ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #46 : Chapter 44 การกลับมา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.46K
      4
      8 ธ.ค. 54

     

    Chapter 44

    การกลับมา

     

                ฮยอกแจประคองจุนซูเข้าไปในบ้าน ทงเฮจึงเดินตามเข้าไปช้าๆ ก่อนจะปิดประตูลง หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองนั่งลงที่โซฟาแล้ว ทงเฮก็ยืนหันรีหันขวาง เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มทักทายคิม จุนซูว่าอย่างไรดี ในเมื่อตอนนี้ไม่เหลือพื้นที่ว่างสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

     

                ดูเหมือนว่าเพื่อนคนนี้ของฮยอกแจคงจะไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา

     

                จากสายตาที่จุนซูใช้มองฮยอกแจ มองคนที่ทงเฮรัก ความหวังทั้งหมดถูกถ่ายทอดมาให้ฮยอกแจในแบบที่ทงเฮไม่เคยทำได้เลย ทงเฮไม่เคยเชื่อใจฮยอกแจเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่เขาอยู่กับฮยอกแจมาตั้งแต่เกิด แต่กลับเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยเชื่อใจคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อ

     

                ในขณะที่จุนซูผู้ซึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับฮยอกแจตลอดเวลา กลับมั่นใจในความอบอุ่นของฮยอกแจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น ทงเฮไม่อาจจะทำแบบนั้นได้

     

                ถึงตอนนี้เขาจะรักฮยอกแจไปแล้วก็ตาม แต่ทงเฮก็ยังพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกที่จุนซูมีต่อฮยอกแจ เขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้เลยด้วยซ้ำ

     

                “ป๊า...” ทงเฮขัดจังหวะขึ้นเบาๆ จุนซูค่อยๆ ผละออกจากอกของฮยอกแจ ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาสบตาทงเฮ ก่อนจะยกมือเรียวปาดน้ำตาซ้ายทีขวาทีราวกับเด็กก็ไม่ปาน

     

                “ทงเฮ...ขอโทษนะ” จุนซูพูดสั้นๆ เท่านั้น เมื่อพูดกับทงเฮเสร็จก็หันไปหาฮยอกแจทันที “ขอโทษที่เป็นอย่างนี้นะฮยอกแจ นายคงตกใจล่ะสิ ทงเฮก็คงเหมือนกัน”

     

                “คือ...” ฮยอกแจทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง

     

                “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ คุณคุยกับป๊าไปเถอะ ทงเฮจะเข้านอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ทงเฮพูดรัวเร็วราวกับกลัวว่าจุนซูจะล่วงรู้ถึงน้ำเสียงที่สั่นไหวของเขาเอง ฮยอกแจกำลังจะอ้าปากเอ่ยรั้ง ทงเฮเห็นท่าทางของอีกฝ่ายหมดแล้ว หากแต่เขาก็ยังเดินหนีเข้าไปในห้องให้เร็วที่สุด

     

                ทงเฮรีบปิดประตูลง แต่แทนที่เขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้านอนอย่างที่บอกกับผู้ใหญ่ทั้งสอง ร่างบางกลับยืนนิ่งงันอยู่ตรงหน้าประตู ทงเฮพูดไม่ออก เขารู้สึกถึงดวงตาที่พร่าเลือน มันคงเป็นเพราะม่านน้ำตาที่กำลังเอ่อไหลออกมาจนบดบังภาพตรงหน้า

     

                แม้แต่ความสุขที่ได้ไปเที่ยวกับฮยอกแจในวันนี้ มันก็ค่อยๆ ลางเลือนจนเกือบจะหายไป

     

                ทงเฮอยากจะไขว่คว้าความสุขเหล่านั้นอีกครั้ง แต่ไม่มีแรงเหลือเลย

     

                มันน่าประหลาดใจที่เขาเลือกที่จะเดินหนี เขาไม่แม้แต่จะตีโพยตีพายเหมือนที่เคยทำกับซีวอน ไม่แม้แต่จะคิดว่าเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงฮยอกแจมาเป็นของตัวเองให้ได้ ทงเฮไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เขาจะปล่อยฮยอกแจไป มันถูกต้องและสมควรแล้วที่ทงเฮจะทำแบบนั้น

     

                เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

     

                เสียงร้องไห้จากด้านนอกยังคงดังเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เสียงของจุนซูไม่ได้ดังจนน่าหนวกหูรำคาญใจ แต่ก็ไม่ได้เบาเสียจนทงเฮจับใจความไม่ได้เลย เขาได้ยินทุกๆ ประโยค ได้ยินทุกๆ ถ้อยคำที่ฮยอกแจและจุนซูเอ่ยต่อกัน

     

                “นายร้องไห้อย่างกับเพิ่งรอดตายจากสนามรบอย่างนั้นแหละ ร้องไห้เหมือนเด็กๆ เลย ตลกดีจัง” นั่นเป็นเสียงปนหัวเราะของฮยอกแจ ทงเฮอยากรู้ว่าในขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนนั้น ท่าทางของเขาเป็นแบบไหน ทงเฮอยากเห็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวด แต่เขาก็ยังอยากที่จะแอบมอง

     

                มือบางค่อยๆ หมุนลูกบิดช้าๆ ก่อนจะแง้มประตูเป็นช่องว่างเพียงเล็กน้อย เขาเห็นฮยอกแจกำลังขยี้ผมของจุนซูอยู่ เป็นภาพแรกที่เห็นแล้วก็ให้ความรู้สึกปวดใจมากเหลือเกิน

     

                “ก็ฉันเพิ่งรอดตายจริงๆ นี่นา” จุนซูบอกเสียงเศร้าสร้อย

     

                “หมายความว่ายังไง?”

     

                “นายจำผู้ชายที่ฉันส่งโปสการ์ดมาให้ดูได้ไหม?” ไม่เพียงแต่ฮยอกแจเท่านั้นที่จำได้ ทงเฮก็จำชายหนุ่มที่อยู่ในโปสการ์ดได้อย่างแม่นยำ เพราะวันนั้นเขาเป็นคนหาความหมายของตัวอักษรจีนให้กับฮยอกแจเอง ทงเฮจึงยังจำโปสการ์ดใบนั้นได้เป็นอย่างดี “เขาขอฉันแต่งงาน”

     

                “จริงเหรอ?! งั้นก็เป็นข่าวดีน่ะสิ มีเรื่องดีๆ แบบนี้ไม่เห็นจะต้องทำหน้าเศร้าไปเลย” ฮยอกแจบอกอย่างคนมองโลกในแง่ดี แต่จุนซูกลับส่ายหน้า ทงเฮที่แอบมองอยู่ก็ทำหน้าฉงนตามไปด้วยอีกคน

     

                “ไม่เห็นจะดีเลย” จุนซูบอกด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

     

                “ไม่ดีตรงไหนกัน จะได้แต่งงานทั้งทีนะจุนซู”

     

                “ฉันปฏิเสธเขาไปแล้ว” ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของจุนซูทำให้ทงเฮรู้สึกถึงเรื่องร้ายๆ ที่จะตามมาในอีกไม่ช้า จุนซูดึงมือแกร่งของฮยอกแจไปจับไว้ ก่อนจะเอ่ยบอก “และฉันก็โกหกไปด้วยว่าฉันมีคนรักอยู่แล้ว”

     

                “อย่าบอกนะว่า...” ฮยอกแจเงียบลงอย่างตกใจ หางตาเรียวตวัดมองมาทางประตูห้องนอนที่ทงเฮแอบมองอยู่จนทงเฮต้องรีบดันประตูให้ปิดลง หัวใจของทงเฮเต้นระส่ำ ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวคำพูดของจุนซู หรือว่ากลัวในความคิดของจุนซูกันแน่

     

                “คนๆ นั้นก็คือนาย”

     

                “จุนซู!” ฮยอกแจเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความตกใจ ทงเฮที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน ความรู้สึกของเขาที่มีต่อฮยอกแจล่ะ ทงเฮจะทำเช่นไรต่อไป เขาไม่สามารถจะรักฮยอกแจได้อีกแล้วใช่ไหม ความรักที่ไม่ถูกต้องมันคงถึงคราวอวสานในวันนี้แล้วสินะ

     

                “ฟังฉันก่อนนะฮยอกแจ” จุนซูเขย่ามือหนา ก่อนจะพูดรัวเร็วออกมาราวกับกลัวว่าฮยอกแจจะไม่ฟังคำขอร้องจากตัวเอง “ทีแรกฉันก็คิดว่าโกหก แต่หลังจากที่เราไม่ได้เดทกันแล้ว ช่วงเวลาที่ฉันอยู่คนเดียว แทนที่ฉันจะคิดถึงเขา ฉันกลับคิดถึงแต่นาย”

     

                ไม่จริงใช่ไหม?

     

                ทงเฮได้ยินคำถามนี้ดังเข้ามาในความคิด แต่ทว่าสมองของเขามันว่างเปล่าเหลือเกิน มันพร่าเบลอไปหมด ราวกับทงเฮถูกฟาดด้วยเหล็กหนาเสียจนสติฟั่นเฟือนและคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว น้ำตามากมายรินไหลลงมา

     

                รู้สึกราวกับว่าได้ยินคำสารภาพรักจากจุนซูต่อฮยอกแจ...พ่อของตัวเอง

     

                ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่เหรอ ทงเฮพยายามรั้งริมฝีปากให้เกิดเป็นรอยยิ้ม หากแต่น้ำตากลับไหลทะลักออกมาเรื่อยๆ เขายกมือขึ้นขยำสาบเสื้อของตัวเอง

     

                ความรู้สึกรัก...มันสร้างความเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง

     

                “นายเป็นคนดีนะจุนซู เป็นคนดีแล้วก็เป็นคนที่น่ารักคนหนึ่ง”

     

                “เรามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดีไหมฮยอกแจ?” จุนซูโพล่งขึ้นก่อนที่ฮยอกแจจะทันพูดปฏิเสธ หากแต่คำถามนั้นกลับทำให้โลกใบนี้ดูเงียบลงไปอย่างถนัดตา เหมือนทุกสรรพสิ่งในโลกเลือนหายไปหมด เหลือเพียงอี ฮยอกแจกับความคิดที่กลวงโบ๋เท่านั้น ฮยอกแจไม่มีคำตอบให้จุนซู

     

                เขากำลังนึกถึงใครอีกคนที่อยู่ในห้องนอน

     

                ใครอีกคน...ที่คงจะได้ยินบทสนทนาเหล่านี้และกำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียงด้วยความทรมานใจ เขาเองก็เช่นกัน ฮยอกแจร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้จุนซูเห็น เขาจะบอกออกไปได้อย่างไรล่ะว่าเขารักทงเฮไปแล้ว แม้จุนซูจะรู้ความจริงว่าทงเฮไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเขา

     

                แต่...ที่ผ่านมา ฮยอกแจก็แสดงให้ทุกคนเห็นมาโดยตลอดว่าเขารักทงเฮอย่างที่พ่อรักลูกชายเท่านั้น และจุนซูก็เชื่อในสิ่งที่เห็นมากกว่าสิ่งที่เป็นจริง

     

                “เงียบทำไมล่ะฮยอกแจ?” เสียงของจุนซูทำให้ฮยอกแจกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง

     

                “คือ...คือว่า...” ฮยอกแจรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จุนซูจึงเลื่อนเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม

     

                “นายมีใครในใจแล้วเหรอ?” น้ำเสียงนั้นช่างผิดหวังและปวดร้าวเหลือเกิน แต่คงไม่เท่ากับความรู้สึกของฮยอกแจในตอนนี้หรอก แม้จะปวดร้าวแค่ไหนก็ไม่สามารถแสดงออกให้ใครรู้ได้ มันเป็นความเจ็บปวดที่แสนทรมานเหลือเกิน

     

                “ไม่มี...ไม่มีหรอก” ฮยอกแจตอบอย่างเลื่อนลอย เขารู้ว่าคำพูดของตัวเองทำให้ใครบางคนเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ฮยอกแจไม่มีทางเลือกอื่น เขาไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าเขามีทงเฮในใจอยู่แล้ว พูดออกไปไม่ได้เลย

     

                “ถ้านายยังไม่มีใคร เรามาแต่งงานกันนะ เอ่อ...หมายถึงอยู่ร่วมกันน่ะ แค่เพื่อนก็ได้ ในฐานะเพื่อนไง” แม้จุนซูจะบอกเพียงแค่นั้น แต่ฮยอกแจรู้ดีว่าในใจของจุนซูไม่ได้หวังเพียงแค่นั้นแน่ๆ จุนซูกำลังรอให้เขาเปิดใจ แล้วอี ฮยอกแจจะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาปิดประตูหัวใจและลงกลอนอย่างแน่นหนาเพื่อผู้ชายคนหนึ่งไปแล้ว

     

                ฮยอกแจไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาเปลี่ยนเรื่องและไต่ถามว่าจุนซูสุขสบายดีหรือเปล่าตอนที่ทำงานอยู่ที่จีน แล้วจึงบอกให้นอนพักที่นี่เพราะว่ามันดึกมากแล้ว ยิ่งเห็นว่าจุนซูนำกระเป๋าลากมาด้วย ฮยอกแจก็เดาได้ทันทีว่าจุนซูเดินทางจากสนามบินเพื่อมาหาเขา

     

                คนที่จุนซูนึกถึงเป็นคนแรกคือเขา

     

                แล้วเขาล่ะ? เขาจะทิ้งเพื่อนคนนี้ไปได้อย่างไร

     

                แล้วยังมีทงเฮอีกล่ะ?

     

    คำสัญญาที่บอกว่าพรุ่งนี้เขาจะยังรักทงเฮ ฮยอกแจจะทำให้ทงเฮเชื่อใจได้อย่างไร เขาทอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอ่ยขึ้น

     

                “คืนนี้นอนที่นี่แล้วกันนะ นอนที่ห้องของฉันไปก่อนก็ได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” จุนซูพยักหน้าเพราะรู้นิสัยใจคอของฮยอกแจดี ฮยอกแจเป็นคนที่เย็นชาและเก็บงำความรู้สึกได้ดีที่สุด จุนซูจึงยังไม่เร่งรัดเอาคำตอบในวันนี้ พรุ่งนี้ก็ยังมี มะรืนนี้ก็ยังมี เขาจะรอฟังคำตอบที่ชัดเจนจากฮยอกแจอีกครั้งก็แล้วกัน

     

                “ว่าแต่...นายยกห้องนอนให้ฉันแล้ว นายจะไปนอนที่ไหนล่ะ?”

     

                “นอนกับทงเฮไง” ฮยอกแจบอกสั้นๆ แล้วชี้นิ้วไปยังห้องนอนของลูกชาย ลูกชายของเขาในสายตาของคนอื่น แต่เป็นคนรักในสายตาของเขาเอง

     

                “ถ้างั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะ”

     

     

                หลังจากเตรียมชุดนอนให้กับจุนซูและส่งจุนซูเข้านอนไปแล้ว ฮยอกแจก็เดินออกมาด้านนอก เขาไม่ได้บอกทงเฮหรอกว่าจะเข้าไปนอนด้วย ฮยอกแจเดาว่าทงเฮคงได้ยินสิ่งที่เขากับจุนซูคุยกันหมดแล้ว เขาทำให้ทงเฮผิดหวังจนไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป

     

                ร่างโปร่งหยิบเหล้าราคาแพงที่เคยซื้อมาเก็บไว้ออกมาดื่มแก้เครียด เขานั่งดื่มอยู่ที่โซฟาเพียงลำพัง จมอยู่กับความคิดของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความคิดและความรู้สึกที่มีต่อทงเฮ ฮยอกแจไม่สามารถฉุดให้ขึ้นมาได้ง่ายๆ อีกแล้ว มันกำลังฝังแน่นและหยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของเขา

     

                แต่กับจุนซู...ฮยอกแจก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดออกไปเช่นเดียวกัน คำปฏิเสธของเขาอาจจะทำลายมิตรภาพหรือเปล่า ที่ผ่านมาเขาทำเป็นทีเล่นทีจริงกับจุนซูมาอยู่เสมอ คำพูดที่เหมือนหมาหยอกไก่คงจะทำให้ไก่ตัวนั้นคิดเกินเลยไปไกล

     

                มันอาจจะเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก

     

                ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีให้จุนซูในฐานะเพื่อนกัน ตอนนี้มันกำลังทำให้ใครบางคนหวั่นไหว ในขณะที่เขาเองกลับแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้เลย

     

                ฮยอกแจดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า รินมันจนเต็มแก้วแล้วก็กระดกเข้าปากอีก เขาไม่เมา หรืออาจจะเมาก็เพียงแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ในใจของเขาไม่ได้มึนเมาตามไปด้วยเลย มันยังคงให้ความรู้สึกปวดร้าวอยู่เช่นเดิม ฮยอกแจยกขวดเหล้ารินใส่แก้วอีกครั้ง แต่ทว่ามีมือของใครบางคนเอื้อมมาแตะเอาไว้

     

                “พอเถอะ!” เสียงนั้นอยู่ข้างๆ หูนี่เอง แต่ทว่าฮยอกแจกลับรู้สึกว่ามันช่างมาจากที่ไกลๆ จนเขาเอื้อมไปไม่ถึง ฮยอกแจวางแก้วใสลงบนโต๊ะ ใบหน้าคมสันเอาแต่ก้มหน้า จนคนที่อยู่ด้านหลังโน้มลงมาโอบรอบคอเอาไว้หลวมๆ ใบหน้าอ่อนหวานซุกลงมาที่ไหล่แข็งแรง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าดื่มเหล้าเลยนะ”

     

                “ทงเฮ” ฮยอกแจครางชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว แม้เขาจะไม่ได้หันไปมองก็รู้ดีว่าใครที่สวมกอดเขาเอาไว้แบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบนี้มีเพียงอี ทงเฮเท่านั้น

     

                “เข้านอนเถอะนะป๊า อย่าดื่มเหล้าอีกเลย” เสียงของทงเฮไม่ได้สั่นเช่นเดียวกับฮยอกแจ แต่ไม่ได้หมายความว่าทงเฮไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

     

                “ทงเฮ...ป๊าจะทำยังไงดี?” ฮยอกแจเหลียวมองใบหน้าของทงเฮที่ยังซบไหล่เขาเหมือนเดิม ทงเฮจึงหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนดวงตาที่เสียใจเอาไว้

     

                “ตอนนี้ป๊าต้องนอนนะ มันดึกมากแล้ว ส่วนเรื่องนั้น...” ทงเฮแทบกลั้นหายใจขณะที่กำลังเอ่ยคำ “ทงเฮ...ไม่เป็นไร”

     

                “ป๊าบอกเขาว่าป๊าไม่มีใคร แต่...”

     

                “เราเข้าไปในห้องแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กันดีไหมครับ ยังไงคืนนี้ป๊าก็ต้องนอนกับทงเฮ ค่อยพูดตอนนั้นก็ได้” ทงเฮเอ่ยบอกเพราะกลัวว่าจุนซูจะได้ยินคำพูดของพวกเขา ฮยอกแจพยักหน้ารัว ก่อนจะเดินตามทงเฮเข้าไปในห้องนอน ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็ดึงทงเฮเข้ามากอดไว้แน่นทันที

     

                “ทงเฮ ป๊าเสียใจ...เสียใจมากเลยที่ทำให้ทงเฮต้องเจ็บอีกแล้ว ทงเฮเจ็บเพราะป๊าอีกแล้ว” ฮยอกแจรู้สึกเหมือนกับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ทงเฮต้องร้องไห้ มันเกิดจากเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาห้ามทงเฮคบกับยูชอน เรื่องที่เขากีดกันความรักของทงเฮที่มีต่อซีวอน

     

                ทุกๆ อย่างที่เขาทำล้วนทำลายความสุขของทงเฮทั้งสิ้น

     

                และตอนนี้...เขากำลังทำมันอีกแล้ว

     

                “ทงเฮไม่เจ็บเลยครับ” ทงเฮเอ่ยบอกแล้วโอบแขนเรียวรอบลำตัวของอีกฝ่ายไว้แน่น เมื่อได้กอดกัน หยาดน้ำตาอุ่นก็ค่อยๆ เอ่อไหล

     

                “ที่ป๊าพูดไปเมื่อกี้ ที่ป๊าบอกจุนซูว่ายังไม่มีใคร ทงเฮจะเข้าใจป๊าไหมว่า...จริงๆ แล้วป๊ายังรักทงเฮนะ วันพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว ป๊าก็จะยังรักทงเฮ ป๊าสัญญาไปแล้ว ป๊าจะไม่ผิดสัญญา”

     

                ทงเฮพยักหน้าระรัวภายใต้อ้อมกอดที่อบอุ่นของฮยอกแจ เขาพยายามจะเข้าใจฮยอกแจให้มากที่สุด เขาอยากจะเหนี่ยวรั้งฮยอกแจเอาไว้ข้างๆ กาย แต่ทงเฮไม่สามารถทำได้ เพราะหากเขาทำอย่างนั้น อี ทงเฮก็ยังเป็นได้แค่คนเห็นแก่ตัวคนเดิม

     

                ทงเฮพยายามจะไม่คิด พยายามจะไม่เสียใจ แต่สุดท้ายเขาก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง แม้แต่อ้อมแขนแกร่งของฮยอกแจก็โอบกอดไว้ไม่ทัน ทงเฮปล่อยโฮแล้วเอ่ยขึ้น

     

                “ทำไมต้องเป็นอย่างนี้กันด้วยล่ะ ทำไมเรารักกันไม่ได้...ทำไมล่ะป๊า?” ฮยอกแจค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าลูกชาย ทงเฮเงยหน้าขึ้นไปสบตา ดวงหน้าอ่อนหวานเต็มไปด้วยหยาดน้ำตามากมาย นัยน์ตาคู่สวยก็มีแต่ม่านน้ำตาคลอหน่วยอยู่ ทงเฮมองหน้าฮยอกแจแล้วเอ่ยถามอย่างสุดกลั้น

     

                “พระเจ้าจะให้เราเจอกันทำไม ถ้าไม่อนุญาตให้เรารักกัน ทำไมทงเฮต้องเจอป๊าด้วย ทำไม?!

     

                “ทงเฮ...ไม่เอานะ อย่าพูดแบบนี้ ต่อให้รักกันไม่ได้ ป๊าก็ยังอยากจะเห็นทงเฮ อยากเห็นทุกๆ วันเลยนะ” ฮยอกแจตระกองกอดทงเฮไว้แน่นราวกับกลัวว่าใครจะพรากทงเฮไปจากเขาอีก มันเป็นความหวาดวิตกเมื่อเรากำลังผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง เป็นความหวาดระแวงเมื่อรู้ว่าสิ่งใดที่มีความสำคัญต่อชีวิตและลมหายใจ

     

                “สู้ไม่เจอกันตั้งแต่แรกยังดีกว่า สู้ไม่รักกัน ไม่ต้องมาเกิดมาเป็นพ่อลูก ไม่ต้องใกล้ชิด ไม่ต้อง...”

     

                “พอแล้ว ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” ฮยอกแจจุมพิตเข้าที่หน้าผากมนแล้วโอบกอดไว้อีกครั้ง สุดท้ายแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้ อี ฮยอกแจทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว

     

     

                ร่างแบบบางแทบจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันทีที่แสงแรกของวันใหม่สาดส่องเข้ามากระทบดวงตา แต่แล้วก็ถูกกอดรั้งลงไปนอนอีกครั้ง พร้อมกับแก้มนุ่มที่ถูกใครบางคนชิงหอมเข้าฟอดใหญ่

     

                “ป๊า” ทงเฮประท้วงเบาๆ ด้วยการกระทุ้งศอกไปยังอกแกร่งที่เปล่าเปลือยของฮยอกแจ ก่อนจะนอนกระพริบตาปริบๆ อยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นจนตัวเกร็ง อยากลุกออกไปในตอนนี้ แต่ก็อยากเก็บเกี่ยวเอาความอบอุ่นไว้ให้แนบชิดเรือนกายอีกสักครั้งหนึ่ง

     

                ก่อนที่จะไม่มีโอกาส

     

                “ทงเฮอย่าไปไหนนะ” ฮยอกแจเอ่ยบอกในขณะที่ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่ที่ริมหูของทงเฮ คนที่ตัวเล็กกว่าหมุนตัวกลับไปสบสายตากัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น

     

                “เราต้องออกไปนะครับ”

     

                “ป๊าอยากนอนกับทงเฮอย่างนี้...ทุกเวลา” ท้ายประโยคเป็นความหวังเล็กๆ ที่ฮยอกแจและทงเฮรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จุนซูอยู่อีกห้องหนึ่ง และฮยอกแจได้สัญญากับทงเฮตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเขาจะขอนอนกอดอีกแค่คืนเดียวเท่านั้น “ทงเฮ...”

     

                “ครับ” เสียงหวานขานรับเบาบางราวกับอากาศ

     

                “รักป๊าไหม...เช้าวันใหม่แล้วนะ ทงเฮรักป๊าหรือเปล่า?” ฮยอกแจเอ่ยถามด้วยสายตาวิงวอน แต่แทนที่ทงเฮจะตอบเขา หน้ามนกลับหลบหน้าแล้วเสมองไปทางอื่น ทงเฮค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขามีคำตอบให้กับฮยอกแจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คำตอบของทงเฮยังเป็นเหมือนเดิม

     

                แต่ทว่าเขาไม่สามารถพูดเพื่อเหนี่ยวรั้งให้ฮยอกแจอยู่กับตัวเองได้

     

                ถ้าหากทำแบบนั้น จุนซูจะต้องเสียใจ ฮยอกแจก็จะต้องเสียใจ...เพราะเขา ทงเฮไม่อยากเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจของคนอื่นอีกต่อไปแล้ว

     

                “เราออกไปข้างนอกกันเถอะครับ”

     

                “ทงเฮ” ฮยอกแจเรียกอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ

     

                “ต้องออกไปนะครับ ออกไปก่อนที่เพื่อนของป๊าจะตื่น ก่อนที่...” ท้ายประโยค เสียงของทงเฮแทบจะถูกกลืนหายไปกับอากาศ “...เขาจะรู้ว่าเราเป็นมากกว่าพ่อกับลูก”

     

                “อย่าทำร้ายป๊าแบบนี้ทงเฮ อย่า...”

     

                “ป๊าก็เหมือนกัน อย่าทำร้ายทงเฮด้วยสายตาแบบนั้นเลยครับ” ทงเฮพูดจบก็เดินออกไปจากห้องนอนทันที ฮยอกแจได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างเจ็บปวด จะให้เขามองทงเฮด้วยสายตาเย็นชาได้อย่างไร เขารักทงเฮเกินกว่าจะมองทงเฮเป็นแบบอื่นได้ เขารักทงเฮมากเหลือเกิน

     

                ร่างสูงโปร่งลุกจากเตียงเพื่อวิ่งไปเหนี่ยวรั้งทงเฮให้อยู่ในห้องอีกสักพัก ฮยอกแจไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้เท่านั้น แต่ทว่าทงเฮกลับผลักประตูออกไปอย่างรวดเร็ว

     

                “ทง...” ฮยอกแจอ้าปากค้างอยู่แค่นั้นเมื่อเห็นว่าจุนซูกำลังเดินออกมาจากอีกห้องพอดี ใบหน้าสดใสยิ้มกว้างต้อนรับวันใหม่ให้กับสองพ่อลูก

     

                “ตื่นกันแล้วเหรอพ่อลูกคู่นี้ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?” จุนซูไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการเอ่ยคำทักทายตอนเช้า แต่ทว่าคำทักทายนั่นกลับทำให้ฮยอกแจและทงเฮรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับไปมองจุนซูแล้วทำหน้าตาเหลอหลา “ทำไมเป็นแบบนั้นกันล่ะ เพราะฉัน...เลยทำให้หลับไม่สบายกันเหรอ?” จุนซูหันไปถามฮยอกแจ

     

                “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เมื่อคืนเราหลับสบายดีมากเลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณ...”

     

                “เรียกอาจุนซูก็ได้” จุนซูบอกด้วยรอยบางๆ อย่างใจดี ทงเฮรู้สึกชอบรอยยิ้มนั่น เขาไม่ได้อิจฉา ไม่ได้รังเกียจ หากแต่การมีจุนซูอยู่ในบ้านหลังเดียวกันทำให้ทงเฮรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง

     

                “ครับ อาจุนซู” พูดจบก็เดินเลี่ยงออกไปทางหน้าบ้านทันที ปล่อยให้ฮยอกแจมองตามจนสุดสายตา ในขณะที่จุนซูได้แต่ยืนงุนงงอยู่กับที่เท่านั้น

     

                แม้เขาจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาดของฮยอกแจและทงเฮ แต่จุนซูก็คิดว่าเขาแค่คิดมากไปก็เท่านั้นเอง

     

     

                เกือบจะเก้าโมงเช้าแล้วแต่ฮยอกแจก็ยังไม่ได้ไปทำงาน ทงเฮไม่ได้อ่านหนังสืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ในตอนเช้าทงเฮก็ยังไปนั่งดูดอกไม้ ได้แค่ดูเท่านั้นแหละ เขาไม่มีกะจิตกะใจจะรดน้ำต้นไม้อีกแล้ว เพียงแค่ได้นั่งห้อยขาอยู่ที่ชิงช้าและปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ

     

                ภายในบ้าน ฮยอกแจกับจุนซูช่วยกันทำอาหารเช้ากันเกือบครึ่งชั่วโมง และในขณะที่ฮยอกแจกำลังจัดโต๊ะอาหาร จุนซูก็เดินออกมาตามทงเฮที่นั่งอยู่หน้าบ้าน

     

                “ทงเฮ ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ”

     

                “ผมยังไม่หิวครับ อาจุนซูทานกับป๊าไปก่อนเลย” ทงเฮบอกปฏิเสธไปในทีแรก แต่ในใจกลับรู้สึกผิดเมื่อเห็นใบหน้าเก้อเขินของจุนซู ทงเฮจึงผุดลุกขึ้นยืน “เอ่อ...เดี๋ยวทงเฮจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

     

                บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆ เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น แต่ไม่ว่ากับข้าวจะมากหรือน้อยกว่านี้ ทงเฮก็กินอะไรไม่ลงอยู่ดี เขาลอบมองฮยอกแจแวบหนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มร่าแล้วส่งเสียงดังขึ้น

     

                “ทงเฮทานแล้วนะคร้าบ!” ฮยอกแจหันมามองอย่างตกใจกับท่าทางของทงเฮ เขามองด้วยสายตาที่เป็นห่วงอย่างเปี่ยมล้น ในขณะที่จุนซูได้แต่มองทงเฮแล้วยิ้มออกมาเท่านั้น

     

                “ทานเยอะๆ นะทงเฮ”

     

                “ครับ อาจุนซู” ทงเฮว่าแล้วตักข้าวคำใหญ่ใส่ปาก ฮยอกแจรู้ดีว่าเมื่อไรที่ทงเฮแกล้งกินอะไรมากๆ หมายความว่าตอนนั้นทงเฮกำลังเป็นทุกข์

     

                และตอนนี้ทงเฮก็กำลังทุกข์ใจมากเหลือเกิน

     

                ฮยอกแจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจุนซูในขณะที่มือเรียวคีบอาหารวางลงบนถ้วยข้าวของทงเฮ เขาหันไปหาจุนซูแล้วค่อยเอ่ยถามขึ้น

     

                “จุนซู”

     

                “หืม?”

     

                “ตอนนี้นายยังอยู่ที่เดิมอยู่ไหม?” ฮยอกแจไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอย่างไรให้ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ขับไล่ไสส่งจุนซูไปที่อื่น

     

                “ฉันประกาศขายคอนโดตั้งแต่ก่อนจะไปจีนแล้วล่ะ” คำพูดของจุนซูทำให้มือของทงเฮชะงัก แต่จุนซูไม่ทันได้สังเกตเห็น “แต่ไม่ต้องกังวลหรอกนะ ยังไงฉันก็จะรบกวนนายแค่วันนี้วันเดียว ฉันมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็กะว่าจะไปเช่าห้องแถวเล็กๆ ใกล้ที่ทำงานน่ะ”

     

                “ที่ทำงาน?” ฮยอกแจทวนคำเพราะตอนที่คุยกันเมื่อคืนนี้ จุนซูบอกเขาว่าลาออกจากที่ทำงานเดิมไปแล้ว

     

                “ก็ที่ทำงานใหม่นั่นแหละ ยังไงก็ต้องหาให้ได้ ฉันน่ะเรียนจบตั้งปริญญาตรีนะ ยังไงก็ต้องมีสักบริษัทที่รับฉันไว้แหละน่า” จุนซูเว้นคำพูดไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยแบบทีเล่นทีจริง “แต่จริงๆ แล้วฉันก็อยากอยู่กับฮยอกแจที่นี่นะ”

     

                “แค่กๆ” ฮยอกแจที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มสำลักน้ำขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ในทีแรกจุนซูคิดว่าฮยอกแจแกล้งทำ แต่เมื่อเห็นฮยอกแจไอไม่หยุดจึงเอื้อมมือเข้าไปช่วย แต่ทว่ายังไม่ทันที่มือจะถึงตัวของฮยอกแจ ทงเฮก็เข้ามาลูบหลังให้ฮยอกแจอย่างเป็นห่วงเป็นใยเสียก่อน ทงเฮดูแลฮยอกแจเป็นอย่างดี ร่างบางหยิบผ้ามาเช็ดปากให้ฮยอกแจพร้อมกับคอยลูบหลังอยู่ไม่ห่าง

     

                จุนซูได้แต่มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า

     

                เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปจากความสัมพันธ์พ่อลูกที่ทงเฮมีให้กับฮยอกแจ

     

                ในขณะที่ทงเฮที่รู้ตัวว่าใกล้ชิดฮยอกแจมากเกินไปกลับรีบผละออกห่างหลังจากที่ฮยอกแจอาการดีขึ้นแล้ว ทั้งสองสบตากันอีกครั้งกับคำพูดของจุนซูเมื่อครู่

     

                “คือ...” ฮยอกแจทำท่าอึกอัก ทงเฮรู้ดีว่าพ่อของเขากำลังคิดหาทางปฏิเสธแบบนุ่มนวล แต่ทว่าทงเฮกลับชิงพูดขึ้น

     

                “ได้สิครับ” สิ้นเสียงของทงเฮ ฮยอกแจก็หันขวับมามองทันที แต่ทงเฮไม่สนใจอีกแล้ว “ยังไงตอนปีสองทงเฮก็จะออกไปอยู่หอพักอยู่แล้ว อาจุนซูมาอยู่ที่นี่กับป๊าดีกว่า ป๊าของทงเฮจะได้ไม่เหงา”

     

                อย่าทำแบบนี้...ทงเฮ ได้โปรดอย่าทำร้ายหัวใจของเราด้วยคำพูดแบบนี้เลย

     

     

                โชคดีจริงๆ ที่คำพูดของจุนซูเป็นแค่การพูดเล่นไปเท่านั้น โชคดีจริงๆ ที่เขากลับไปแล้ว สำหรับฮยอกแจ มันคือความโชคดี แต่สำหรับทงเฮ เขาได้เลือกแล้ว...

                หลังจากจุนซูนั่งแท็กซี่ออกไปจากบ้าน ฮยอกแจกับทงเฮเอาแต่นั่งอยู่ข้างๆ กันในห้องรับแขก ไม่มีใครพูดออกมาก่อนเลย โทรทัศน์ก็เอาแต่ฉายรายการวาไรตี้น่าเบื่อ ทุกๆ อย่างล้วนน่าเบื่อ คำพูดของทงเฮก็น่าเบื่อด้วย

     

                “จะออกไปอยู่หอพักงั้นเหรอ?” ฮยอกแจคล้อยหน้าไปมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “จะไปจริงๆ น่ะเหรอ?”

     

                “ทงเฮจำเป็นต้องไปนี่ครับ” เสียงราบเรียบของทงเฮทำให้ฮยอกแจเหนื่อยใจ

     

                “ทงเฮ...ไหนบอกว่าจะตามใจป๊าไง”

     

                “เรื่องอื่นทงเฮอาจจะทำให้ป๊าได้ แต่เรื่องนี้...ทงเฮขอร้องล่ะครับ” ใบหน้าของทงเฮมีแต่รอยหม่นหมอง ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่รักกันแล้วแต่กลับมีอุปสรรคให้รักกันไม่ได้ สิ่งที่ต้องการกลับไม่สามารถเป็นจริงได้ ทำไมมนุษย์ต้องเป็นสัตว์สังคม ทำไมต้องแคร์ความรู้สึกของคนอื่น แค่เขารักกัน...มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?

     

                ไม่ได้เหรอ? ไม่มีทางให้รักกันเลยเหรอ?

     

                “แล้วตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไร ทำไมจู่ๆ ก็มาบอกว่าจะไป”

     

                “ตัดสินใจนานแล้วล่ะครับ” ทงเฮบอกก่อนจะหลบสายตา ไม่ใช่เลย เขาไม่ได้ตัดสินใจมานานแล้วอย่างที่พูดเลย แค่ตอนเช้าเท่านั้น เขาเพิ่งตัดสินใจเมื่อตอนทานอาหารเช้านี่เอง “ให้ทงเฮไปนะครับป๊า พอทงเฮสอบเสร็จแล้ว ทงเฮจะไปเลย ให้ทงเฮไปนะ”

     

                “ทงเฮ!

     

                “ถึงป๊าไม่ให้ไป ทงเฮก็จะไป” ทงเฮยังดึงดันในความคิดของตัวเอง มันไม่ใช่แค่การจากกันเท่านั้น แต่ฮยอกแจรู้สึกเป็นห่วงความเป็นอยู่ของทงเฮ เขาอยากดูแลทงเฮในฐานะพ่อกับลูก แต่อยากรักทงเฮในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ฮยอกแจต้องการทุกอย่าง ขอเพียงแค่ทงเฮยังอยู่กับเขาตรงนี้

     

                “ทำไมต้องหนีป๊าไปอีกแล้ว ทั้งๆ ที่บอกว่าจะตามใจ แต่สุดท้ายก็ผิดคำพูด” ฮยอกแจเอ่ยอย่างตัดพ้อ

     

                “ทงเฮขอโทษครับ” ทงเฮบอกเสียงอ่อย ก่อนจะก้มหน้างุด ฮยอกแจได้แต่หันออกไปมองด้านนอกอย่างทรมานใจ เขาทำอะไรผิดต่อใครมาหรือเปล่า หรือว่าชาติที่แล้วเขาเป็นคนไม่ดี สวรรค์ถึงต้องลงโทษเขาอย่างหนักหนาสาหัสขนาดนี้ เสียงลมหวีดหวิวดังเข้ามาด้านในบ้าน แต่ฮยอกแจไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย ตอนนี้เขาได้ยินเพียงแค่เสียงที่เจ็บปวดของทงเฮเท่านั้น

     

                “ทงเฮไม่ได้อยากจะหนีป๊าไป แต่ป๊าจะให้ทงเฮทำยังไงในเมื่อเรารักกันไม่ได้”

     

                “อย่าพูดเรื่องนี้อีก!

     

                “ปะป๊า...” ทงเฮเรียกอีกฝ่ายจนฮยอกแจตัวชาวาบ “เราลองห่างกันไปก่อนนะครับ บางทีช่วงเวลาที่ห่างกันอาจจะทำให้ทงเฮรู้ก็ได้ว่า...แท้จริงแล้วทงเฮรักป๊าแบบไหน ป๊าเองก็เหมือนกัน”

     

                ทงเฮลุกออกไปทันทีที่พูดจบ แต่ฮยอกแจรู้สึกว่ามันเหมือนคำบอกเลิกที่นิ่มนวลแต่บาดลึกมากเหลือเกิน

     

                ฮยอกแจปฏิเสธทงเฮอย่างหัวชนฝา ต่อให้ห่างกันไปไกลแค่ไหน ต่อให้ไม่พบหน้ากันนานเท่าไร ความรู้สึกของเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

     

                ฮยอกแจอาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า...

     

                เมื่อใดที่เกิดความรักขึ้น เมื่อนั้นก็จะเกิดคนที่เสียสละเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

     

                และครั้งนี้...แทนที่จะเป็นอี ฮยอกแจ คนๆ นั้นกลับกลายเป็น...อี ทงเฮ

     

     

    Talk with Lee Seen

                ขอบคุณค่ะ!

    ซีนจะไปงานโอเวอร์โค้ทที่เขาค้อล่ะ ใครจะไปเจอกันนะค้า...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×