อนจะผลักอกแกร่งของซีวอนออกจนร่างสูงใหญ่หงายหลังล้มลงกับพื้น ซีวอนพยักหน้ารัว พร้อมกับเอ่ยคำขอโทษเป็นพัลวัน

     

                “ขอโทษครับ ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ”

     

                “บ้าหรือเปล่า?!” อีกฝ่ายสบถออกมาพร้อมกับทำหน้าตาแหยๆ

     

                “คยูฮยอนตายไปแล้ว เขาตายไปแล้วเพราะผม แต่ว่าคุณ...คุณเหมือนเขามากๆ จนผมเข้าใจผิดไป ขอโทษนะครับ”

     

                “ช่างเถอะ ฉันไม่ติดใจเอาความหรอก” ร่างโปร่งหมุนตัวหันหลังไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป ซีวอนก็เอ่ยถามขึ้น

     

                “แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ?” คำถามที่ไม่คาดคิดนั้นทำให้คนที่ถูกถามยืนนิ่งอึ้งและไม่มีคำตอบใดๆ ให้เลย ซีวอนค่อยๆ ยืนขึ้น ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยหวังว่าคนๆ นี้อาจจะเป็นคยูฮยอน แต่แล้วน้ำเสียงที่สั่นไหวก็เอ่ยขึ้นมา

     

                “ฉันไม่ได้ชื่อคยูฮยอน แต่ไม่ว่าฉันจะชื่อว่าอะไร มันก็ไม่สำคัญพอที่คุณจะต้องรู้” พูดจบก็เดินหนีออกไปอย่างรวดเร็วทันที ซีวอนได้แต่ขยับปากพึมพำขอโทษผู้ชายคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

                ...โดยที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าชายที่เขาได้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่จากไป ด้านหน้าของเขามีน้ำตามากมายเพียงใด ซีวอนไม่มีวันจะได้รู้เลย

     

     

    Loading-------------60%

     

                รถโดยสารประจำทางจอดสนิทลงพร้อมกับเด็กหนุ่มที่ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง มือข้างหนึ่งถูกกอบกุมไว้จากชายหนุ่มที่แม้จะหน้าตาไม่หล่อเหลาเหมือนอย่างใครๆ แต่จิตใจของเขาก็แสนดีที่หนึ่ง และที่สำคัญทงเฮรักผู้ชายคนนี้เป็นที่สุด

     

                “ถอนหายใจบ่อยๆ ไม่ดีเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระตุกมือบางแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้

     

                “ก็ไม่อยากให้ถึงโรงเรียนเลยนี่ครับ ป้ายหน้าทงเฮก็จะต้องลงแล้ว”

     

                “เดี๋ยวป๊าก็จะลงด้วย” ฮยอกแจบอกแล้วเลื่อนมืออีกข้างหนึ่งมาวางซ้อนทับมือของทงเฮไว้ ทงเฮรู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอไม่ว่าช่วงชีวิตตอนนี้จะสุขหรือเศร้าอย่างไร ทงเฮไม่รับรู้สิ่งอื่นใดอีกแล้วนอกจากการมีตัวตนของชายหนุ่มคนนี้

     

                “โธ่! ป๊าลงก็เพราะต้องข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งรถเมล์กลับไปเปิดร้านหรอก”

     

                “จะให้ป๊าเข้าไปเรียนด้วยเลยไหมล่ะ?”

     

                “อย่าพูดเล่นสิครับป๊า ทงเฮอยากจะทำจริงๆ นะ ทงเฮอยากอยู่กับป๊าตลอดเวลา” ทงเฮช่างขี้อ้อน ขี้ประจบเอาใจแบบนี้เสมอ พอพูดจบก็เอียงไหล่มาเอนซบกับต้นแขนของฮยอกแจ ชายหนุ่มระบายรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเอ่ยคำ

     

                “เมื่อคืนก็นอนกอดกันทั้งคืนแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ?”

     

                “สำหรับทงเฮ...เท่าไรก็ไม่พอหรอกครับ”

     

                “เด็กคนนี้! เอาแต่ใจจริงๆ เลย” ฮยอกแจบ่นพอเป็นพิธี ก่อนจะดึงแขนทงเฮให้เดินลงจากรถประจำทางมาพร้อมกัน เด็กนักเรียนมากมายที่วิ่งกันเข้าไปในโรงเรียน บ้างก็จับมือถือแขนอย่างเปิดเผยแล้วเดินข้างกันอย่างมีความสุข มองไปทางไหนก็มีแต่เด็กนักเรียนทั้งนั้น แม้กระทั่งคู่รักก็ยังเป็นเด็กนักเรียนด้วยกันทั้งคู่

     

                ...เว้นก็แต่ทงเฮกับฮยอกแจ

     

                “เอ่อ...” ทงเฮกลอกตาไปมาพร้อมกับดึงมือออกจากการกอบกุม แต่แล้วด้วยความรู้สึกผิด เขาก็สอดมือน้อยเข้าไปในอุ้งมือของฮยอกแจอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ฮยอกแจกลับแบมือเกร็งออก

     

                “ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก” ฮยอกแจว่า ก่อนจะขยับหนีออกห่างไปอีกหนึ่งก้าว

     

                “แต่ทงเฮไม่ได้อายนะครับ”

     

                “ป๊าก็ไม่ได้กลัวว่าทงเฮจะอายนี่ แต่มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอที่ทงเฮจะไม่ต้องตอบคำถามใคร” ทงเฮทำหน้าหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ ในขณะนั้นเพื่อนร่วมชั้นก็เข้ามาทักทายและทำความเคารพฮยอกแจ ก่อนที่ทงเฮจะเดินหายเข้าไปในโรงเรียน แล้วฮยอกแจจึงข้ามถนนกลับไปเปิดร้านทำผม

     

                ตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถประจำทาง ฮยอกแจเอาแต่คิดกังวลเรื่องนี้

     

                แม้ว่าสังคมจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ภายในใจของเขากับทงเฮก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านเส้นบางๆ ของความสัมพันธ์นั้นได้

     

                การจะรักใครสักคน มันยากขนาดนี้เชียวเหรอ

     

                ทางด้านทงเฮเองที่คิดว่าจะไม่ต้องพบเจอกับคำถามใดๆ แต่เมื่อเข้ามาในห้อง เพื่อนคนหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

     

                “ทงเฮ นายคบกับพ่อของตัวเองเหรอ?”

     

                “ห๊ะ! ว่าไงนะ?!” คำถามจากเพื่อนเพียงแค่คนเดียวทำให้นักเรียนในห้องพุ่งความสนใจมาที่ทงเฮทั้งหมด ทงเฮรู้สึกหายใจไม่เป็นจังหวะ เขากลอกตาไปมาและไม่มีคำตอบใดๆ ให้

     

                “นะ...นายรู้ได้ยังไง?”

     

                “ก็ฉันนั่งอยู่บนรถเมล์สายเดียวกับนายน่ะสิ นั่งอยู่เบาะหลังเลย นายไม่เห็นฉันหรือไง” ทงเฮไม่รู้ว่าเขาได้ส่ายหน้านิดๆ ออกไปบ้างหรือเปล่า แต่เพื่อนคนนั้นก็ยังไม่หยุดพูด “พูดหวานๆ ใส่กันตลอดทาง แถมยังจับมือถือแขน มองตากันเหมือนกับคนรัก”

     

                “แล้วพ่อกับลูกทำแบบนั้นไม่ได้หรือยังไง ปกติฉันก็ทำแบบนั้นกับป๊าของฉันอยู่แล้ว” ทงเฮปฏิเสธเสียงแข็งแล้วลุกพรวดพราดด้วยความตกใจกลัว เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อมองเห็นสายตาของเพื่อนแต่ละคนที่เต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจกับเหตุการณ์แบบนี้

     

                ถ้านี่เป็นความบังเอิญ ก็เป็นความบังเอิญที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตของทงเฮเลยก็ว่าได้

     

                “ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตาตกใจขนาดนั้นเลยนี่” เพื่อนคนหนึ่งออกความเห็นจนทงเฮต้องตวัดหางตากลับไปมอง

     

                “แต่คนในโรงเรียนก็รู้กันหมดนะว่าพ่อของทงเฮขายบริการให้กับผู้ชายด้วยกัน ถ้างั้นเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงใช่ไหม แล้วทงเฮก็คงจะ...”

     

                “หุบปากนะ!” ทงเฮตะโกนลั่นอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหูเพราะไม่อยากได้ยินเสียงใดๆ จากเพื่อนๆ อีกแล้ว ถ้ามีรยออุคอยู่ตรงนี้ก็คงจะดี ต่อให้รยออุคจะรู้ความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ทงเฮเชื่อว่ารยออุคจะต้องปกป้องเขา รยออุคจะเข้าข้างเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่เสมอต่อให้ใครจะว่าอย่างไร

     

                “พวกเราก็แค่ถามเอง ทำไมจะต้องมาตะคอกใส่กันแบบนั้นด้วย ถ้าไม่ได้เป็นแฟน นายก็ไม่เห็นจะต้องร้อนตัวนี่นา”

     

                “แล้วยังไง?” ทงเฮกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจนถึงขีดสุด “ถ้าฉันรักพ่อของตัวเองแล้วพวกนายจะทำไม รักไม่ได้เหรอ...เป็นแฟนกันไม่ได้เหรอ?”

     

                “หมายความว่ายังไงน่ะทงเฮ?” เพื่อนคนที่เป็นหัวหน้าห้องเอ่ยถามเสียงดัง พร้อมกับเสียงสนับสนุนอีกมากมายที่ดังตามมาด้วย

     

                “ฉันเป็นแฟนกับป๊า เป็นคนรักกัน ไม่ใช่แค่เมื่อวานหรือวันนี้ แต่มันเกิดขึ้นมานานแล้ว คำว่า...ป๊า...ฉันเรียกเพราะว่าเขาเลี้ยงดูฉันมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้ พวกนายไม่เข้าใจ ต่อให้พูดยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก”

     

                “พระเจ้าจะไม่ถือว่านี่เป็นการทำบาปหรอกเหรอ?” ใครอีกคนเอ่ยถามแล้วเดินจากไป แต่ทงเฮทนต่อสายตาของทุกคนไม่ไหวอีกแล้ว เขาวิ่งฝ่าฝูงชนออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับครูประจำชั้นที่เดินสวนเข้าไปพอดี นักเรียนทุกคนแตกฮือแล้วกลับเข้าไปนั่งที่ตามเดิม แต่ก็ยังมีเสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นมาไม่ขาดสาย

     

                ทุกคนมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกปาก

     

                แต่กับทงเฮ...เขาคิดว่าจะเผชิญต่อสังคมที่โหดร้ายได้ แต่ก็เปล่าเลย เขาทนไม่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาที ความรักที่ทงเฮกับฮยอกแจมีให้ต่อกันมันสวยงาม สวยงามเกินกว่าที่ใครหน้าไหนจะมาวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นว่าพวกเขาไม่เหมาะสม

     

                ทงเฮไม่เคยขอร้อง ไม่เคยอ้อนวอน ไม่เคยหวังว่าจะได้คำอวยพรจากใครๆ ขอเพียงแค่ทุกคนไม่มองว่าเขาและฮยอกแจเป็นตัวประหลาด แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

     

                ร่างบอบบางวิ่งเข้าไปร้องไห้อยู่ในห้องน้ำเป็นเวลานานสองนาน น้ำตามากมายไหลรินออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้าและเสื้อนักเรียน เขายังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ ทงเฮไม่อยากให้ฮยอกแจรู้ว่าเขาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่อยากให้ฮยอกแจเกิดความไม่สบายใจใดๆ ทั้งสิ้น

     

                ทงเฮหนีทุกๆ คนไปนั่งเล่นอยู่สระว่ายน้ำเก่าหลังโรงเรียน เขานั่งห้อยขาอยู่ริมสระและรอเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ รอจนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้ตกดินและนักเรียนทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว ทงเฮจึงเดินไปกลับไปหยิบกระเป๋าที่ห้องเรียนเพื่อกลับบ้าน

     

                แต่เมื่อกำลังจะเก็บของออกมา ทงเฮก็มองเห็นลิ้นชักใต้โต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ มากมาย แต่ละแผ่นมีคำขอโทษจากเพื่อนร่วมห้อง พวกเขาไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ นอกจากคำว่าขอโทษ ทงเฮไม่รู้หรอกว่าคนเหล่านั้นขอโทษด้วยความจริงใจหรือไม่

     

                แต่สิ่งหนึ่งที่ทงเฮพอจะเดาได้

     

                ต่อให้พวกเพื่อนๆ จะขอโทษ คนพวกนั้นก็ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของทงเฮ

     

                เขากลับบ้านด้วยท่าทางที่อ่อนเพลีย พอกลับไปถึงบ้านก็ผลักประตูเข้าไปแล้วยิ้มแย้มออกมาเมื่อเห็นว่าฮยอกแจกำลังเตรียมอาหารค่ำอย่างมีความสุข

     

                “กลับมาแล้วครับ” ทงเฮส่งเสียงดังพลางเอ่ยทักทายฮยอกแจด้วยคำพูดสดใส ฮยอกแจเห็นหน้าอีกฝ่าย แทนที่จะยิ้มตอบกลับมา กลับแสดงสีหน้าตกใจ

     

                “ทงเฮ!

     

                “ค...ครับ?” ทงเฮเอียงศีรษะแล้วทำหน้าฉงน ฮยอกแจเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมจับแก้มเนียนของทงเฮไว้แล้วลูบช้าๆ ด้วยสัมผัสที่แผ่วเบา

     

                “ทำไมถึงร้องไห้?”

     

                “ทงเฮน่ะเหรอร้องไห้ ร้องไห้ที่ไหนล่ะครับ ทงเฮกำลังยิ้มให้ป๊าอยู่นะ”

     

                “คิดว่าป๊าโง่นักหรือไง?!” น้ำเสียงดุดันของฮยอกแจทำให้ทงเฮเงียบกริบลงในทันที ทงเฮเม้มปากแน่น และสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา ทงเฮแสร้งยิ้มไม่ออกอีกต่อไปแล้ว “ทำไมถึงร้องไห้ บอกป๊ามา”

     

                “ไม่มีอะไรครับ?”

     

                “อี ทงเฮ!

     

                “ป๊า...” ทงเฮได้แต่เรียกชื่อของคนตรงหน้าแล้วโผเข้ากอดอย่างหมดแรง น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ในตอนแรกเอ่อทะลักออกมาพร้อมกันจนหมด ฮยอกแจได้แต่ยืนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ เขากลัวว่าทงเฮจะเปลี่ยนใจอีกครั้ง เพราะจิตใจของทงเฮอ่อนไหวง่ายและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้เสมอหากมีใครมาทำให้มันกระทบกระเทือน

     

                “เกิดอะไรขึ้นเหรอทงเฮ เรื่องของเราเหรอ...มีอะไรหรือเปล่า?”

     

                “ฮึก...เพื่อน...วันนี้เพื่อนเขาถามว่าเราเป็นแฟนกันหรือเปล่า ทุกคนมองทงเฮเหมือนทงเฮทำอะไรผิดไป ทงเฮไม่ได้ทำผิดนะป๊า ทงเฮแค่รักป๊า รักคนที่ทงเฮคิดว่าใช่ ทำไมพวกเขาคิดว่าเรารักกันไม่ได้ ทำไมล่ะ?”

               

                “ทงเฮ...” ฮยอกแจได้แต่คอยลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบประโลมใจเท่านั้น เขาเข้าใจทงเฮ ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าการตอบสนองต่อเรื่องราวต่างๆ ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันด้วย ทงเฮอาจจะมีคำตอบในใจแบบหนึ่ง แต่กลับพูดออกไปอีกแบบหนึ่งเพราะหวาดกลัวที่จะพูดมันออกไป กลัวว่าคนอื่นจะมองตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้

     

                แต่ถ้าเป็นเขา...ถ้าหากฮยอกแจถูกใครสักคนถามคำถามนี้ เขาจะใช้เวลาทั้งหมดอธิบายให้คนๆ นั้นเข้าใจ ต่อให้ต้องใช้เวลานานสักแค่ไหน ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ฮยอกแจก็จะทำ

     

                เพื่อที่ว่าคนเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องมองทงเฮของเขาว่าเป็นคนบาปหรือคนไม่ดีอีก

     

                “ไม่เป็นไรนะทงเฮ อย่าคิดมากเลยนะ”

     

                “แต่...แต่ว่าเรา...เราจะรักกันได้เหรอครับ?” ทงเฮถามเสียงปนสะอื้น ก่อนจะผละออกแล้วสบตากับฮยอกแจ

     

                “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”

     

                “เพื่อนของทงเฮถามว่าพระเจ้าจะไม่ถือว่านี่เป็นการทำบาปหรอกเหรอ?”

     

                “แล้วพระเจ้าไมได้สอนให้มนุษย์รักกันหรือยังไง?” ฮยอกแจไม่ได้ตอบแต่เอ่ยถามกลับมา เขาเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งเพื่อให้ทงเฮได้คิดทบทวน ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วที่ทงเฮถามป๊าว่าเราจะรักกันได้ไหม ในตอนนี้...เราไม่ได้กำลังรักกันอยู่หรอกเหรอ?”

     

                “รักครับ” ทงเฮตอบในทันทีก่อนจะโผเข้ากอดฮยอกแจ ฮยอกแจเองก็กอดอีกฝ่ายด้วยความรักที่เอ่อล้นอยู่เต็มอก

     

                ทงเฮรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองไม่หวาดกลัวกับคำพูดของใครๆ อีกแล้ว หรือบางทีเขาอาจจะยังมีความกลัวอยู่บ้าง แต่พอได้รับอ้อมกอดจากฮยอกแจ ทงเฮก็รู้สึกราวกับว่าอ้อมกอดนี้ได้ป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้ทั้งหมด

     

                แม้ความรักที่พวกเขามีให้กันมันจะดูยุ่งยาก

     

                แต่ในเมื่อทงเฮได้เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้แล้ว ในเมื่อเขาเลือกที่จะรักฮยอกแจแล้ว ทงเฮจะไม่ย่อท้อเด็ดขาด

     

                ถ้าหากมีคนสิบคนเข้ามาถามว่าเขารักกับพ่อของตัวเองได้อย่างไร ทงเฮก็จะอธิบายให้ทั้งสิบคนได้เข้าใจ

     

                หากมีคนเข้ามาถามร้อยคน เขาก็จะอธิบายให้ฟังทั้งร้อยคน

     

                ไม่ว่าจะกี่พัน กี่หมื่น กี่แสน ทงเฮก็จะอธิบายให้ทุกคนฟัง เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และเขาเองก็ภูมิใจกับความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ใช่เพราะตัวของเขา แต่เป็นเพราะความรักของฮยอกแจ ความรักที่บริสุทธิ์จากฮยอกแจทำให้ทงเฮรู้สึกว่าสิ่งที่เรียกว่ารักนั้นมีคุณค่ามากมายมหาศาลสักเพียงใด

     

     

                หลังจากวันนั้นที่ฮันกยองตวาดใส่ซองมินด้วยความเป็นห่วงที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ซองมินไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเขาอีกเลย สองสามวันแรกฮันกยองก็คิดว่าซองมินแค่งอน แต่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว ฮันกยองจึงเข้าใจว่าซองมินอาจจะโกรธและไม่เข้าใจที่เขาต้องทำเช่นนั้น

     

                ยิ่งซองมินไม่มา ความคิดถึงที่มีอยู่ในใจก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย ฮันกยองรู้สึกคิดถึงซองมินอยู่ทุกๆ วินาทีที่เข้าตื่นขึ้นมา บางคืนเขาก็เก็บเอาภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของซองมินไปฝัน ทว่าคืนนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิม

     

                ในความฝัน คนที่ยืนหันหลังอยู่คล้ายกับซองมินมาก แต่เมื่อฮันกยองเดินเข้าไปใกล้ๆ และทันทีที่ชายคนนั้นหันหลังกลับมา ฮันกยองก็ต้องผงะ

     

                ฮีชอลฮันกยองเอ่ยเรียกชื่อของใครบางคนที่เขาเองก็ไม่เคยลืมไปจากใจเช่นเดียวกัน ริมฝีปากของฮันกยองสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อยๆ วาดมันออกมาเป็นรอยยิ้มที่กว้างมากที่สุด ทว่านัยน์ตากลับมาน้ำตาเอ่อคลอจนเต็มหน่วยตา

     

                สบายดีใช่ไหม?ฮีชอลเอ่ยถามอย่างห่วงใย ฮันกยองได้แต่พยักหน้าระรัว เขาดูแลนายดีมากๆ ดี...ดีกว่าพี่เสียอีก

     

                ไม่มีใครดีไปกว่านายหรอกฮีชอล นายดีที่สุด ดีกับฉันที่สุดเลยนะฮันกยองเอื้อมมือไปคว้าแขนของฮีชอลมาจับไว้ ทว่ากลับสัมผัสเพียงอากาศเท่านั้น ภาพตรงหน้าที่เขาเห็น ฮันกยองเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันลางเลือนมากเหลือเกิน

     

                นายโกหกพี่อีกแล้ว

     

                ผมไม่ได้โกหกฮันกยองร้องไห้เป็นเด็กน้อยที่อ่อนแอคนหนึ่ง เขาเอาแต่ร้องไห้จนฮีชอลเกลี่ยน้ำตาออกอย่างแผ่วเบา คราวนี้ฮันกยองคว้ามือที่นุ่มนวลเอาไว้แน่น เขาจะไม่ยอมปล่อยฮีชอลไปไหนอีก แต่เมื่อยิ่งไขว่คว้าเท่าไร ร่างโปร่งแสงของฮีชอลก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตามากขึ้นเท่านั้น

     

                “อย่าไป...อย่าทิ้งผมไปนะ ถ้าพี่ตาย...ผมก็ไม่เหลือใคร อย่าไปเลยฮีชอล...ไม่!” ฮันกยองเบิกตาโพลงพร้อมกันจ้องมองอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียงของเขา ที่สำคัญมือที่แสนนุ่มนวลที่ฮันกยองรู้สึกได้นั้นไม่ใช่มือของฮีชอล

     

                แต่กลับเป็นมือของซองมินนี่เอง

     

                ซองมินเป็นคนฉุดเขาออกมาจากความฝันที่ร้ายกาจที่สุด

     

                “นายร้องไห้” ซองมินบอกสั้นๆ และเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของฮันกยองอย่างนึกเป็นห่วง แม้จะได้ยินทุกประโยคจากฮันกยองอย่างชัดเจน แต่ซองมินก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ทั้งสิ้น

     

                “ก่อนหน้านี้นายก็เพิ่งเช็ดน้ำตาให้ฉันใช่ไหม?” สิ้นคำถามจากฮันกยอง ซองมินพยักหน้าช้าๆ และในตอนนั้นฮันกยองรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังแตกสลายต่อหน้าต่อตาของเขา เขาหวังเพียงว่าความฝันเมื่อครู่จะเป็นฮีชอลที่คอยซับน้ำตาให้กับเขา แต่ไม่ใช่ ฮีชอลตายไปตั้งนานแล้ว

     

                และความฝัน...ไม่ว่าจะเสมือนจริงสักแค่ไหน มันก็ยังเป็นได้แค่ความฝันอยู่ดี

     

                “ซองมิน!” ฮันกยองรั้งร่างซองมินเข้ามากอดอย่างไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจากความกลัว ฮันกยองกลัวว่าซองมินจะหายไปเหมือนอย่างฮีชอล เขาไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว

     

                “ฮันกยอง นาย...”

     

                “ฉันอยากรักนาย แต่ฉันรักนายไม่ได้ ฉันรักฮีชอล แต่ฉันก็รักนายด้วย ฉันอยากได้ฮีชอลกลับมา แต่ฉันก็ไม่อยากเสียนายไป อย่าทิ้งฉันไปไหน อย่าหายไปไหนนะ”

     

                “ฮันกยอง...ฉัน...ฉันเข้าใจทุกอย่างที่นายพูด” ซองมินตบแผ่นหลังของฮันกยองเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นที่สุด “ไม่ต้องลืมเขาก็ได้ ฉันเข้าใจดี ฉันรับความรู้สึกของนายได้ทุกอย่าง ขอเพียงแค่นายปลดปล่อยความทุกข์ใจทั้งหมดออกมา”

     

                ทั้งคู่กอดกันและกันอยู่นาน ในเวลานี้คนที่ตัวโตกว่ากลับอ่อนแอกว่าจนซองมินต้องคอยปลอบใจด้วยคำพูดต่างๆ มากมาย ก่อนที่ฮันกยองจะผละออกแล้วจ้องมองใบหน้าหวาน

     

                “นายหายไปไหนมาตั้งหลายวัน?” เขาถามด้วยสีหน้าเง้างอนเหมือนน้อยใจก็ไม่ปาน แต่ซองมินไม่ได้ตอบ ซองมินเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาออกมาเลย “ว่าไงล่ะซองมิน นายหายไปไหนมา?”

     

                “ฉันงอนนายไงล่ะ นายดุฉันตอนเย็นวันนั้น”

     

                “แค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ?” ฮันกยองไม่อยากจะเชื่อ เขาเคยดุมากกว่านี้ เคยด่าแรงกว่านี้ แต่ซองมินก็ไม่เคยโกรธเคืองเขา มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ซองมินจะหายไปทั้งอาทิตย์เพียงเพราะว่าน้อยใจที่เขาดุด้วยความเป็นห่วง “ต่อไปนี้อย่าไปไหนอีกนะ?”

     

                “ต้องอยู่ที่นี่กับนายตลอดเลยเหรอ?” ซองมินถามด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความดีใจอย่างถึงที่สุด

     

                “ถ้านายทำได้ก็จะดีมากๆ” ซองมินโผเข้ากอดฮันกยองก่อนที่เสียงทุ้มจะพูดจบประโยคเสียอีก พวกเขาทั้งคู่กอดกันและกันแน่น แต่ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างแรง

     

                ปังๆๆๆ

     

                “ใครน่ะ?!” ฮันกยองตะโกนกลับไป แต่ก็ไม่มีเสียงพูดตอบกลับมานอกจากเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกว่าเดิม

     

                ปังๆๆๆ

     

                “ฉันถามว่าใคร?!

     

                “พังเข้าไปเลย!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนดังมาจากด้านนอกจนซองมินเบิกตากว้าง แล้วประตูห้องก็ถูกพังเข้ามาจริงๆ พร้อมด้วยชายชุดดำสองคนที่ยืนรอรับคำสั่งจากหญิงวัยกลางคนอยู่

     

                “แม่!” ซองมินผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยเรียกหญิงคนนั้นอย่างตกใจ

     

                “กลับบ้านเดี๋ยวนี้ซองมิน!

     

                “ผม...ผมไม่...”

     

                “ฉันบอกให้กลับบ้าน! ไปจับตัวคุณหนูมาเดี๋ยวนี้” นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรชี้มาทางซองมินพร้อมกับออกคำสั่งกับลูกน้องทั้งสอง แล้วชายชุดดำทั้งสองคนก็เข้ามารวบตัวของซองมินไว้ท่ามกลางการต่อสู้จากฮันกยอง แต่คนพิการหรือจะสู้คนปกติทั้งสองคนได้ ฮันกยองโดนลูกน้องของแม่ซองมินทำร้ายร่างกาย ทั้งเตะทั้งต่อยจนเขาล้มลงไปนอนกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

     

                “ฮันกยอง!” ซองมินดิ้นพล่านแล้วร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ แต่ก็ถูกพาตัวออกไปจากห้องของฮันกยองจนได้ “ปล่อยฉันนะ ฮันกยอง!

     

                “หยุดทำตัวไร้สาระไปวันๆ ได้แล้วอี ซองมิน!

     

                “ผมเกลียดแม่ ผมเกลียดแม่ที่สุดในโลก” ซองมินโวยวาย ก่อนจะหันไปมองฮันกยองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่คุณนายอีไม่มีท่าทางใจอ่อนกับลูกชายของตัวเองเลยสักนิด เธอเชิดหน้าขึ้นแล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด

     

                “ทุกคนรอลูกกันหมดแล้ว ลูกต้องแต่งงาน!

     

     

    Talk with Lee Seen

                จะบอกข่าวดีว่า..อีก 4 ตอนก็จะจบแล้ว

    แต่ยังไงก็จะมีตอนพิเศษให้อ่านด้วยนะคะ ไม่ต้องห่วง

    วันที่ 1 ก.พ.นี้จะเปิดจอง แล้ว Chapter 52 จะมาลงอีกทีในเดือนหน้าค่ะ

     

    ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามฟิคเรื่องนี้อยู่เสมอ!!!!!

     

    อ้อ! พอดีว่าซีนซื้อโฟโตบุ๊คซูเปอร์โชว์ 3 มา แต่ผิดหวัง(เยอะ)นิดหน่อยที่มีแต่รูปทงเฮ ซีวอน ฮีชอลมากเป็นพิเศษ คนอื่นๆ ก็มีเยอะเหมือนกัน แต่ฮยอกแจ(เมนของซีน) มีรูปน้อยมากๆๆๆ

    ซีนซื้อมาในราคา 1,300 บาท จะเก็บไว้ก็ช้ำใจ จะขายก็ไม่รู้จะตั้งราคาเท่าไร

    ใครอยากได้ส่งราคามาประมูลนะคะ ราคาเริ่มต้นที่ 800 บาท(ส่งให้ฟรี)

    ส่งราคาแบบลับๆ มาที am_zyne@hotmail.com นะคะ หรือเบอร์โทรศัพท์ของซีนก็ได้(ถ้ามี)

     

    ใครต้องการก็รีบๆ ส่งมาน้า ปิดประมูล 31 ม.ค. นี้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×