ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #44 : Chapter 42 อย่าไปนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.42K
      7
      5 ธ.ค. 54

     

    Chapter 42

    อย่าไปนะ

     

                “ถ้าทำได้ป๊าก็อยากจะอาบน้ำให้ทงเฮ อยากดูทงเฮตลอดเวลา” ฮยอกแจเปรยขึ้นเบาๆ เมื่อพาทงเฮกลับเข้ามาในบ้านอย่างปลอดภัย ร่างกายของพวกเขาเปียกปอน หากหัวใจก็ยังรู้สึกอบอุ่น แต่แม้จะอบอุ่นแค่ไหน ทว่าความเศร้าจางๆ ก็ยังปะปนอยู่ด้วย

     

                “ทงเฮจะไม่หนีไปไหนอีกแล้วครับ” ทงเฮฝืนยิ้มบางๆ ออกไป ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะทนต่อสายตาของอีกฝ่ายไม่ไหว “จริงๆ นะครับ” เขาย้ำอีกครั้งเพื่อให้ฮยอกแจเชื่อใจ จากนั้นจึงเดินเข้าห้อง

     

                ฮยอกแจมองดูแผ่นหลังของลูกชายที่ลับสายตาไปแล้ว เขาจึงค่อยเดินเข้าห้องนอนของตัวเองเพื่ออาบน้ำบ้าง การอาบน้ำหลังจากตากน้ำฝนจะทำให้ไม่เป็นหวัด แต่ก็คงต้องกินยากันเอาไว้ก่อน เขาเป็นหวัดน่ะไม่เท่าไร แต่ทงเฮอย่าได้เป็นหวัดเลย ทงเฮไม่ใช่เด็กที่แข็งแรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

     

                เมื่อเข้าไปในห้องนอน หลังจากปิดประตูลง ฮยอกแจก็อดแง้มออกมาดูด้านนอกอีกครั้งไม่ได้ เขากลัวทงเฮจะหนีจากไปอีก กลัวว่าถ้าหากครั้งนี้ทงเฮไปจากเขาได้ ทงเฮก็อาจจะไม่กลับมาอีกเลย

     

                แต่ในเมื่อทงเฮบอกว่าจะไม่ไป ฮยอกแจจะลองเชื่อใจทงเฮอีกสักครั้ง

     

                เขาพยายามเร่งรีบอาบน้ำให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะออกไปหาทงเฮ ฮยอกแจมั่นใจว่าเขาจะต้องอาบน้ำได้รวดเร็วอย่างแน่นอน แต่เมื่อสายน้ำอุ่นไหลรินผ่านศีรษะลงสู่ปลายคาง บางส่วนก็ตกกระทบไหล่หนาก่อนจะไหลผ่านทุกๆ ส่วนของร่างกาย สายน้ำเหล่านั้นก็ปลดปล่อยความรู้สึกของเขาให้โบยบินออกไปด้วย

     

                อีกด้านหนึ่งนั้น ทงเฮใช้เวลาอาบน้ำไม่นานเท่าไรนัก ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเรื่องให้ครุ่นคิดเหมือนฮยอกแจ แต่เป็นเพราะอาการคัดจมูกที่จะถามหาทุกครั้งเมื่อตากฝนทำให้ทงเฮต้องรีบอาบน้ำให้เร็วขึ้น ทั้งๆ ที่อยากจะเข้านอนทันทีที่อาบน้ำเสร็จ แต่ทงเฮกลับเดินออกไปกินยาลดไข้

     

                เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากป่วย

     

                ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทุกข์ทรมานที่จะต้องเจ็บป่วย แต่ทงเฮรู้ว่าถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา คนที่วุ่นวายใจที่สุดคงจะเป็นพ่อของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ทงเฮเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ซึ่งอาการแบบนี้เขาก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนกัน

     

                ทงเฮเดินออกจากห้องแล้วหายาลดไข้จากตู้ยาสามัญประจำบ้าน แต่ไม่พบ เขามั่นใจว่าครั้งก่อนที่มาหยิบยาไปกินยังเหลือยาอีกครึ่งขวด ถ้ายาหมดแล้วฮยอกแจก็น่าจะซื้อขวดใหม่มาไว้ บางทีพ่อเขาอาจจะหยิบขวดยาเข้าไปในห้องนอน

     

                ทงเฮลังเลใจอยู่ครู่ใหญ่ นานมากเลยทีเดียวที่เขาเดินไปเดินมาและกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องนอนของฮยอกแจ อยากจะเข้าไปแต่กลับคิดทบทวนอยู่นาน เป็นอะไรนะอี ทงเฮ เขาเฝ้าถามถึงความผิดปกติของหัวใจ หัวใจมันเต้นแรงขึ้นจนได้ยินเสียงโครมครามดังออกมานอกอกอย่างชัดเจน

     

                ไม่! เราไม่ได้คิดอะไรกับพ่อ จะไม่มีทางคิดอะไรเกินเลยเป็นอันขาด

     

                ทงเฮคิดราวกับสะกดจิตตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น เขาเปิดประตูเข้าไป ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า แต่ทว่ามีเพียงเตียงนอนเท่านั้นที่ว่างเปล่า หากแต่ห้องน้ำกลับมีคนอยู่ในนั้น และ...ประตูห้องน้ำถูกเปิดแง้มไว้นิดๆ

     

                ทงเฮรู้สึกเหมือนลมหายใจของเขาติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาก้าวขาไม่ออก ทั้งๆ ที่อยากเรียกพ่อที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านใน แต่ก็หาเส้นเสียงของตัวเองไม่เจอ อยากจะถอยหลังหนีออกไปจากห้อง แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง แต่ความอยากรู้อยากเห็นบางอย่างทำให้ขาเรียวก้าวเดินเข้าไปใกล้ๆ ประตูอย่างไม่รู้ตัว

     

                ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

     

                ทงเฮรู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อสายตาของเขาหยุดอยู่ที่ร่างเปล่าเปลือยของฮยอกแจเสียแล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่ด้านหลัง แต่ทุกสัดส่วนของฮยอกแจที่ชัดเจนต่อสายตาก็ทำให้ทงเฮเผลอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก

     

                เขาอยากจะเบนสายตาหนีไปทางอื่น แต่อีกใจก็อยากจะมองภาพนั้น

     

                น้ำใสสะอาดที่ไหลออกมาจากฝักบัวสีเงินไหลสู่ร่างกายของฮยอกแจ ลำตัวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขา แผ่นหลังที่มีรอยข่วนจากเล็บของเขาเมื่อคืนก่อนก็ยังปรากฏเป็นรอยแดงๆ ให้เห็น ทงเฮพานนึกไปถึงเรื่องคืนก่อนนั้น

     

                เขาหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องสมยอม ทำไมถึงได้ต้องการผูกพันใกล้ชิดกับฮยอกแจนัก เขาเคยเป็นแบบนี้ตอนที่รู้จักกับซีวอนใหม่ๆ แต่กับครั้งนี้แม้ความรู้สึกมันจะคล้ายกัน แต่ก็แตกต่างออกไปในหลายๆ อย่าง ทงเฮหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ เขาไม่อยากคิดมากเกินไป และก็ไม่อยากทำตัวให้พ่อเสียใจอีกแล้ว

     

                ทงเฮไม่รู้ว่าฮยอกแจจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าถูกแอบมอง แต่ดูๆ ไปแล้วก็ผิดวิสัยของคนที่กำลังอาบน้ำ ฮยอกแจยืนนิ่งงันตลอดเวลาที่เขายืนอยู่หน้าประตูห้อง จนในที่สุดทงเฮก็ตัดสินใจหลบออกมา

     

                เขาไม่ได้กินแม้กระทั่งยาลดไข้ คิดว่าหากรีบเข้านอนเร็วๆ ตื่นขึ้นมาก็คงจะไม่เป็นอะไร

     

                เมื่อกลับเข้ามาในห้องนอนแล้ว ทงเอกลับลบภาพเมื่อครู่ออกจากความคิดไม่ได้เลย เขาหลับตาลง ปล่อยใจให้ว่างเปล่าไม่คิดอะไร แต่พอกำลังจะเคลิ้มหลับเมื่อไร ภาพแผ่นหลังที่เปล่าเปลือยของฮยอกแจก็ย้อนกลับเข้ามาสู่ห้วงความคิด

     

                ทงเฮค่อยๆ สอดมือเรียวเข้าไปในเสื้อผ้าของตัวเอง เขาลูบไล้ไปทั่วอกบอบบางที่สั่นสะท้านไปด้วยความหวามไหวในอารมณ์ แต่ก็รีบชักมือออกอย่างแรงเมื่อรู้ตัว

     

                “จะทำแบบนั้นไม่ได้ เขาเป็นพ่อของเรา เราจะคิดแบบนั้นไม่ได้”

     

                ทงเฮตอกย้ำกับตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง เขาพยายามจะเอาชนะความรู้สึกของตัวเอง มันก็แค่ความลุ่มหลง ทงเฮคิดว่ามันเป็นความรู้สึกเดียวกัน ถ้าเป็นแค่ความลุ่มหลง เขาก็จะสบายใจ เพราะความหลงมันไม่ใช่สิ่งยั่งยืน เมื่อมันผ่านมา อีกไม่นานนักหรอก มันก็จะผ่านพ้นไป เขาคิดแบบนั้น

     

                พอคิดว่าความรู้สึกที่มีให้กับฮยอกแจเป็นแค่ความหลง ทงเฮก็หลับตาลงอย่างเป็นสุขอีกครั้ง แต่พอกำลังจะหลับ เขาก็คิดถึงภาพของฮยอกแจเช่นเดียว เขาเอาแต่คิดถึงฮยอกแจ แม้จะอยู่ใกล้กันเพียงแค่ผนังห้องกั้นเอาไว้ แต่ทงเฮก็ยังอดคิดถึงฮยอกแจไม่ได้ เขาคิดถึงฮยอกแจแม้จะกอดกันอยู่ คิดถึงทุกเวลาเลย

     

                ทงเฮเลิกสนใจความรู้สึกของตัวเอง เขาปัดความรู้สึกผิดทั้งหมดทิ้งไปแล้วจมอยู่กับความคิดเท่านั้น มือเรียวบางสอดเข้าไปในกางเกงนอน ก่อนจะสัมผัสเข้ากับส่วนอ่อนไหวที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ เขาสัมผัสมัน หยอกล้อมัน และขยับมือขึ้นลงอย่างแช่มช้าเพื่อตอบสนองความทรมานที่ปะทุเข้ามาในร่างกาย

     

                “อา...อา...” ทงเฮครางไม่เป็นภาษา แต่ก็ยังสามารถกลืนชื่อของฮยอกแจลงไปในลำคอได้ เขาสัมผัสมันครั้งแรกครั้งเล่า เติมเต็มความปรารถนาที่ร้อนรุ่มจนกระทั่งปลดปล่อยออกมาในที่สุด หลังจากนั้นก็หมดแรงนอนหอบหายใจอยู่บนเตียงนอน

     

                ทงเฮหลับตาลงอย่างเป็นสุขมากขึ้น เขาสบายใจมากขึ้นแล้ว เพราะถ้าหากมันเป็นความหลงจริงๆ เขาก็ไม่ผิดอะไรที่จะทำแบบนั้น ในเมื่อพรุ่งนี้เช้าตื่นมาความหลงนั้นก็จะจางหายไป เขาจะไม่คิดกับฮยอกแจในแบบอื่นอีกแล้ว นอกจาก...พ่อกับลูก

     

     

    เช้าตรู่ของวันต่อมา อี ซองมินยืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าๆ ด้วยความรู้สึกที่สับสนปนเปไปหมด เขามาที่นี่อีกครั้งทำไมกัน ทั้งๆ ที่ตัดสินใจว่าจะไม่มาอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็พาร่างตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไม่รู้ตัว ยิ่งประตูบานไม้ถูกปิดสนิทและลงกลอนอย่างแน่นหนา เขายิ่งรู้สึกโหวงเหวงในร่างกายมากขึ้น

     

                หรือฮันกยองจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว

     

                ซองมินครุ่นคิดแล้วก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นไปอีก ถ้าหากฮันกยองจากไปจริงๆ เขาคงจะรู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิต ไม่สิ เกิดมาชาติหน้าความผิดก็อาจจะติดตัวเขาตลอดไปก็ได้ ซองมินคิดได้แบบนั้นก็นึกกลัวขึ้นมา

     

                “ซองมิน” เสียงเรียกชื่อที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้ซองมินหันขวับกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขเมื่อเห็นฮันกยองนั่งรถเข็นเข้ามา แต่เมื่อเจอหน้าถมึงทึงจากอีกฝ่าย ซองมินก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

     

                “กลับมาแล้วเหรอ?” ซองมินเอ่ยทักทายสั้นๆ

     

                “ที่นี่เป็นที่ซุกหัวนอนของฉัน นายจะให้ฉันไปนอนข้างถนนหรือไง” ฮันกยองเอ่ยบอกด้วยเสียงมึนตึง ก่อนจะเข็นรถเข้ามาในเฉลียงหน้าบ้าน แม้จะมีพื้นลาดเอียงสำหรับรถเข็นก็ตาม แต่ซองมินก็รีบถลันตัวเข้าไปช่วยเหลือ

     

                “ให้ฉันช่วยนะ”

               

                “ไม่ต้อง!” ฮันกยองปัดมือของซองมินออกทำให้รถเข็นเอียงจนเกือบจะล้ม ซองมินอาศัยแรงทั้งหมดประคองเอาไว้ เขาปวดแขนไปหมด ปวดจนน้ำตารื้นขึ้นมา แต่ก็ยังยกรถเข็นกลับมาเป็นเหมือนเดิมไว้ได้ แต่ในขณะที่ฮันกยองกำลังไขประตูเข้าไปในบ้านนั้น เจ้าของเสียงทุ้มก็เอ่ยคำ

     

                “ต่อไปนายไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”

     

                “แต่ว่า...” ซองมินเอียงคอบอก

     

                “ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ฉันถูกไล่ออกจากโรงเรียนหรอก มันไม่ใช่ความผิดของนาย เพราะสิ่งที่ฉันทำมันเป็นวิถีของฉัน เป็นทางเดินของฉัน” คำพูดของฮันกยองทำให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเบิกตากว้าง

     

                “นายรู้?” ซองมินรู้สึกว่าขณะที่เขาพูดคำนั้น ริมฝีปากชมพูดอิ่มก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีสาเหตุมันอาจจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้เอง แต่ทว่าเขาหามันไม่เจอ “ฮันกยอง...”

     

                “อย่าเรียกชื่อฉัน อย่ามาที่นี่”

     

                “ทำไมล่ะ...ทำไมนายถึง...?”

     

                “ถ้านายมาที่นี่อีก ฉันอาจจะกลับไปเดินตามเส้นทางที่ฉันเคยผ่านมาก็ได้ ต่อให้เป็นาย ฉันก็ไม่ยกเว้นหรอกนะ” คำพูดของฮันกยองคล้ายกับคำขู่ แต่ซองมินเข้าใจดีว่าฮันกยองกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่รู้สึกสงสารจับใจ

     

                สงสาร...ที่ชีวิตของฮันกยองไม่เคยยิ้มอย่างมีความสุขเลยสักครั้ง

     

                “เรื่องที่ฉันโดนไล่ออกมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก นายไม่ต้องกังวลไปหรอก”

     

                “เล็กน้อยเหรอ?” ซองมินทวนคำ “นายคิดว่าแค่นายถูกไล่ออกเรื่องมันจะจบอย่างนั้นเหรอฮันกยอง คนทั้งโรงเรียนต่างก็รู้ว่านายทำอะไรลงไป แม้จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนั้น แต่ทุกคนเขาก็รู้ ฉันทำให้ทุกคนเกลียดนาย ฉันผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ ขอโทษด้วย”

     

                ซองมินทรุดตัวนั่งลงกับพื้นแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างสิ้นหวัง มีแค่นี้แหละที่เขาอยากจะชดใช้ให้ฮันกยอง ซองมินคิดว่าตัวเองมีความผิดมาโดยตลอด เขาเชื่อว่าการเรียนหนังสือจะสอนให้มนุษย์เป็นคนดี แต่ซองมินคิดว่าการกระทำของเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นทำให้ฮันกยองไม่ได้เรียนหนังสืออีกเลย ชีวิตของฮันกยองต้องพังพินาศก็เพราะเขา

     

                ในช่วงสามปีแรกที่ฮันกยองโดนไล่ออก ซองมินตามหาไปทั่วว่าฮันกยองไปเรียนต่อที่โรงเรียนไหน แต่เมื่อไม่พบ ซองมินจึงฝังใจมากตลอดว่าฮันกยองไม่ได้เรียนหนังสืออีกแล้ว

     

                และที่ชีวิตของฮันกยองต้องมาอยู่ในห้องเช่าโกโรโกโสแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาก็ได้

     

                “หลังจากโดนไล่ออกจากโรงเรียน ฉันมีความสุขจะตายไป”

     

                “นายแน่ใจใช่ไหม?” ซองมินเอ่ยถามอีกครั้ง เขาไม่เชื่อในคำพูดของฮันกยองเด็ดขาด ต่อให้ฮันกยองจะพูดความจริง เขาก็ไม่มีวันเชื่อ เพราะดวงตาของฮันกยองไม่มีความสุขเอาเสียเลย

     

                ฮันกยองเข้าไปในบ้านและพยายามลงจากรถเข็นด้วยความยากลำบาก เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะลงมานั่งที่พื้นได้ ซองมินได้แต่ยืนมอง อยากจะเข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ทำไม่ได้เลย

     

                “อืม...ฉันสบายดี” ฮันกยองตอบแล้วรีบหลบสายตาไปทางอื่น

     

                “ก็ได้ ถ้านายยืนยันแบบนั้นฉันก็เบาใจ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านายไม่ได้สุขสบาย แม้จะเห็นเต็มสองตาว่านายลำบากแค่ไหน แต่ถ้านายยืนยันว่าสบายดี ฉันก็จะเชื่อ” ซองมินพูดทั้งน้ำตา เขาค่อยๆ นั่งลงที่พื้น นั่งก้มหน้าอยู่นานแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต

     

                ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นเอง ตอนที่เขาเรียนอยู่เกรดเก้า ซองมินชอบมานั่งเล่นใต้ร่มไม้หน้าตึกเรียน เขาจะนั่งอยู่คนเดียวจนกระทั่งเย็นย่ำ แม้เพื่อนๆ จะกลับบ้านไปกันหมดแล้ว เขาก็ยังเอาแต่นั่งอยู่ที่นี่

     

                เพราะว่า...

     

                หากนั่งอยู่ตรงนี้ จะสามารถมองเห็นบันไดหนีไฟได้อย่างชัดเจน และฮันกยองมักจะยืนมองดวงอาทิตย์ตกดินอยู่ที่นั่น แต่สำหรับซองมินแล้ว ฮันกยองสว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ในใจของเขา

     

                ใช่แล้ว! ซองมินหลงรักฮันกยอง มันเป็นความรักแบบเด็กๆ เพราะเขามีเหตุผลมากมายที่จะบอกได้ว่าทำไมเขาถึงรักผู้ชายคนนี้ เพราะฮันกยองเรียนเก่ง เพราะฮันกยองเป็นเด็กประถมปลายที่หล่อเหลาในบรรดาเด็กผู้ชายทั้งหมด อีกทั้งฮันกยองยังเล่นกีฬาได้หลายชนิด ไม่เคยมีสักครั้งที่ซองมินจะเบื่อที่ได้มองผู้ชายคนนี้จากที่ไกลๆ

     

                แต่ในวันหนึ่งที่เขาเห็นซีวอนวิ่งวุ่นเพื่อตามหาคยูฮยอนไปทั่วโรงเรียน ซองมินไม่คาดคิดมาก่อนว่าฮันกยองจะอยู่ที่นั่น เขานี่เองที่บอกให้ซีวอนลองไปตามหาคยูฮยอนที่บันไดหนีไฟ

     

                แต่พอเช้าวันต่อมา...ซองมินก็ได้รับข่าวร้าย

     

                แม้ว่าจะดีใจที่คยูฮยอนปลอดภัย แต่ซองมินก็เศร้าใจที่เขาเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ซองมินคิดว่าเพราะเขานี่เองที่ทำให้ฮันกยองเป็นคนจิตใจแข็งกระด้าง และมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข เขาได้แต่นึกโทษตัวเองมาตลอด

     

                น้ำตาแห่งความเจ็บปวดค่อยๆ ไหลรินลงมา

     

                ซองมินใช้หลังมือเช็ดมันออก ก่อนจะใช้ข้างเดียวกันนั้นเอื้อมไปจับมือของฮันกยองมากุมไว้ หากเป็นในนวนิยาย เวลานี้ซองมินคงจะต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตากับฮันกยองแล้วเอ่ยคำบางคำขึ้นมา แต่ทว่าเล็บมือของฮันกยองที่ขาดการดูแลทำให้ซองมินเอาแต่จดจ้องมือแกร่งนั้นอย่างไม่วางตา

     

                “ฮ...ฮันกยอง...” ซองมินเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตะกุกตะกัก ดูเหมือนฮันกยองจะรู้ว่าซองมินหมายถึงอะไร คงเป็นเพราะมือที่สกปรกและหยาบกร้านของเขา รวมไปถึงเล็บที่ขาดการดูแลเอาใจใส่จึงทำให้ซองมินตกใจขนาดนั้น

     

                ซองมินหยิบกรรไกรตัดเล็บในกระเป๋าออกมา เขาจับมือฮันกยองเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะค่อยๆ ตัดเล็บและทำความสะอาดมือคู่นั้นทั้งน้ำตา

     

                “ฉันจะทำให้แค่นี้ แล้วฉันก็จะกลับไป” ซองมินบอกด้วยเสียงสั่นเครือ เขายังคงมีน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย

     

                สองมือของฮันกยองที่เคยทำร้ายใครมามากมาย ซองมินจะทำความสะอาดมือคู่นั้นเอง

     

     

                ซองมินออกมาจากบ้านเช่าของฮันกยองในเวลาต่อมา แต่เขาไม่ได้กลับบ้านในทันที ซองมินเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างสรรพสินค้าแถวนั้น เขาเดินตรงไปเรื่อยๆ จนแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาจากด้านหลัง

     

                หมับ!

     

                “ซองมิน!” เสียงทักทายที่แสดงความเป็นห่วงออกมาทั้งทางน้ำเสียงและแววตา ซองมินสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ จนคนที่เข้ามาทักหัวเราะร่วน “ใจลอยไปถึงไหนกัน”

     

                “คยูฮยอนเองเหรอ?” ซองมินยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหันไปยิ้มทักทายซีวอนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อนสนิทของเขา สุดท้ายทั้งสามคนก็แวะเข้าไปนั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งเพื่อพูดคุยกัน

     

                “นายไม่สบายหรือเปล่า ทำไมถึงได้เดินเหมือนคนไร้วิญญาณขนาดนั้น?” คยูฮยอนเอ่ยทักอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย มือเรียวยกขึ้นหมายจะอังหน้าผากของซองมิน แต่ซองมินกลับเอนตัวหนี

     

                “เปล่าหรอก แค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”

     

                “เพลินๆ เหรอ หน้าตาไม่เห็นจะเพลินตรงไหนเลย” ซีวอนนั่งเท้าคางกับโต๊ะแล้วจ้องมองซองมิน เขาจึงถูกคยูฮยอนกระทุ้งศอกอย่างแรง แถมยังถูกคยูฮยอนส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกด้วย

     

                “ซีวอนก็...” คยูฮยอนเว้นคำพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะให้ความสนใจกับซองมินอีกครั้ง “ซองมินช่วยเรามาตั้งหลายอย่าง ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ บอกเราได้นะ เราเต็มใจช่วย”

     

                “ไม่มีอะไรจริงๆ” ซองมินยืนยันคำเดิม แต่กลับก้มหน้างุด คราวนี้คยูฮยอนจึงวางมือลงบนมือของซองมินไว้ แค่วางลงแค่นั้น ไม่ได้กอบกุมแต่อย่างใด

     

                “อย่าทำแบบนี้สิ อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียวแบบนี้เลยนะ”

     

                “คะ...คือ...” ซองมินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นหน้าคยูฮยอน เขากลับไม่กล้าพูดออกมา จนถูกคยูฮยอนกระตุกมือขึ้นเบาๆ ซองมินจึงสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ “นาย...จำคนที่ชื่อ...ฮันกยอง...ได้ไหม?”

     

                สิ้นเสียงของซองมิน ทุกอย่างก็เงียบลงทันที คยูฮยอนละมือออก แล้วเอนหลังออกไป สีหน้าของซีวอนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดวงตาของคยูฮยอนสั่นระริกแล้วส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่กล้าถามต่อ กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับซองมิน

     

                กลัวว่าสิ่งที่ฮันกยองเคยทำกับตัวเองไว้ในอดีตจะหวนกลับมาอีกครั้ง

     

                “เขาทำอะไรนาย?” เป็นซีวอนนั่นเองที่ใจกล้าพอที่จะเอ่ยถาม

     

                “เปล่า ฮันกยองไม่ได้ทำอะไรหรอก” ซองมินรีบสั่นหน้า แต่ดูเหมือนซีวอนกับคยูฮยอนจะปักใจเชื่อไปแล้ว “จริงๆ นะ เขาไม่ทำอะไรเราเลย ไม่มีอะไรเลยจริงๆ”

     

                “แล้วนายเป็นอะไรไปล่ะซองมิน มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฮันกยองกันแน่ นายไปยุ่งกับคนพรรค์นั้นอีกทำไม” คยูฮยอนถามขึ้นอย่างร้อนใจ ยิ่งเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของซองมิน เขาก็ยิ่งเป็นห่วง

     

                “วันที่เขาโดนไล่ออก มันเป็นเพราะเรา ถ้าเราไม่บอกซีวอนว่านายอยู่ที่นั่น เขาก็คง...”

     

                “หมายความว่านายต้องการให้คยูฮยอนถูกฮันกยองทำร้ายใช่ไหม ซองมิน...นายต้องการให้เรื่องเป็นแบบนั้นใช่ไหม?” เสียงของซีวอนดังขึ้นอย่างเดือดดาล เขาไม่มีความรู้สึกสงสารซองมินเลยสักนิด เพราะคนที่เขารักไม่ใช่ซองมิน แต่เป็นคยูฮยอน คยูฮยอนเท่านั้นซีวอนจะนึกถึงมากที่สุด มีเพียงแค่คยูฮยอนคนเดียวเท่านั้น

     

                “ซองมิน นายรู้สึกผิดเพราะอะไร นายคง...ไม่ได้รักเขาหรอกใช่ไหม?” คยูฮยอนถามด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอยู่เต็มอก “นายจะรักฮันกยองไม่ได้นะ รักคนแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”

     

                “มันไม่ใช่ความรักหรอก มันเป็นแค่ความรู้สึกผิดตอนเด็กเท่านั้น” ซองมินพูดพลางถอนหายใจ แต่คยูฮยอนกลับรู้สึกขนลุกขนพองที่เพื่อนสนิทของเขาต้องมีอะไรข้องเกี่ยวกับคนที่น่ากลัวแบบนั้น

     

                หากตอนเด็กๆ ฮันกยองยังน่ากลัวมาก แล้วตอนที่เขาโตขึ้นมา เขาจะน่ากลัวได้มากขนาดไหนกัน เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยสักนิดเดียว

     

                “ถ้ามันเป็นความผิดตอนเด็กๆ จริง ทำไมนายลืมเรื่องนั้นไม่ได้ล่ะ มันผ่านมาสิบกว่าปีแล้วไม่ใช่เหรอ ลืมสิซองมิน ลืมเรื่องเก่าๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ นายห้ามหลงรักฮันกยองนะ จะรักพี่ชางมินหรือใครก็ได้ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เขา”

     

                คยูฮยอนพ่นคำพูดออกมามากมายอย่างคุมสติไม่อยู่ ซีวอนจึงดึงมือคนรักไว้แนบแน่น เขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของคยูฮยอนที่มีต่อซองมิน แต่มันอาจจะเป็นโชคชะตาที่กำหนดไว้แบบนี้ คงเป็นเพราะโชคชะตานั่นเอง

     

                แม้อยากจะวิ่งหนีก็ไม่มีทางทำได้

     

                นั่นเป็นเพราะ...โชคชะตา

     

     

    Loading-------------45%

     

                “กวาดร้านเสร็จแล้วอย่าลืมไปล้างจานด้วยนะ” เสียงของคนเป็นน้าออกคำสั่งทั้งๆ ที่กำลังยุ่งอยู่กับการสระผมให้ลูกค้า เดิมทีจองซูก็ตั้งใจว่าจะให้จงอุนช่วยงานที่ร้านบ้าง แต่พอให้ลองทำครั้งหนึ่ง จองซูก็รู้ว่าหลานชายแท้ๆ ของเขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เอาเสียเลย

     

                “ล้างจานเสร็จแล้วผมขึ้นไปบนห้องได้ไหมครับ?” จงอุนหันมาถาม คราวนี้คนเป็นน้าชายจึงพยักหน้าส่งๆ กลับไป เขาไม่รู้ว่าทำไมพักหลังๆ จงอุนถึงเอาแต่เล่นกีตาร์ คนเล่นดนตรีส่วนใหญ่มักมีความรัก แต่เท่าที่จองซูเคยได้ยิน จงอุนเอาแต่เล่นเพลงเศร้า

     

                “จริงสิ!” จองซูโพล่งขึ้น “ตอนนี้ทงเฮกลับไปอยู่บ้านแล้วใช่ไหม?”

     

                “ครับ อาฮยอกแจไปรับกลับมาแล้วครับ”

     

                “อืม ดีแล้วล่ะ” จองซูเอ่ยขึ้นพลางก้มลงไปสระผมให้ลูกค้าต่ออย่างขะมักเขม้น เขานึกถึงวีรกรรมที่หลานชายตัวดีสร้างไว้เมื่อหลายวันก่อน การที่จงอุนเปิดประตูบ้านให้ทงเฮหนีออกไปทำให้เขาแทบเป็นบ้า จองซูกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับทงเฮ

     

                เขาบังคับให้จงอุนโทรหาทงเฮหลายต่อหลายครั้ง มั่นใจว่าทงเฮจะต้องไว้ใจจงอุนและบอกที่อยู่กลับมาแน่ จนในที่สุดจงอุนก็โทรศัพท์ไปบอกให้ฮยอกแจตามไป แต่จองซูไม่อยากเสวนากับหนุ่มรุ่นน้อง เพราะเขายังโกรธเคืองฮยอกแจไม่หายที่ไปมีอะไรกับทงเฮ

     

                สิ่งที่ฮยอกแจทำมันร้ายแรงเกินกว่าที่จะทำให้ความรู้สึกของทุกคนกลับมาเป็นเช่นเดิม โดยเฉพาะกับทงเฮ ความรู้สึกของทงเฮเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด

     

                ในขณะเดียวกันนั้น หลังจากที่จงอุนล้างจานเสร็จแล้ว เขาก็เดินขึ้นไปบนห้อง หลายวันมานี่เขาพยายามไม่คิดถึงรยออุค เขาเล่นดนตรีแทบจะตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองไหน ใบหน้าของรยออุคก็จะล่องลอยเข้ามาสู่ความคิดอยู่เรื่อยๆ

     

                วันนี้ก็เช่นกัน

     

                เสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาทำให้จงอุนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ทงเฮนั่นเองที่ส่งข้อความมาให้เขา นิ้วเรียวกดเข้าไปอ่านข้อความแล้วก็ต้องเหวี่ยงโทรศัพท์ทิ้งไปบนเตียงนอน

     

                วันนี้รยออุคจะไปอังกฤษแล้ว พี่จงอุนจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะครับ

     

                ดูทำเข้าสิอี ทงเฮ ปัญหาของตัวเองยังเอาไม่รอด ยังมีหน้ามาเป็นห่วงคนอื่นอีก ทีเมื่อก่อนล่ะก็ทำเป็นหมางเมินกับเขา แต่ตอนนี้กลับมาทำดีด้วยเพื่อให้เขาไปคบหากับเพื่อนสนิทของตัวเอง จงอุนรู้สึกอยากจับทงเฮมาตีก้นนัก ทำไมถึงได้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขามากขนาดนี้

     

                ไม่ใช่ว่าจงอุนจะไม่รู้ว่ารยออุคจะต้องเดินทางในวันนี้ เขาจำได้อย่างแม่นยำแม้จะไม่อยากใส่ใจ แต่ทุกๆ ครั้งที่ตื่นขึ้นมา สมองก็ยังจดจำได้ว่าเหลือเวลาอีกกี่วันที่รยออุคจะอยู่ในแผ่นดินเดียวกันกับเขา

     

                หนึ่งทุ่มตรงของวันนี้นี่เองที่รยออุคกำลังจะไป

     

                จงอุนมองดูนาฬิกาข้อมือพลางถอนหายใจออกมา เกือบสี่โมงเย็นแล้วสินะ แม้ว่ารยออุคจะต้องขึ้นเครื่องตอนหนึ่งทุ่ม แต่รยออุคคงจะเข้าไปด้านในก่อนหน้านั้นสักสองชั่วโมง เพราะฉะนั้นก็...เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

     

                แต่ทำไมเขาต้องสนใจ ทำไมเขาต้องมานั่งคำนวณเวลาแบบนี้ ทำไมหลายวันมานี่เขาถึงได้รู้สึกหดหู่ ไม่ใช่เพราะว่าทั้งหมดนี้มันเกิดมาจากคนตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวหรอกเหรอ

     

                ร่างสูงลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปจากห้องนอนอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาเหลือให้เขาได้คิดทบทวนอีกต่อไปแล้ว หากชักช้ากว่านี้อีกสักนิดเดียว ทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้ไขก็ได้

     

                “จะไปไหนน่ะจงอุน?!” จองซูร้องลั่นอย่างตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นหลานชายวิ่งหน้าตั้งออกไปจากร้าน จงอุนไม่ได้หันไปตอบคำถามของน้าชาย เขามีเพียงจุดหมายเดียวคือที่สนามบินเท่านั้น

     

                เขาจะต้องไปให้ทันเวลาให้ได้

     

     

                ในสนามบินนานาชาติที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินขวักไขว่กันอย่างละลานตา จงอุนยืนเคว้งคว้างราวกับไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ เลยสักนิด เขากวาดสายตามองหารยออุคไปจนทั่ว วิ่งวุ่นวายอย่างไร้ทิศทางจนต้องยืนหอบเหนื่อยอยู่กลางสนามบิน

     

                แขนแกร่งยกขึ้นดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เหลืออีกเพียงแค่สิบนาทีก็จะห้าโมงเย็น รยออุคคงบอกลาพ่อแม่และเข้าไปด้านในแล้ว เขาคงหมดหวังแล้ว

     

                แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไป ภาพของคนมากมายในสนามบินก็ค่อยๆ จางหายไปทีละคนสองคน ทุกๆ คนล้วนอันตรธานไปหมด ไม่เว้นแม้แต่พ่อกับแม่ของรยออุค

     

                สิ่งที่สายตาของคิม จงอุนมองเห็นมีเพียงเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ยืนทำหน้าเศร้าอยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น จงอุนรีบสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

     

                “รยออุค!” เสียงตะโกนเรียกชื่อที่ดังก้องทำให้ใบหน้าหวานหันมามองอย่างตกใจ จงอุนยืนเหนื่อยหอบอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก แต่เขากลับหาเส้นเสียงของตัวเองไม่เจอเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้พบเจอรยออุคอีกครั้ง เขาก็ดีใจจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาบอกอีกฝ่ายดี หากแต่รยออุคกลับเอ่ยขึ้น

     

                “พี่จงอุนจะมาขับไล่ไสส่งผมเหรอครับ เป็นแบบนั้นเหรอ?” รยออุคถามเสียงเครือ พ่อกับแม่มองหน้ากันแล้วถอยออกไปยืนห่างๆ รยออุคจ้องมองแต่ใบหน้าของจงอุน จริงๆ แล้วเขาอยากจะถามว่าจงอุนรู้ได้ยังไงว่าเขาจะเดินทางวันนี้ เขาทั้งดีใจและก็เสียใจไปพร้อมๆ กัน

     

                ดีใจที่เห็นหน้าจงอุนก่อนจะจากกันไปแสนไกล

     

                แต่ก็เสียใจเพราะเมื่อได้พบหน้าจงอุน เขาก็ไม่อยากจากไปไหนอีกแล้ว รยออุครู้สึกว่าจงอุนกำลังเรียกร้องให้เขาอยู่ที่นี่แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา รยออุคแค่รู้สึกเข้าข้างตัวเองไปอย่างนั้น

     

                “เปล่า พี่จะบอกว่า...อย่าไปนะ อย่าไปได้ไหม?” จงอุนเอ่ยบอกเหมือนคนโง่ แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ

     

                “มาบอกตอนนี้ ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอครับ เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมต้องไป ผมตัดสินใจไปแล้ว” รยออุคบอกเสียงสั่น ใบหน้าหวานเงยขึ้นไปมองบนเพดานเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

     

                “พี่ขอร้องล่ะรยออุค!” เขาบอก หากแต่รยออุคกลับส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว จงอุนคิดว่ามันสมควรแล้วที่รยออุคจะปฏิเสธคำขอร้องของเขา เพราะจงอุนมาช้าไป เขารู้ตัวช้าไปจริงๆ “งั้นเมื่อไรนายจะกลับมาอีก?”

     

                “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” น้ำเสียงของรยออุคบางเบา แต่ทว่าจงอุนกลับได้ยินคำพูดเหล่านั้นอย่างชัดเจน มันเหมือนกับคำพูดที่ว่ารยออุคจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว

     

                “พี่รู้ว่าพี่เห็นแก่ตัว แต่นายจะกลับมาเมื่อไร ถ้านายกลับมาพี่จะรักนาย ไม่สิ! พี่รักนายไปแล้ว พี่คิดว่าพี่รักนายไปแล้ว” จงอุนสารภาพออกมาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คนตรงหน้าจะตั้งตัวได้ทัน รยออุคมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ชาวาบไปทั้งตัว

     

                นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

     

                รยออุคทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แข้งขาของเขาไร้เรี่ยวแรงจนทรงตัวไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เสียงร้องไห้โฮดังลั่น พร้อมกับมือเรียวที่ยกขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้

     

                “ผมจะกลับคำพูดไม่ได้ ถ้าผมกลับคำ พ่อกับแม่จะว่ายังไง”

     

                “งั้นพี่...” ดูเหมือนว่าจงอุนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เงียบลงไป ร่างหนาย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของรยออุค ก่อนจะรั้งร่างบอบบางเข้ามาประคองกอดเอาไว้ นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากจะพูดเมื่อครู่นี้ แต่จงอุนคิดว่าอ้อมกอดของเขาสามารถทดแทนคำพูดได้อย่างครบถ้วน

     

                หลังจากนั้นอีกสิบนาที จงอุนก็เดินคอตกออกมาจากสนามบิน เขาออกมายืนอยู่ที่ลานจอดรถ แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีครามที่ตัดด้วยปุยเมฆสีขาว อีกไม่นานรยออุคก็จะขึ้นเครื่องบินไปอยู่บนฟ้าสีครามนั่นสินะ

     

                และหลังจากนั้นเขากับรยออุคก็จะห่างไกลออกไปคนละซีกโลก

     

                “ไม่ทันเหรอครับ?” เสียงเอ่ยถามที่ดังขึ้นข้างๆ ทำให้จงอุนลดสายตาลงมามอง ทงเฮนั่นเอง จงอุนตกใจนิดหน่อยที่ทงเฮมาอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่ได้ตอบคำถาม แต่เอ่ยถามกลับไป

     

                “เพิ่งมาเหรอ?” ทงเฮเพียงแค่ยิ้มบางๆ ออกมา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปมองด้านในสนามบิน

     

                “บรรยากาศในสนามบินมันเศร้าเกินไปน่ะครับ ผมกลัวว่าจะต้องร้องไห้เลยส่งแค่ข้อความมา แต่สุดท้ายก็อยากเห็นหน้าเจ้านั่นอยู่ดี ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

     

                คำพูดของทงเฮทำให้จงอุนพยักหน้าระรัว

     

                “นั่นสินะ! อีกนานแค่ไหนกัน”

     

     

                ในเย็นวันนั้น ทงเฮกลับมาจากสนามบินและตรงมาหาฮยอกแจที่ร้านทำผม มีลูกค้าวัยกลางคนนั่งอยู่ในร้านพอดี ฮยอกแจจึงทำหันไปมองทงเฮแวบเดียว แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้มอย่างมีความสุข

     

                แค่ได้เห็นหน้าทงเฮ โลกทั้งโลกก็ดูสว่างไสวขึ้นมาถนัดตา

     

                “แฟนเหรอคะ?” ลูกค้าสาวคนนั้นเอ่ยทักหลังจากได้เห็นสีหน้าของฮยอกแจ มือหนาจึงชะงักลงในทันที ทั้งทงเฮและฮยอกแจต่างลอบมองกันด้วยท่าทางอึดอัดใจ ก่อนที่ฝ่ายที่ได้ขึ้นชื่อว่าพ่อจะรู้สึกตัวและรีบส่ายหน้ารัวปฏิเสธ

     

                “ไม่ใช่หรอกครับ นี่ลูกชายของผม”

     

                “ลูกชาย?!” เธอพูดอย่างตกใจ ก่อนจะจ้องมองหน้าเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสารในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ทงเฮค่อยๆ เงยหน้าขึ้นหลังจากที่รู้สึกว่าถูกแอบมองอยู่นานแล้ว เขายิ้มเจื่อนๆ ส่งให้แล้วยืนยันคำพูดของฮยอกแจอีกครั้ง

     

                “ครับ ผมเป็นลูกชายของป๊า”

     

                “คุณพ่อยังหน้าเด็กอยู่เลยนะคะ แถมลูกชายก็หน้าตาน่ารักเสียด้วย นี่ถ้าไม่ใช่พ่อลูกกัน ฉันว่าคุณต้องเป็นคู่รักที่น่าอิจฉามากแน่ๆ”

     

    หากพวกเขาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ฮยอกแจคงจะหัวเราะร่วนกับคำพูดของลูกค้าสาวคนนั้น

     

    และหากพวกเขาไม่มีอะไรเกินเลยกันในคืนก่อน ทงเฮก็คงไม่ต้องทำหน้ากระอักกระอ่วนใจเหมือนในตอนนี้

     

    “เอ่อ...ทำไมถึงเงียบกันไปหมดเลยล่ะคะ?” เธอถามขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป แต่ฮยอกแจก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ทุกอย่างมันกลับมาเป็นปกติได้อย่างไร เขารีบทำผมให้ลูกค้าคนสุดท้ายอย่างเร่งรีบ และเมื่อเธอเดินออกไปจากร้าน ภายในร้านทำผมก็เงียบลงราวกับไม่มีใครนั่งอยู่เลย

     

    “ป๊าเหนื่อยไหม?” ทงเฮเอ่ยถามพลางลดหนังสือในมือลง

     

                “เปิดร้านนี้น่ะเหรอ ไม่เหนื่อยหรอก”

     

                “ทงเฮหมายถึงป๊าเหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องบอกคนอื่นว่าเราเป็นพ่อลูกกัน ใครต่อใครก็บอกว่าเราไม่เหมือนพ่อลูกกัน แต่ทำไมความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นล่ะ ทำไมเราถึงต้องมาเป็นแบบนี้ด้วย”

     

                ทงเฮปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอย่างปวดใจ ฮยอกแจอยากจะเดินเข้าไปโอบกอดทงเฮเหลือเกิน แต่เขาทำไม่ได้ เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อีกแล้ว

     

                เพราะทงเฮคิดว่าเขาคือพ่อ ถ้าหากเขายิ่งแสดงความรู้สึกออกไปมากเท่าไร คนที่เสียใจมากที่สุดก็มีเพียงแต่ทงเฮเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงได้แต่ข่มใจเอาไว้ ข่มไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

                “อย่าร้องไห้เลยทงเฮ อย่าร้องไห้กับเรื่องนี้อีก”

     

                “ทำไมป๊าถึงห้ามทงเฮไม่ให้ร้องไห้ล่ะ ในเมื่อป๊าก็กำลังร้องไห้เหมือนกัน ทงเฮบอกป๊าแล้ว เราลืมมันไม่ได้ ต่อให้ป๊าบอกว่าลืมมันไปหมดแล้ว แต่ทงเฮก็รู้ว่าป๊าไม่มีวันลืม เราลืมไม่ได้เลย”

     

                ทงเฮยกขาขึ้นมานั่งชันเข่า ก่อนจะซุกซบหน้าลงไปแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ทงเฮไม่ได้พูดเกินกว่าความเป็นจริงเลย เพราะตอนนี้ฮยอกแจก็กำลังร้องไห้ เขาเองก็ร้องไห้กับโชคชะตาที่มันโหดร้ายด้วยเช่นกัน

     

                ทงเฮเงยหน้าขึ้นแล้วปาดน้ำตาออก ร่างบางลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากร้าน ฮยอกแจลุกพรวดอย่างตกใจ ก่อนจะตามไปคว้ามือเรียวเอาไว้ทันที

     

                “อย่าไปนะ” เขาบอกด้วยเสียงบางเบาเหลือเกิน

     

                “ทงเฮไม่หนีไปไหนหรอกครับ ทงเฮจะกลับบ้าน” ทงเฮบิดข้อมือของตัวเองออกห่าง ก่อนจะหันมาบอกช้าๆ “ทงเฮแค่ไม่อยากกลับบ้านไปพร้อมกับป๊า ทงเฮกลับก่อนนะครับ”

     

                ฮยอกแจกำลังจะวิ่งตามลูกชายออกไป แต่ทว่าเสียงโทรศัพท์ของเขากลับดังขึ้น มันดังมากจนฮยอกแจรู้สึกตัวว่าในโลกนี้ไม่ได้มีเขากับทงเฮเพียงแค่สองคน เขาไม่สามารถทำตามที่ใจของตัวเองปรารถนาได้ ทำไม่ได้เลย

     

                “ครับ” ฮยอกแจพูดสั้นๆ เพราะรู้ดีว่าคนที่โทรมาเป็นใคร

     

                ปาร์ค จองซูนั่นเอง

     

                [ออกมาหาพี่หน่อยสิ...ฮยอกแจ]

     

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมคุยกันในโทรศัพท์ไม่ได้ล่ะ?” ฮยอกแจกรอกเสียงถาม รู้สึกว่าเรื่องที่จองซูเรียกไปคุยนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน ยิ่งน้ำเสียงที่ดังมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจยิ่งทำให้ฮยอกแจรู้สึกอึดอัด เขามองตามทงเฮที่เพิ่งขึ้นแท็กซี่ออกไป ก่อนจะตอบตกลง

     

     

                ไม่กี่นาทีต่อมา ฮยอกแจกับจองซูก็นั่งอยู่ตรงข้ามกันในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง กาแฟถูกสั่งมาวางไว้โดยที่ไม่มีใครคิดจะแตะต้องมัน จองซูเอาแต่จ้องหน้าฮยอกแจ จ้องอยู่นานจนคนถูกมองต้องหลบสายตาออกไปด้านนอก

     

                แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาที แต่ฮยอกแจรู้สึกว่านานเหลือเกินที่พวกเขานั่งเงียบกันอยู่แบบนี้

     

                “ทำไมทงเฮต้องหนีออกมาจากบ้าน?” จองซูเปิดฉากขึ้นในระหว่างที่ฮยอกแจมองรถราด้านนอก คำพูดเพียงสั้นๆ ก็สามารถดึงสายตาของใครบางคนให้หันกลับมามองได้ทันที

     

                “ไม่มีอะไรหรอกครับ เราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อยน่ะ”

     

                “แค่นิดหน่อยเหรอ เรื่องอะไรล่ะ?” อีกครั้งที่จองซูถามอย่างคาดคั้น

     

                “พี่จองซู!

     

                “ไม่ต้องมาเรียกพี่แบบนั้น พี่รู้ความจริงจากทงเฮหมดแล้วล่ะฮยอกแจ ทงเฮบอกพี่มาหมดแล้วว่าคืนนั้นนายทำอะไรลงไปบ้าง นายทำแบบนี้ได้ยังไง นายทำร้ายลูกแท้ๆ ของนายได้ยังไง” จองซูรู้สึกว่าลำคอของตัวเองตีบตันเสียจนพูดอะไรไม่ออก เขาน้ำตาซึมเมื่อมองใบหน้าที่เรียบเฉยไม่มีความรู้สึกของฮยอกแจ

     

                “ผมรักทงเฮ” ฮยอกแจพูดสั้นๆ เขาได้พูดเหตุผลทั้งหมดออกไปหมดแล้ว ทุกๆ สิ่งที่เขากระทำมาตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ตั้งแต่วันที่ได้พบเจอทงเฮเป็นครั้งแรก สิ่งที่เขากระทำมาโดยตลอดเป็นเพราะว่าฮยอกแจรักทงเฮ

     

                แต่ในวันนี้...คำว่ารักของเขามันแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

     

                ไม่ใช่ความรักของพ่อที่มีต่อลูก

     

                แต่เป็นความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่มอบให้กับผู้ชายอีกคนหนึ่งทั้งชีวิตและหัวใจ

     

                “เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้” จองซูสั่นหน้ารัว อยากให้สิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงแค่ความฝัน อยากให้หูของเขาแว่วไปเองเท่านั้น แต่ฮยอกแจก็ยังตอกย้ำคำพูดเดิมอย่างแน่วแน่

     

                “ผมรักทงเฮครับ รักมานานแล้ว ผมรักเขา”

     

                “อย่าเป็นแบบนี้สิฮยอกแจ นายจะรักลูกชายแท้ๆ ของตัวเองได้ยังไง รู้ไหมว่าความรักของนายทำให้ทงเฮเจ็บปวดมากแค่ไหน มันทรมานสำหรับทงเฮมากเลยนะ”

     

                ฮยอกแจปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมาอีกครั้ง เขาพูดไม่ออก ได้แต่เม้มปากแน่น ความเงียบเข้าเกาะกุมทุกอณู จองซูเองก็ร้องไห้ด้วยเช่นกัน ความผูกพันที่มีต่อกันมาเกือบยี่สิบปีทำให้เขารักฮยอกแจเหมือนน้องชายแท้ๆ รักยิ่งกว่าคนในครอบครัวของเขาเสียอีก

     

                “แล้วถ้าผมบอกว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกันล่ะครับ?” ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมาถาม จองซูรู้สึกได้ทันทีว่าวิญญาณของเขาหลุดกระเด็นออกจากร่างไปแล้วนับตั้งแต่วินาทีนั้น

     

                “มะ...หมายความว่าไง?” จองซูสั่นหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ แต่ทว่าด้วยแววตาของฮยอกแจแล้ว ด้วยนิสัยของฮยอกแจที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ฮยอกแจไม่เคยพูดโกหก

     

                “วันที่พี่ไปต่างจังหวัด จักรยานสีเหลืองคันนั้น...” ฮยอกแจเว้นคำพูดราวกับเขาเองก็จะหมดลมหายใจไปเช่นเดียวกัน “ทงเฮปั่นจักรยานออกไปกลางถนน แล้วเขาก็ถูกรถชน”

     

                “เป็นเพราะจักรยานที่พี่ซื้อให้ทงเฮเหรอ?” จองซูคล้ายกับจะเป็นลม เขาตกใจมากเมื่อนึกถึงจักรยานคันเล็กสีเหลืองสดใสที่มันหายไป จองซูคิดว่าฮยอกแจนำจักรยานไปไว้ที่บ้านหลังใหม่ด้วย แต่เปล่าเลย จักรยานคันนั้นถูกชนจนไม่เหลือซาก

     

                “แล้ว...แล้วผมก็รู้ว่าทงเฮไม่ใช่ลูกของผม ผมเกือบจะฆ่าเขาให้ตาย แต่ผมก็ทนเลี้ยงทงเฮมาจนถึงตอนนี้ ทนเลี้ยงดูทั้งๆ ที่รู้มาตลอดว่าเขาไม่ใช่ลูกในไส้ของผม ทงเฮไม่ได้เป็น...” เสียงของฮยอกแจค่อยๆ หายลงไปอย่างช้าๆ น้ำตามากมายเปรอะเปื้อนใบหน้าของคนทั้งคู่ ทั้งเสียใจ ทั้งอึดอัด ทั้งท้อแท้กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในชีวิต

     

                มันไม่ใช่ความผิดของใครเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะชะตาลิขิตของพวกเขา

     

                “ทงเฮ!” จองซูเอาแต่ร้องเรียกชื่อหลานชายที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาเป็นห่วงทงเฮมากที่สุด ในเวลานี้ปาร์ค จองซูเป็นห่วงทงเฮมากกว่าใครๆ ในโลกเลย

     

                อี ทงเฮช่างเป็นเด็กที่อาภัพเหลือเกิน

     

                “นายต้องรีบบอกลูกนะ ก่อนที่ลูกจะรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ ต้องบอกให้ทงเฮรู้ความจริง” จองซูพูดเหมือนรำพึงรำพันออกมา แต่ฮยอกแจส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

     

                “ผมบอกเขาไปแล้ว แต่ทงเฮปักใจเชื่อว่าเราเป็นพ่อลูกกันจริงๆ” ฮยอกแจทำท่าคล้ายกับกำลังจะหมดเรี่ยวแรง เขาขอร้องให้จองซูเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ฮยอกแจก็พร้อมที่จะรับมันไว้ หากทงเฮยังเชื่อว่าเขาเป็นพ่อ ฮยอกแจก็จะเป็นแค่พ่อ

     

                แต่ถ้าหากวันหนึ่งความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของทงเฮถูกเปิดเผยออกมา ฮยอกแจก็อยากจะเป็นคนพูดความจริงนั้นด้วยตัวของเขาเอง

     

     

                ฮยอกแจกลับเข้าบ้านทันทีหลังจากที่พูดคุยกับจองซูเสร็จ เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่จองซูได้รู้ความจริง ฝ่ายนั้นจะรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่กับเขาแล้ว เขาไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว

     

                สมองมันด้านชาไปหมด หากแต่หัวใจกลับเจ็บปวดรวดร้าวกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้

     

                “ป๊ากลับมาแล้วนะ” ฮยอกแจส่งเสียงดังขึ้นเมื่อยืนอยู่หน้าห้องนอนของลูกชาย เขายืนคอยอยู่นานจนเกือบจะตัดใจเดินเข้าห้องตัวเองไปแล้ว แต่สุดท้ายทงเฮก็ค่อยๆ แง้มประตูโผล่หน้าออกมาดู “ป๊ากลับมาแล้ว” ฮยอกแจบอกอีกครั้งต่อหน้าของทงเฮ

     

                “ครับ” ทงเฮรับคำสั้นๆ

     

                “ซื้อทาร์ตผลไม้มาฝากด้วย” ฮยอกแจยื่นถุงพลาสติกใสส่งให้ ในนั้นมีทาร์ตผลไม้ที่ทงเฮชอบอยู่สองชิ้น ทงเฮรับมาแล้วเอ่ยถาม

     

                “ป๊ากินข้าวมาหรือยัง?”

     

                “ป๊าไม่หิว” ฮยอกแจบอกเพียงแค่นั้น ก่อนจะหมุนตัวออกมาเพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป ทั้งๆ ที่เขาอยากเห็นหน้าทงเฮ อยากพูดคุยกับทงเฮ แต่เดี๋ยวนี้เขาต้องใช้ความคิดอย่างหนักกว่าจะหาเรื่องมาพูดคุยกับทงเฮได้

     

                อย่างเรื่องทาร์ตที่ซื้อมาฝากด้วยเช่นกัน ถ้าหากเขาไม่ซื้ออะไรมาให้ทงเฮ ฮยอกแจก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับทงเฮด้วยคำพูดแบบไหน

     

                เขายังดูแลทงเฮเสมือนว่าตัวเองเป็นพ่อ และทงเฮเป็นลูก แต่ในความรู้สึกของเขา ไม่มีความรู้สึกรักแบบนั้นอยู่ในหัวใจเลยแม้แต่นิด ฮยอกแจอยากเป็นเพียงผู้ชายที่แสนธรรมดา อยากเป็นคนที่สามารถมอบความรักให้กับทงเฮได้อย่างจริงใจ เขาอยากทำแบบนั้น

     

                ฮยอกแจเข้าไปอาบน้ำทันทีที่เข้าไปในห้องนอน เวลาที่อาบน้ำอยู่ในห้องส่วนตัว เขามักจะลืมปิดประตูห้องน้ำเอาไว้ ฮยอกแจคิดว่าทงเฮคงจะไม่เข้ามาในห้องนอนของเขา แต่ทว่าเสียงแกร๊กที่ดังขึ้นอยู่ด้านนอกทำให้ฮยอกแจยืนตัวเกร็ง

     

                เรื่องที่คล้ายคลึงกับเมื่อวันก่อน

     

    ดูเหมือนว่าทงเฮจะเข้ามาหาของในห้องนอนของเขาอีกแล้ว ฮยอกแจรู้ว่าถ้าหากทงเฮมองเข้ามาในห้องน้ำ ทงเฮก็อาจจะยืนอึ้งจนเหมือนว่าละสายตาออกไปไม่ได้ ในวันนี้ฮยอกแจจึงรีบพุ่งตัวไปปิดประตูอย่างรวดเร็ว

     

                แต่ทว่า...มันเป็นจังหวะที่ทงเฮมองเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจพอดี

     

                “เอ่อ...ทง...ทงเฮเอาทาร์ตมาให้ป๊าน่ะครับ” น้ำเสียงของทงเฮสั่นเครือ มือบางถือถุงพลาสติกที่เขาให้ไปในตอนแรกไว้ในมือ แต่ทว่ามือนั้นกลับกำถุงไว้แน่น ฮยอกแจเห็นว่าทงเฮยืนตัวเกร็ง ส่วนเขาที่เปล่าเปลือยก็ขยับตัวไม่ได้เสียดื้อๆ

     

                “รอเดี๋ยวนะ ป๊ากำลังจะออกไปแล้ว” ฮยอกแจรีบกลับเข้าไปล้างตัวอย่างรวดเร็ว เขานุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวแล้วเดินออกมาด้านนอก ทงเฮนั่งคอยอยู่บนเตียงกว้าง มือเรียวบางยังกำถุงทาร์ตผลไม้ไว้ไม่ยอมปล่อย ฮยอกแจเดินเข้ามาใกล้ๆ หยดน้ำแพรวพราวที่เกาะอยู่ตามร่างกายทำให้ทงเฮแอบกลืนน้ำลาย

     

                แม้จะพยายามไม่คิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น แต่ทงเฮก็อดใจไม่ได้ เขาวางถุงทาร์ตผลไม้ไว้บนเตียง ก่อนจะผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ฮยอกแจกลับคว้ามือไว้

     

                “ทงเฮไม่ได้ตั้งใจเอาทาร์ตมาให้ป๊าหรอกใช่ไหม?” คำถามจากฮยอกแจทำให้ทงเฮสะดุ้งสุดตัว ทงเฮสั่นหน้าอย่างรุนแรงจนเส้นผมปลิวกระจาย ก่อนจะเอ่ยขึ้น

     

                “เปล่านะครับ”

     

                “แล้วทงเฮมองเข้าไปในห้องน้ำทำไม?”

     

                “ป๊าคิดว่าทงเฮแอบมองป๊าอาบน้ำเหรอ ป๊าคิดว่าทงเฮจะทำแบบนั้นเหรอ ในสายตาของป๊า...ทงเฮเป็นคนแบบนั้นใช่ไหม?” ทงเฮถามออกมามากมาย ฮยอกแจได้แต่ยืนจ้องใบหน้าที่แดงซ่านของอีกฝ่ายอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น แต่เมื่อทงเฮกำลังจะอ้าปากพูดอีก เขาก็เลื่อนใบหน้าคมคายเข้าไปใกล้ ทำให้เสียงของทงเฮจมหายไปแทบจะในทันที

     

                “ถ้าไม่ได้โกหกก็อย่ายืนตัวสั่นแบบนี้” ทงเฮกลั้นหายใจ ก่อนจะกลืนน้ำลายหนืดลงคอ ทำไมการใกล้ชิดที่จู่โจมแบบนี้จึงทำให้เขารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวมากเหลือเกิน “เอาล่ะ กลับไปนอนที่ห้องได้แล้ว ส่วนทาร์ตนั่น...” ฮยอกแจปรายตาไปบนเตียงนอนของตัวเอง “ป๊าซื้อมาฝากทงเฮ ทงเฮจะเอามันมาให้ป๊าอีกได้ยังไง?”

     

                ทงเฮเดินคอตกกลับไปหยิบทาร์ตผลไม้มาถือไว้ตามเดิม เขากำลังจะก้าวออกไปนอกห้องนอน แต่ฮยอกแจกลับสวมกอดเด็กหนุ่มที่เขาเลี้ยงดูดั่งลูกชายจากทางด้านหลังเอาไว้เสียแน่น

     

                ความรัก...แม้พยายามจะหักห้ามใจสักแค่ไหน มันก็ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

     

                “ทงเฮ...” เสียงของฮยอกแจที่เรียกชื่อเขาดังขึ้นอยู่ริมหู มันชวนให้ขนลุกและอบอุ่นในคราวเดียวกัน ทงเฮคิดว่าเขาควรจะดันตัวหนีห่าง แต่กลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น “ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ”

     

                ทงเฮพยักหน้าแล้วหลับตาลงอย่างยินยอม เขาปล่อยถุงทาร์ตผลไม้ร่วงลงพื้นอย่างไม่ใยดี ศีรษะกลมได้รูปเอนลงไปพิงกับอกที่เปล่าเปลือยของฮยอกแจ น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้มอย่างแสนเศร้า ก่อนจะวางมือของตัวเองลงบนมือหนาของฮยอกแจแล้วเอ่ยถาม

     

                “ทงเฮจะรักป๊า...ได้ไหมครับ?” ทงเฮอยากรู้ว่าในขณะที่เขาพูดคำๆ นี้ ฮยอกแจมีสีหน้าอย่างไร ฮยอกแจคลายมือลง ส่วนทงเฮก็หันไปสบสายตาของฮยอกแจอย่างขอร้อง เขาไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับทงเฮเลย แต่ทว่าใบหน้าคมกลับโน้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางอย่างโหยหา

     

                ทงเฮหลับตาแน่นเพื่อรับสัมผัสที่เย้ายวนใจ เขาไม่คิดที่จะปฏิเสธสัมผัสของฮยอกแจอีกเลย แม้จะต้องเสียใจอีกสักกี่ครั้ง แต่การได้มีความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ กับคนที่ทงเฮรัก ทงเฮก็ยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่

     

                เขาจะไม่เสียใจในสิ่งที่ตัวเองเลือก จะไม่เสียใจอีกต่อไปแล้ว

     

    Loading-------------89%

     

                ฮยอกแจผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เขาจ้องมองดวงตาของทงเฮด้วยนัยน์ตาที่หวานล้ำ ทงเฮอยากจะเบือนหน้าหลบหนี  แต่ทว่าอีกใจเขาก็อยากจะจดจำใบหน้าของคนๆ นี้ไว้ตลอดไป

     

                “ร้องไห้อีกแล้วนะ” ฮยอกแจเกลี่ยน้ำตาอุ่นออกจากใบหน้ามนอย่างแผ่วเบา เขาเองก็อยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องฝืนใจกลั้นเอาไว้

     

                “ป๊ายังไม่ตอบเลย ได้ไหม...จะได้ไหมครับ?” ทงเฮเอ่ยถามเสียงเครือ รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ฮยอกแจจับประคองไหล่บางของทงเฮเอาไว้แน่น ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ต่อให้คนอื่นจะมองว่าเป็นอย่างไร สำหรับฮยอกแจแล้ว ดวงตาของก็ทงเฮสวยงามที่สุด

     

                “ป๊าให้ทงเฮได้ทุกอย่าง ได้สิทงเฮ ได้นะ จะรักกันก็ได้ เอาแบบนั้นแหละ เรามาเป็นคนรักกัน ดีไหม...ทงเฮของป๊า เป็นคนรักกันแล้วจะดีใช่ไหม?”

     

                สิ้นน้ำเสียงของฮยอกแจ ทงเฮก็พยักหน้าระรัวอย่างมีความสุข หากแต่น้ำตาเม็ดโตกลับหยดร่วงลงมาอย่างมากมาย ทงเฮเขย่งตัวขึ้นไปจูบฮยอกแจ เขาจูบที่ปลายคาง จูบที่มุมปาก จูบที่ข้างแก้ม ปัดป่ายไปทั่วทั้งใบหน้า แต่ไม่กล้าจูบสัมผัสลงที่ริมฝีปากหยักของฮยอกแจเลยสักนิด

     

                มือหนาประคองใบหน้าเล็กๆ ของทงเฮเอาไว้ ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาอย่างเชื่องช้า เขาประทับรอยสัมผัสอยู่นาน มันไม่ได้จบลงแค่ที่ปาก แต่ความสัมผัสนั้นมันซึมซาบเข้าไปถึงในหัวใจ ทงเฮหลับตาพริ้ม เขาพร้อมจะอ่อนโอนร่างกายไปกับฮยอกแจได้ทุกเมื่อหากฮยอกแจจะเป็นคนนำพา

     

                ผ้าเช็ดตัวของฮยอกแจหลุดร่วงจากเอวลงไปกองอยู่บนพื้น แต่ดูเหมือนว่าทงเฮจะยังไม่รู้ ฮยอกแจรีบโอบอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วพาไปยังเตียงนอนของเขาที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว

     

                “ป๊า...” ทงเฮปรือเปิดดวงตาขึ้นมาเรียกเสียงแผ่ว ฮยอกแจทาบทับลงไปแล้วลูบเส้นผมนุ่มสลวยอย่างเต็มความรัก เขาจูบที่ขมับของทงเฮอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขึ้น

     

                “จะไม่เสียใจแน่นะ”

     

                “จะไม่เสียใจอีกแล้วครับ” เมื่อทงเฮพูดจบก็ถูกฮยอกแจบดเบียดริมฝีปากเข้ามาทันที ฮยอกแจรุกเร้าอย่างร้อนแรงมากกว่าเมื่อคืนก่อนหลายเท่านัก เขาจูบอย่างหนักหน่วงจนทงเฮแทบจะลืมหายใจ เรียวลิ้นเร่าร้อนสอดแทรกเข้ามาและกวัดแกว่งไปทั่ว ในทีแรกทงเฮก็ทำท่าจะถอยหนี

     

                แต่เมื่อเขาได้เลือกทางเดินนี้แล้ว ทงเฮจึงปลดปล่อยอารมณ์ออกมาจนหมด เขากระหวัดเรียวลิ้นฟาดฟันกับฮยอกแจอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นไปนั่งอยู่บนตักของฮยอกแจ

     

                แม้ว่าจะมีกางเกงนอนผ้าบางเบาที่ทงเฮสวมใส่อยู่ แต่กายแกร่งของฮยอกแจที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ก็ทำให้ทงเฮบิดเร่าอย่างอัดอั้น เขาขยับตัวช้าๆ เพื่อให้ส่วนอ่อนไหวของตัวเองเสียดสีไปกับส่วนนั้น น้ำสีใสไหลซึมออกมาจากกางเกงเป็นพักๆ ทั้งสองยังคงจูบกันไม่ห่าง

     

                ในขณะที่มือข้างหนึ่งของฮยอกแจประคองเอวของทงเฮเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็ปลดกระดุมเสื้อของทงเฮออกทีละเม็ดอย่างรวดเร็ว ฮยอกแจผละจูบออก ลมหายใจของทั้งคู่ส่งเสียงหอบดังออกมาด้วยอารมณ์ที่ปรารถนาและไม่อาจจะฉุดลงมาได้ง่ายๆ

     

                ฮยอกแจจ้องมองดวงตาของทงเฮอีกครั้ง เขากระตุกยิ้มมุมปากเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ทงเฮก็ยังทันเห็นรอยยิ้มนั้น แล้วทันใดนั้นฮยอกแจก็โน้มลงไปจูบที่ซอกคอหอมหวานของอีกฝ่าย เขาอยากใกล้ชิดทงเฮให้มากขึ้นไปอีก ใกล้ชิดกันสักแค่ไหนฮยอกแจก็ไม่รู้สึกพอ ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิดเดียว

     

                “ฮื่อ...ปะ...ป๊า...” แม้ทงเฮจะยังเรียกเขาเป็นพ่อด้วยความเคยชิน แต่ฮยอกก็ไม่คิดจะหยุดการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่นิด เขาประทับตราความเป็นเจ้าของแก่ร่างกายนี้ไปทั่ว ทุกๆ รอยสัมผัสที่อ่อนโยน แต่ก็ปลุกอารมณ์หวาบหวามได้ในคราวเดียวกันทำให้ทงเฮบิดเร่าอย่างทรมาน ต้องการที่จะปลดปล่อยความรู้สึกในร่างกายออกไปให้เร็วที่สุด

     

                ฮยอกแจค่อยๆ จับมือของทงเฮมาจับกายแกร่งของเขา ในทีแรกทงเฮสะดุ้งวาบ แต่เมื่อเขาระดมจูบกลางอกของทงเฮอย่างรุนแรงมากขึ้น ทงเฮก็ลูบไล้ส่วนนั้นของเขาอย่างต้องการ ฮยอกแจใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็ถอดกางเกงของร่างเล็กออกจนหมด เขาเหวี่ยงกางเกงไปทางไหนก็ไม่มีใครให้ความสนใจทั้งสิ้น

     

                ในเวลานี้ ฮยอกแจสนใจแต่ทงเฮ และทงเฮก็สนใจแต่ฮยอกแจที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

     

                มือแกร่งยกสะโพกมนของอีกฝ่ายให้สูงขึ้น ก่อนจะกดลงมาบนส่วนแข็งขึงของตัวเอง ทว่าทงเฮกลับขืนตัวเอาไว้ มือบางดันอกของฮยอกแจออก แล้วค่อยกระถดถอยออกห่างไป

     

                “ทะ...ทำไมล่ะ?” ฮยอกแจตกใจคิดว่าทงเฮจะยอมแพ้แล้ว แต่ทว่ามือเรียวของทงเฮกลับกอบกุมที่ส่วนแข็งแรงของเขาอีกครั้ง

     

                “ให้ทงเฮทำให้นะครับ”

     

                “ทง...เฮ...” ฮยอกแจรู้สึกเหมือนเสียงของเขาขาดหายไป เขาพยายามจะดันไหล่ทงเฮออก แต่ทงเฮเต็มใจที่จะช่วยเหลือให้เขาสุขสม ทงเฮโน้มใบหน้าหวานลงมาจนถึงส่วนแข็งแกร่งที่สุดในร่างกาย ก่อนจะครอบครองส่วนนั้นด้วยริมฝีปากของทงเฮเอง “อย่า...ทงเฮ...”

     

                “อื๊อ...” ทงเฮส่งเสียงครวญครางอย่างไม่เป็นภาษาในขณะที่ยังรับเอาส่วนนั้นเข้ามาในปาก ฮยอกแจรู้สึกเหมือนทงเฮแทบจะดูดกลืนมันลงไป เขาพยายามจะห้ามปรามแล้ว แต่สุดท้ายก็แพ้ต่อการกระทำของเด็กหนุ่มตรงหน้า เพราะยิ่งทงเฮทำเพื่อเขา ฮยอกแจก็ยิ่งต้องการอีกครั้งและอีกครั้ง เขาต้องการมันมากขึ้นแม้ว่าทงเฮจะทำอย่างถึงที่สุดแล้วก็ตาม

     

                “อ้า...ทงเฮ...” ฮยอกแจครางชื่อของอีกฝ่ายอย่างต้องการ นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครทำแบบนี้กับเขา ตอนที่ฮยอกแจขายบริการ เขาต้องทำให้ลูกค้ามาโดยตลอด นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีใครทำอะไรให้ฮยอกแจมากเท่านี้ เขาพยายามจะไม่จับศีรษะของทงเฮ แต่สุดท้ายด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นมากขึ้นก็ทำให้ฮยอกแจอดใจไม่ไหวจนกดศีรษะนั้นแนบลงมาเรื่อยๆ

     

                ในที่สุดฮยอกแจก็ถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ ในขณะที่เขากำลังจะปลดปล่อยนั้น เขาพยายามจะดันตัวทงเฮออกห่างแล้ว แต่ทว่าทงเฮกลับดูดกลืนน้ำหวานที่พวยพุ่งออกไปจากตัวเขาจนหมดสิ้น ฮยอกแจทำหน้าแหย ในขณะที่ใบหน้าหวานของทงเฮเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับเขา

     

                “ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้” ฮยอกแจเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ แม้ว่าคนๆ นี้เป็นเสมือนลูกชายของเขา ฮยอกแจก็ยังอดที่จะเกรงใจไม่ได้

     

                “ถ้าไม่ใช่ป๊า ทงเฮก็ไม่ทำให้หรอก” คำพูดของทงเฮทำให้ฮยอกแจอดคิดไปไม่ได้ว่าทงเฮเคยทำอย่างนี้ให้กับซีวอนหรือไม่ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นที่เขาเผลอคิด เพราะความสุขที่ฮยอกแจได้รับมันมากเกินกว่าที่เขาจะมาคิดเรื่องหยุมหยิมแบบนี้

     

                หากทงเฮจะมอบร่างกายให้คนอื่นไปแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ร่างกายและหัวใจของทงเฮ คนสุดท้ายที่ทงเฮอยากจะมอบให้เป็นอี ฮยอกแจก็พอ

     

                “ให้ป๊าทำให้ทงเฮบ้างนะ” ฮยอกแจเอ่ยบอกแล้วยกร่างบอบบางขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง เขาจับส่วนแข็งขึงสอดใส่ไปยังช่องทางตอดรัดด้านหลังของทงเฮ เสียงหวานหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดและความเสียวซ่านที่ล้นทะลักเข้ามาในคราวเดียวกัน

     

                ...แต่สุดท้ายก็ถูกแทนที่ด้วยความสุขทั้งหมด ทงเฮไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกที่เขาได้รับออกมาทางความคิดได้ แต่เขารู้ว่ามันเป็นอย่างไร เขารู้ดี

     

                ในขณะที่ร่างเล็กของทงเฮกำลังขยับอยู่บนตัวของฮยอกแจนั้น มือแกร่งของฮยอกแจก็ขยับอยู่บนส่วนอ่อนไหวของทงเฮไปด้วย สมองของทงเฮอื้ออึงไปหมด ราวกับได้ยินเสียงระฆังจากโบสถ์ที่อยู่ไกลแสนไกล ราวกับกำลังขึ้นสรวงสวรรค์ที่ไม่เคยมีใครได้พบพานมาก่อน เขามีความสุขมากเหลือเกิน

     

                ทงเฮและฮยอกแจต่างปลดปล่อยความทรมานออกมาจากร่างกายในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอีกเลยนับตั้งแต่วินาทีนั้น เขามีความสุขราวกับว่านี่คือวันสุดท้ายของชีวิต พวกเขาทำตัวให้มีความสุขแม้ในใจจะกำลังร่ำร้องด้วยความเสียใจในโชคชะตาก็ตาม ขอเพียงแค่มีความสุขในค่ำคืนนี้ก็เพียงพอมากแล้ว

     

     

                เสียงนกที่โบยบินออกจากรังสู่ท้องฟ้ากว้างไกลในตอนเช้าตรู่ทำให้ฮยอกแจค่อยๆ เปิดเปลือกตาบางขึ้นมา เขาคว้ากอดคนข้างกายอย่างแนบแน่นอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตาโพลงที่คว้าได้เพียงหมอนข้างเท่านั้น

     

                ทงเฮหายไปไหน

     

                ฮยอกแจเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองแผ่นเล็กๆ แปะไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เขาไม่กล้าหยิบมันขึ้นมาอ่านเลย ฮยอกแจกลัวเหลือเกินว่าข้อความที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นจะเป็นคำบอกลาจากทงเฮ

     

                ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เขาหวาดกลัวต่อการสูญเสีย อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เขารู้ตัวว่ารักทงเฮ ฮยอกแจไม่อยากเสียทงเฮไปไหน ไม่อยากให้ทงเฮหายไปอีกแล้ว

     

                มือหนาดึงกระดาษโน้ตมาอ่านข้อความด้วยมือที่สั่นเทา แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่มีอะไรเลยสักนิด เขาคิดมากไป อี ฮยอกแจคิดมากไปจริงๆ

     

                อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ทงเฮไม่ได้หนีไปไหน ทงเฮจะออกไปตลาดและจะรีบกลับมาทำของอร่อยๆ ให้ป๊าทาน

     

              ปล. ถ้าหากทงเฮทำไม่อร่อย ป๊าต้องพูดว่ามันอร่อยนะ ป๊าต้องโกหกด้วยนะ

     

                ฮยอกแจยิ้มกว้างกับข้อความในกระดาษแผ่นนั้น เขาลุกออกจากเตียงทันที อยากรู้ว่าทงเฮจะกลับมาจากตลาดแล้วหรือยัง แค่ตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าทงเฮ ฮยอกแจก็คิดถึงแทบเป็นบ้า เขาคิดถึงทงเฮมากกว่าทุกวัน

     

                คิดถึงที่สุดเลย

     

                ทันทีที่กำลังจะเปิดประตูออกไปนั้น ฮยอกแจก็เห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองอีกแผ่นหนึ่งแปะอยู่กับประตูห้องนอน มันไม่ได้มีเพียงแค่กระดาษโน้ต แต่ยังมีสร้อยข้อมือที่ถักด้วยไหมพรมญี่ปุ่นแปะไว้ข้างๆ กันอีกด้วย ฮยอกแจดึงกระดาษโน้ตออกมาอ่าน คราวนี้เขาไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยจริงๆ

     

                สร้อยข้อมือสวยไหมครับ ทงเฮทำให้ป๊านะ

     

                “ป๊าจะใส่มันตลอดเวลา” ฮยอกแจพยักหน้ารัวราวกับทงเฮยังอยู่ตรงนี้ เขาดึงสร้อยข้อมือเส้นนั้นออกมาจากกาวสองหน้าที่ติดอยู่กับบานประตู ก่อนจะทาบทับลงบนข้อมือของตัวเอง มันเป็นสีเหลืองสลับส้ม และมันก็พอดีกับข้อมือของเขาอีกด้วย

     

                เมื่อฮยอกแจเดินออกไปจากห้องนอนแล้ว เขาก็พบว่าบ้านยังเงียบสนิทอยู่เช่นเดิม ดูเหมือนว่าทงเฮจะยังไม่กลับมา และกระดาษโน้ตสีเหลืองแผ่นสุดท้ายที่ทงเฮฝากไว้ให้ก็แปะอยู่หน้าตู้เย็นนี่เอง

     

                เรามาแกล้งทำเป็นไม่รู้ดีไหมครับ แกล้งทำเป็นเหมือนว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกัน ทงเฮรักป๊า แล้วป๊าก็รักทงเฮ เป็นแบบนั้นก็แล้วกันนะครับ

     

                ฮยอกแจไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้อความที่ได้เห็นเลย เขาเพียงแต่พยักหน้ารัวออกไปเท่านั้น แค่พยักหน้าเห็นด้วยกับทงเฮ ขอแค่ได้ใช้หัวใจมารักกันเท่านั้น แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

     

     

    Talk with Lee Seen

                ลง NC ให้แล้วนะคะ ตามสัญญา

    ซึ้งมากกับคนที่รอให้ลงทีเดียว ดูทุ่มเท

    (หรือไม่อยากแสดงตัว ฮ่าๆ)

     

    เจอกันตอนหน้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×