ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #39 : Chapter 37 คนสำคัญ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.95K
      6
      20 พ.ย. 54

     

    Chapter 37

    คนสำคัญ

     

                เสียงฉ่าที่ดังออกมาจากในครัวพร้อมกับกลิ่นหอมฉุยของอาหารทำให้ร่างสูงโปร่งพาตัวเองเดินตามกลิ่นนั้นไป ซีวอนมองด้านหลังของคนรักที่กำลังผัดอาหารบางอย่าง เขาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะชะโงกหน้ามอง

     

                “อย่าเข้ามาใกล้นักสิ เดี๋ยวน้ำมันก็กระเด็นหรอก” คยูฮยอนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ชายหนุ่มเดาอารมณ์ไม่ถูกเลยทีเดียว

     

                “ก็มันหอมนี่”

     

                “หืม?” คยูฮยอนเอียงหน้ามาพลางส่งเสียงถามในลำคอ ใบหน้าคมคลี่รอยยิ้มกว้างแล้วเอ่ยตอบ

     

                “หมายถึงนายน่ะ”

     

                “ฉันว่าแล้ว นายต้องพูดแบบนี้” คยูฮยอนหัวเราะเบาๆ กับคำพูดชวนเลี่ยนตั้งแต่เช้า ตอนนี้เขายังอยู่ในอารมณ์ที่มีแต่ความสุข

     

                เมื่อคืน...ซีวอนกอดเขาไว้ในผ้าห่มผืนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมรักที่เต็มไปด้วยไฟราคะ ไม่จำเป็นต้องมีรสสัมผัสที่ร้อนแรง เพียงแค่กอดกันไว้หลวมๆ คยูฮยอนก็สัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาทรที่ก่อตัวมามากกว่าสิบปีแล้ว

     

                เขาคิดถึงวันเก่าๆ จนนอนไม่หลับ

     

                แต่คยูฮยอนรู้...หลังจากวันนี้ ทั้งในตอนที่เขาตื่นและในความฝันจะเต็มไปด้วยผู้ชายที่ชื่อว่า...ชเว ซีวอน

     

                เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นทำให้สองสามีภรรยาจ้องมองหน้ากัน คยูฮยอนกำลังเตรียมอาหารเช้า ร่างสูงจึงแตะไหล่บางสองสามที ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองจะพอเดาได้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญคือใคร

     

                “เดี๋ยวฉันไปเปิดให้เอง”

     

                ร่างสูงเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน คยูฮยอนพยายามเงี่ยหูฟังว่าใครกันแน่ที่มาหาพวกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ จะใช่คนที่คิดเอาไว้หรือเปล่า แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ เล็ดลอดเข้ามา

     

                เขาพักการทำอาหารที่เกือบเสร็จดีแล้วไว้ก่อน ร่างโปร่งสาวเท้าออกมายังโถงกลางบ้าน แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขาเรียวก็ชะงักงันแทบจะในทันที

     

                ชเว ซีวอน...กำลังยืนกอดอยู่กับเด็กหนุ่มหน้าหวานในบ้านของเขา

     

                ความเงียบที่คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้คยูฮยอนพอจะมีเวลาเหลือที่จะสังเกตอะไรหลายๆ อย่าง แขนแกร่งทั้งสองข้างของซีวอนยังตกลงอยู่ข้างๆ ลำตัว มีเพียงทงเฮเท่านั้นที่โอบรัดเอวกำยำของร่างสูงโปร่งไว้แน่น คยูฮยอนเดินเข้าไปใกล้ ทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆ คลายมือออก

     

                “เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกนะ ถ้านายจะคุยกัน...” คยูฮยอนบอกเสียงเรียบ เขาสืบเท้าผ่านคนทั้งสองออกไปทางประตู แต่ทว่ามือหนาของซีวอนกลับคว้าแขนของเขาเอาไว้ คยูฮยอนหยุดเท้าลงเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันกลับไปมอง

     

                “มันเป็นบ้านของเรา...ไม่ใช่เหรอ?” ซีวอนเอ่ยถามคนรัก ส่วนทงเฮมองหน้าของคนทั้งคู่สลับกันไปมา คยูฮยอนปรายตามองทงเฮด้วยสายตาที่เฉยชาอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยบอกแก่คนตัวสูงด้วยคำเดิม

     

                “ฉันจะออกไปรอข้างนอก”

     

                “ฉันจะไปคุยกับทงเฮข้างนอกเอง ไม่นานหรอก” ท้ายประโยคซีวอนค่อยๆ เลื่อนมือหนาลงมากอบกุมมือเรียวของคยูฮยอนไว้ เขากระชับมันไว้แน่น พลางส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจออกไปให้ คยูฮยอนเม้มปากแน่น ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าแทนคำตอบ

     

                สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ...ความเชื่อใจ

     

     

                หลังจากสิ้นสายตาของคยูฮยอนแล้ว ซีวอนกับทงเฮก็หยุดยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ บ้าน ทงเฮกัดฟันแน่นจนเกิดรอยสันนูนที่ข้างแก้ม ซีวอนไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะเขาจะรอให้ทงเฮเป็นคนเอ่ยถาม แล้วเขาจะอธิบายทุกๆ สิ่งด้วยตัวของเขาเอง

     

                “คุณหมอจะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอครับ” ทงเฮช้อนตาขึ้นมองด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ “...หรือไม่อยากพูดกับทงเฮ ไม่อยากมองหน้าทงเฮอีกแล้ว?”

     

                “ผมไม่ได้เกลียดทงเฮนะ” เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะขยายความกับคำพูดของตัวเอง “แต่เราควรจะจบเรื่องนี้เสียที คยูฮยอนเขาเจ็บกับเรามามากพอแล้ว”

     

                “คราวนี้จะบอกเลิกผมจริงๆ แล้วสินะ” ทงเฮเบนสายตาไปยังบ้านของซีวอนกับคยูฮยอน เขาอยากจะมองคุณหมอให้นานกว่านี้ อยากจะซึมซับความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยสัมผัสร่วมกันมา แต่ทงเฮกลัวว่าน้ำตามันจะเอ่อไหลอีก

     

                “ทงเฮเพิ่งอายุได้เท่านี้ ยังต้องพบเจออะไรอีกมากมาย การเอาอนาคตตัวเองมาทิ้งไว้กับผมมันไม่ถูกต้องหรอกนะ เราอย่ามายึดติดกับความลุ่มหลงอีกเลย ที่ผ่านมา...ผมไม่รู้จะชดใช้สิ่งที่ทงเฮเสียไปได้ยังไง นอกจากคำว่า...ผมขอโทษ”

     

                “มีเหตุผลที่ดีกว่านี้อีกไหมครับ?” ทงเฮค่อยๆ สะอื้นเมื่อได้ฟังข้ออ้างมากมายของเขา ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเลิศเลอสักแค่ไหน แต่สุดท้ายซีวอนก็เพียงแค่ต้องการไล่เขาออกไปจากชีวิตอยู่ดี ซีวอนแตะมือหนาเข้ากับไหล่บางที่สั่นเทาของเขา แล้วเอ่ยบอก

     

                “เหตุผลก็คือ...ผมรักคยูฮยอน”

     

                “มีอีกไหม?”

     

                “ผมเสียคยูฮยอนไปไม่ได้” เขาบอกอีกครั้ง ยิ่งซีวอนพูดมากเท่าไร คนฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจตายเสียให้ได้

     

                เหมือนที่ทงเฮเคยบอกฮยอกแจไว้เมื่อวันวาน ซีวอนเป็นเพียงอากาศที่ทงเฮไม่มีสามารถไขว่ขว้ามาได้ แต่ทว่าอากาศ...หากขาดไปแม้เพียงไม่กี่นาที มันก็อาจจะทำให้เราหมดลมหายใจได้เช่นกัน

     

                “มี...มีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่า...?” ทงเฮถามอีก เขาจะถามอีกจนกว่าซีวอนหมดทางไป ทั้งที่จริงแล้วทงเฮแค่ต้องการยืดเวลาที่เขาจะได้พบเจอซีวอนให้ยาวนานขึ้นก็เท่านั้น

     

                “เหตุผลอื่นก็คือทงเฮนั่นแหละ ผมอยากให้ทงเฮเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่ทงเฮรักจริงๆ”

     

                “มีอีกไหม เหตุผลของคุณหมอ...มีอีกไหมครับ?” ทงเฮตะโกนถามลั่น มือบางยกขึ้นกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวดใจ เมื่อซีวอนส่ายหน้าช้าๆ ทงเฮก็ใช้เรี่ยวแรงที่เหลือของเขาผลักอกแกร่งอย่างแรง “ทงเฮเคยถามว่าคุณหมอรักทงเฮเพราะอะไร ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าความรักมันไม่มีเหตุผล แล้วทำไม...” ทงเฮพูดไม่ออก เขารู้สึกคล้ายกับอาการจะกำเริบ เสียงฮืดฮาดที่ดังขึ้นมาขณะหายใจนั้น ทงเฮพยายามเก็บซ่อนมันไว้เพื่อที่เขาจะได้พูดให้จบ “ท...ทำไม...ตอนที่คุณหมอจะเดินจากทงเฮไป...ฮึก...ถึงได้หาเหตุผลมากมายมาอธิบายล่ะครับ”

     

                “ทงเฮ...” ซีวอนเรียกเสียงอ่อน เขาสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ชีวิตต้องพังทลายลงเพราะการกระทำของเขา แต่ครั้งนี้ซีวอนจะไม่ปล่อยให้ความสงสารครอบงำจิตใจของเขาอีกต่อไปแล้ว

     

                “ฮืด...ทง...ทงเฮไม่ต้องการเหตุผล...ทงเฮต้องการแค่...”

     

                คำสุดท้ายไม่ได้ถูกเปล่งเสียงออกมาจากริมฝีปากบาง แต่ซีวอนรู้ว่าทงเฮหมายถึงเขา ซีวอนคิดว่าเขาได้พูดอธิบายให้ทงเฮเข้าใจจนหมดสิ้นแล้ว เขาไม่มีอะไรติดค้างทงเฮอีกต่อไปแล้ว ร่างสูงหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเองไป

     

                ทงเฮร้องไห้แทบคลั่ง มือบางขยำหน้าอกแน่นอย่างทุกข์ทรมาน แต่แทนที่คำพูดของซีวอนจะย้ำเตือนความเจ็บปวดของเขา ทงเฮกลับนึกอะไรที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ออกเลย สมองมันมึนตื้อไปหมด ทงเฮได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของฮยอกแจเท่านั้น

     

                เสียงหัวเราะไม่ได้ดังขึ้นเพื่อต้องการเยาะเย้ย

     

                แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ต้องการช่วยให้ทงเฮหลุดออกมาจากความโศกเศร้า ทงเฮอยากจะหัวเราะตามพ่อ แต่ทว่า...เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะอ้าปากพูดเลยด้วยซ้ำ

     

                ร่างบางกดหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองไว้แน่น ก่อนจะทรุดฮวบลงไปกับพื้น ลมหายใจเริ่มติดขัด ลำคอ แขน และขาเกร็งแน่นไปหมด ซีวอนที่ได้ยินเสียงล้มลงจึงรีบหันกลับมามอง

     

                ในฐานะที่เป็นหมอ ต่อให้ผู้ป่วยเป็นศัตรูหรือคนที่เกลียดชังมากแค่ไหน หมอก็ยังมีหน้าที่ช่วยชีวิตคน ต่อให้ทงเฮเป็นคนที่เขาคิดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว ซีวอนก็ไม่อาจจะทำใจให้ทิ้งทงเฮไว้ที่ตรงนั้นได้

     

                เขารีบวิ่งกลับมาช้อนร่างที่หมดสติขึ้นอุ้ม ก่อนจะวิ่งกลับเข้ามาในบ้านเพื่อถอยรถยนต์ออก แต่ทว่าเมื่อเห็นแท็กซี่ขับผ่านมาพอดี ซีวอนจึงเปลี่ยนใจนั่งแท็กซี่ออกไป

     

                ความรวดเร็วในการพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

     

                เขาลืม...ลืมแม้กระทั่งคยูฮยอนที่นั่งคอยอยู่ในบ้าน

     

     

                หลังจากส่งทงเฮเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว ซีวอนก็นั่งคอตกอยู่หน้าห้องด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขานั่งเจ็บใจกับการกระทำของตัวเอง คยูฮยอนต้องไม่เชื่อใจเขาอีกถ้าเรื่องมันยังเป็นแบบนี้ ซีวอนค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้หยิบมันออกมา

     

                ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง สภาพที่ไม่เรียบร้อยของเขาทำให้พยาบาลบริเวณนั้นหันมามองอย่างแปลกใจ แต่ซีวอนไม่ได้สนใจสายตาของใคร

     

                ตอนนี้เขาสนเพียงแค่ความรู้สึกของคยูฮยอนเท่านั้น

     

                เมื่อเข้ามาถึงในห้อง ซีวอนก็รีบต่อสายไปยังคยูฮยอนทันที และดูเหมือนว่าคยูฮยอนเองก็กำลังรอโทรศัพท์จากเขาอยู่เช่นกัน เมื่อทางฝ่ายนั้นกดรับสายก็ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

     

                [ทำไมนายไปอยู่โรงพยาบาลได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น?]

     

                “คยู...คยูฮยอน” ซีวอนเรียกชื่อคนรักด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีกต่อไปแล้ว แม้แต่ความเชื่อมั่นในตัวเองก็หายไปหมดสิ้นกับการกระทำของตัวเองในเมื่อครู่นี้

     

                [มีอะไรหรือเปล่า...ซีวอน?]

     

                “ทงเฮเป็นโรคหอบ เขาร้องไห้และอาการก็กำเริบ ฉันรู้ว่าฉันควรจะกลับไปหานาย แต่...แต่ว่า...”

     

                [ซีวอน นายทำถูกที่สุดแล้ว] เสียงที่เป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจทำให้ซีวอนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่ในใจของเขา ลึกๆ แล้วก็ยังรู้สึกผิดต่อคยูฮยอนไม่ได้

     

                แม้ว่าจะคืนดีกันแล้ว แต่กลับไม่ได้ทานอาหารเช้าด้วยกันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

     

                [นายเป็นหมอ การช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุดไม่ใช่เหรอ?] คยูฮยอนเอ่ยถาม

     

                “นายช่วยขับรถมารับฉันหน่อยได้ไหม?” ซีวอนขอร้องคนรักเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรต่อไปอีกแล้ว

     

                ซีวอนนึกถึงคำพูดของทงเฮก่อนหน้านี้...

     

                ทงเฮพูดถูก ความรักมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก แต่ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด ซีวอนได้ตระหนักแล้วว่า...

     

                แม้ความรักจะไม่มีเหตุผล แต่ความรักจำเป็นต้องมีศีลธรรม

     

                ความรักที่ไร้ซึ่งเหตุผลและศีลธรรม นั่นคงไม่ถูกเรียกว่าความรัก แต่มันคือความลุ่มหลง คือความปรารถนาของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอต่างหาก

     

     

                ด้านหน้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ใจกลางเมือง มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น บนตักของเขามีถุงอาหารลดราคาและส้มผลใหญ่อีกครึ่งกิโลกรัม มือสองข้างกำลังหมุนล้อรถเข็นแบบธรรมดาเพื่อให้มันเคลื่อนไปตามทางข้างหน้า แถมยังต้องพะวงกับอาหารที่วางไว้อยู่บนตักของตัวเองไม่ให้ร่วงหล่นลงสู่พื้น

     

                เพราะอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อหกเดือนก่อนได้พรากสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาไป

     

                หนึ่ง...เงินตราและอำนาจ

     

                สอง...ขาทั้งสองข้าง

     

                และอย่างสุดท้าย...หัวใจของเขา

     

                ฮันกยองไม่เหลืออะไรอีกแล้วนอกจากลมหายใจ เขาต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ในซอยแคบๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่มั่วสุมของพวกค้ายาเสพติด หลายครั้งที่เขาต้องใช้มันเพื่อให้ลืมความเครียดที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่ได้ติดยาเสียทีเดียว

     

                บางครั้งฮันกยองนึกอยากจะฆ่าตัวตาย แต่ทว่าลึกๆ แล้วเขาเป็นคนขี้ขลาดมาก เขากลัวความเจ็บปวด กลัวความโดดเดี่ยว กลัวความทุกข์ทรมานที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

     

                แต่ที่ผ่านมาฮันกยองใช้ชีวิตแบบไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของคนเหล่านั้นเลย สิ่งใดที่จะทำให้คนอื่นต้องเสียน้ำตา สิ่งใดที่สามารถทำให้คนอื่นกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานได้ เขาสามารถทำได้ทั้งนั้น ฮันกยองไม่เคยคิดมาก่อนว่าเวรกรรมจะมีจริง

     

                จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อเมื่อครั้งที่ตัวเองยังเป็นเด็ก หลวงพ่อมักสอนให้เขาเป็นคนดี สอนให้เขาเป็นคนที่มีความเมตตา แต่เพราะความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขาไม่สามารถลบเลือนไปได้ง่ายๆ

     

                ฮันกยองทำร้ายคนอื่น ทำร้ายพ่อแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูเขามา ทำร้ายคนอีกมากมายเพื่อความสะใจของตัวเอง ทำร้ายฮยอกแจ ทำร้ายลูกชายของฮยอกแจ และที่สำคัญที่สุด เขาทำร้าย...คิม ฮีชอล

     

                คนเรามักจะเรียกร้องหาอดีตในวันที่สายเกินไปเสมอ และตอนนี้เขากำลังเป็นแบบนั้น อากาศที่หนาวเย็น แต่กลับมีเสื้อผ้าเก่าๆ ห่อหุ้มร่างกายทำให้หนาวไปจนถึงกระดูก มือหนาชะงักเพราะไม่มีแรงเข็นล้อต่อไปอีกแล้ว

     

                เขาเหม่อลอย...และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาด้วยเพราะนึกสมเพชกับสภาพร่างกายของตัวเอง ส้มที่เขาตั้งใจซื้อมันมากินเพื่อประทังชีวิตกลิ้งหลุนออกจากตักลงไปสู่พื้น มันกลิ้งออกไปยังถนนด้านหน้า ฮันกยองขยับรถเข็นตาม แต่ทว่าคนที่เดินขวักไขว่ทำให้เขาเข็นเก้าอี้อย่างไม่สะดวก จนกระทั่งชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินมาชนเก้าอี้รถเข็นจนล้มลง

     

                “โอ๊ย!” เขาร้องเสียงหลงด้วยความทรมาน ได้แต่นอนอยู่กับพื้นด้วยสภาพที่น่าอนาถ แต่มันน่าประหลาดใจเหลือเกิน ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยเขา ทุกคนเดินผ่านไปมาเหมือนเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ ฮันกยองนั่งอยู่นิ่งๆ รอคอยชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น

     

                “คุณ...คุณครับ...” เสียงหวานฉ่ำจับใจดังขึ้นพร้อมกับมือบางที่แตะลงที่ไหล่หนา ฮันกยองค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองชายหนุ่มร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง

     

                “ซอง...”

     

                “ครับ?” คนตรงหน้าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ฮันกยองก็เร็วพอที่จะกลืนคำพูดของตัวเองลงไปได้ทัน เขากลอกตาไปมา ก่อนจะรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย แม้ในใจจะเคยนึกรังเกียจที่ต้องคอยรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น

     

                เขาเคยหงุดหงิดที่ฮีชอลเคยทำนู่นทำนี่ให้โดยที่ไม่บ่นอะไรสักคำ ตอนนั้นเขามีลูกน้องมากมายจึงคิดว่าใครๆ ก็อยากปรนนิบัติเขา หากแต่ตอนนี้ไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว

     

                “เอ๋? เรา...เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?” เสียงอ่อนหวานถามขึ้นเมื่อพยุงฮันกยองขึ้นมานั่งบนรถเข็นได้สำเร็จ ชายหนุ่มก้มหน้าลง ก่อนจะเปล่งเสียงราบเรียบออกไป

     

                “ไม่เคย”

     

                “แต่ฉันว่าเคยนะ” อีกฝ่ายย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ เด็กหนุ่มที่โด่งดังไปทั้งโรงเรียนเพราะหน้าตาที่โดดเด่นของเขา เด็กหนุ่มชาวจีนคนนั้นที่มีเรื่องฉาวจนต้องออกจากโรงเรียน ร่างบางเบิกตากว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก “ฮ...ฮันกยอง?!

     

                “ฉันไม่ใช่ฮันกยอง” เขาบอกแล้วรีบเข็นรถเข็นหนีออกไปในทันที คนที่ยืนมองอยู่ได้แต่นิ่งค้างอยู่เช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยเรียกรั้งเอาไว้

     

                “เดี๋ยว!” ฮันกยองยังคงเคลื่อนรถเข็นหนีไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนเดินตามกลับใช้วิธีโง่ๆในการขวางรถเข็นไว้ นั่นคือยื่นเท้ามาขว้างล้อ “อ...โอ๊ย” ร่างเล็กล้มไปนั่งกับพื้นด้วยความเจ็บปวด มือเรียวคลำเท้าป้อยๆ ในขณะที่ฮันกยองเพียงมองด้วยหางตาเท่านั้น “ส้ม...ส้มของนาย”

     

                “ขอบคุณ” เขาเอ่ยคำขอบคุณสั้นๆ แต่ไม่ได้รับส้มจากอีกฝ่ายมาถือไว้ ร่างหนาตัดสินใจว่าจะหนีออกไปในตอนนี้ดีหรือไม่ แต่ทว่าใบหน้าที่เจ็บปวดของใครบางคนทำให้เขาหยุดอยู่ที่เดิมราวกับถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กขนาดใหญ่

     

                “ฮันกยอง” เจ้าของใบหน้าหวานเอ่ยเรียกอีกครั้ง

     

                “บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ฮันกยอง!” เขาตะโกนลั่นด้วยความโมโห แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน ร่างเล็กเดินกระเผลกมาเกาะเก้าอี้รถเข็นของเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยถาม

     

                “ฉันอี ซองมินไง”

     

                “นายจะมาบอกฉันทำไม?” เขาถามแล้วเบนหน้าหนี ในขณะนั้นชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาซองมิน ชายคนนั้นจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ประหลาดใจ ก่อนจะชวนซองมินให้เดินไปทางอื่น

     

                มือบางยื่นส้มคืนให้กับเจ้าของอีกครั้ง ฮันกยองเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาที่บริสุทธิ์ของอีกฝ่าย ก่อนจะรับส้มคืนมา เขาพ่นลมหายใจออกมาบางเบา แล้วเสียงของซองมินก็ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินจากไป

     

                “ฉันสงสัยว่านายมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ในเมื่อดวงตานายไม่มีความหวังเลย”                                  

     

     

    Loading------------50%

     

                เปลือกตาบางค่อยๆ ปรือเปิดขึ้นมาอย่างยากลำบาก ครั้นพอจะขยับตัวพลิกคลายความเมื่อยขบก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หลังมือ มันคืออะไรกัน คำถามผุดเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเมื่อยกมือบางขึ้นมาดูช้าๆ ก็พบว่ามันคล้ายกับเข็มน้ำเกลือ มองไล่ไปตามสายยางขนาดเล็ก เหนือศีรษะมีกระปุกน้ำเกลือที่ปริมาณน้ำเกลือพร่องไปมากกว่าครึ่งแล้ว

     

                นี่เขาหลับไปนานแค่ไหนกันนะ?

     

                ทงเฮเริ่มมองไปรอบๆ ห้องพักสีขาวสะอาดตา เขาช่างรู้สึกคุ้นเคยกับห้องแบบนี้ ทงเฮเริ่มเข้าใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาล แต่ใครเป็นคนพาเขามาที่นี่กัน

     

                ย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนเช้าตรู่ ทงเฮออกมาจากบ้านตั้งแต่ฮยอกแจพ่อของเขายังไม่ตื่นนอนเลยด้วยซ้ำ เพราะคำพูดของซีวอนเมื่อคืนที่บอกเลิกกับเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทงเฮต้องรีบมาถามหาความจริงตั้งแต่เช้า

     

                แต่ความจริงที่ได้รับมามันจริงเสียยิ่งกว่าจริงเสียอีก

     

                ทงเฮยอมรับว่าเขาทำใจไม่ได้ เขาคิดว่าซีวอนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แม้ว่าทงเฮจะเป็นแค่ตัวสำรองของใครบางคน แม้ว่าจะต้องเป็นคนที่ซีวอนนึกถึงเมื่อมีปัญหากับคนรัก แม้ว่าจะไม่มีโอกาสพบซีวอนบ่อยเหมือนเก่า แต่สถานะที่ยึดเหนี่ยวทงเฮเอาไว้ก็คือ...พวกเขายังรักกัน

     

                แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทงเฮและคุณหมอซีวอนไม่ได้รักกัน แต่ทงเฮต่างหากที่คิดว่าพวกเขายังคงรักกันอยู่เช่นเดิม

     

                เช่นเดิม...อย่างนั้นเหรอ?

     

                ร่างบางรู้ดีอยู่แก่ใจ ลึกๆ แล้วสิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ก็คือ...ซีวอนไม่เคยรักเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว คำพูดที่พร่ำบอกว่ารักเขา ต้องการเขา มันก็แค่ลมปากที่บอกให้เขามอบกายและใจให้เท่านั้น

     

                พอคิดถึงตอนนี้ น้ำตาอุ่นก็ค่อยๆ ไหลออกมาเป็นสาย ร่างบอบบางพลิกตัวนอนตะแคง เหม่อมองท้องฟ้าสีทองอมส้มที่บ่งบอกว่าพระอาทิตย์ข้างนอกนั้นกำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว ทงเฮเริ่มหวาดกลัวตอนกลางคืน หวาดกลัวความมืด และที่สำคัญเขาเริ่มที่จะหวาดกลัวกับการอยู่คนเดียว

     

                คำพูดของซีวอนในตอนเช้ามันยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา เลิก...เพราะคยูฮยอนและเขาอย่างนั้นเหรอ ไม่หรอก แท้จริงแล้วซีวอนก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ห่วงแต่ความรู้สึกของตัวเองนั่นแหละ

     

                เพราะถ้าหากคุณหมอทำเพื่อคยูฮยอนคนรักของตัวเอง

     

                แน่นอนว่าคุณหมอก็จะมีความสุขตามไปด้วย

     

                ทงเฮตัดสินไปแล้วว่าซีวอนเป็นคนอย่างไร เขารู้ว่าซีวอนเป็นคนไม่ดีเลยสักนิดเดียว ไม่มีอะไรที่เขาทั้งสองคนสามารถเข้ากันได้ อีกทั้งพ่อของเขาก็ไม่ชอบหน้าซีวอนอีก แต่น่าแปลก ทำไมหัวใจยังตีออกห่างจากซีวอนไม่ได้เสียที

     

                ราวกับมีอะไรบางอย่างเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

     

                ทงเฮค่อยๆ ซุกหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ของโรงพยาบาล เขาปล่อยให้น้ำตาไหลซึมลงไปกับหมอนใบนั้น มันเปียกชุ่มและขยายเป็นวงกว้าง ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะดังขึ้น ทงเฮเริ่มภาวนา เขาอยากให้คนที่เดินเข้ามาคือชเว ซีวอน

     

                “ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงที่เอ่ยถามขึ้นจากด้านหลังทำให้ทงเฮเบ้ปาก ริมฝีปากบางสั่นระริก และเมื่อมือหนาแตะลงที่ลำแขนของทงเฮ ทงเฮก็ปล่อยโฮอย่างกลั้นไม่อยู่ “พอเถอะทงเฮ อย่าร้องไห้อีกเลย”

     

                “ปะป๊า!” ทงเฮเรียกผู้เป็นพ่อเสียงสั่นเครือ ฮยอกแจโน้มลงมาโอบกอดลูกชายเอาไว้แน่น มือหนาลูบไล้ผมนุ่มของลูกชายอย่างแช่มช้า พลางจูบขมับสวยเต็มความรัก “ป๊ารู้ได้ยังไงว่าทงเฮอยู่ที่นี่?”

     

                “ซีวอนโทรบอก” เขาพูดเพียงสั้นๆ ทงเฮจึงขยับตัวหันมาจ้องมองหน้าฮยอกแจอย่างแปลกใจ ฮยอกแจจึงเอ่ยต่อ “เขาบอกว่าทงเฮไปหาเขาที่บ้าน เขาบอกเลิกทงเฮ แต่ทงเฮไม่เข้าใจ”

     

                “แล้วทงเฮควรจะเข้าใจว่าอะไรล่ะครับ” คำพูดที่ปะปนมากับเสียงสะอื้นเอ่ยถามอีกฝ่าย ฮยอกแจย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะดึงมือข้างที่ไร้เข็มน้ำเกลือของทเฮมากุมเอาไว้

     

                “เข้าใจว่าเขาไม่ได้รักเรา เขา...ไม่เคยรักเรา” ฮยอกแจย้ำหนักแน่น

     

                “เคยสิครับ เขาเคยบอกว่ารักทงเฮ” ทงเฮพยายามเถียง “เขาเคยบอกว่ารัก แล้วทำไมวันนี้เขาถึงกลับคำพูด ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจล่ะ?” ท้ายประโยคดูเหมือนจะน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองมากเหลือเกิน

     

                “ทงเฮ...”

     

                “ป๊าอย่ามาพูดให้ทงเฮยอมรับความจริงอีกเลย ทงเฮไม่เชื่อป๊า ทงเฮจะไม่เชื่อป๊า”

     

                “ไม่ต้องเชื่อป๊าก็ได้ แต่ยังไงความจริงก็คือความจริง” ฮยอกแจมองใบหน้าของลูกชาย เขาเอื้อมมือไปเกลี่ยน้ำตาที่เปรอะเปรื้อนใบหน้าหวานของคนเป็นลูก ก่อนจะเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เศร้าหมองของตัวเองเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

                “ทงเฮเชื่อว่า...ความรักจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้”

     

                “เปลี่ยนได้สิ” ฮยอกแจเถียงกลับทันควัน “ความรักไม่แท้จริงย่อมเปลี่ยนแปลงได้”

     

                “แต่เขาเป็นของทงเฮนะครับป๊า คุณหมอซีวอนเขา...” ทงเฮจนปัญญาจะเถียงออกไป ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ฮยอกแจก็หาคำพูดมาหักล้างได้เสมอ มือบางจิกผ้าปูที่นอนแน่น ส่วนอีกมือที่ถูกฮยอกแจกอบกุมไว้ก็ดึงออกอย่างไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากผู้เป็นพ่ออีก

     

                “ทงเฮ ฟังป๊านะ!” ฮยอกแจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

                “ทงเฮไม่ฟัง!” ร่างบางตะโกนก้องอย่างโมโห ลมหายใจที่เคยเป็นปกติในตอนแรกส่งเสียงดังขึ้นจนฮยอกแจไม่กล้าพูดอะไรอีก “ป๊าก็เคยผ่านความรักมาก่อนนี่ ทำไมป๊าถึงไม่รู้ว่าทงเฮรักคุณหมอ ทงเฮต้องการคุณหมอมากแค่ไหน”

     

                “แล้วจะให้ป๊าทำยังไง” นั่นไม่ใช่ประโยคคำถามจากผู้เป็นพ่อ ที่ฮยอกแจเอ่ยคำนี้ออกไปเพราะเขากำลังเหนื่อยใจกับคำพูดของทงเฮ ทุกๆ คำพูดของลูกชายนอกสายเลือดกำลังกรีดแทงหัวใจของฮยอกแจให้แยกออกเป็นเสี่ยงๆ เขามองหน้าทงเฮนิ่ง ในขณะที่น้ำตาของทงเฮเริ่มไหลรินออกมาอีกครั้ง

     

                ทว่าฮยอกแจกลับไม่คิดจะเช็ดมันออกอีกต่อไปแล้ว

     

                “ป๊าก็ช่วยทำให้ทงเฮเป็นคนสำคัญที่สุดของคุณหมอสิ ทงเฮอยากเป็นคนสำคัญที่สุด...ของป๊า ของคุณหมอ และของทุกๆ คน” ทงเฮเบะปากแล้วหลับตาลงเพื่อเค้นเอาน้ำตาที่อยู่ในร่างกายให้ไหลออกมาจนหมด เขามีความคิดโง่ๆ ที่คิดว่าเมื่อน้ำตาหมดไปแล้ว ความเศร้าก็จะจางหายไปด้วย แต่เปล่าเลย ต่อให้ไม่มีน้ำตา ความเศร้าโศกก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม

     

                “งั้นป๊าขอถามทงเฮแค่คำเดียว” ฮยอกแจเว้นจังหวะแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด “คุณหมอ...เขาเป็นอะไรสำหรับทงเฮ ทำไมถึงต้องอยากได้เขามากขนาดนั้น”

     

                “คุณหมอเป็นคนสำคัญที่สุดของทงเฮไง ป๊า...ป๊าเข้าใจทงเฮใช่ไหม ทงเฮรักเขา” ทงเฮบอกอีกฝ่ายอย่างสิ้นหวัง ฮยอกแจส่ายหน้าช้าๆ เขาคิดอยู่แล้วว่าทงเฮจะต้องพูดแบบนี้ เขาเตรียมใจกับคำพูดของทงเฮเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังจริงๆ ก็อดที่จะเจ็บปวดไม่ได้

     

                “เมื่อกี้ทงเฮบอกว่าอยากเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับทุกคน แต่ต่อมาทงเฮก็บอกว่าคุณหมอสำคัญกับทงเฮที่สุด” ฮยอกแจค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าทงเฮคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด แล้วจะเพิ่มคนสำคัญขึ้นมาอีกคนได้ยังไง”

     

                “ปะป๊า...”

     

                “ไม่ใช่ว่าป๊าไม่อยากช่วยให้ทงเฮมีความสุขนะ แต่ป๊าช่วยไม่ได้”

     

                ฮยอกแจพูดจบก็เดินออกจากห้องไปในทันที ทงเฮผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วกรีดร้องจนสุดเสียง เขาตะโกนเรียกฮยอกแจให้กลับมาฟังตัวเอง ให้ฮยอกแจอยู่ฟังคำพูดของเขาคนเดียวเท่านั้น

     

                “ป๊าเป็นป๊าของทงเฮนะ ป๊าต้องช่วยทงเฮสิ ปะป๊าต้องช่วยทงเฮ!

     

                ทงเฮคิดว่าพ่อของเขาใจร้ายมากที่สุดในโลก ความรู้สึกดีๆ ที่ได้ยินมาจากลุงจองซูเมื่อวานถูกลบเลือนจนหมดสิ้น ทงเฮคิดว่าพ่อใจร้าย คิดว่าพ่อไม่รักตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว ทงเฮต่างหากที่ใจร้ายกับทุกคน

     

                เพราะเขา...ไม่เคยรักใครเลย นอกจากตัวเอง

     

     

                ชางมินขับรถมาส่งซองมินที่บ้านหลังจากออกไปช้อปปิ้งด้วยกันมา ทันทีที่เข้ามาด้านในตัวบ้าน ความสงสัยที่ถูกเก็บเอาไว้มาเกือบชั่วโมงก็ถูกระเบิดขึ้น

     

                “ทำไมถึงไปรู้จักกับคนแบบนั้นได้ เขาหน้าตาไม่เหมือนคนดีเลยสักนิด” ชางมินเอ่ยถาม ร่างสูงโปร่งนั่งลงที่โซฟาบุด้วยหนังสีเบจราคาแพง ในขณะที่ซองมินนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยบอก

     

                “เขาเป็นนักเรียนรุ่นน้องตอนผมเรียนอยู่มอต้นน่ะครับ”

     

                “นานขนาดนั้นเชียว” ชางมินเริ่มคำนวณจากอายุของซองมินในปัจจุบัน “อย่างต่ำก็...สิบห้าปี แล้วทำไมยังจำเขาได้อยู่อีก?”

     

                “ก็เขาเป็นคนจีนนี่ครับ แล้วเด็กคนนั้นก็น่าสงสารด้วย คนทั้งโรงเรียนลือกันว่าเขาไม่มีพ่อแม่ มีแต่พ่อแม่บุญธรรมในเกาหลี” ซองมินอธิบายตามสิ่งที่ตัวเองได้ยินเพื่อนๆ เล่ามา ยิ่งฮันกยองเป็นเด็กชาวจีนที่หน้าตาน่ารักแล้วด้วย รุ่นพี่รุ่นน้องหลายๆ คนต่างก็รู้จักคนๆ นี้ “แต่น่าเสียดาย เขาไม่น่าทำร้ายคยูฮยอนเลย ไม่งั้นเขาคงไม่ถูกไล่...” ซองมินก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองได้ทำพลาดเสียแล้ว

     

                “หมายความว่าไง ผู้ชายคนนั้นเคยทำร้ายคยูฮยอนมาก่อนเหรอ?” ชางมินถามเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินว่าคนที่ถูกทำร้ายคือ...โจ คยูฮยอน

     

                “เอ่อ...มันก็นานมาแล้วน่ะครับ ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย”

     

                “แล้วเขาทำร้ายยังไง ตีคยูฮยอนเหรอ? หรือว่า...” ชางมินไม่อยากจะคิดให้ไกลไปมากกว่านี้ แต่สีหน้าที่ซองมินแสดงออกมามันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

     

                “ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ชางมิน” ซองมินพยายามจะปฏิเสธ

     

                “มันรุนแรงมากแค่ไหน?”

     

                “ผม...บอกไม่ได้หรอกครับ ไม่มีใครในโรงเรียนกล้าพูดถึงเรื่องนี้หรอก” ชางมินรู้สึกตัวชาเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าคยูฮยอนต้องมาพบเจอกับอะไรบ้าง

     

                คยูฮยอนน่าสงสารกว่าที่เขาจะจินตนาการไว้ คยูฮยอนเป็นคนที่ถูกคนอื่นทำร้ายมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเติบโตขึ้นมาแล้วก็ยังถูกคนที่ตัวเองรักมากที่สุดทำร้าย ชางมินคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ชายคนนี้เลยสักนิด

     

                “แต่มันก็นานตั้งสิบห้าปี ทำไมซองมินถึงจำเรื่องของเขาได้อย่างละเอียดนักล่ะ?” ชางมินเอ่ยถาม

     

                “ทำไมถึงซักไซ้เยอะแยะนักล่ะครับ มันไม่มีอะไรหรอกน่า” พูดจบก็หลบตาอีกฝ่ายอย่างมีพิรุธทันที แม้ซองมินจะพยายามปฏิเสธอย่างหัวชนฝา แต่ทว่าชางมินก็ไม่อาจปักใจเชื่อคำพูดของซองมินได้ เพราะว่าเขาเห็นสายตาอาทรที่ซองมินใช้มองชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น

     

                “เอาเถอะ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ คราวหลังก็ไม่ต้องไปพูดไปคุยกับคนแบบนั้นอีก พี่เป็นห่วง”

     

                “เป็นห่วงตัวเองเสียก่อนเถอะครับ พี่ชางมินเป็นมือที่สามแบบนี้ สักวันจะถูกสวรรค์ลงโทษ” ซองมินว่าให้คนอายุมากกว่าเมื่อเขาถึงคราวจนมุม แต่ชางมินกลับไม่อยากจะพูดถึงเรื่องของตัวเองในตอนนี้ เรื่องเมื่อวานที่เขาได้พบเห็นมากับตามันยังติดตรึงอยู่ในความคิดอย่างยากที่จะสลัดออกไปได้ง่ายๆ

     

                ชีวิตคนเรานี่ก็แปลก กับเรื่องที่โหดร้ายต่อจิตใจมากที่สุด เรื่องที่อยากให้ลบเลือนออกไปจากในโดยเร็วที่สุด มันกลับไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ในการจดจำเลย

     

                ยิ่งพยายามลืม...มันก็ยิ่งตอกย้ำให้จำได้มากขึ้น

     

                “เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งกับเขาอีกก็แล้วกัน” ชางมินรวบรัดสรุปเพราะเป็นห่วงหนุ่มรุ่นน้องที่มักจะมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แต่ทว่าซองมินกลับส่ายหน้า “ซองมิน!” เขาเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ

     

                “พี่ชางมิน เรื่องนี้ผมขอเถอะครับ” เจ้าของใบหน้าหวานเอ่ยบอก ก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่นแล้วพูดขึ้น “เขาน่าสงสารจริงๆ ถ้าหากว่าผมเจอเขาอีกครั้ง ผมก็จะช่วยเขา ถ้าเจออีก ก็จะช่วยอีก ผมจะช่วยจนกว่าเขาไม่ต้องการ”

     

                “อี ซองมิน!” ชางมินเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยใจเป็นที่สุด ซองมินจึงหันกลับมาจ้องหน้าคนที่ตัวโตกว่า

     

                “ผมเคยเตือนพี่ชางมินเรื่องคยูฮยอนตั้งหลายครั้ง ผมบอกว่าอย่าไปยุ่งกับเขา เพราะพี่ชางมินจะเจ็บ แต่พี่ชางมินก็ไม่เคยฟังผม”

     

                “นั่นมันคนละเรื่องกันนะ” ชางมินพยายามเถียง

     

                “ใช่ครับ มันคนละเรื่องกัน แต่กับเรื่องนี้...พี่ชางมินก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามผมเหมือนกัน” ซองมินว่าจบก็คว้าถุงเสื้อผ้าที่ตัวเองเพิ่งไปซื้อมาหนีขึ้นไปบนห้องทันที

     

                ชางมินมองตามอีกฝ่ายด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ ที่ซองมินพูดก็ถูก เขาไม่เคยเชื่อฟังคำทัดทานซองมินเลยแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายก็เป็นเขาที่เจ็บเอง แต่ชางมินยินยอมที่จะเจ็บปวดแบบนี้ ขอเพียงแค่คนสุดท้ายที่คยูฮยอนนึกถึงยังเป็นเขา...ชิม ชางมิน

     

     

                “ว่าไงนะ?!” คยูฮยอนตะโกนลั่นเมื่อกำลังนั่งทานอาหารเย็นร่วมกับซีวอนที่บ้านของพวกเขาเอง มือเรียวปล่อยช้อนสีเงินหลุดออกจากมือจนร่วงกระทบจานกระเบื้องเสียงดังก้อง

     

                “ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้”

     

                “ทำไมนายไม่ปฏิเสธออกไปล่ะ แค่ช่วยชีวิตเขามันก็มากเกินพอแล้ว ซีวอน...” คยูฮยอนมองคนรักด้วยดวงตาที่สั่นระริก ใช่...ตอนนี้คยูฮยอนกำลังเป็นคนเห็นแก่ตัวมากที่สุด เขาลืมนึกไปด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยเป็นพยาบาลและมีหน้าที่ช่วยเหลือคน “...ถึงฉันจะเห็นด้วยที่นายช่วยทงเฮเอาไว้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่หึง” คยูฮยอนยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

     

                “แล้วคยูฮยอนจะให้ฉันปฏิเสธว่าอะไรล่ะ?” ซีวอนถามขึ้น

     

                “ก...ก็...” ร่างโปร่งอึกอักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ซีวอนจะปฏิเสธเลย

     

                ซีวอนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตั้งแต่ที่เขาออกไปรับที่โรงพยาบาล ในตอนบ่ายพวกเขาออกไปทานข้าวและดื่มกาแฟด้วยกัน รวมถึงดูภาพยนตร์ที่เพิ่งเข้าฉาย จนกระทั่งกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้าน คุณสามีที่นั่งเงียบมาตลอดก็ปริปากขึ้น

     

                ซีวอนบอกว่าเมื่อพยาบาลเช็คประวัติของทงเฮแล้วพบว่าซีวอนเคยเป็นเจ้าของไข้มาก่อน เขาจึงโอนชื่อแพทย์เจ้าของไข้มาให้กับซีวอนอีกครั้ง เพราะคิดว่าซีวอนน่าจะดูแลทงเฮได้เป็นอย่างดี

     

                แต่การที่ซีวอนไม่ยอมปฏิเสธทำให้คยูฮยอนรู้สึกหัวเสีย

     

                “นายอยากให้ฉันบอกเหตุผลตามความจริงหรือไง ความผิดพลาดที่ฉันเคยทำลงไป นายจะให้ฉันพูดประจานตัวเองเหรอ...คยูฮยอน?” ท้ายประโยค ซีวอนย้ำชื่อคนรักของเขาเพื่อขอความเห็น แต่คยูฮยอนกลับส่ายหน้าไปมาอย่างแช่มช้า

     

                “แต่ฉันไม่อยากให้นายเข้าไปใกล้ทงเฮอีก”

     

                “ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาอีกแล้ว” เสียงทุ้มว่าพลางดึงมือของคยูฮยอนมากุมเอาไว้

     

                “ฉันเชื่อนาย แต่ว่า...” คำว่า แต่มักจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายเสมอ “นายปฏิเสธคนไม่เป็น!

     

                “ฉันจะปฏิเสธทงเฮ” ซีวอนยืนยันเพื่อให้คนรักเชื่อใจ เขาจะพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ดีที่สุด เขาจะทำให้ความรักของเขากับคยูฮยอนกลับมาเป็นเมื่อในวันวานให้ได้

     

                “นายจะทำได้ยังไง เขาเป็นคนไข้ ถ้าเขาอ้อน...นายจะทนมารยาเขาได้เหรอ ซีวอน ที่ผ่านมานายก็ไม่กล้าปฏิเสธทงเฮเลยสักครั้ง นายไม่ได้ใจแข็งพอ”

     

                “คยูฮยอนรู้ได้ยังไง?” ซีวอนถามเสียงแข็งขึงอย่างไม่พอใจที่คยูฮยอนดูถูกความรู้สึกของเขา

     

                “เพราะฉันรู้จักนายดีกว่าใครไงล่ะ นาย...ปฏิเสธทงเฮไม่ได้แน่ๆ” คยูฮยอนฟันธงออกไปอย่างมั่นใจ เขาไม่เกรงกลัวหากว่าตัวเองจะทำนายเรื่องราวในอนาคตผิด เพราะคยูฮยอนก็ไม่อยากให้มันเป็นดังที่เขาคิดไว้อยู่แล้ว

     

                “ถ้านายคิดแบบนั้น...” ซีวอนเงียบลง เขาเงียบลงไปนานมากจนคยูฮยอนแทบจะกลั้นหายใจกับคำพูดของร่างสูง แต่ทันทีที่คยูฮยอนกำลังจะชักมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย น้ำเสียงที่จริงจังของซีวอนก็เอ่ยขึ้น “...นายก็อยู่ข้างๆ ฉันตลอดเวลาสิ ฉันทำได้แน่ๆ”

     

     

    Talk with Lee Seen

                จบแล้วค่ะ รู้สึกว่าตอนนี้จะสั้นๆ เนอะ ต่อไปจะสั้นลงเรื่อยๆ แล้วล่ะค่ะ

    เพราะว่าไม่มีอะไรให้แต่ง...กร๊ากกกกกกก

    จริงๆ แล้วซีนคิดถึงฉากในตอนที่ 41 มากเกินไปน่ะ เลยแต่งมาได้แค่นี้

    ขอโทษด้วยนะค้า...


    เค้ารู้ตัว...ว่าถ้าครึ่งหลังมีแต่อึนเฮ หรือมีอึนเฮมากกว่าวอนคยู
    คงไม่มีคอมเม้นท์แน่ๆ ก็คนอ่านสนใจแต่วอนคยูนี่เนอะ (ทำใจ...)

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×