ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #28 : Chapter 26 จักรยาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.93K
      5
      8 ต.ค. 54

     

    Chapter 26

    จักรยาน

     

                บรรยากาศภายในบ้านช่างเงียบเหงา แม้จะเปิดไฟครบทุกดวงก็ยังไม่สว่างเข้าไปไม่ถึงข้างในจิตใจอันมืดมิดของอี ฮยอกแจ ที่โต๊ะอาหารสี่เหลี่ยมขนาดเล็กมีกับข้าวสองถึงสามอย่างวางอยู่ ฝั่งตรงข้ามเป็นข้าวสวยในถ้วยสแตนเลสสีเงินซึ่งเตรียมไว้ให้กับลูกชาย หากคนที่เขารออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาจากห้องเสียที

     

                ก่อนหน้านี้ฮยอกแจเดินไปเคาะประตูห้องนอนของทงเฮ บอกคนกำลังที่อ่านหนังสือให้ออกมาทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่รอมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ประตูห้องนอนก็ยังไม่เปิดออก ฮยอกแจเริ่มใจคอไม่ดี เขาลุกพรวดจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาลูก

     

                “ทงเฮ ทงเฮลูก” ฮยอกแจสะกิดเรียกเด็กหนุ่มที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ทีแรกเขานึกว่าทงเฮจะอ่านหนังสือจนเหนื่อยแล้วเผลอหลับไป แต่เมื่อมองไปยังมือบางที่กำยาพ่นขยายหลอดลมไว้แน่น ฮยอกแจก็เบิกตากว้าง “ทงเฮ...ป่วยเหรอ?”

     

                “ฮื่อ” เจ้าของชื่อเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเองขึ้นมามองผู้เป็นพ่อ ก่อนจะปรือปิดลงไปอีกครั้ง ฮยอกแจจึงเร่งเขย่าแขนลูกชาย

     

                “ทงเฮป่วยแล้วทำไมไม่บอกป๊า ป่วยตั้งแต่เมื่อไร...หืม?” ฮยอกแจแตะมือตามเนื้อตัวที่เย็นเฉียบแต่ชื้นไปด้วยเหงื่อกาฬ หน้าผากมนยังคงอุ่นๆ หากเท้ากลับเย็นยะเยือกราวกับต้องลมมานานแล้ว

     

                ร่างโปร่งเดินปรี่ไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบถุงเท้าคู่โปรดของลูกชายขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับมายังเตียงแล้วสวมใส่ให้กับลูกชายราวกับทงเฮยังเป็นเด็กเล็กๆ ฮยอกแจแกะยาพ่นออกจากมือของลูกไปวางไว้ข้างเตียง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวคนป่วยจนถึงลำคอแล้วค่อยเดินหายไปในห้องน้ำ

     

                ฮยอกแจกลับมาที่เตียงอีกครั้งพร้อมกับผ้าชุบน้ำหมาดๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮยอกแจเช็ดตัวให้ลูกชาย แต่เมื่อมือหนากำลังจะเลื่อนผ้าหมาดไปแตะบนหน้าผากมนของคนเป็นลูก ความทรงจำที่ทงเฮเคยเช็ดตัวให้เขาก็ไหลย้อนเข้ามาในความคิด

     

                แม้จะลางเลือนเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ฮยอกแจยังคงจำเสียงร้องไห้ของลูกได้ดี ในวันนั้นเองที่เขาปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความรู้สึก ปล่อยให้ความต้องการที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจทำร้ายหัวใจของคนเป็นลูก แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

     

                ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย...หากฮยอกแจมีสติครบถ้วนสมบูรณ์

     

                “ทงเฮ” ฮยอกแจครางชื่ออีกฝ่ายเบาๆ อย่างหดหู่ใจ เขาไม่ควรจะคิดอะไรเกินเลยกับคนที่กำลังป่วย ไม่ควรจะฉวยโอกาส หากแต่ริมฝีปากที่แดงเรื่อเพราะพิษไข้กำลังยั่วยวนเขาเหลือเกิน

     

                มือหนาไล้ผ้าขนหนูผืนนุ่มไปตามใบหน้าของลูก แต่ทว่าทงเฮกลับเบนหน้าหนีอย่างไม่สบายตัว มืออีกข้างของฮยอกแจจึงทำหน้าที่ประคองใบหน้าหวานเอาไว้ แล้วลูบผ้าจนทั่วใบหน้าจนถึงลำคอ เช็ดตามแขน ขา ก่อนจะห่มผ้าไว้ให้ลูกชายตามเดิม

     

                ฮยอกแจนั่งจ้องคนที่หลับใหลอยู่นานพอควร ทงเฮตัวสั่นเทานิดๆ ด้วยความเหน็บหนาว มือแกร่งจึงสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วกุมมือน้อยๆ ของลูกเอาไว้ บีบกระชับไว้แน่นราวกับบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาจะไม่ไปไหน

     

                แต่เมื่อมองหน้าทงเฮ ความรักที่ฝังลึกอยู่ภายใต้จิตใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีนิลไม่สามารถละไปจากใบหน้านั้นได้ และเพียงไม่กี่อึดใจ ฮยอกแจก็เลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ลูกชายอย่างไม่ทันรู้ตัวเสียแล้ว

     

                ริมฝีปากหยักจรดลงไปยังกลีบปากอ่อนนุ่ม กดเน้นช้าๆ อย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะขบเม้มเบาๆ ตามอารมณ์ที่พุ่งพล่านไปทั่งสรรพางค์กาย ฮยอกแจมีสติสมประกอบดีทุกอย่าง ถึงตอนนี้เองที่เขาเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นลูก ความรัก ลุ่ม หลง เป็นสิ่งเดียวที่ต้านทานได้ยาก แม้สมองจะรู้ดีว่าสิ่งไหนถูกควร แต่การกระทำที่มาจากคำสั่งของหัวใจ มันหักห้ามกันไม่ได้ง่ายๆ เลย

     

                ฮยอกแจคงจะว่าลูกไม่ได้หากทงเฮจะหลงรักใครสักคน เพราะเขาเองก็ปล่อยให้ความปรารถนาอยู่เหนือความถูกต้องเช่นเดียวกัน

     

                “อื้อ...” เสียงอื้ออึงในลำคอดังขึ้นจากคนเป็นลูกชาย ทำให้ฮยอกแจมีสติขึ้นมา เขาถอนริมฝีปากออกแม้จะนึกเสียดายนัก ใบหน้าคมคายจ้องมองหน้าหวานที่แดงเรื่อของลูก ก่อนจะเม้มปากแน่น ชักมือออก แล้วโน้มลงไปกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา

     

                “ป๊า...ป๊าจะออกไปทำโจ๊กให้ทงเฮนะ” ในทีแรกว่าจะเอ่ยคำขอโทษ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเป็นอย่างอื่น ฮยอกแจยืนขึ้นแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไป แต่ทว่ามือหนากลับถูกคว้าไว้จากใครบางคนที่นอนอยู่

     

                “ปะป๊า” เสียงเรียกจากทงเฮทำให้ฮยอกแจสะดุ้งเฮือก “จูบ...ทงเฮหน่อยได้ไหมครับ จูบอีกได้ไหม?”

     

                คำเรียกร้องจากทงเฮทำให้ฮยอกแจยืนนิ่งอึ้งเหมือนถูกดึงวิญญาณออกจากร่างกาย เขาหันกลับไปมองทงเฮช้าๆ ก่อนจะพบว่าทงเฮกำลังจ้องมองมาทางเขา จ้องด้วยดวงตาที่ปวดร้าวและมีน้ำตาหล่อรื้นเต็มตื้นดวงตาทั้งสองข้างนั้น ฮยอกแจแกะมือลูกชายออก ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ทั้งที่ควรจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำเพียงแค่หันหลังแล้วเดินจากไป

     

                เมื่อประตูปิดลง ทงเฮก็ปล่อยให้น้ำตาที่คลอหน่วยในตอนแรกหลั่งรินออกมาเป็นสาย สติที่ลางเลือนแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่พูดอะไรออกไป แต่ทว่ากลับละอายใจกับอะไรบางอย่าง ราวกับว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจดวงนี้ แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกเลย

     

     

    Loading-------------20%

     

                แดดอ่อนๆ ที่ทอแสงยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้เปลือกตาบางค่อยๆ ลืมขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลอกไปมาอย่างงุนงง ที่ข้างตัวมีผ้าขนหนูชื้นๆ ห่อม้วนกลมเอาไว้ ทงเฮพอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนเขามีไข้และฮยอกแจก็คงเข้ามาเช็ดตัวให้ จำลางๆ ได้ว่าทานโจ๊กหมูสับหอมกรุ่นไปได้ไม่กี่คำแล้วก็หลับต่อ

     

                นอกเหนือจากนั้นทงเฮก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

     

                มือบางพลิกผ้าห่มออก ก่อนจะเดินไปทางหน้าต่าง แดดวันนี้ทอแสงสวยงามเหลือเกิน ทงเฮอยากจะให้ความสวยงามของไอแดดขจัดความอึดอัดและสับสนในใจเขาออกไปบ้าง มือผลักหน้าต่างที่เป็นกระจกใสออกกว้าง ก่อนจะรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

     

                “หนาวจัง” ทงเฮบ่นอุบเมื่อลมหนาวปะทะเต็มใบหน้าจนขนลุกไปทั่วทั้งแขน เขาประหม่าเกินไป คิดว่าแดดสดใสจะอบอุ่นเหมือนที่ตาเห็น แต่ไม่เลย มันหนาวเย็นยะเยือก หากไม่รีบปิดหน้าต่างไว้ดังเดิมคงได้กลับมาเป็นไข้อีกแน่ ทงเฮมองไปด้านนอกอีกครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบา

     

                หน้าหนาวคงเวียนมาถึงแล้วจริงๆ

     

                “อ้าว! ตื่นพอดีเลย ป๊าทำข้าวเช้าไว้ ออกไปกินหน่อยสิลูก” ฮยอกแจเปิดประตูเข้ามาแล้วส่งเสียงทักทาย ทงเฮหันกลับไปมองแต่ไม่ได้ยิ้มให้พ่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นแววตาวูบไหวออกมาจากสายตาของฮยอกแจด้วย ราวกับพ่อของทงเฮกำลังปกปิดความลับบางอย่างเอาไว้อยู่

     

                “วันนี้ทำอะไรเหรอครับ?” ทงเฮเดินไปหาอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม

     

                “ข้าวต้มกุ้งน่ะ เมื่อคืนนี้ทงเฮตัวร้อน ป๊าเลยทำข้าวต้มให้ กลัวทำอย่างอื่นแล้วจะไม่อยากกิน” ฮยอกแจบอกพลางเดินนำออกไปรอที่โต๊ะอาหาร ทงเฮนั่งลงฝั่งตรงข้าม รู้สึกดีที่พ่อรู้ใจเขา เพราะแม้แต่อาหารอ่อนๆ อย่างข้าวต้มกุ้ง ทงเฮแทบจะไม่อยากกินเลย

     

                “กินเยอะๆ นะทงเฮ ป๊าใส่กุ้งให้ลูกเยอะเชียว แกะให้ด้วยนะเพราะรู้ว่าลูกไม่ชอบแกะเองหรอก ใช่ไหม?” ฮยอกแจพูดมากกว่าปกติ เขาตักข้าวต้มหอมกรุ่นที่มีควันลอยขึ้นมาเนื่องจากเพิ่งยกลงจากเตาได้ไม่กี่นาที ทงเฮเลื่อนถ้วยเข้าหาตัว ก่อนจะใช้ช้อนคนข้าวต้มในส่วนของตัวเองแล้วพบว่ามีกุ้งที่แกะเปลือกไว้อย่างที่พ่อพูดจริงๆ

     

                “ป๊าก็ทานเยอะๆ นะครับ” ทงเฮบอก ก่อนจะตักข้าวต้มร้อนๆ ขึ้นมา เป่าให้คลายร้อนพอเป็นพิธีแล้วใส่เข้าปาก อร่อย...อร่อยเหลือเกิน แต่ทงเฮกินไม่ลง มีความรู้สึกบางอย่างจุกหน่วงอยู่ที่กลางอกจนไม่สามารถกินต่อได้ ตักเข้าปากเพียงสองสามคำเท่านั้นก็วางช้อนลงจนฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมอง

     

                “อิ่มแล้วเหรอ?”

     

                “ครับ ไม่ใช่ไม่อร่อย แต่อิ่มแล้ว” ทงเฮบอกอย่างถนอมน้ำใจคนตรงข้าม แต่ก็นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เขาไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนเป็นพ่อมากเท่านี้มาก่อน ทำไมกันนะ

     

                “งั้นก็ตักกุ้งกินให้หมดสิลูก กินเยอะๆ เสร็จแล้วจะได้กินยา” ฮยอกแจยังคงตักข้าวต้มกินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทงเฮกินกุ้งจนหมดถ้วยแล้ว เขาก็เดินไปหยิบยาลดไข้ พร้อมกับรินน้ำที่ต้มสุกใส่แก้วมาให้

     

                “มันขม...” ทงเฮหยิบยาไว้แล้ว แต่ยังทำใจไม่กล้ากิน

     

                “แต่ไหนแต่ไรไม่เคยกินยายาก มางอแงอะไรวันนี้...หืม?” ฮยอกแจถามพลางเอื้อมมือมาขยี้ผมลูกชายจนยุ่ง

     

                “ไม่รู้สิครับ มันขมแปลกๆ เห็นแล้วก็รู้สึกขมเข้าไปถึงในใจเลย”

     

                “งั้นก็เป็นที่ใจเรามากกว่าที่ขม ไม่ใช่ยาหรอก ทงเฮอย่าเอาปัญหาทุกปัญหามาแบกไว้บนบ่าเราเลย เรื่องไหนปล่อยได้ก็ปล่อย ตอนนี้กำลังสอบ คิดแค่เรื่องอ่านหนังสือก็พอ”

     

                “ปัญหาที่ป๊าว่า...คงไม่ได้หมายถึงคุณหมอหรอกใช่ไหมครับ?” คำถามของทงเฮทำให้คนเป็นพ่อเบนหน้าหนี ก่อนจะลุกหนีเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร ทงเฮนั่งเงียบอยู่ที่เดิม กรอกยาสองเม็ดเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามไปเกือบครึ่งแก้ว

     

                ทงเฮได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ ปัญหาที่เขาแบกไว้ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนกับเรื่องของคุณหมอซีวอนเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีเรื่องของฮยอกแจด้วย ทงเฮก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงหวงพ่อตัวเองได้มากขนาดนี้ หรือเป็นเพราะกลัวว่าจะมีใครแย่งความรักจากพ่อของเขาไป

     

    มันก็แค่ความรักที่ลูกชายมีต่อพ่อบังเกิดเกล้าเท่านั้น

     

     

                หลังจากที่ซีวอนขับรถไปส่งทงเฮที่บ้านเมื่อวานนี้ ร่างสูงกลับมาบ้านพร้อมกับของสดในมือตามที่คยูฮยอนฝากซื้อทุกอย่าง ในทีแรกคยูฮยอนก็ไม่ได้เอะใจอะไร เว้นก็แต่กลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่ตามสาบเสื้อของซีวอนตอนที่คยูฮยอนกำลังจะเก็บเสื้อผ้าไปซักในตอนเช้า

     

                คยูฮยอนพยายามจะเชื่อใจคนรัก หากกลิ่นนั่นยังคงวนเวียนติดจมูกเขามาตลอดทั้งวัน ทั้งๆ ที่เมื่อวานซีวอนก็ไม่ได้ออกไปไหน ตอนกลางคืนพอทานอาหารเย็นเสร็จ ร่างสูงก็นอนเหยียดยาวดูหนังอยู่ในห้องนั่งเล่น ก่อนจะเข้านอนตอนสี่ทุ่มกว่าๆ

     

                แล้วกลิ่นน้ำหอมนั่นมันมาจากไหนกัน

     

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้คยูฮยอนหลุดออกจากภวังค์ มือบางฉวยขึ้นมาดูเบอร์ที่โทรเข้าก่อนจะขมวดคิ้วฉับ เขาไม่คุ้นกับเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเลย

     

                “สวัสดีครับ” น้ำเสียงสุภาพกรอกลงไปยังเครื่องมือสื่อสาร ได้ยินเสียงกุกกักทางปลายสายแล้ว ทว่ายังไม่มีคนตอบกลับมาจนคยูฮยอนต้องเอ่ยซ้ำ “สวัสดีครับ นั่นใครครับ?”

     

                [คยู...คยูฮยอน] เสียงทุ้มที่ลอดมาติดจะกล้าๆ กลัวๆ จนคยูฮยอนต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีก ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรออกไป ทางฝั่งนั้นก็แนะนำตัวขึ้น [พี่ชางมินเองนะ]

     

                “พี่ชางมินมีเบอร์ผมได้ยังไงครับ อ่อ...จากซองมินสินะ” คยูฮยอนถามแล้วก็นึกขึ้นได้ คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว เขาไม่น่าถามตั้งแต่แรกเลย ที่น่าสงสัยคือชางมินโทรมาหาเขาทำไมมากกว่า

     

                [ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง คยูฮยอนไม่ได้โทรมาหาซองมินบ้างเลย ซองมินร้อนใจ อยากรู้ว่าคยูฮยอนสบายดีหรือเปล่า แล้วเขา...เอ่อ...ดีกับคยูฮยอนบ้างหรือเปล่า] ชายหนุ่มก็อ้างชื่อน้องชายไปอย่างนั้นเอง คนที่ร้อนใจน่ะเป็นเขาต่างหาก เป็นเขาที่อยากรู้เสียจนต้องโทรมาถามทั้งๆ ที่ซองมินก็ห้ามปรามแล้วว่าไม่ควรยุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่ชางมินก็อดเป็นห่วงไม่ได้

     

                “ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ ขอบคุณพี่ชางมินที่เป็นห่วง” คยูฮยอนพูดอย่างคนรู้ทัน เขาไม่ได้โง่เสียจนไม่รู้ว่าแววตาที่ชางมินส่งมาให้ตัวเองนั้นมีความรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อคิดถึงเรื่องวันนั้น ความรู้สึกผิดก็แล่นขึ้นมาจุกอก หากไม่พูดออกไปก็คงไม่ได้ “เรื่องที่เกิดขึ้น ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษแทนซีวอนที่วู่วามเกินไป และขอโทษที่ผมเองนำความเดือดร้อนไปให้ทั้งพี่ชางมินและก็ซองมินด้วย”

     

                [พี่ไม่เคยถือโทษโกรธคยูฮยอนเลยนะ พี่เข้าใจดีว่าคยูฮยอนรักเขาและแคร์เขามากแค่ไหน]

     

                “พี่ชางมิน” คยูฮยอนรู้สึกได้ว่าคำพูดของชางมินมีความน้อยใจปะปนออกมาด้วย แต่ในเมื่อหัวใจของคยูฮยอนมันหยั่งรากลึกไปกับคนๆ หนึ่งแล้ว คยูฮยอนก็จะใช้ชีวิตกับคนๆ นั้นไปชั่วชีวิต “ผมขอบคุณในความเมตตาของพี่ชางมินจริงๆ แต่พี่ชางมินรู้ใช่ไหมว่าผมไม่สามารถตอบแทนความหวังดีของพี่ชางมินได้”

     

                [พี่รู้...แต่ความรักของพี่มีแต่ความบริสุทธิ์ มีแต่ความจริงใจมอบให้คยูฮยอน ความรู้สึกของพี่ไม่มีอะไรแอบแฝง พี่แค่อยากจะเป็นพี่ชายที่แสนดีของคยูฮยอนเท่านั้น]

     

                “อย่าเลยครับ อย่าทำให้ผมลำบากใจไปมากกว่านี้เลย” คยูฮยอนอาจจะดูเป็นคนใจร้ายที่ผลักไสไล่ส่งชางมิน แต่ที่เขาทำไปก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นมาเกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดของเขา ในเมื่อความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นที่คยูฮยอน ก็ขอให้ความเจ็บนั้นอยู่กับตัวเขาคนเดียวก็พอ

     

                [พี่รักคยูฮยอน รู้ใช่ไหมว่ารักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ถึงมันจะเกิดรวดเร็ว แต่มันไม่ได้จบลงอย่างรวดเร็วหรอกนะ]

     

                “ผมขอโทษนะครับที่ต้องทำแบบนี้ แต่ใครจะรู้ว่าความรักมันจะจบลงที่ไหน ผมกับซีวอนรักกันมาเป็นสิบปี ความรู้สึกของเขายังเปลี่ยนเปลงไปเลย ผมรู้จักพี่ชางมินได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้เถอะนะครับ อย่าเอาตัวเองมาติดบ่วงรักที่นับวันมันยากจะหลุดพ้นเลย”

     

                [แต่พี่...] ชางมินเงียบลง อยากจะอธิบายให้คยูฮยอนเข้าใจว่าเขาไม่ได้คิดทำอะไรเกินเลยกว่าการเป็นพี่ชายที่แสนดีเลยสักนิด เขาพร้อมที่จะรักษาระยะห่างนี้เอาไว้ เพียงแค่อยากจะปลอบใจในวันที่คยูฮยอนเศร้าที่สุด เหมือนตอนที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้คยูฮยอนซับน้ำตาในวันนั้น ชางมินแค่อยากจะทำหน้าที่แบบนั้นอีกสักครั้ง

     

                “ผมวางสายเลยนะครับพี่ชางมิน ความหวังดีที่มีชางมินเคยให้ผมมา ผมจะรับไว้ แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้น ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ ครับ เพื่อความสบายใจของผมเอง พี่ชางมินทำให้ผมได้ใช่ไหม?”

     

                คยูฮยอนบังคับให้อีกฝ่ายรู้สึกตามที่ตัวเองบอก ก่อนจะวางสายลง มือบางถือโทรศัพท์ค้างไว้ แต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น กลับพบซีวอนยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงประตูห้อง

     

                “กลับมาตั้งแต่เมื่อไร ฉันไม่ได้ยินเสียงรถเลย” คยูฮยอนเดินไปหาคนรัก ทำท่าจะรับกระเป๋าจากซีวอนมาถือไว้ แต่ทว่าซีวอนกลับเลื่อนมือหนี

     

                “ก็เพราะคุยโทรศัพท์กับผู้ชายคนอื่นอยู่ จะไปได้ยินเสียงรถของสามีตัวเองได้ยังไง บางทีคุณอาจจะลืมเสียงรถของผมไปแล้วก็ได้ล่ะมั้ง ใครจะไปรู้?”

     

                “พูดแบบนี้หมายความว่าไง?” คยูฮยอนช้อนตาถามอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ สำหรับเขาแม้จะได้กลิ่นน้ำหอมจากเสื้อของซีวอนแต่ก็ยังเก็บงำไว้ในใจ ในขณะที่ซีวอนกลับกล่าวหาเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด

     

                “ผมยังต้องพูดอะไรอีก เห็นๆ อยู่ว่าคุณคุยกับชู้!

     

                “ชู้เหรอ? พี่ชางมินไม่ใช่...”

     

                “ยอมรับแล้วสิว่าคุยกับมัน” ซีวอนกดเสียงต่ำ มองคนรักตาขวางจนคยูฮยอนหวาดกลัวต่อสายตาคู่นั้น มือบางกำนั่นด้วยความเจ็บใจ ความรู้สึกโกรธที่พยายามเก็บเอาไว้มาตลอดพังทลายจนหมดสิ้น

     

                “ใช่! ฉันยอมรับว่าคุยกับเขา แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขา ไม่เหมือนนาย...”

     

                “ผมทำไม?!

     

                “นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายมีคนอื่น กี่เดือนแล้วซีวอน กี่เดือนแล้วที่นายเปลี่ยนไป ฉันทนมาตลอดเพราะคิดว่านายอาจจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ไม่เลย...นายหลงทางแล้ว หลงจนหาทางกลับไม่ได้แล้ว”

     

                คยูฮยอนบอกเสียงเรียบ เชือดอย่างนิ่งๆ จนร่างสูงโปร่งเซถอยหลังไปอย่างตกใจ มือหนาปล่อยให้กระเป๋าทำงานตกลงสู่พื้น ก่อนจะเสมองไปทางอื่นอย่างไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

     

                “อย่ามาโยนความผิดให้ผม” ซีวอนตวัดหางตากลับมามองอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรจะยอมรับผิดหากยังไม่มีหลักฐานมัดตัวชัดเจน คยูฮยอนก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเพราะเขาไม่ค่อยกลับบ้าน คยูฮยอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากับทงเฮคบกัน เพราะถ้าหากรู้ เมื่อวานคงไม่ปล่อยให้เขาไปส่งทงเฮที่บ้านเป็นแน่

     

                “ฉันโยนความผิดให้นายงั้นเหรอ นายไปหาผู้ชายคนอื่น ไปจูบมัน ไปมีอะไรกับมัน นายไม่ผิดเลยอย่างนั้นสิ แต่ฉันแค่คุยกับพี่ชางมินไม่กี่นาที ฉันเป็นคนเลวเลยใช่ไหม?!

     

                ซีวอนไม่รอให้คยูฮยอนพูดอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งสองมือหนาจับประคองใบหน้าหวานแล้วระดมจูบริมฝีปากจนคยูฮยอนพูดไม่ออก คยูฮยอนชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกใจกับการกระทำที่จู่โจมของคนรัก แต่เขาไม่ได้โอนอ่อนตามทั้งหมด เพราะในขณะที่ซีวอนกำลังจะสอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามา คยูฮยอนก็ผลักอกแกร่งอย่างแรง

     

                เพียะ!

     

                “ฉันไม่คิดมาก่อนว่านายจะเลวได้ขนาดนี้!” คยูฮยอนพูดจบก็จ้องมองซีวอนด้วยสายตาที่ตัดพ้อ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากริมฝีปากบางอีกนอกจากลมหายใจหอบๆ ที่ส่งเสียงดังมาเป็นระยะ ร่างโปร่งหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วเดินหนีเข้าห้อง ในขณะที่ซีวอนเดินออกจากบ้านแล้วขับรถออกไปด้วยความรวดเร็ว

     

     

                ซีวอนจอดรถลงที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาโทรศัพท์บอกให้ทงเฮออกมาหา สักพักเด็กหนุ่มซึ่งกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบก็ออกมา ร่างเล็กเดินมานั่งกับซีวอนที่ม้านั่งตัวยาวใต้ร่มไม้ ใบหน้าหวานที่เคยสดใสหมองคล้ำต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ รวมถึงพิษไข้จากเมื่อคืนด้วย

     

                “ไม่อยากออกมาเจอผมเหรอ ทำไมมาช้าจัง?” ซีวอนเอ่ยถามแม้ว่าทงเฮจะออกมาเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ก็ตาม แขนแกร่งเลื่อนไปพาดไหล่คนตัวเล็ก ทงเฮได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะหันมายิ้มบางๆ ให้คุณหมอหนุ่ม

     

                “อยากสิครับ อยากมากๆ แต่ว่าพรุ่งนี้ทงเฮมีสอบ ไม่รู้จะอ่านหนังสือทันหรือเปล่า” ทงเฮบอกตามความเป็นจริง แต่ที่มากกว่านั้นก็คือเขากำลังอยู่ในช่วงสับสน ใจหนึ่งก็อยากเจอซีวอน อยากเห็นหน้า อยากฟังเสียง อยากให้ซีวอนกอดเขาไว้แน่นๆ เหมือนที่เคยทำ แต่เมื่อได้พบเจอแล้วกลับพบว่าความไม่สบายใจไม่ได้ลดลงไปด้วยเลย

     

                “ออกมาเจอผมแบบนี้ พ่อจะว่าไหม?” ซีวอนถามพลางมือหนาก็เกลี่ยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกหน้าผากมนจนบดบังใบหน้าใสๆ ของทงเฮ

     

                “ป๊าไม่อยู่หรอกครับ เห็นว่าออกไปทำธุระข้างนอก ป๊าของทงเฮกำลังจะเปิดร้านทำผม”

     

                “แล้วก่อนหน้านี้เขาทำอาชีพอะไรล่ะ?” คำถามจากซีวอนทำให้ทงเฮสะดุ้งวาบ ทงเฮไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าพ่อของเขามีอาชีพอะไร เพราะมันก็ไม่น่าจะเอาไปโอ้อวดได้นัก เพราะพ่อของทงเฮมีอาชีพขายบริการมาสิบกว่าปีแล้ว ก็ตั้งแต่ที่เขาเกิดมานั่นแหละ

     

                “เอ่อ...ป๊า ป๊ารับจ้างทั่วไปน่ะครับ” คำตอบของทงเฮทำให้ซีวอนพยักหน้าน้อยๆ หากแต่ความสงสัยในใบหน้าคมคายไม่ได้มีทีท่าลดลงเลย ทงเฮจึงรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ซีวอนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไมวันนี้คุณหมอออกมาหาทงเฮได้ล่ะครับ แฟนคุณหมอไม่ว่าเอาเหรอ?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามไม่ได้แสดงความอยากรู้ แต่ยังแสดงถึงความตัดพ้อ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซีวอนแทบจะไม่ได้นัดเจอเขาเลย

     

                “ผมคิดถึงทงเฮจนทนไม่ไหวแล้วน่ะสิ อยากเห็นหน้าทงเฮมากเลยรู้ไหม?” ซีวอนพร่ำบอกคำหวาน ก่อนจะชิงหอมพวงแก้มใสของหนุ่มน้อยที่แกล้งเอียงหลบอย่างเขินอาย

     

                “ทำไมเพิ่งมาคิดถึงเอาป่านนี้ล่ะครับ?” ทงเฮถามปากยื่นนิดๆ ซีวอนจึงเลื่อนหน้าคมออก มีเพียงแขนแกร่งเท่านั้นที่ยังพาดอยู่บนไหล่บางดังเดิม

     

                ซีวอนจะบอกออกไปได้อย่างไรว่าที่เขาเพิ่งมาคิดถึงทงเฮวันนี้ก็เพราะคยูฮยอนนั่นแหละ เพราะคยูฮยอนทำให้เขาโมโหจนไม่อยากอยู่บ้านให้ถูกจับผิด บางทีการได้มาพูดคุยกับทงเฮอาจจะทำให้ความเครียดลดลงก็ได้

     

                แต่มันก็แค่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

     

                “เราไปปั่นจักรยานเล่นกันไหม?” ซีวอนเอ่ยชวนเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เขาเห็นหนุ่มสาวปั่นจักรยานในสวนสาธารณะผ่านมาพอดี แล้วที่สวนสาธารณะแห่งนี้ก็มีร้านเช่าจักรยานให้บริการด้วย ทงเฮนึกสนุกจึงตกปากรับคำออกไป

     

                หลังจากเช่าจักรยานมาแล้ว ทั้งคุณหมอและทงเฮก็จูงจักรยานออกมายังถนนเส้นเล็กๆ ซีวอนน่ะเคยปั่นจักรยานออกกำลังกายอยู่บ่อยๆ เขาจึงหันมาถามทงเฮด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

     

                “ทงเฮปั่นจักรยานเป็นไหม?”

     

                “เอ่อ...ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยปั่นเลยครับ แต่ไม่น่าจะยาก” ทงเฮเอ่ยบอกแล้วขึ้นไปนั่งบนจักรยาน ความทรงจำในอดีตแล่นผ่านมาเข้ามาอย่างรวดเร็วจนจับภาพนั้นไม่ทัน แต่ทว่าความหวาดกลัวกลับวิ่งเข้ามาสุมอยู่เต็มหัวใจ “คุณหมอ คือทงเฮ...ทงเฮกลัวครับ”

     

                “หืม...กลัวอะไร?” ซีวอนจูงจักรยานอีกคันเข้ามาใกล้ ก่อนจะแตะไหล่ทงเฮที่สั่นไหลนิดๆ ใบหน้าหวานหันมามองด้วยความหวาดหวั่นแล้วเอ่ยบอก

     

                “ทงเฮไม่กล้านั่งจักรยาน ไม่กล้าปั่น ไม่...”

     

                “ทงเฮใจเย็นๆ เดี๋ยวผมสอนให้” เขาบอก ก่อนจะตั้งจักรยานของตัวเองไว้ เดินอ้อมไปยืนซ้อนเด็กหนุ่มจากด้านหลัง แต่ทว่าทงเฮกลับเบี่ยงตัวออกราวกับหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

     

                “ไม่ครับ ทงเฮไม่ปั่นแล้ว เราไปทำอย่างอื่นดีกว่านะครับ” เสียงเล็กๆ เอ่ยบอกอย่างขอร้อง ดวงหน้าสวยมีเหงื่อไหลซึมมาตามไรผมทั้งๆ ที่อากาศก็ออกจะเย็น จนในที่สุดซีวอนก็ต้องนำจักรยานทั้งสองคันไปคืนที่ร้านเช่าดังเดิม

     

                ทั้งคู่เดินเล่นในสวนสาธารณะอีกสักพัก จนกระทั่งเกือบหกโมงเย็นแล้ว ทงเฮจึงคิดว่าเขาควรจะกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเสียที

     

                “คุณหมอ...ทงเฮจะกลับบ้านแล้ว ไปส่งทงเฮที่บ้านได้ไหมครับ?”

     

                “เอาสิ” ซีวอนตอบเรียบๆ ก่อนจะเดินนำไปทางรถยนต์ แต่ทว่าทงเฮกลับคว้าชายเสื้อเชิ้ตสีเข้มเอาไว้ ซีวอนหันกลับไปมองแล้วเลิกคิ้วสูงแทนคำถาม

     

                “ขอทงเฮถ่ายรูปกับคุณหมอได้ไหมครับ ทงเฮไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าคุณหมอจะมาหาทงเฮอีก” มันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ซีวอนสามารถจะทำให้ได้ พอเขาพยักหน้า ทงเฮก็คลี่ยิ้มจนสว่างไสว แม้แต่พระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินก็ไม่สามารถแย่งชิงความสดใสไปจากใบหน้าหวานนี้ได้

     

                ทงเฮหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะถ่ายรูปคู่เก็บเอาไว้ เผื่อวันใดที่ทงเฮคิดถึงซีวอน เขาจะได้มีรูปนี้ไว้ระลึกถึง วันนี้ทงเฮใส่สร้อยคอที่ซีวอนเคยซื้อให้ในวันเกิดออกมาด้วย วันที่ทงเฮคิดถึงซีวอนมากๆ มันคงยืนยันได้ดีว่าครั้งหนึ่งคุณหมอหนุ่มใจดีคนนี้เคยซื้อของแทนใจให้กับอี ทงเฮ

     

                “หลังจากทงเฮสอบเสร็จแล้ว คุณหมอไปเที่ยวบ้านทงเฮนะครับ” ทงเฮเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินคล้องแขนซีวอนไปยังรถยนต์

     

                “ไปทำไมเหรอ?” ซีวอนเอ่ยถามขึ้นเพราะเขาไม่อยากพบเจอผู้ใหญ่ การที่เขาอายุห่างจากทงเฮหลายปีจะต้องทำให้พ่อของทงเฮเคลือบแคลงใจแน่ๆ ว่าเขามีครอบครัวแล้วหรือยัง และซีวอนไม่อยากโกหกใครให้วุ่นวายใจอีกแล้ว

     

                “ไปหาป๊าทงเฮไงครับ ป๊าบอกว่าอยากเจอคุณหมอ อยากรู้ว่าคนที่ทงเฮรักเป็นใคร” ทงเฮแสร้งโกหกไปอย่างนั้น เพราะเขาอยากให้ซีวอนไปแนะนำตัวให้กับคนเป็นพ่อรู้จัก ให้พ่อของทงเฮเชื่อใจและมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้รักลูกชายของตัวเองจริงๆ

     

                “ถ้าทงเฮสอบได้คะแนนดี ผมจะไปแล้วกัน”

     

                “คุณหมอห้ามผิดคำพูดเด็ดขาดนะครับ” ซีวอนอดจะขยี้ผมนุ่มไม่ได้ เพราะดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะยึดถือเรื่องคำสัญญาเสียเหลือเกิน ทงเฮยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งในรถของซีวอน

     

                หลังจากซีวอนไปส่งทงเฮที่บ้าน เขาก็ขับรถไปนอนที่คอนโดของตัวเอง ตลอดทางได้แต่ครุ่นคิดว่าทงเฮช่างสดใสเหลือเกิน ทงเฮไม่น่าเบื่อเหมือนกับคยูฮยอน ไม่ได้มีแต่แววตาโศกเศร้า ซีวอนยังรักคยูฮยอนเสมอ เพียงแต่เขาอยากเห็นความสดใสในดวงตาของคยูฮยอนบ้างก็เท่านั้น

     

                บางครั้งจึงคิดไปเองว่าความสดใสเวลาที่ทงเฮยิ้มจะสามารถทดแทนความหม่นหมองของคยูฮยอนได้ แต่ซีวอนกลับไม่รู้เลยว่าคนที่ทำให้คยูฮยอนต้องหม่นหมอง...มันคือตัวเขานั่นเอง

     

     

    Loading-------------59%

     

                “สวนบ้านนี้ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ นายว่าไหม?” ฮีชอลเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งสองคนยืนอยู่ริมระเบียง ถูกแล้ว เป็นทั้งคู่ที่ยืนอยู่เพราะฮันกยองเกาะระเบียงปูนที่กั้นสูงเอาไว้ เขาพอจะพยุงตัวเองได้ ขาข้างที่ใช้งานไม่ได้เริ่มจะอาการดีขึ้น แต่ก็แค่เริ่มเท่านั้น ไม่รู้ว่าอีกนานสักแค่ไหนมันจึงจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

     

                ดวงตาคมกริบกวาดมองสวนที่เคยร่มรื่นของบ้านตัวเองแล้วก็ทอดถอนหายใจ แม้ตอนเด็กๆ จะเคยวิ่งเล่นในสวนแห่งนี้ แต่โตขึ้นมากลับไม่เคยให้คนสวนเข้ามาดูแลเลย เขาเกลียดสิ่งที่ต้องดูแลเอาใจใส่ มันดูเหมือนเป็นหน้าที่ เป็นสิ่งที่มนุษย์ก็แค่เสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น

     

                ดังนั้นตอนนี้ในสวนที่เคยเขียวชอุ่มจึงเหลือแต่หญ้าแห้งๆ กับดอกไม้ใบไม้ที่เหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา ใบหน้าคมหันไปมองทางฮีชอล ก่อนจะเอ่ยถาม

     

                “ตรงไหนที่ว่าสวย?”

     

                “ก็ทุกๆ อย่างนั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะนาย...ที่ทำให้ทุกอย่างดูสวยงามมากขึ้น” ฮีชอลยิ้มบางๆ ดวงตาคู่สวยยังทอดมองออกไปด้านหน้า เขาจึงไม่อาจเห็นแววตาชิงชังจากฮันกยองได้เลยสักนิด

     

                “คำพูดของพี่มันทำให้ผมอยากจะอาเจียน” เสียงเรียบตึงของฮันกยองทำให้อีกฝ่ายตวัดหางตามามองในทันที “...อย่าพูดหรืออย่ามองผมด้วยสายตาที่สื่อความหมายแบบนั้น”

     

                “การที่ใครสักคนจะมีความรักมันคงผิดมากเลยสินะ ใช่สิ สำหรับคนที่หัวใจเย็นชาและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอย่างนายแล้ว ความรัก...คงเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงสิ้นดี”

     

                “ถ้ารู้ขนาดนี้แล้ว ยังจะมีความรู้สึกนั่นให้ผมอีกทำไม?” ฮันกยองกำมือแน่น ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงโกรธจนตัวสั่น อยากตรงเข้าไปหาฮีชอลแล้วบีบคอคนตรงหน้าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ต้องมาทนฟังคนพูดจากวนประสาทให้เขารำคาญใจอีก แต่ฮันกยองกลับกลัวในคำพูดของฮีชอล

     

                กลัวว่าหากฮีชอลหายไป เขาจะไม่เหลือใครเลยจริงๆ

     

                “ฮันกยอง” ฮีชอลเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าราวกับอยากเรียกชื่อนี้มานานแสนนาน ร่างสูงโปร่งหากแต่ผอมบางเดินเข้ามาประชิดตัวของอีกฝ่าย ก่อนจะสอดมือเข้าไปแล้วซุกใบหน้างดงามลงกับอกแกร่งกำยำนั้น “พี่เองก็เคยคิดว่าโลกนี้ไม่มีความรัก แต่พอพี่ได้เจอกับนาย นายเป็นคนที่ดูทั้งน่าสงสารและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน พี่ไม่รู้หรอกว่าความรักมันคืออะไร ไม่เคยคิดนิยามมันด้วย แต่พี่รู้สึกได้ พี่อยากดูแล อยากทำให้นายมีความสุขในทุกๆ วันของชีวิต” ฮีชอลเว้นจังหวะพูดไปครู่หนึ่ง ก้อนหนืดๆ จุกอยู่ตรงลำคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “...ในชีวิตที่พี่เหลืออยู่”

     

                “ถ้าอยากให้ผมมีความสุขนัก งั้นก็อย่าพูดเรื่องนี้อีก” ฮันกยองผลักอีกฝ่ายออกจากอกอย่างแรง ทว่าแรงที่ส่งผ่านมือไปนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ฮีชอลเซถอยหลัง คนขาพิการข้างหนึ่งอย่างเขาก็เซจนเกือบล้มคว่ำอย่างไม่เป็นท่า แม้ฮีชอลแทบจะทรงตัวไม่ได้ แต่ร่างโปร่งก็ถลันมาตระกองกอดคนที่ตัวเองรักเอาไว้แน่น

     

                “ฮันกยอง...”

     

                “ปล่อย” ฮันกยองกดเสียงต่ำแล้วสะบัดแขนแกร่งของตัวเองอย่างแรง ฮีชอลถอยหลังกรูดออกไป ในขณะที่ฮันกยองยืดตัวด้วยราวระเบียงที่ตัวเองเกาะพยุงเอาไว้ เป็นสภาพที่ดูน่าอนาถเหลือเกิน หากร่างสูงไม่คิดจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้าแม้แต่นิด

     

                “ทำไมนายถึงปิดกั้นตัวเอง ทำไมนายไม่เคยยอมรับมันเลย ถึงจะไม่รักพี่ แต่อย่างน้อย...มีความรักให้กับคนบนโลกนี้บ้างไม่ได้เชียวเหรอ?”

     

                “หึ ความรักบนโลกนี้น่ะเหรอ มีแต่สิ่งจอมปลอมเท่านั้นแหละ โกหก หลอกลวง เชื่อไม่ได้...เหมือนพี่ไงล่ะ!” เสียงตวาดก้องของฮันกยองทำให้คนฟังสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ ร่างสูงไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของคนตรงหน้าแม้แต่น้อย เขาคว้าไม้ค้ำยันที่วางพาดอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นมาแล้วเดินกระเผลกหนีฮีชอลเข้าไปในห้อง ริมฝีปากของฮีชอลสั่นระริก ก่อนจะเอ่ยขึ้น

     

                “คนที่คิดว่าโลกนี้ไม่มีความรัก เพราะว่าเขาคนนั้นไม่เคยมีความรักให้ใครไงล่ะ” ฮันกยองหยุดฟัง แต่ทว่าสมองกลับเอาแต่ต่อต้านคำพูดนั้น

     

                มันไม่จริงหรอก ต่อให้ฮันกยองคนนี้มีความรักให้ใครหรือไม่ก็ตาม โลกนี้ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า...ความรัก มันมีแต่ความเสแสร้งแกล้งทำ และชีวิตก็ถูกดำเนินไปด้วยความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนเท่านั้นเอง

     

                “นั่นมันเป็นความเชื่อของพี่คนเดียว!” ฮันกยองตวัดตาคมหันกลับไปบอก

     

                “แต่การเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีความรักก็เป็นความเชื่อของนายคนเดียวเหมือนกัน” ฮีชอลตะโกนขึ้นจนสุดเสียง อยากรู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงส่งคนดื้อรั้นแบบนี้มาเกิดด้วย ทั้งๆ ที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดี แต่ฮันกยองกลับยึดมั่นในความคิดความเชื่อของตัวเองจนไม่ฟังความคิดเห็นของเขา

     

                ฮันกยองปักใจเชื่อตั้งแต่เด็กๆ ว่าทุกคนเห็นแก่ตัว ไม่มีความรัก มันจึงหล่อหลอมให้เขาเป็นคนเย็นชาได้ขนาดนี้ แม้ฮันกยองจะตราหน้าคนทั้งโลกว่าไม่มีความรักที่แท้จริงก็ตาม หากดวงตาคู่นั้นยังคงแสวงหาความรักอยู่ร่ำไป แต่เมื่อหาไม่เจอ มันจึงทั้งโศกเศร้าและสิ้นหวังมากเหลือเกิน

     

                “นายรู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงบอกว่าสวนที่บ้านนายยังดูสวย เพราะสวนดอกไม้ต่อให้แห้งแล้งแค่ไหนเราก็ยังรู้ว่าเป็นสวนดอกไม้ เหมือนความรักนั่นแหละ แม้ว่ามันจะเจ็บปวด แต่ความรักก็ยังคือความรัก ความรักเป็นสิ่งที่ดีนะ มันไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่หัวใจของมนุษย์ต่างหากที่เฝ้าแต่ทำร้ายตัวเอง”

     

                ฮีชอลพูดต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าฮันกยองจะเดินเข้าไปด้านในตั้งนานแล้ว เขาผิดเองที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคิดว่าความดีจะสามารถเอาชนะใจของฮันกยองได้ แต่ฮีชอลก็เพิ่งรู้วันนี้เอง หัวใจของคนบางครั้งก็เปลี่ยนแปลงง่ายๆ หากเจอคนที่ถูกใจมากกว่า

     

                แต่บางครั้ง...ต่อให้ใช้ความพยายามสักแค่ไหน มันก็เปลี่ยนแปลงหัวใจที่แข็งกระด้างไม่ได้เลย

     

     

                หลังจากรถยนต์ของซีวอนเคลื่อนออกไปได้พักใหญ่ ทงเฮก็ยังยืนจ้องมองพื้นถนนที่ว่างเปล่าอยู่นานหลายนาที เขากำลังคิดว่าอีกนานแค่ไหนกัน กว่าที่ซีวอนจะกลับมาหาเขา อีกกี่วัน กี่สัปดาห์ หรืออีกกี่เดือน กว่าที่รถยนต์คันนั้นจะย้อนกลับมาบนถนนสายเก่า

     

                หรือซีวอนจะไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาหาอี ทงเฮคนนี้อีกเลย

     

                ทงเฮยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูภาพถ่ายที่ถูกตั้งเป็นภาพหน้าจอ ภาพนี้มันช่วยคลายเหงาได้จริงๆ น่ะเหรอ หรือว่าเมื่อดูภาพเหล่านี้แล้วจะเหงามากกว่าเดิม ทงเฮคาดเดาความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ

     

                ร่างบางหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน หากแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นคนเป็นพ่อกลับมาบ้านก่อนเขาเสียอีก ทงเฮยืนนิ่ง ประสานสายตากับอีกฝ่าย แต่เมื่อถูกจ้องนานๆ โดยที่พ่อไม่ได้พูดคำใดๆ ออกมา ทงเฮก็หลบสายตาหนีไป

     

                “ไปไหนมา?” ฮยอกแจถามเสียงเรียบ ทงเฮหันไปมองพ่ออีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าคำพูดของพ่อมันแสดงความรู้สึกอย่างไรกันแน่ เป็นความห่วงใยหรือหวงแหน นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทงเฮไม่รู้เลย

     

                “ทงเฮ...ปะ...ไปหาเพื่อนมาครับ”

     

                “รู้ไหมว่าการโกหกป๊าเพียงครั้งเดียวมันก็ทำให้ลูกตกนรกได้แล้ว” ฮยอกแจบอก น้ำเสียงนั่นช่างคาดเดาความรู้สึกของคนพูดได้ยากเหลือเกิน

     

                “ทงเฮขอโทษครับปะป๊า ทงเฮจะไปอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้” ทงเฮไม่ได้พูดแก้ตัวอะไรไปมากกว่านั้น แต่ทว่ามันก็เหมือนการยอมรับกลายๆ ว่าเขาออกไปกับซีวอนมา ฮยอกแจมองตามร่างเล็กของลูกชายที่เดินผ่านตัวเขา อยากจะคว้ามือบางเอาไว้ อยากดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากกกอดด้วยความรัก แต่ก็ต้องยับยั้งชั่งเอาไว้ด้วยความทรมาน

     

                “พรุ่งนี้สอบวันแรกใช่ไหมลูก?” เสียงของฮยอกแจอ่อนลง ทงเฮยืนอยู่หน้าประตูห้องจึงหันหลังกลับมามอง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

     

                “ครับ สอบตั้งแต่เช้าเลย ป๊าอย่าลืมปลุกทงเฮด้วยนะ”

     

                “จะไม่ออกมาจากห้องแล้วเหรอ แล้วข้าวเย็นล่ะ?”

     

                “ไม่ครับ ทงเฮไม่หิว” พูดจบก็หมุนตัวหันหลังกลับไป ก่อนจะนึกขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องตอนเย็นที่เกิดขึ้น ทงเฮหันขวับมาหาคนเป็นพ่อ ขาเรียวเดินดุ่มๆ เข้ามาทางร่างสูงโปร่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “ป๊าครับ ตอนเด็กๆ ป๊าเคยซื้อจักรยานให้ทงเฮหรือเปล่า?”

     

                คำถามที่ตรงไปตรงมาทำให้ฮยอกแจยืนนิ่งด้วยความตกใจ ดวงตาคมกริบวูบไหวอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากหยักเปิดอ้าขึ้นราวกับจะเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมา แต่ก็ทำเพียงอ้าค้างและส่ายหน้ารัวเท่านั้น ฮยอกแจไม่รู้ว่าหากทงเฮรับรู้ความจริงในอดีต ชะตาชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

     

                ซึ่งความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ ก็คือ...มันไม่มีทางจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่

     

                “ทงเฮถามป๊าทำไม?” ฮยอกแจเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ ซึ่งทงเฮได้แต่เลิกคิ้วด้วยความงุนงงเท่านั้น

     

                “คือว่า...วันนี้ทงเฮจะไปปั่นจักรยานกับคุณหมอ แต่ทงเฮรู้สึกกลัวที่จะนั่ง ทงเฮไม่กล้าแม้กระทั่งจะจับจักรยาน มันเหมือนกับ...” ทงเฮพยายามจะนึกความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจของตัวเอง แต่ทว่าความคิดนั้นกลับต้องดับไปด้วยคำพูดของพ่อ

     

                “มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ไปอ่านหนังสือได้แล้ว อย่ามาคิดเรื่องไร้สาระให้รกสมองตัวเองเลย” ฮยอกแจดันจับไหล่ของลูกให้หันเข้าไปทางห้องนอน แต่ทว่าทงเฮกลับขืนตัวไว้ ก่อนจะนึกขึ้นได้

     

                “ทงเฮนึกออกแล้วครับป๊า ทงเฮรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆ ทงเฮเคยปั่นจักรยานอยู่ที่ไหนสักที่ ความรู้สึกของทงเฮคือตัวเองเคยปั่นจักรยานเป็นจริงๆ นะครับ แต่ทำไมโตขึ้นมาถึงได้กลัวก็ไม่รู้ ป๊าไม่เคยซื้อจักรยานให้ทงเฮจริงๆ ใช่ไหม?” ทงเฮถามซ้ำอีกครั้งเผื่อว่าฮยอกแจจะเคยซื้อแต่ลืมเลือนไป ทว่าคำถามนั้นกลับทำให้ฮยอกแจหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

     

                “ป๊าบอกแล้วไงว่าไม่เคยซื้อจักรยานให้ทงเฮ ป๊าไม่เคยซื้อ เราไม่เคยมีจักรยาน และทงเฮก็ไม่เคยปั่นจักรยานด้วย เลิกถามแล้วกลับเข้าไปอ่านหนังสือได้แล้ว”

     

                ฮยอกแจผลักลูกชายออกห่าง ก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาด้วยท่าทางครุ่นคิด ทงเฮจ้องมองคนเป็นพ่อแวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง

     

                เมื่อเสียงประตูปิดลง ฮยอกแจก็หันไปมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าลูกชายไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว เขาคิดถึงเรื่องในอดีต และกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากทงเฮรู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อ แม้แต่ความรักที่ทงเฮมีให้ในฐานะพ่อลูกกัน ฮยอกแจก็อาจจะไม่ได้รับมันกลับมาเลย

     

                ฮยอกแจกลัว...กลัวกับสิ่งที่จะกำลังจะเกิดขึ้นเหลือเกิน

     

     

                ทงเฮนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้างด้วยความทุรนทุราย ภาพที่เขากำลังพบเห็นมันน่ากลัวมาก ทงเฮเห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่หน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง เบื้องล่างเป็นผืนน้ำใสสะอาด แต่ทงเฮกลับไม่รู้เลยว่าก้นบึ้งของน้ำผืนนั้นมันลึกล้ำสักเท่าไร

     

                ทงเฮหวาดกลัว เขาก้มมองลงไปด้านล่างด้วยหัวใจที่สั่นไหว ก่อนที่จะมีฝ่ามือของใครบางคนผลักแผ่นหลังของทงเฮให้กระโจนไปสู่ด้านล่าง

     

                “ไม่!!!!!!!!” ทงเฮกรีดร้องลั่น ใบหน้าหวานสั่นไปมาอย่างรุนแรง หยาดน้ำตาร่วงพรูเต็มพวงแก้มใสอย่างตื่นตระหนก โชคดีที่เขายังเกาะหินไว้ได้ทัน ทงเฮเกาะขอบหน้าผาเอาไว้แน่น มือบางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะต้องรับน้ำหนักตัวของตัวเองทั้งหมด

     

                ไม่รู้ว่าห้อยโหนตัวอยู่บนหน้าผานานสักแค่ไหน แต่ความรู้สึกของทงเฮคือมันนานมาก นานเสียจนเขาทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทว่าในขณะที่มือบางกำลังเลื่อนไถลลงไปทีละนิดนั้น ใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับเป็นความหวังสุดท้ายของทงเฮ

     

                “คุณหมอ!” ทงเฮร้องเรียกอย่างดีใจเมื่อเห็นซีวอนยิ้มให้เขา ร่างสูงย่อตัวลงนั่ง ก่อนจะยื่นฝ่ามือที่แข็งแรงมาให้ ทงเฮไม่รอช้ารีบคว้าจับมือของซีวอนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มืออีกข้างยังเกาะหินผาไว้แน่นเพื่อรับน้ำหนักตัวทั้งหมดของตัวเอง

     

                มือข้างหนึ่งเกาะหน้าผาไว้ อีกข้างหนึ่งจับมือซีวอนเอาไว้แน่นเช่นดัน ไม่มีข้างไหนที่ทงเฮไม่รู้สึกทรมาน นับวันความทรมานก็จะยิ่งมากขึ้น แขนเรียวเมื่อยล้าและต้องการปลดปล่อยตัวเองสู่พื้นเบื้องล่าง แต่ทว่าความหวาดกลัวกลับเกาะกินจิตใจจนยึดจับทั้งสองสิ่งเอาไว้แน่นแม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

     

                ในที่สุดร่างกายก็ต้านทานไม่ไหว ทงเฮปล่อยมือที่เกาะหินด้วยความเหนื่อยล้า ทำให้มืออีกข้างปล่อยมือของซีวอนออกด้วยความตระหนกตกใจไปด้วย แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มืออีกข้างหนึ่งก็ถูกใครบางคนจับเอาไว้แน่น

     

                มือที่อบอุ่นและแข็งแรงไม่แพ้มือของซีวอน

     

                มือที่ทงเฮมองข้ามมาโดยตลอด

     

                มือที่มักจะว่างเปล่าเสมอของอี ฮยอกแจ

     

                ตอนนี้มือนั้นกำลังจับมือของทงเฮไว้แน่น เสียงร้องไห้ของทงเฮค่อยๆ เงียบลง แม้ว่าเขาจะสามารถเอื้อมมือไปจับมือหนาของซีวอนได้อีกครั้ง แต่ถ้าหากทงเฮตกใจอีกเมื่อไร ทงเฮก็สามารถปล่อยมือของซีวอนได้ทุกเมื่อ

     

                ทว่ามืออีกข้างที่ถูกฮยอกแจกอบกุมไว้ ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ไม่ว่าทงเฮจะกำลังตกสู่เหวที่ลึกกว่านี้อีกสักร้อยเท่าพันเท่า ฮยอกแจก็ไม่มีวันปล่อยมือจากทงเฮอย่างแน่นอน

     

                “ฮึก...ปะป๊า...” ทงเฮค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะพบว่ามันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ความฝันที่แปลกประหลาดแต่ก็เป็นความฝันที่ทำให้หวาดกลัวได้มากเหลือเกิน

     

                ถ้าหากความฝันนี้เป็นจริง ก็หมายความว่าสักวันมือคู่นั้นของซีวอนก็จะปล่อยเขาไป ทงเฮส่ายหน้าช้าๆ อย่างเหม่อลอย ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวานแล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปสอบปลายภาควันแรก

     

                แต่ทว่าสมองกลับคิดวกวนเกี่ยวกับความฝันซ้ำไปซ้ำมา

     

     

    Talk with Lee Seen

                ขอโทษด้วยค่ะที่ไม่มีฉากเยรยอ ตอนแรกจะแต่งแล้วล่ะ

    แต่เปลี่ยนใจ อ้าว! เพราะอยากให้คนอ่านเอาฉากจบกลับไปคิดทบทวนดูบ้าง

    จู่ๆ ก็นึกถึงพ่อแม่ของเรา หากเราจับมือใครไว้ สักวันเราอาจจะตกใจจนปล่อยมือเขา

    แต่พ่อแม่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีวันปล่อยมือเราแน่นอน โฮ...ลึกซึ้งเนอะ(ลึกซึ้งอยู่คนเดียว)

     

    เอาเป็นว่าตอนหน้าฉากแรกจะเป็นเยรยอนะค้า...

    ปล.ความจริง 40% ที่เหลือนี่มันไม่สมส่วนกับ 60% เลย

    เพราะตอนแรกซีนก็พูดเว่อร์ไปว่ามัน 60% แล้วทั้งๆ ที่มากกว่านั้น ยังไงก็ขอโทษด้วยนะค้า...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×