ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #37 : Chapter 35 โปสการ์ด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.03K
      4
      2 พ.ย. 54

     

    Chapter 35

    โปสการ์ด

     

                ซีวอนขับรถยนต์ตามคยูฮยอนมาจนถึงบ้าน ทว่าคยูฮยอนไม่ได้เหยียบคันเร่งเร็วนัก เพราะเขารู้ดีว่าหากถึงบ้านเมื่อไร ซีวอนก็จะต้องยกเรื่องนั้นขึ้นมาคุยไม่จบไม่สิ้น คยูฮยอนไม่อยากพูด ไม่อยากคุย ไม่อยากรับฟังคำแก้ตัวใดๆ อีกแล้ว เพราะทุกสิ่งที่ซีวอนพูดไม่เคยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเลย

     

                รถยนต์สองคันจอดลงที่หน้าบ้านหลังเล็กซึ่งเป็นเรือนหอเรือนรักของพวกเขามาตลอดสิบปี แต่วันนี้ความน่ารักของบ้านไม่ได้เป็นสิ่งการันตีความสุขของคนในบ้านได้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

                “คยูฮยอน” ซีวอนลงจากรถมาก่อนเป็นคนแรก เขาเดินตรงมายังรถยนต์ของคยูฮยอน ร่างโปร่งยังนั่งอยู่ข้างในนั้น เปิดเพลงดังลั่นและกำพวงมาลัยไว้แน่น

     

                ซีวอนกลัวเหลือเกินถ้าหากคยูฮยอนจะตบเกียร์และเหยียบคันเร่งหนีเขาไปในตอนนี้

     

                แต่คยูฮยอนไม่ใช่คนแบบนั้น

     

                มือเรียวบิดกุญแจดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูรถออกมา ภายใต้ฟิล์มติดกระจกสีดำสนิทนั้น ซีวอนเพิ่งรู้ว่าตลอดระยะทางจากซูเปอร์มาร์เก็ตจนถึงหน้าบ้าน คยูฮยอนไม่ได้หยุดร้องไห้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

                “เข้าไปคุยในบ้านกันเถอะ” เขาบอกด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน ก่อนจะประคองไหล่บางที่สั่นไหวเดินเข้าบ้าน บางทีคยูฮยอนอาจจะขัดขืน ทว่าสิ่งที่ซีวอนคิดกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น การที่คยูฮยอนยอมให้เขาโอบไหล่แบบนี้อาจจะเป็นเพราะว่าร่างโปร่งไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ต่อต้านเขาอีกแล้ว

     

                เมื่อถึงในตัวบ้าน ซีวอนกับคยูฮยอนก็เดินเข้าไปในห้องนอนทันที ซีวอนจูงมือเรียวบางไปนั่งบนเตียง พวกเขานั่งอยู่เคียงข้างกัน แต่ไม่มีคำพูดหลุดออกมาสักคำเดียว

     

                ซีวอนอาจจะมีคำพูดมากมายอยู่ในใจ หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้

     

                แต่คยูฮยอนไม่อยากจะฟังหากคำพูดเหล่านั้นมีแต่คำโกหก

     

                “คยูฮยอน...ผมขอโทษ” เขาพูดสั้นๆ และดึงมือบอบบางที่สั่นเทามากอบกุมไว้ คยูฮยอนเม้มปากแน่น พยายามจะเก็บกลั้นเสียงสะอื้นที่น่ารังเกียจของตัวเอง เขารู้ว่าคนอื่นคงจะตราหน้าว่าซีวอนเป็นคนเลว และเขาเป็นคนโง่ ซึ่งบางครั้งคยูฮยอนก็ด่าว่าซีวอนเป็นแบบนั้น

     

                แต่ทว่าความรู้สึกของหัวใจมันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่ากลไกการทำงานในร่างกายของมนุษย์เสียอีก ต่อให้มีแพทย์ที่เก่งกาจแค่ไหน กับเรื่องของความรักแล้วมันช่างเป็นความรู้สึกที่ควบคุมได้ยาก เหมือนกับเขาในตอนนี้ คยูฮยอนรู้ดีว่าหากเขาสวมบทบาทเป็นคนนอกครอบครัว หนทางเดียวที่จะแนะนำภรรยาที่มีสามีนอกใจ

     

    นั่นคือ...การเลิกรา

     

                แต่ตอนนี้เขาสวมบทเป็นโจ คยูฮยอน แม้จะรู้ดีว่าวิธีตัดปัญหาที่ดีที่สุดคืออะไร แต่คยูฮยอนจะไม่เลือกทางนั้นเด็ดขาด เขาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ และไม่มีวันที่คยูฮยอนจะปล่อยให้ครอบครัวที่เขาสร้างมาตลอดสิบปีต้องแตกสลาย

     

                เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อประคับประคองต้นรักนี้ให้ยืนยงที่สุด

     

                “ซีวอน...” คยูฮยอนเอ่ยเรียกคนรักด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ใบหน้าหวานช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายราวกับจะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น “...กี่ครั้งแล้วที่นายขอโทษฉัน และมันกี่ครั้งแล้วที่นายก็กลับไปทำผิดเหมือนเดิมอีก”

     

                “เพราะอย่างนี้ผมเลยต้องบอกขอโทษคุณอีกครั้ง”

     

                “แต่มันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายใช่ไหม?” คยูฮยอนเอ่ยขึ้น แต่สาบานได้ว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เขาพูดเพื่อคาดเดาในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ต่างหาก

     

                ซีวอนยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกมา เสียงโทรศัพท์ของร่างสูงก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นอี ทงเฮ และคยูฮยอนก็เหลือบมองเห็นชื่อของคนที่โทรมาแล้วด้วย เขาจึงเอ่ยถามคนรัก

     

                “นายจะรับไหม?”

     

                “ผมยังคุยกับคุณไม่จบ” เขาปฏิเสธเป็นนัยๆ ว่าจะไม่รับสายจากทงเฮ และซีวอนก็กดตัดสายตามที่บอกจริงๆ

     

                “รับสิ ฉันอยากรู้ว่าเขาโทรมาทำไม?” คยูฮยอนว่า และพูดไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนที่นั่งอยู่หงุดหงิดจนแทบจะประสาทเสียขึ้นมาในทันที

     

                “แต่ผมไม่อยากรู้ว่าทงเฮจะโทรมาทำไม”

     

                “ฉันบอกให้รับ!” คยูฮยอนว่าเสียงเข้ม ก่อนจะคว้าเครื่องมือสื่อสารมากดรับสายให้เสร็จสรรพ แล้วเสียงเศร้าสลดของทงเฮก็ดังขึ้นจากปลายสาย

     

                [คุณหมอครับ คุณคยูฮยอนเขาว่าอะไรหรือเปล่า?] คยูฮยอนจ้องมองหน้าคนรักด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา เขากำลังลุ้นว่าซีวอนจะตอบอย่างไรออกไป ในขณะที่อีกใจกลับครุ่นคิดว่าตอนนี้ทงเฮกำลังทำสีหน้าท่าทางอย่างไรบ้าง จะรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ จะกำลังร้องไห้ หรือว่ากำลังหัวเราะเยาะกับชีวิตครอบครัวที่พังพินาศของเขา

     

                “ผมคุยกับคยูฮยอนอยู่ ทงเฮมีอะไรหรือเปล่า?” ซีวอนถาม ก่อนจะหันมามาสบตาคนรัก

     

                [ทงเฮเป็นห่วงคุณหมอครับ กลัวจะโดนเขาว่า คุณหมอไม่ผิดหรอกนะครับ ทงเฮผิดเองที่ไปนอนกับคุณหมอ ทงเฮผิด...ที่ยอมเป็นของคุณหมอ ทั้งๆ ที่เรากำลังอยู่ในช่วงตัดใจ แต่ทงเฮ...เป็นทงเฮที่ล้ำเส้น...]

     

                ซีวอนลดมือลงเมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของคยูฮยอน ซีวอนมั่นใจว่าครั้งนี้ทงเฮไม่ได้เสแสร้ง เขารู้จักกับทงเฮมากพอที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดความจริงหรือพูดโกหก หลายครั้งที่ทงเฮโกหกและซีวอนจับได้ แต่เขาก็ยังปล่อยให้มันดำเนินต่อไป แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้

     

                “ทงเฮ ผมต้องวางสายแล้วนะ ผมยังคุยกับคยูฮยอนไม่เสร็จ แค่นี้นะ” ร่างสูงรีบกดวางสายไปก่อนที่ทงเฮจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ คยูฮยอนกำมือแน่นอย่างเดือดดาล ดวงตากลมโตสั่นระริกและมีน้ำตาใสเอ่อคลออยู่เต็มหน่วยตา เพียงแค่กระพริบตาครั้งหนึ่ง น้ำตามากมายก็รินไหลอาบแก้มเนียนอย่างสุดกลั้น

     

                “ผม...”

     

                “ฉันรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรซีวอน ฉันจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของนาย ความต้องการทางร่างกายของเรามันไม่เท่ากัน ข้อนี้ฉันรู้...”

     

                “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคยูฮยอน” เขาพยายามจะแก้ตัวเมื่อคยูฮยอนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

     

                “ถูกของนาย มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพราะถ้าหากนายแค่อยากมีอะไรกับใครสักคน นายอาจจะไปนอนกับผู้ชายขายบริการสักคนก็ได้ แต่ความสัมพันธ์ของนายกับทงเฮมันมากกว่านั้น มันไม่ได้แค่ร่างกาย แต่มันเป็นหัวใจ ฉันรับไม่ได้ที่นายแบ่งหัวใจที่มันควรจะเป็นของฉันทั้งหมดไปให้เขา”

     

                “คยูฮยอน”

     

                “และที่สำคัญ! คนๆ นั้น...ถึงเขาจะเป็นเด็กก้าวร้าวแค่ไหน แต่เขาก็เป็นเพื่อนของหลานเรานะ นายทำอย่างนี้ได้ยังไงซีวอน นายทำได้ยังไง?!

     

                คยูฮยอนทุบอกแกร่งของชายหนุ่มอย่างเหลือทน ซีวอนมองคนรักที่กำลังร้องไห้ ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ เขาเป็นผู้ชายที่แข็งแรงกว่าคยูฮยอน ซีวอนรู้ดีว่าหน้าที่ของเขาควรจะปกป้องคยูฮยอนผู้เป็นคนรัก ไม่ใช่มาร้องไห้คร่ำครวญกับการกระทำที่โง่เขลาของตัวเองเช่นนี้

     

                “ซีวอน นายน่ะเป็นคนเก่งมาตั้งแต่เด็ก นายสามารถฟังอาจารย์สอนและจดเลคเชอร์สลับกันไปมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ความรักของเรามันไม่ง่ายเหมือนตอนเรียนหนังสือหรอกนะ หัวใจมันก็แค่ก้อนเนื้อโง่ๆ ที่ไม่สามารถรักคนสองคนสลับกันไปมาได้”

     

                “แล้วคุณต้องการให้ผมทำยังไง?” เขาถามด้วยเสียงที่สั่นเครือนิดๆ ถามราวกับเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรบนโลกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

                “ซีวอนควรจะเลือกรักใครสักคนและมุ่งไปทางเขาคนนั้นเพียงคนเดียว”

     

                ซีวอนค่อยๆ คลายมือออกจากคนรักอย่างเชื่องช้า เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกเพียงแค่คนหนึ่งเท่านั้น

     

    ระหว่างคยูฮยอนและทงเฮ

     

                ซีวอนไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เขามีต่อทงเฮเรียกว่าอะไร แต่ความรู้สึกที่เขามีให้กับคยูฮยอน มันคือความรัก มันเป็นความรักที่อยากจะดูแลมาตลอดตั้งแต่ที่เรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกัน ครั้งแรกที่เห็นคยูฮยอนร้องไห้เพราะถูกทำร้าย ซีวอนสัญญากับตัวเองว่าเขาจะดูแลคยูฮยอนไปตลอดชีวิต

     

                แต่นับจากวันนั้นมา หลายต่อหลายครั้งที่เขาทำให้คยูฮยอนต้องเสียน้ำตา ถ้าตัดตัวเลือกทงเฮออกไป ซีวอนก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าเขายังมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นสามีที่ดีของคยูฮยอนอยู่หรือไม่ ซีวอนไม่มั่นใจในเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว

     

                “ผมขอโทษ...ที่ไม่มีคำตอบให้กับคุณ” เขาบอกเพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินจากห้องไป แต่คยูฮยอนกลับทรุดลงไปที่พื้นอย่างหมดแรง ร่างโปร่งคิดว่าการที่ซีวอนไม่มีคำตอบ

     

                คำตอบของซีวอนก็คือ...เขาเลือกทงเฮ

     

     

                ตั้งแต่ทงเฮกลับมาบ้าน ฮยอกแจสังเกตเห็นแล้วว่าลูกชายของเขาเซื่องซึมไป ทงเฮไม่พูดไม่จาเหมือนในวันก่อน ไม่หัวเราะแม้เขาจะพยายามทำให้หัวเราะ ไม่ตอบคำถามแม้ว่าเขาจะชวนคุยไปเสียมากมาย ทงเฮเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง

     

                จนกระทั่งตอนเย็น...

     

                ร่างบางเดินโซเซออกมาจากห้องนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง อ้อมกอดที่ซุกซบเข้ามาอย่างออดอ้อนต่างจากทุกครั้งทำให้ฮยอกแจชาวาบไปทั้งตัวราวกับถูกกระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกาย ก่อนที่น้ำเสียงเบาบางของทงเฮจะเอ่ยขึ้น

     

                “ป๊า ทงเฮหิวข้าว”

     

                เพียงแค่ลูกชายพูดเท่านั้น ฮยอกแจก็กุลีกุจอไปทำอาหารเย็นให้กับทงเฮทันที เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีทำกับข้าวง่ายๆ มาให้กับคนเป็นลูก ทงเฮเดินไปที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะเริ่มตักข้าวใส่ปากโดยที่ไม่พูดไม่ถามฮยอกแจสักคำ

     

                ฮยอกแจนั่งจ้องมองทงเฮที่ตักข้าวคำโตแล้วยัดเข้าไปในปาก ก่อนจะตักคำใหม่แล้วใส่ปากอีกราวกับว่าอดอยากมาหลายวัน จนในที่สุดทงเฮก็สำลักจนได้

     

                “ค่อยๆ กินสิทงเฮ ไม่มีใครแย่งลูกกินสักหน่อย” ฮยอกแจบอกแล้วยื่นน้ำเปล่าให้ ทงเฮรับมาดื่มล้างคอ ก่อนจะยัดข้าวคำโตใส่ปากอีกหลายคำ ฮยอกแจได้แต่เฝ้ามองการกระทำของลูกชายอย่างเจ็บปวด เขาพยายามจะไม่ถาม พยายามจะไม่ยุ่งวุ่นวาย แต่ตอนนี้ฮยอกแจทนเห็นทงเฮทำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว

     

                “พอเถอะทงเฮ เลิกกินได้แล้ว ลูกไม่ได้หิวหรอก”

     

                “ไม่ครับ ทงเฮหิว...ทงเฮอยากกินอีก” เสียงเล็กๆ บอกกับฮยอกแจอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตักข้าวเข้าปากเป็นคำสุดท้าย “ขอข้าวให้ทงเฮอีกได้ไหมครับ?”

     

                “ไม่ ป๊าไม่ให้ทงเฮกินแล้ว”

     

                “ป๊า!” ทงเฮตวาดฮยอกแจเสียงดังลั่น ก่อนจะเดินไปตักข้าวใส่ถ้วยสแตนเลสสีเงินแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร มือเรียวจับช้อนไว้แน่น ก่อนจะตักข้าวเข้าปากอีกคำ ทว่าฮยอกแจกลับบีบมือของลูกชายไว้จนทงเฮชะงักมือบางไว้แค่นั้น

     

                “ป๊าบอกให้หยุดกินได้แล้ว หูหนวกหรือไง?!

     

                “ป๊านั่นแหละที่หูหนวก ทงเฮกำลังกินอยู่ ป๊าไม่เห็นเหรอว่าทงเฮหิวมากแค่ไหน” ทงเฮพูดไปร้องไห้ไป มือเรียวที่จับช้อนสั่นเทาตามแรงสะอื้น ก่อนจะเลื่อนช้อนเข้าปากอีกครั้ง แต่ฮยอกแจก็กระชากช้อนเงินออกจากมือของคนเป็นลูก ก่อนเหวี่ยงลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเม็ดข้าวกระจายเกลื่อนเต็มไปหมด

     

                “อย่ามาเถียงป๊า ลูกไม่ได้หิว...ไม่ได้หิวข้าวเลยสักนิดเดียว” เขาบอกเสียงเรียบ แต่ทงเฮกลับนั่งนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ มือบางยกขึ้นขยำอกข้างซ้ายของตัวเอง

     

                “ทงเฮต้องกิน เพราะข้างในนี้มันไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ป๊าเข้าใจทงเฮไหมครับ ข้างในนี้มันโล่งกลวงไปหมด มันไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว” ทงเฮเบ้ปากร้องไห้เหมือนเด็กที่ถูกเพื่อนแกล้งจนต้องวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดอุ่นจากพ่อแม่ ร่างบางถูกรวบเข้าไปกอดโดยฮยอกแจ มือสากหนาตบแผ่นหลังของลูกชายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยคำที่เข้าใจในความรู้สึกของทงเฮอย่างดีที่สุด

     

                “ป๊ารู้ ป๊าเข้าใจทงเฮทุกอย่าง ท้องลูกไม่ได้โล่งเพราะหิวข้าว แต่เพราะหัวใจของเราต่างหากที่มันหายไป ป๊ารู้ดี...เพราะป๊าก็กำลังเป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

     

                ฮยอกแจกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากที่สุด แต่ถ้าหากทงเฮจะลืมความเศร้าของตัวเองและสนใจในคำพูดของฮยอกแจบ้างสักนิด เขาจะรู้ความหมายที่ฮยอกแจต้องการสื่อออกมา แม้ฮยอกแจจะอยู่ถูกที่ แต่คำพูดของเขามันผิดเวลามากเกินไป

     

                และคำพูดที่ผิดเวลา มันก็เหมือนสายลมที่ไม่มีค่าอะไรเลย

     

                “เขาจะกลับมาทำไมถ้าเขาไม่ได้รักทงเฮ เขาจะกลับมายุ่งกับทงเฮอีกทำไม” ทงเฮกอดฮยอกแจไว้แน่นแล้วพร่ำถามในสิ่งที่ตัวเองจะไม่มีวันได้คำตอบ

     

                “ไม่มีประโยชน์ที่ป๊าจะบอกทงเฮตอนนี้” ฮยอกแจหมายถึงเรื่องของตัวเขาเอง รวมทั้งเรื่องของซีวอนที่เขาไม่สามารถสั่งสอนทงเฮได้อีก ทงเฮไม่เชื่อเขาอีกแล้ว และทงเฮก็ไม่ได้เชื่อซีวอนด้วย แต่ทว่าอี ทงเฮกลับเชื่อแต่ความรู้สึกของตัวเอง และพร้อมที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว

     

                “ทงเฮทำตัวเหมือนเป็นคนโง่ทั้งต่อหน้าเขา ต่อหน้าคนรักของเขา ทงเฮรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งเขาไว้อีก แต่ป๊า...ทงเฮปล่อยเขาไปไม่ได้”

     

                “ทงเฮ...” ฮยอกแจลูบเรือนผมนุ่มของลูกชายอย่างแผ่วเบา “ความรักน่ะไม่มีใครที่โง่หรอกนะ”

     

                “หรือไม่เขาก็คงมองว่าทงเฮเป็นตัวตลกไปแล้ว” ทงเฮค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ฮยอกแจเกลี่ยมือหนาปาดน้ำตาอุ่นออกจากใบหน้าของลูกชายอย่างเบามือ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

     

                “ลูกของป๊าน่ารักขนาดนี้ ไม่มีใครกล้ามองลูกเป็นตัวตลกหรอก ทงเฮยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักยับยั้งความคิดและการกระทำของตัวเอง ใครจะโกรธลูกชายของป๊าก็ช่าง แต่ป๊าคนนี้ไม่เคยโกรธ ไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของลูก”

     

                “ทงเฮไม่ผิดจริงๆ น่ะเหรอครับ?” เสียงปนสะอื้นเอ่ยถาม เพราะแม้เขายังเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง แต่ทงเฮก็พอจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเขาเองทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ผิดและทำให้ใครหลายคนต้องเจ็บปวดมากมายแค่ไหน

     

                ไม่ว่าจะเป็นคยูฮยอน รยออุค จงอุน ฮยอกแจ หรือแม้แต่ตัวของเขาเอง ทงเฮล้วนเป็นต้นเหตุความเสียใจของคนทั้งหมด

     

                และในขณะที่ทุกๆ คนกำลังด่าทอและประณามว่าเขาเป็นคนเลวทราม ด่าทอเขาต่างๆ นานากับการกระทำที่ชั่วร้ายของเขา แต่ยังมีคนๆ หนึ่งที่หลับหูหลับตาบอกว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย และคนๆ นั้นก็คือพ่อของเขาเอง

     

                พ่อ...ที่ทงเฮมองข้ามมาโดยตลอด

     

                “ในโลกนี้ คนทุกคนล้วนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง และไม่ว่าเหตุผลนั้นของทงเฮจะเป็นอะไร ป๊าก็จะขออยู่ข้างๆ ลูก ป๊าจะอยู่ข้างทงเฮเสมอ” ทงเฮปาดน้ำตาซ้ายทีขวาที ก่อนจะซุกซบใบหน้าเปื้อนน้ำตาเข้ากับอ้อมกอดอุ่นของคนเป็นพ่อ

     

                การกระทำครั้งนี้ของฮยอกแจเหมือนกับเป็นการให้ท้ายลูกชายของตัวเอง

     

                แต่...เคยไหม?

     

                เมื่อวันหนึ่งเราทำบางสิ่งผิดพลาดไป และมีคนตอกย้ำความผิดของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรามักจะต่อต้านคำพูดของคนเหล่านั้นด้วยคำแก้ตัว แต่กับบางคนที่เขาบอกว่าเข้าใจเรา มันกลับทำให้เรามองเห็นถึงความผิดพลาดของตัวเอง

     

                และ...อี ทงเฮเป็นหนึ่งในนั้น

     

     

    Loading-------------45%

     

                รยออุคจ้องมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองทั้งน้ำตา สายไม่ได้รับมากกว่าร้อยสายจากคิม จงอุนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีเหมือนที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย มันกลับทำให้รยออุคเศร้าใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

     

                ตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่เขามีปากเสียงกับทงเฮ รยออุคคิดผิดที่ไปต่อปากต่อคำกับเพื่อน  เขาน่าจะอยู่เฉยๆ แล้วเดินจากมาอย่างเงียบๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันพังทลายหมดแล้ว จงอุนรู้ความรู้สึกในใจของเขาแล้ว รยออุครู้ดีว่าสักวันเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาจริงๆ เขากลับแก้ไขอะไรไม่ได้อีกเลย

     

                เขาทำเชือกเส้นใหญ่ให้พันรอบตัวเองอย่างแน่นหนา เหมือนกับผูกหัวใจของตัวเองไว้กับจงอุนโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะต้องการมันหรือไม่ รยออุคใช้ข้ออ้างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดจงอุน แต่หลังจากวันนี้เขาคงไม่มีหน้าไปมองจงอุนอีกแล้ว

     

                เสียงโทรศัพท์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจงอุนจะลดละความพยายามลงไปได้ง่ายๆ รยออุคปิดเครื่องอย่างรวดเร็ว พอกันที เขาจะไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว ร่างบางเดินออกมาจากสวนหลังบ้านที่ชอบแอบไปนั่งอยู่เป็นประจำ แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าไปสู่ด้านในของตัวบ้าน สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งออกมา

     

                “มีอะไรเหรอซุนคยู?”

     

                “มีแขกมาหาคุณหนูค่ะ เขาบอกว่าชื่อจงอุน ตอนนี้ดิฉันให้รออยู่ที่ห้องรับแขก” คำรายงานจากหล่อนทำให้ผู้เป็นเจ้านายสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าหวานเบนหลบสายตาของสาวใช้แล้วเอ่ยขึ้น

     

                “บอกให้เขากลับไปเถอะ”

     

                “แต่เขาบอกว่าจะรอพบคุณหนูให้ได้นะคะ” หล่อนพูดเสียงอ่อนอย่างจนใจ รยออุคได้แต่ยืนนิ่งงัน แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อแขกคนที่ว่านั้นกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างถือวิสาสะ

     

                “พะ...พี่จงอุน...” เสียงที่ระคนไปด้วยความเศร้าโศกเอ่ยเรียกชื่อร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดลำลองสบายๆ ในวันหยุด จงอุนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับส่งสายตาให้หญิงสาวคนใช้เลี่ยงออกไปก่อน

     

                “รยออุคตั้งใจหลบหน้าพี่เหรอ?” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ จนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่รยออุคคุ้นเคย ใบหน้าหวานเงยขึ้นไปสบสายตากับเขา ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำอย่างรู้สึกผิด มือหนาค่อยๆ ประคองใบหน้าหวานให้จ้องมองแต่ตนเอง ก่อนจะเอ่ยคำ “พี่เคยบอกรยออุค...” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง “ถ้าแอบรักใครก็ควรจะบอกเขา อย่าเก็บเอาไว้ให้เป็นหนามยอกใจของเราไปตลอดชีวิต”

     

                “ผมขอโทษครับ ขอโทษที่คนๆ นั้นเป็นพี่จงอุน” เสียงของรยออุคสั่นเครือ แข้งขาคล้ายกับคนไร้เรี่ยวแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ก่อนจะทรุดฮวบลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น

     

                จงอุนค่อยๆ ย่อตัวลงไปนั่งตรงหน้าของคนตัวเล็ก เขาจ้องใบหน้าหวานที่มีแต่คราบน้ำตา ยังจำได้ดีกับท่าทางของรยออุคเมื่อวันก่อนตอนที่วิ่งหนีเขาขึ้นรถยนต์ส่วนตัวไป จงอุนพยายามโทรหารยออุคหลายครั้ง แต่คนตัวเล็กก็ไม่เคยรับสายเลย จนกระทั่งเขาต้องถามที่อยู่เอาจากทงเฮและตามมาถึงบ้าน

     

                “แล้วคิดจะบอกพี่เมื่อไร?” เขาถามเสียงเรียบ แต่รยออุคกลับโคลงศีรษะอย่างแช่มช้า

     

                “ตอนนี้จะบอกหรือไม่บอก มันก็ไม่สำคัญแล้วไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อ...พี่จงอุนก็รู้ความจริงหมดแล้ว”

     

                “ใช่ แต่พี่แค่ผิดหวังนิดหน่อยที่รู้จากคนอื่น ไม่ใช่จากปากรยออุคเอง”

     

                น้ำเสียงทุ้มนุ่มและอ่อนโยนของจงอุนกำลังทำให้รยออุคอยู่ในอาการสับสนและประหม่า ใบหน้าหวานช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่แล้วน้ำตาอุ่นก็เอ่อไหลออกมาอย่างสุดกลั้น มือหนาสากเกลี่ยไล้น้ำตาออกจากใบหน้าหวานอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยต่อ

     

                “สิ่งที่พี่อยากจะบอกก็คือ...” จงอุนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งราวกับอึดอัดใจที่จะพูดคำๆ หนึ่งออกมา “พี่คงจะสอนกีตาร์ให้รยออุคไม่ได้อีกแล้ว”

     

                “ทะ...ทำไม?” รยออุคกลอกตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มันเหมือนกับจงอุนให้ความหวังแก่เขาโดยไม่รู้ตัวเองเลยสักนิด หรือไม่ก็รยออุคอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปจนไม่มองความจริงว่าหัวใจของจงอุนมีใครบางคนอยู่ในใจตั้งนานแล้ว ใครบางคนที่ไม่ใช่เขา

     

                “ถ้าเรายังพบกันต่อไป มีแต่รยออุคที่จะเจ็บปวดเพราะยังไงพี่ก็คงรักรยออุคไม่ได้”

     

                “ผมรู้ครับ” รยออุคบอกเสียงอ่อย

     

                “รยออุคตัดใจจากพี่ได้ไหม เลิกรัก...ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้”

     

                “ฮึก...แล้วพี่จงอุนเคยตัดใจจากทงเฮได้หรือเปล่า แล้วทงเฮล่ะ...เขาเคยตัดใจจากคุณน้าซีวอนได้หรือเปล่า ทำไมทุกคนเอาแต่ทำตามหัวใจของตัวเอง แล้วทำไม...ทำไมผมถึงทำบ้างไม่ได้”

     

                “รยออุค...” จงอุนเอ่ยเรียกคนตรงหน้าด้วยเสียงที่หนักแน่นพอๆ กับหัวใจของเขา มือหนาวางลงบนศีรษะกลมได้รูปของอีกฝ่าย มันสร้างความอบอุ่นที่ประหลาดได้อย่างน่าเชื่อ เป็นความอบอุ่นมาก แต่ก็เป็นความเศร้ามากไม่แพ้กัน “เรามาเป็นพี่น้องกันเถอะนะ”

     

                “กลับไปเถอะครับ” เสียงเล็กๆ กัดฟันพูด ก่อนจะปัดมือของชายหนุ่มออกจากศีรษะของตัวเอง

     

                “อะไรนะ?”

     

                “ผมบอกให้พี่กลับไปได้แล้วและอย่ามายุ่งกับผมอีก คนใจร้าย...พี่จงอุนใจร้ายที่สุดในโลก!” รยออุคผลักเขาให้หลีกทางจนจงอุนหงายหลังไปนั่งกองกับพื้น ร่างบอบบางวิ่งเข้าไปในบ้านและไม่คิดจะหันกลับมามองจงอุนอีกเลย

     

     

                “ป๊าจะไปไหนครับ?”

     

                ทงเฮเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนเป็นพ่อกำลังแต่งตัวอยู่ในห้องนอนที่เปิดประตูค้างไว้ ฮยอกแจหันมาหาลูกชายหลังจากใส่เสื้อเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เขาคว้ากระเป๋าสตางค์ที่ทงเฮเป็นคนซื้อให้ออกมา ก่อนจะเอ่ยตอบ

     

                “ป๊าจะไปซื้อของเข้าร้านน่ะ” เขาหมายถึงน้ำยาสระผม รวมไปถึงยาย้อมผมและทรีทเมนท์ต่างๆ ที่มีความจำเป็นสำหรับร้านทำผมของตัวเอง ทงเฮชั่งใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม

     

                “ทงเฮไปด้วยได้ไหม?”

     

                “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถ้าจะไปก็ไปใส่เสื้อหนาๆ ก่อน เดี๋ยวป๊าจะนั่งรออยู่ตรงนี้” ฮยอกแจว่าพลางนั่งรอลูกชายอยู่ที่โซฟาตัวยาว ไม่นานนักทงเฮก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเสื้อกันหนาวสีแดงสด ร่างสูงโปร่งหันไปมองลูกชาย ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่งเมื่อต่างคนต่างหยิบเสื้อกันหนาวคู่รักออกมาใส่โดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน

     

                ถ้าออกไปแบบนี้มีหวังได้ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนวันก่อนเป็นแน่

     

                “เอ่อ เดี๋ยวป๊าจะไปเปลี่ยนเสื้อ...”

     

                “เปลี่ยนทำไมล่ะครับ ป๊าไม่ชอบเสื้อที่ทงเฮซื้อให้เหรอ?” ทงเฮถามด้วยสีหน้าฉงน ฮยอกแจจนปัญญาที่จะตอบออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเสื้อตัวนี้ เขาชอบที่จะใส่มันมาก แต่ทว่าความเป็นพ่อลูกที่มันยังเป็นชนักติดหลังทำให้ฮยอกแจรู้สึกไม่สบายใจ

     

                หากแต่สายตาที่รอคอยคำถามจากทงเฮทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

     

                “ชอบสิ ป๊าชอบเสื้อตัวนี้” เขาตอบแล้วคลี่ยิ้มบางๆ แต่มีบางคำที่ฮยอกแจได้แต่พูดในใจเท่านั้น นั่นคือนอกจากเขาจะชอบเสื้อกันหนาวตัวนี้แล้ว อี ฮยอกแจยังรักคนที่ซื้อเสื้อกันหนาวตัวนี้ให้เขาอีกด้วย

     

                รัก...มากเหลือเกิน

     

                “งั้นเราไปกันเถอะครับ เดี๋ยวทงเฮจะช่วยป๊าถือของเอง” เด็กหนุ่มว่าแล้วเดินเข้ามาเกาะแขนของคนเป็นพ่อเอาไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือบางลงมาสอดประสานมือเข้ากับอุ้งมือหนาที่แสนอบอุ่นของฮยอกแจ ร่างสูงโปร่งมองลูกชายอย่างงุนงง ขาเรียวยาวชะงักงันจนก้าวไม่ออก รู้สึกตกตะลึงราวกับสมองหยุดสั่งงานชั่วคราว จนกระทั่งทงเฮกระตุกมือเขาเบาๆ “รีบไปสิครับ ทงเฮหิวแล้วด้วย”

     

                “อ้อ ไปสิ” ฮยอกแจว่าพลางกุมมือลูกชายไว้แน่น ทงเฮแสร้งทำเป็นลูบท้องเพื่อแสดงว่าเขากำลังหิวอย่างที่พูดจริงๆ แต่ฮยอกแจกลับเห็นแววตาเศร้าสร้อยทอแสงอ่อนๆ ออกมาจากลูกปัดสีน้ำตาลคู่นั้น ทงเฮไม่ได้มีความสุข แต่ทงเฮกำลังแกล้งทำเป็นมีความสุขต่างหาก

     

                เมื่อถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ฮยอกแจและทงเฮก็เดินไปเลือกซื้อของต่างๆ อากาศข้างนอกกับข้างในแตกต่างกันลิบลับ ด้านนอกลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ข้างในอบอุ่นจนแทบจะไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาว แต่สองพ่อลูกก็ยังคงใส่เสื้อคู่รักสีแดงเอาไว้ พวกเขาจับมือกันเดินในขณะที่ซื้อเลือกของไปด้วย

     

                ทงเฮอาจจะทำแบบนั้นได้โดยไม่คิดอะไร ถึงแม้จะคิด แต่จิตสำนึกของทงเฮก็ตอกย้ำว่าคนๆ นี้คือพ่อของตัวเอง ในขณะที่ฮยอกแจกลับรู้ดี ทงเฮไม่ใช่ลูกชายของเขา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายของทงเฮจะคล้ายคลึงกับเขาสักนิด แม้แต่นิสัยก็แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

     

                “ป๊าว่าเราปล่อยมือออกจากกันดีกว่านะ เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิด” ฮยอกแจบอกลูกชาย ก่อนจะชักมือหนาออกอย่างระแวดระวัง แต่ทว่าทงเฮกลับคว้าหมับเข้าเต็มอุ้งมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะจับไว้แน่นราวกับเป็นกังวลว่าฮยอกแจจะหายตัวไปไหน

     

                “ใครจะเข้าใจผิดล่ะครับ เราเป็นพ่อลูกกันนี่นา” คำพูดของทงเฮทำให้ฮยอกแจเงียบกริบ “หรือไม่ใช่?”

     

                “ใช่สิ เรา...เราเป็นพ่อลูกกัน” ฮยอกแจรีบตอบอย่างร้อนรน เขาจะให้ทงเฮรู้ความจริงไม่ได้เด็ดขาด ฮยอกแจคงทนไม่ได้หากทงเฮต้องเกลียดชังเขาเพียงเพราะว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆ ไม่ได้หัวใจก็ไม่เป็นไร ขอแค่อยู่ข้างๆ ทงเฮแบบนี้ ขอให้ฮยอกแจได้ดูแลทงเฮในวันที่ทงเฮไม่เหลือใครเลยสักคน

     

                “งั้นทงเฮขอจับมือป๊านะครับ”

     

                “ทำไมวันนี้อยากจะจับมือป๊านักล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทว่าไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนเป็นลูก เขาไม่ได้กลัวในคำตอบของทงเฮ หากแต่ฮยอกแจกลัวใจของตัวเองต่างหาก

     

                “...เพราะป๊าเป็นคนเดียวที่ยอมให้ทงเฮจับมือ”

     

                “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกทงเฮ” ฮยอกแจบอก ก่อนจะหันไปสบสายตาลูกชาย แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น “ไม่ใช่ทงเฮที่จะจับมือป๊า แต่ป๊าคนนี้...จะกุมมือของทงเฮเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ทงเฮมีความสุขที่สุด เศร้าที่สุด หรือในวันที่ทงเฮไม่เหลือใครบนโลกนี้เลย ป๊าก็จะไม่ปล่อยมือจากทงเฮ”

     

                ฮยอกแจยกมืออีกข้างขึ้นมาวางบนมือน้อยๆ ของลูกชายเอาไว้ ทงเฮที่แสร้งทำเป็นร่าเริงมาตลอดทั้งวันจึงมองพ่อด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ เขาไม่ได้ซึ้งใจกับคำพูดของฮยอกแจเท่ากับเรื่องราวในความฝันในคืนนั้น

     

                ความฝันที่คล้ายกับความจริงเสียจนน่าตกใจ วันที่ทงเฮกำลังจะตกเหว วันที่เขาปล่อยมือจากคุณหมอซีวอน แต่ทว่ามีเพียงฮยอกแจคนเดียวที่ยังกอบกุมมือของเขาเอาไว้อย่างสุดกำลัง มันคล้ายกับคำพูดของฮยอกแจในตอนนี้

     

                “แล้วทงเฮจะรู้ได้ยังไงว่าป๊าจะไม่โกหกทงเฮ” เด็กหนุ่มถามตาใสซื่อ แต่ทว่าฮยอกแจกลับส่งยิ้มบางๆ ตอบกลับไปเท่านั้น

     

                เพราะนี่แหละคือคำตอบทั้งหมดของเขาแล้ว

     

                ทงเฮไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรอีก เขาไม่รู้หรอกว่าคำพูดของฮยอกแจจะเชื่อถือได้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้เป็นอย่างดี ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่หวังดีกับลูกของตัวเอง ทงเฮเชื่อแบบนั้น และมั่นใจว่าคำตอบของฮยอกแจอยู่ในการกระทำทั้งหมดตั้งแต่ที่ทงเฮมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

     

                หลังจากคู่พ่อลูกซื้อของได้ครบตามที่ต้องการแล้ว ฮยอกแจก็พาทงเฮมาทานอาหารในร้านแห่งหนึ่ง พวกเขาสั่งอาหารที่ตัวเองชอบ รวมถึงสั่งให้อีกฝ่ายอย่างรู้ใจกัน และในขณะที่ทงเฮและฮยอกแจนั่งรออาหารมาเสิร์ฟนั้น ทงเฮก็บ่นขึ้น

     

                “ตอนนี้หนาวมากๆ แต่เดี๋ยวเดือนหน้าก็จะไม่ค่อยหนาวแล้ว” ฮยอกแจได้ฟังก็ยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

     

                “ไม่ดีหรือไงล่ะ ทงเฮก็ชอบหน้าร้อนมากกว่าอยู่แล้ว” ท้ายประโยคแสดงให้เห็นว่าฮยอกแจใส่ใจลูกชายของตัวเองมากแค่ไหน เขารู้ว่าทงเฮชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้ว่าทงเฮมีนิสัยแบบไหน เพราะฮยอกแจหลงรักทุกๆ อย่างของผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายที่เขาเลี้ยงดูมาเองกับมือ

     

                “มันก็ดีครับที่จะถึงหน้าร้อน” ทงเฮเอ่ยขึ้น หากแต่ใบหน้าหวานกลับบึ้งตึง “แต่เสื้อตัวนี้ ทงเฮเพิ่งใส่ได้ไม่นานเอง เดี๋ยวก็ต้องเก็บเข้าตู้ซะแล้ว” เด็กหนุ่มหมายถึงเสื้อกันหนาวแบบโอเวอร์โค้ทที่ใช้สำหรับช่วงที่อากาศหนาวมากๆ เท่านั้น

     

                “แล้วหน้าหนาวปีหน้าทงเฮจะไม่ใส่เสื้อตัวนี้อีกหรือไง” ฮยอกแจจ้องหน้าลูกชายด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจนทงเฮหวาดหวั่นต่อสายตาคู่นั้น

     

                ทว่าฮยอกแจแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเขาใช้ความรู้สึกเกินกว่าความเป็นพ่อลูกในขณะจ้องมองลูกชายของตัวเอง สายตาที่ส่งผ่านออกไปจึงทรงเสน่ห์และปลุกปั่นความรู้สึกภายในจิตใจของทงเฮให้ว้าวุ่นไม่น้อย เจ้าของใบหน้าหวานรีบหลุบตาลงต่ำโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเอ่ยคำ

     

                “ครับ เราควรจะใส่มันทุกๆ หน้าหนาว” ทงเฮว่า ในขณะที่มือบางกลับชาวาบจนขนลุกชันไปทั่วทั้งแขน เพราะฮยอกแจเอื้อมมือกอบกุมมือของเขาเอาไว้

     

                “ใช่ ป๊าอยากใส่เสื้อกันหนาวตัวนี้ทุกๆ ปี”

     

                “ป๊า...” ทงเฮเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ยเรียกคนเป็นพ่อเสียงเครือ ริมฝีปากบางสั่นระริก ส่วนฮยอกแจได้แต่เลิกคิ้วถามอย่างงุนงง “ทงเฮขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” พูดจบก็วิ่งออกจากร้านอาหารไปในทันที ปล่อยให้ฮยอกแจนั่งมองการกระทำของลูกชายอย่างไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

     

                ทงเฮไม่ได้โกหกพ่อ เขาบอกว่าจะมาเข้าห้องน้ำ ทงเฮก็เข้ามาในห้องน้ำจริงๆ ใบหน้าหวานจ้องมองคนที่คล้ายกับตัวเองในกระจกเงา มือบางกอบใบหน้าเรียวไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะตบแรงๆ สองถึงสามครั้งเพื่อให้ตัวเองรู้สึกตัว

     

                “ทงเฮ นายมันบ้าไปแล้ว นั่นพ่อนะ นายคิดอะไรอยู่ถึงหวั่นไหวกับการกระทำของเขา” ทงเฮเอ่ยถามตัวเองในกระจก แต่ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของคนในนั้นเลยแม้แต่นิด มีเพียงรอยกังวลในดวงตาที่สื่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด และริมฝีปากบางก็เม้มแน่น

     

                มือเรียวค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของตัวเอง ริมฝีปากที่ฮยอกแจครอบครองมามากกว่าสามครั้ง ทั้งตอนที่เขารู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งในความฝันและในความจริง ทงเฮแทบจะแยกความรู้สึกของตัวเองไม่ออกอีกต่อไปแล้ว เขาเปิดน้ำอย่างสุดแรง ก่อนจะวักน้ำล้างริมฝีปากนี้อย่างบ้าคลั่ง

     

                “ลืมสิอี ทงเฮ นายต้องลืมเรื่องนี้ไปให้หมด นายกับเขามีสายเลือดเดียวกัน เขาเป็นผู้ให้กำเนิดของนาย จำเอาไว้ว่าเขาเป็นผู้ให้กับเนิดของนาย!” ทงเฮถูริมฝีปากจนมันบวมช้ำไปหมด ก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา รวมไปถึงล้างคราบน้ำตาออกไปด้วย เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าบอกกับตัวเองในกระจกเงา “ฉันลืมไม่ได้เลย”

     

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทงเฮจึงรู้ว่าพ่อโทรมาตาม เขารับสายและบอกว่าจะรีบออกไปโดยอ้างว่าหาทางกลับไปยังร้านอาหารไม่เจอ ซึ่งเมื่อเดินเข้ามาในร้านก็ถูกฮยอกแจจ้องมองอย่างจับพิรุธ พ่อต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาพูดโกหก เพียงแต่ไม่มีคำถามใดๆ เอ่ยออกมาสักคำเดียว

     

                “กินข้าวเยอะๆ นะทงเฮ” ฮยอกแจบอก ก่อนจะตักอาหารใส่ในจานของลูกชาย ทงเฮผงกศีรษะอย่างขัดเขิน ทั้งๆ ที่วันนี้ทงเฮพยายามทำตัวให้เป็นปกติคล้ายกับพ่อลูกเขาทำกัน พยายามจับมือฮยอกแจด้วยความรู้สึกของคนเป็นลูก

     

                แต่แทนที่ความรู้สึกเดิมๆ จะกลับคืนมา มันกลับทำให้เขาฟุ้งซ่านมากกว่าเดิมเสียอีก ตอนนี้ทงเฮจึงได้แต่มองผ่านกระจกใสออกไปนอกร้านเพื่อดูผู้คนที่เดินขวักไขว่กันไปมา

     

                ทงเฮเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างยากลำบาก เมื่อฮยอกแจเห็นลูกชายมองออกไปด้านนอกอยู่นาน เขาจึงมองตามออกไปบ้าง ก่อนที่สองพ่อลูกจะหันมามองหน้าของอีกฝ่ายอย่างรู้ทันในความคิดของกันและกัน

     

                “ป่านนี้ฮันกยองเขาจะโดนจับหรือยังครับ?” เป็นทงเฮที่เอ่ยถามขึ้นมาก่อน

     

                “ไม่รู้สิ บางทีเขาอาจจะโดนจับไปแล้ว แต่ใช้อำนาจทำให้ตัวเองออกมาจากคุกแล้วก็ได้”

     

                “ทงเฮกลัวว่าเขาจะกลับมาทำร้ายเราอีก” คนเป็นลูกพูดเสียงหวั่นๆ นึกถึงความโหดร้ายทารุณของฮันกยองแล้วยังหวาดกลัวไม่หาย แต่ฮยอกแจกลับส่ายหน้า

     

                “ถึงเขาจะออกมาได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าหากเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้โดยไร้ขาทั้งสองข้าง” ทงเฮนึกตามคำพูดของฮยอกแจ จริงอย่างที่ฮยอกแจบอก ต่อให้จิตใจเขาโหดร้ายแค่ไหน แต่ตอนนี้ฮันกยองก็กลายเป็นเพียงแค่คนพิการคนหนึ่งเท่านั้น

     

                “บางทีเขาก็ดูน่าสงสารนะครับ” ทงเฮว่าพลางปรายตาไปมองผู้ชายที่ดูโดดเดี่ยวคนนั้นอีกครั้ง

     

                “ใช่ เขาน่าสงสารมากเลย ร่างกายที่พิการน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่เขาไม่เหลือใครอยู่ข้างๆ เขาอีกแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาที่สุดในการอยู่บนโลกนี้”

     

                ฮยอกแจพูดจบก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ทงเฮหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดส่งข้อความไปให้ซีวอนด้วยความหวาดกลัวอย่างเป็นที่สุด เขากลัวที่จะต้องอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้

     

                ตอนนี้ทงเฮมีพ่อที่แสนดีแล้ว ทงเฮจึงอยากจะมีใครสักคนที่รักทงเฮบ้าง คนๆ นั้นที่ทงเฮต้องการก็คือคุณหมอ เขากดข้อความส่งออกไป ก่อนจะทำสีหน้าเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

     

                คุณหมอ ได้โปรดอย่าทิ้งทงเฮไปเลยนะครับ

     

     

                สองคืนแล้วที่ซีวอนไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน แต่คยูฮยอนโทรไปเช็คกับโรงพยาบาลและที่คอนโดทุกวัน ซีวอนยังไปทำงานเป็นปกติ และคืนที่ผ่านมาเขาก็ไปนอนพักอยู่ที่คอนโด คยูฮยอนไม่ได้สนใจไคร่รู้หรอกว่าซีวอนจะพาใครไปนอนที่นั่นด้วยหรือไม่ เพราะรู้ไปก็มีแต่เขาที่จะเจ็บปวดเปล่าๆ

     

                คืนที่ผ่านมาชางมินมาอยู่ด้วยเกือบทั้งคืน และคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน

     

    ชางมินมานั่งคุยกับคยูฮยอนอยู่ในตัวบ้าน ในทีแรกเขาคิดจะรีบส่งคยูฮยอนเข้านอนเพราะกลัวว่าซีวอนจะกลับมาเห็นและกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกลักกินขโมยกิน แต่คยูฮยอนกลับเหนี่ยวรั้งเอาไว้

     

                “อย่าเพิ่งกลับเลยครับพี่ชางมิน วันนี้ซีวอนเขาคงไม่กลับมาหรอก” เจ้าของใบหน้าหวานที่เศร้าสร้อยเอ่ยคำ ก่อนจะชักมือเรียวบางออกเมื่อรู้ตัวว่าแตะแขนแกร่งของอีกฝ่ายนานเกินไปแล้ว

     

                “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

     

                “เพราะเมื่อคืนเขาก็ไม่กลับมาเหมือนกัน” คยูฮยอนบอกแล้วก้มหน้างุด แต่คยูฮยอนไม่ได้บอกเหตุผลนอกเหนือจากนั้นหรอกว่าทำไมซีวอนถึงไม่กลับมา ซึ่งชางมินก็คาดเดาไปต่างๆ นานาด้วยตัวของเขาเอง มือแกร่งกำหมัดแน่นอย่างโกรธเคืองแทนร่างโปร่งตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยบอก

     

                “เลิกรักเขาเถอะคยูฮยอน อย่าไปรักคนที่ไม่มีหัวใจแบบนั้นอีกเลย” ถึงแม้จะตัดความรักที่เขามีให้กับคยูฮยอนออกไป ชางมินก็ยังคงจะแนะนำคยูฮยอนอย่างนี้ เขาทนไม่ได้อีกแล้วที่จะต้องเห็นผู้ชายคนนี้เจ็บปวดซ้ำซาก แต่คยูฮยอนกลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแช่มช้า แล้วค่อยๆ เอ่ยคำ

     

                “ซีวอนไม่ได้ไร้หัวใจหรอกครับ อย่างน้อย...เขาก็กำหัวใจทั้งดวงของผมเอาไว้” ประโยคสั้นๆ ทำให้ชางมินรู้ตัวเองว่าเขาควรจะถอยเท้าออกห่างจากคยูฮยอนสักหนึ่งก้าว หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น

     

                คยูฮยอนไม่ได้สนใจในความดี แต่คยูฮยอนสนใจแต่ความรัก ความรักด้วยหัวใจที่มั่นคงต่อชเว ซีวอนเท่านั้น แล้วซีวอนล่ะเคยตอบแทนอะไรให้กับความรักของผู้ชายคนนี้บ้างนอกจากน้ำตา

     

                “พี่จะทำยังไงให้คยูฮยอนหายเศร้า บอกพี่หน่อยสิ พี่ควรทำยังไง” เขาเอ่ยถามอย่างจนปัญญา มือหนาเอื้อมไปแตะมือที่บอบบางเอาไว้อย่างขออนุญาต เมื่อคยูฮยอนไม่ว่าอะไร เขาก็ค่อยๆ กอบกุมมือบางนั้นไว้อย่างดี แต่เสียงประตูบ้านที่เปิดเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้คนสองคนถึงกับนิ่งอึ้งอย่างทำอะไรไม่ถูก ส่วนคยูฮยอนก็รีบชักมือออกจากอีกฝ่ายแล้วผุดลุกขึ้นยืน

     

                “ซีวอน!” เขาเรียกชื่อคนรัก ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา ทว่าดวงตาวาวโรจน์ของซีวอนกลับจ้องมองแต่ชางมินเท่านั้น

     

                “คุณพาคนอื่นมาอยู่ในบ้านของเราได้ยังไง?!” เขาถามคยูฮยอนเสียงดุดัน หากดวงตาคมกริบของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งทั้งสองคนกลับจ้องมองกันอย่างไม่ลดละ ซีวอนกำหมัดแน่นแล้วพุ่งตัวเข้าหาชางมินทันที

     

                “อย่านะซีวอน!

     

                “แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ซีวอนถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่คิดจะเก็บกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้

     

                “เขา...เขา...” คยูฮยอนไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับคนรัก แต่ทว่าร่างโปร่งกลับดันอกแกร่งของซีวอนออกห่าง ชางมินยืนนิ่งๆ มองการกระทำของหนุ่มเลือดร้อนด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไร ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยบอก

     

                “ผมแค่มาอยู่เป็นเพื่อนคยูฮยอน”

     

                “อยู่เป็นเพื่อนงั้นเหรอ?” ซีวอนถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าแกจ้องจะตีท้ายครัวฉัน สายตาที่แกมองเมียฉันมันเป็นยังไงทำไมฉันจะไม่รู้ แกออกจากบ้านฉันไปเลยนะไอ้ชางมิน ออกไป!

     

                เพียะ!

     

                “นายนั่นแหละที่ต้องออกไป” คยูฮยอนตบหน้าซีวอนฉาดใหญ่ ก่อนจะเอ่ยไล่คนรักทั้งน้ำตา ซีวอนหยุดการกระทำที่บ้าคลั่งทั้งหมดของตัวเองลงแต่เพียงเท่านั้น หากแต่สายตายังคงเอาแต่จ้องมองชางมินราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

     

                ชางมินเดินเข้ามาใกล้คยูฮยอนและซีวอน เขายกมือแตะไหล่บางของคยูฮยอนไว้ทำให้ซีวอนจะพุ่งตัวเข้าใส่อีกรอบ แต่ทว่าคยูฮยอนกลับปรี่เข้าไปยืนขวาง

     

                “พี่จะออกไปเอง...คยูฮยอน”

     

                “แต่ว่า...” คยูฮยอนพยายามจะเอ่ยคัดค้าน แต่ชางมินกลับส่ายหน้ารัว

     

                “คยูฮยอนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่กุมหัวใจของคยูฮยอนเอาไว้ อย่าไล่เขาไป เพราะหากเขาไป เขาก็จะเอาหัวใจของเราไปด้วย”

     

                “อย่ามาทำตัวเป็นคนดีไปหน่อยเลย” ซีวอนแทรกขึ้น แต่กลับถูกสายตาโกรธเคืองจากคยูฮยอนปรามขึ้นอีกครั้ง ชางมินส่ายหน้าให้กับสุนัขหวงก้างอย่างซีวอน ก่อนจะตบไหล่หนาอย่างลูกผู้ชาย แล้วเอ่ยบอก

     

                “ผมจะบอกอะไรให้นะ” เขากระตุกยิ้มอย่างเหนือกว่า ในขณะที่ใจของซีวอนกลับเดือดพล่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “เพราะคยูฮยอนเขาแน่ใจในความรักของคุณ เขาถึงยอมแต่งงานกับคุณ คุณแค่มองความรักมั่นคงที่คยูฮยอนมีให้คุณดูซะบ้าง ไม่ต้องพยายามเข้าใจเขา แค่รักเขาให้ได้สักครึ่งหนึ่งที่เขารักคุณก็พอ”

     

                “อย่ามาสั่งสอนฉัน!” ซีวอนคำรามอยู่ในลำคอ แต่ชางมินกลับส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเดินจากไป ร่างโปร่งของคยูฮยอนทำท่าจะสาวเท้าตามไปส่งแขกของตัวเอง แต่ทว่าซีวอนกลับรั้งข้อมือบางเอาไว้

     

                “ปล่อยฉัน!” คยูฮยอนกัดฟันกรอด ก่อนจะแกะมือหนาออกจากข้อมือของตน แต่ยิ่งพยายามหนี ซีวอนก็ยิ่งบีบข้อมือนั้นแน่นขึ้นไปอีก

     

                “คุณเป็นของผม”

     

                “ซีวอน!

     

                “คยูฮยอน คุณเป็นผู้ชายของผมคนเดียวเท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่วิงวอนแตกต่างกับอารมณ์เมื่อครู่นี้อย่างลิบลับ

     

                ซีวอนรู้สึกแทบบ้าจนคุมสติไม่อยู่เมื่อเห็นคนรักกำลังจะตกเป็นของคนอื่น เขารู้ว่าตอนนี้ใจของคยูฮยอนมีแต่เขา เพราะถ้าหากคยูฮยอนไม่รักเขาจริง คยูฮยอนคงจะหนีไปแล้ว แต่ถ้าหากวันหนึ่งคยูฮยอนปันใจให้ผู้ชายคนนั้นขึ้นมาล่ะ

     

                ชีวิตคู่ของเขาและโจ คยูฮยอนจะลงเอยกันเช่นไร

     

                “ใช่ ฉันเป็นผู้ชายของนาย แล้วนายล่ะซีวอน...นายเป็นผู้ชายของฉันหรือว่าของใคร” คยูฮยอนถามสั้นๆ เพียงแค่นั้น ก่อนจะแกะมือร่างหนาที่ตกอยู่ในภวังค์ออกจากข้อมือของตัวเองในทันที

     

     

                หลังจากฮยอกแจและทงเฮกลับมาที่บ้าน สองพ่อลูกก็ต้องแปลกใจเมื่อในกล่องจดหมายสีแดงที่อยู่หน้าบ้านมีของบางอย่างอยู่ด้านใน

     

                กระดาษแผ่นหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องไปรษณีย์เป็นเพียงโปสการ์ดใบหนึ่งเท่านั้น

     

                “ใครส่งมาให้เหรอครับ?” ทงเฮเอ่ยถามขึ้นเมื่อฮยอกแจกำลังหยิบโปสการ์ดออกมา คนเป็นพ่อไม่ได้ตอบ ทว่ากลับเดินนำเข้าไปในบ้าน

     

                ทงเฮที่เดินตามเข้าไปทีหลังปิดประตูหน้าบ้านอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเปิดเครื่องทำความร้อน และเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนของตัวเอง เขาออกมาด้านนอกอีกครั้งก็ยังเห็นฮยอกแจนั่งจ้องมองการ์ดแผ่นเล็กๆ อยู่ที่เดิม

     

                ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาแต่ยิ้มจนทงเฮอดสงสัยไม่ได้

     

                “ป๊า...”

     

                “หืม?” คราวนี้ฮยอกแจละสายตาจากโปสการ์ดมาหาคนเป็นลูก ทงเฮใช้จังหวะนั้นชะโงกหน้าดูโปสการ์ดในมือหนาของฮยอกแจ ก่อนจะแกล้งเมินหน้าไปทางอื่น

     

                “ดูเหมือนคนๆ นี้จะสำคัญมากเลยนะครับ แค่ส่งกระดาษมาให้ป๊าแค่แผ่นเดียว ป๊าก็ยิ้มไม่หุบซะแล้ว” ทงเฮเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกนิดๆ ใบหน้าหวานง้ำงออย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้ามานั่งที่โซฟาเดี่ยวถัดไปจากโซฟาที่ฮยอกแจนั่งอยู่

     

                “คิม จุนซูเพื่อนของป๊าไง ทงเฮจำเขาได้ไหม?” ฮยอกแจหันหน้าโปสการ์ดให้ทงเฮเห็นอย่างถนัดตา ก่อนจะยื่นไปให้ ทงเฮค่อยๆ รับกระดาษแผ่นนั้นไป แล้วใบหน้าหวานก็ขมวดคิ้วฉับอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นรูปถ่ายที่ถูกทำเป็นโปสการ์ด

     

                มันเป็นรูปของจุนซูกับผู้ชายหน้าตี๋คนหนึ่ง ซึ่งทงเฮคาดเดาว่าน่าจะเป็นคนจีน เพราะในวันนั้นที่จุนซูมาลาพ่อของเขา จุนซูก็บอกว่าจะไปทำงานอยู่ที่ประเทศจีน ชายหนุ่มในรูปยืนแนบชิดกัน ส่วนชายปริศนาที่ว่านั้นกำลังโอบมืออยู่ที่เอวของจุนซู ใบหน้าทั้งสองคนยิ้มแย้มอย่างมีความสุขจนทงเฮคิดว่าพ่อของเขาต้องอมยิ้มเพราะรูปถ่ายใบนี้แน่ๆ

     

                แต่ทว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด

     

                เพราะเมื่อทงเฮถือวิสาสะพลิกโปสการ์ดไปอ่านข้อความสั้นๆ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมฮยอกแจถึงต้องยิ้มนักยิ้มหนากับกระดาษแค่แผ่นเดียว

     

                ฮยอกแจ...ตอนนี้ฉันกำลังเดทกับหนุ่มชาวจีนล่ะ เขาเป็นผู้จัดการสาขาที่นี่ รวยมากเลยนะ นายเห็นรูปนี้แล้วต้องหึงฉันแน่ๆ เลยใช่ไหม ฉันหวังให้มันเป็นแบบนั้น!

     

                ทงเฮเงยหน้าออกจากโปสการ์ดแล้วสบตาคนเป็นพ่อ เขาอยากจะถามออกไปเหลือเกินว่ารู้สึกหึงหวงอย่างที่จุนซูบอกบ้างไหม แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว ทงเฮก็ไม่เห็นประโยชน์ใดๆ จากการตั้งคำถามของตัวเองเลย เขาจึงทำได้แค่เพียงส่งการ์ดคืนให้กับพ่อไป ก่อนจะเดินคอตกเข้าห้องนอน แต่ทว่าฮยอกแจกลับเรียกรั้งเอาไว้

     

                “เดี๋ยวก่อนสิทงเฮ”

     

                “ครับ?” ใบหน้าหวานหันกลับมาทำหน้าตาเหลอหลา ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งเมื่อฮยอกแจยื่นรูปถ่ายให้ดู

     

                “มันมีคำภาษาจีนอยู่ตรงนี้ ป๊าอยากรู้ว่ามันแปลว่าอะไร ทงเฮช่วยเสิร์ซให้ป๊าหน่อยได้ไหม?” ฮยอกแจหมายถึงตัวอักษรจีนสั้นๆ ที่ปรากฏอยู่มุมซ้ายล่างของโปสการ์ด แต่ทงเฮกลับปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ

     

                “มันคงเป็นลายบนโปสการ์ดน่ะครับ ประเทศไหนๆ เขาก็พิมพ์อักษรโปรโมทแบบนี้แหละ ไม่มีความหมายอะไรหรอก”

     

                “แต่ป๊าอยากรู้ ช่วยหาให้ป๊าหน่อยนะ” ฮยอกแจย้ำเจตนารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง เขามั่นใจว่ามันจะต้องมีความหมายที่แอบซ่อนอยู่แน่ๆ

     

                ทงเฮจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเทียบภาษา และค้นหาว่าตัวอักษรจีนบนโปสการ์ดมีความหมายว่าอย่างไร ไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบ ทงเฮไม่ได้พูด แต่กลับยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้ฮยอกแจได้อ่านด้วยตัวเอง

     

                คิดถึงเสมอ

     

                คำสั้นๆ ที่ฮยอกแจได้เห็นแล้วก็ชุ่มฉ่ำอยู่ในหัวใจ เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะจ้องมองคนที่อยู่ในรูปถ่ายอยู่เป็นเวลานาน ทงเฮค่อยๆ เก็บโทรศัพท์ของตัวเองใส่ลงในกระเป๋า ก่อนจะเดินหลบเข้าไปในห้อง นึกขบขันกับท่าทีของตัวเอง

     

                อี ทงเฮ...ช่างเป็นคนที่ขี้อิจฉาคนอื่นเสียเหลือเกิน แค่เพื่อนของพ่อส่งโปสการ์ดมาให้ก็ทำเป็นหวงเสียแล้ว แต่ทำไมกันนะ ทำไมถึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะโวยวายเหมือนทุกครั้งเลย

     

                เพราะคนๆ นี้เป็นพ่อ

     

                หรือเพราะทงเฮไม่กล้าพอที่จะแสดงความรู้สึกที่ล้ำลึกของตัวเองออกไปให้ใครรู้

     

     

    Talk wih Lee Seen

                ทงเฮอาการหนักมากค่ะตอนนี้ แต่ฮยอกแจก็รุกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

    ตอนหน้า ตามที่สัญญาเอาไว้ ซีวอนจะคืนดีกับคยูฮยอนแล้วนะคะ

    แต่ไม่รู้ว่าคนอ่านจะยอมคืนดีกับซีวอนหรือเปล่า

    ซึ่ง...ซีนเอาหัวเป็นประกันกับความจริงใจของพี่วอน

    แต่!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    ความสุขของซีวอนมันไม่ได้มาง่ายๆ หรอก ทำเขาไว้เยอะ ต้องเจ็บปวดบ้างอะไรบ้าง...เนอะ

     

    และต่อจากนี้ซีนคงจะแต่งฉากว้าวุ่นใจของคู่พ่อลูกให้หนักขึ้นไปอีก

    เอาให้คนอ่านอึดอัดตายกันไปข้าง

     

    สำหรับใครที่อยากอ่านตอนที่ 41 ก่อน ยกมือขึ้น!!!! คนแต่งก็อยากแต่งใจจะขาดเหมือนกันค่ะ

    มีหลายคนท่องเลข 41 ได้อย่างขึ้นใจ อย่านะ...อย่าแสดงความหื่นออกมาเชียว

     

    ปล. ถ้ามีคำผิด รบกวนบอกด้วยนะคะว่าประโยคไหน

    เพราะตอนที่ซีนตรวจคำผิดก่อนลงฟิค ตาซีนปรือมากกกกกกกกกกกกกกก

    ขอบคุณคนอ่านที่กรุณาค่า...

     

    ฝากกดไลค์รูปนี้ให้หน่อยค่ะ กดไลค์ทั้งรูป กดไลค์ทั้งเพจเฟสบุ๊คของ mr.cupt เลยนะคะ ที่สำคัญต้องกดไลค์หน้าเพจนะคะ เพราะเดี๋ยวมันจะไม่นับคะแนน ขอคนละแค่ 1 ไลค์เท่านั้นนะค้า...แฟนฟิคที่น่ารักทุกคน!!!!!

    http://www.facebook.com/photo.php?fbid=177792582304948&set=a.126935354057338.34308.119630498121157&type=1&ref=nf

     

    ขอบคุณมากๆ เลยค่า...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×