ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [The Last Fic SJ] ----oooo 'หลงรัก' >>> EunHae, WonKyu

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9 ขายตัว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.07K
      6
      21 ก.ค. 54

     

    Chapter 9

    ขายตัว

     

                ป๊าฮะ ร้องไห้ทำไม?

     

              เสียงของลูกชายที่ดังขึ้นเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าทำให้ฮยอกแจสะดุ้งตื่นขึ้นมา ฮยอกแจจ้องมองใบหน้าของลูก แววตาของทงเฮไม่ได้หวาดกลัวเขาเหมือนเมื่อวานนี้อีกแล้ว เด็กน้อยอมยิ้มและเกลี่ยมือเล็กๆ มาเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นพ่อด้วยความรัก

     

                ป๊าไม่ได้ร้องไห้ ฝุ่นเข้าตาป๊า

     

                คำโกหกแบบเด็กๆ

     

    ...แต่อี ทงเฮก็เชื่อ

     

    ทงเฮเลื่อนหน้าเข้ามาจุ๊บเปลือกตาของผู้เป็นพ่อแล้วเอ่ยเสียงใส

     

                ไม่เจ็บไม่ปวดนะฮะ

     

                ฮยอกแจปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ทงเฮพูดเหมือนคำที่เขาเคยปลอบลูกเวลาที่ลูกไม่สบาย ฮยอกแจดึงลูกมากอดไว้แนบอกด้วยตัวสั่นเทา เมื่อคืนนี้เขาทำอะไรลงไป

     

                เขาทำร้ายหัวใจของลูกที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้อย่างไรกัน

     

                ป๊าขอโทษนะทงเฮ ป๊าขอโทษ

     

                ขอโทษทำไมฮะ ทงเฮผิดเอง ทงเฮงอแงอยากไปเที่ยวกับลุงจองซู ป๊าอย่าร้องไห้นะฮะ

     

                ฮยอกแจนิ่งอึ้ง เสียงปลอบใจของทงเฮไม่ได้เข้ามาสู่โสตประสาทของเขาอีกต่อไปแล้ว คำพูดของทงเฮกำลังหมายถึงวันที่จองซูออกเดินทางกลับไปต่างจังหวัด

     

                หรือว่า...

     

                ความทรงจำของทงเฮหายไป

     

                ช่วงเวลาที่เลวร้ายไม่ถูกบันทึกไว้ในสมองของคนเป็นลูกเลยแม้แต่นิด

     

                แต่มันก็โชคดีที่อย่างน้อยทงเฮก็ยังจำชื่อของเขาได้ อี ทงเฮเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่สวรรค์มอบให้กับป๊า ป๊าจะไม่ทำให้ทงเฮต้องร้องไห้อีกแล้ว ฮยอกแจได้แต่บอกกับตัวเองเช่นนั้น

     

     

                หลังจากเรื่องราววันนั้น ฮยอกแจก็พร้อมที่จะลืมทุกอย่างเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้บอกจองซูเกี่ยวกับเรื่องทงเฮถูกรถชน ไม่ได้บอกแม้กระทั่งเรื่องที่ทงเฮไม่ใช่ลูกชายของเขา

     

                ฮยอกแจพาทงเฮย้ายออกไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่เขาเก็บเงินซื้อมาหลายปี ในที่สุดฮยอกแจก็มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว แม้จองซูจะโทรมาบ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่าเหงา แต่ฮยอกแจก็ทำได้แค่อ้างว่าอยากสร้างหลักปักฐานให้กับลูกชายเท่านั้น

     

                10 ปีต่อมา...

     

                ป๊าครับ ทงเฮไปโรงเรียนแล้วนะ

     

                ทงเฮตะโกนบอกคนเป็นพ่อที่กำลังทำข้าวกล่องให้ลูกชายอยู่ในครัว ฮยอกแจเดินออกมาแล้วส่งกล่องข้าวไปให้ลูกชายที่น่ารักของเขา

     

                ตอนนี้ทงเฮดูโตเป็นหนุ่มขึ้นมาก ใบหน้าที่ขาวใสบวกกับผิวพรรณที่ดีเหมือนลูกเศรษฐี รวมไปถึงเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายที่กำลังสวมใส่อยู่ทำให้ฮยอกแจคลี่ยิ้มกว้างออกมา

     

                ลูกของปะป๊าหล่อจัง คนเป็นพ่อเอ่ยชม ทว่าทงเฮกลับหน้ามุ่ย

     

                อย่าแทนตัวเองว่าปะป๊าสิครับ ทงเฮโตเป็นหนุ่มแล้วนะ

     

                ถึงจะโตแค่ไหน แต่ทงเฮก็ยังเป็นเด็กในสายตาของปะป๊าเสมอนี่ ฮยอกแจว่าพลางลูบผมของทงเฮที่ถูกเซ็ตเป็นทรงอย่างดี เดี๋ยวนี้เขาไมได้ต้องเซ็ตผมให้ลูกแล้ว ทงเฮชอบที่จะแต่งตัวให้ดูดี ทงเฮไม่เคยก้าวออกจากบ้านด้วยสภาพที่ไม่สมบูรณ์แบบสักครั้ง

     

                ต่างจากเขาที่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบก็สามารถออกไปไหนมาไหนได้ทุกที่

     

                ทงเฮไปเรียนก่อนนะครับ เสียงหวานบอก ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากแดงเชอร์รี่ไปจุ๊บแก้มคนเป็นพ่อ ฮยอกแจยืนนิ่งอึ้ง

     

                นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

     

                ทำไมถึงรู้สึกไม่เหมือนเดิมเวลาที่ทงเฮกอดหรือหอมแก้ม

     

                เพราะทงเฮโตเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักน่าชัง

     

    หรือเพราะ...ทงเฮไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเขา

     

                ป๊า! ทงเฮไปแล้วนะ ทงเฮย้ำอีกครั้ง ฮยอกแจจึงหลุดออกจากภวังค์ทันที

     

                เลิกเรียนแล้วรีบกลับมาเลยนะลูก เดี๋ยวเย็นนี้ป๊าจะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอ

     

                โธ่! ทำกับข้าวทีไร ป๊าก็ไม่เคยอยู่กินพร้อมกับทงเฮสักที

     

                เสียงหวานบอกคนเป็นพ่อด้วยอาการน้อยใจ ฮยอกแจแทบสะอึกกับคำพูดนั้น หน้าคมไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกไปเลยสักนิด มือแกร่งดันแผ่นหลังลูกชายให้รีบเดินออกไปนอกบ้าน

     

                ไปเรียนได้แล้วทงเฮ มันสายมากแล้ว

     

                ทำไมป๊าไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ทำงานให้ทงเฮฟังบ้างเลย ร่างบางขืนตัวไว้แล้วหันมาเอ่ยถาม ฮยอกแจไม่เคยแต่งตัวออกไปทำงานเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ ไม่เคยนำงานจากที่ทำงานกลับมาทำที่บ้านเลย

     

                ทว่าเขาสองพ่อลูกกลับมีเงินใช้อย่างเหลือเฟือ บางครั้งเงินที่มีใช้ออกจะมากกว่าครอบครัวอื่นที่เขาทำงานหนักเสียด้วยซ้ำ

     

                มันไม่ใช่เรื่องของเด็ก ทงเฮมีหน้าที่เรียนหนังสือก็ต้องตั้งใจเรียนไป ฮยอกแจกลอกตาไปมาอย่างมีพิรุธ เขาจะพูดออกไปได้อย่างไรว่างานที่เขาทำอยู่ทุกวันมันเป็นงานที่ต้องแลกกับเรือนร่างของเขาเอง

     

                ถ้าทงเฮรู้...ลูกคงรังเกียจเขา

     

                ทงเฮโตพอที่จะรู้ว่าป๊าทำอะไรที่ไหนยังไง บอกทงเฮมาเถอะนะครับทงเฮถามซ้ำอีกครั้ง ยังไงวันนี้ก็จะต้องรู้ความจริงจากคนเป็นพ่อให้ได้

     

                ไม่! ลูกยังไม่โตฮยอกแจสะบัดหน้าหนี พยายามจะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่สายตาของทงเฮกลับมองเขาอย่างไม่เชื่อใจเลย

     

                ป๊าทำงานที่ไนต์คลับใช่ไหมล่ะ? น้ำเสียงที่เอ่ยถามของทงเฮกำลังทิ่มแทงหัวใจของคนเป็นพ่อให้เจ็บปวด ฮยอกแจกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากลำบาก ทำไมลูกถึงรู้ว่าเขาทำงานในสถานที่แบบนั้น

     

                หรือว่าจองซูจะบอก...

     

                ไปฟังคำพูดของใครมา?ฮยอกแจจับแขนเรียวของทงเฮแล้วเขย่าถามเสียงเข้ม ริมฝีปากของทงเฮสั่นระริก ดวงตากลมโตจ้องหน้าคนเป็นพ่ออย่างไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

     

                เพื่อนๆ ของทงเฮเห็นป๊าเดินออกมาจากไนต์คลับกับผู้ชายคนหนึ่ง พวกเขาบอกว่าป๊าของทงเฮขายตัว ที่จริงป๊าขายตัวแลกเงินใช่ไหม?!”

     

                เพียะ!

     

                ฮยอกแจฟาดฝ่ามือเต็มใบหน้าของลูกชาย ทงเฮหันขวับไปตามแรงตบ มือบางยกขึ้นมากุมหน้าที่ร้อนผ่าวโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าคนเป็นพ่อตาขวาง

     

                เดี๋ยวนี้ทงเฮเชื่อคนอื่นมากกว่าป๊าแล้วเหรอ?เสียงทุ้มเอ่ยถาม

     

                แล้วป๊าขายตัวจริงๆ หรือเปล่าล่ะ

     

                ไม่ใช่! เลิกถามแล้วก็ออกไปเรียนได้แล้ว

     

                ฮยอกแจวาดนิ้วมือออกไปทางประตูบ้าน ทงเฮคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหนีออกไปในทันที ร่างโปร่งเซถอยหลังไปชนกับโซฟาหนังสีดำตัวใหญ่ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาเต็มอก

     

                เขาตบหน้าทงเฮ

     

                เป็นครั้งแรกที่ฮยอกแจตบหน้าของทงเฮ...

     

     

                “ซีวอน เย็นนี้ไปกินข้าวนอกบ้านกันนะ”

     

                คยูฮยอนเอ่ยถามคนรักขึ้นในขณะที่มือเรียวก็จัดการผูกเนคไทให้ซีวอนอย่างคล่องแคล่ว ร่างสูงดันมือของอีกฝ่ายออกห่าง ก่อนจะหันไปผูกเนคไทด้วยตนเอง

     

                “วันนี้ผมต้องอยู่เวร”

     

                “ออกมากินข้าวด้วยกันสักแปบก็ไม่ได้เลยเหรอ?”

     

                คยูฮยอนเอ่ยถามอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ซีวอนต้องเป็นแพทย์ประจำอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ ซีวอนก็มีเวลาให้กับคยูฮยอนน้อยลง เขาทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินมาให้คยูฮยอนใช้ บอกให้คยูฮยอนลาออกจากโรงพยาบาลแล้วอยู่บ้านเฉยๆ

     

                “ผมไม่อยากให้คยูฮยอนเหนื่อย”

     

                คำพูดที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ในวันนั้นทำให้คยูฮยอนหลงคิดไปว่าคนรักเป็นห่วงเขาจริงๆ แต่พอมานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเฉยๆ คยูฮยอนกลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงา

     

                แต่ก่อนพอถึงตอนเที่ยงยังได้ไปกินข้าวกับซีวอน ได้พูดคุยกันบ้าง

     

                เดี๋ยวนี้กลับมาบ้านทีไรซีวอนก็เอาแต่อารมณ์เสียและบ่นว่าเหนื่อย

     

                “ผมไปนะ” เขาไม่ตอบคำถามด้วยซ้ำ แต่งตัวเสร็จก็ทำท่าจะเดินออกไปทันที

     

                “วันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของเรานะซีวอน”

     

                คยูฮยอนบอกเสียงแผ่วเบา เขาไม่อาจจะเก็บกลั้นความเสียใจเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ทำไมคยูฮยอนจะต้องทนอยู่กับผู้ชายคนนี้ มันไม่ใช่เพราะคำว่ารักหรอกเหรอ

     

                “เราไม่ใช่เด็กๆ ที่จะต้องมาสนใจกับวันครบรอบบ้าบออะไรแล้วนะ ผมต้องรีบไปทำงาน คยูฮยอนอย่าเพิ่งมางี่เง่าตอนนี้ได้ไหม?”

     

                ซีวอนบอกแล้วถือกระเป๋าเดินออกไปจากบ้านทันที

     

                “แล้วนายมาขอฉันแต่งงานทำไมซีวอน”

     

                คยูฮยอนถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบออกมาจากร่างสูง แผ่นหลังกว้างที่หันหลังให้เขาพร้อมกับประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดใส่หน้าเสียงดังทำให้คยูฮยอนใจหาย

     

                วันครบรอบบ้าบอเหรอ?

     

                โจ คยูฮยอนเป็นคนงี่เง่าเหรอ?

     

                เขาไม่ได้อยากร้องไห้เหมือนคนไม่มีเหตุผล แต่บางครั้งเขาก็หาเหตุผลให้ขึ้นมาอยู่เหนืออารมณ์ที่อ่อนไหวไม่ได้ ซีวอนเปลี่ยนไป

     

                ซีวอน...ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

     

     

                เสียงออดดังบอกเวลาทำให้เด็กนักเรียนทุกคนต่างเก็บของใส่กระเป๋าอย่างเร่งรีบ แต่ทงเฮกลับค่อยๆ หยิบหนังสือใส่กระเป๋าทีละเล่ม เขาแค่ไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ ทงเฮยังไม่พร้อมที่จะเจอกับพ่อ

     

                พ่อต้องทำงานที่ไนต์คลับแน่ๆ

     

                พ่อเป็นผู้ชายขายตัว

     

                ความคิดที่หลั่งไหลเข้ามามากมายทำให้ทงเฮอารมณ์เสีย เขารูปซิปกระเป๋าแล้วยกขึ้นมาสะพายบ่า ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินผ่านประตูห้องออกไป ร่างสูงของใครบางคนก็มายืนขวางทางไว้

     

                “จะกลับบ้านแล้วเหรอ พี่ไปส่งนะ”

     

                คิม จงอุนเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายปีสามที่หน้าตาหล่อเหลาไม่เบา เขาเป็นหลานของลุงจองซูที่ฮยอกแจกับทงเฮเคยอาศัยบ้านอยู่ด้วยเมื่อสิบปีก่อน แม้ว่าพ่อของทงเฮจะย้ายบ้านออกมานานแล้ว แต่ลุงจองซูก็พยายามยัดเยียดให้หลานชายมาวุ่นวายกับชีวิตของทงเฮอยู่เรื่อยๆ

     

                “ไม่ต้องหรอกครับ ทงเฮเดินกลับเองได้” ร่างบางเบี่ยงตัวหนีแล้วทำท่าจะเดินผ่านไป

     

                “พี่ว่าจะไปเยี่ยมอาฮยอกแจอยู่พอดี ให้พี่ไปส่งนะ” จงอุนคว้ากระเป๋าเป้จากไหล่บางไปถือเอาไว้

     

                “ก็บอกว่าไม่ต้องไง!” ทงเฮตวาดลั่น เมื่อเบี่ยงตัวหลบเข้ามากๆ กระเป๋าที่ยื้อแย่งกันก็ร่วงหล่นลงบนพื้น กระเป๋าที่ปิดไม่สนิททำให้กล่องข้าวกระเด็นออกมาจนข้าวกระจายไปเต็มพื้นไปหมด

     

                ทงเฮไม่ได้แตะต้องข้าวกล่องที่พ่อเป็นคนทำให้เลยสักนิด

     

                “ทำไมวันนี้ทงเฮกินข้าวไม่หมดล่ะ อาฮยอกแจทำไม่อร่อยเหรอ?”

     

    จงอุนเอ่ยถามเพราะเขารู้ดีว่าทงเฮนั้นเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของพ่อมากแค่ไหน ทงเฮกินข้าวที่พ่อทำมาให้หมดเกลี้ยงทุกครั้ง และทงเฮก็บอกคนอื่นๆ ว่าพ่อของเขาทำอาหารอร่อยที่สุดในโลก

     

                “พี่จงอุนจะมายุ่งทำไม” เสียงใสตวัดถามอย่างรำคาญ

     

                “พี่ก็แค่สงสัย ปกติแล้ว...”

     

                “อย่ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมนักได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของลุงจองซูหรือเป็นความรู้สึกของพี่จงอุนเองก็ตาม ไม่ต้องยุ่ง!

     

                ทงเฮตวาดลั่นอย่างโมโห เขาคว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมารูดซิปให้สนิทอีกครั้งโดยไม่คิดจะเก็บกล่องข้าวกลับขึ้นมาเลย ร่างบางหันหลังแล้วเดินหนีจงอุนออกมาเงียบๆ

     

                ทงเฮรู้ดีว่าจงอุนคิดอย่างไรกับตัวเอง

     

                แต่เขาไม่ชอบให้มีคนมาคอยควบคุมดูแลแบบนี้ ทงเฮไม่อยากรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษ

     

                “จะรีบไปไหนเหรออี ทงเฮ?”

     

                เสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนพิงราวบันไดเอ่ยทักขึ้น ทงเฮหันขวับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์

     

                “เสือกอะไรด้วยล่ะ” เสียงหวานกระชากตอบ

     

                “อย่าปากดีนักนะ แค่พี่ยูชอนมาขอเป็นแฟน คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือยังไง”

     

                ผู้ชายคนนั้นเริ่มส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกทงเฮก็ว่าจะเดินหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่พอถูกถามด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น ใบหน้าหวานก็หันขวับกลับไปทันที

     

                “นายอิจฉาฉันเหรอ?”

     

                “หึ ทำไมจะต้องอิจฉาด้วย เพราะอีกไม่นานแกก็คงโดนพี่ยูชอนทิ้ง”

     

                “งั้นถ้าวันไหนเขาทิ้งฉัน ฉันจะเหลือเดนไว้ให้นายกินต่อแล้วกัน”

     

                ทงเฮเบะปากอย่างสมเพชกับคนตรงหน้า ก็แค่แฟนคลับของปาร์ค ยูชอนที่มีแต่ความอิจฉาริษยา มือเรียวกระชับกระเป๋าไว้แน่น ก่อนจะเดินลงบันไดไป ทว่าศีรษะได้รูปกลับถูกกระชากไปด้านหลังอย่างแรง

     

                “อย่าโอหังให้มากนักอี ทงเฮ!!!

     

                ผู้ชายร่างโปร่งคนนั้นเหวี่ยงทงเฮกระเด็นลงไปตรงจุดพักระหว่างชั้น ก่อนจะตามไปคว้าคอเสื้อของทงเฮขึ้นมาแล้วจับหน้าทงเฮกระแทกเข้ากับฝาผนัง ทงเฮอยากจะหันหลังกลับไปสู้อีกฝ่าย หากแต่เขากลับสู้เรี่ยวแรงของคนๆ นั้นไม่ได้เลย

     

                “ฉันอยากรู้นักว่าถ้าเขารู้ว่าพ่อของแกเป็นผู้ชายขายตัว เขาจะยังเอาแกอยู่ไหม”

     

                หน้าผากของทงเฮถูกจับกระแทกกับผนังปูนอีกหลายครั้ง หากแต่เมื่อถูกพูดเหยียดหยามถึงพ่อ ทงเฮกลับสะบัดตัวหันหลังกลับมาแล้วผลักอีกฝ่ายไปนอนกับพื้นทันที

     

                “พ่อฉันไม่ได้ขายตัว!” ทงเฮขึ้นไปนั่งคร่อม ก่อนจะกระชากผมของคนตรงหน้าด้วยร่างที่สั่นเทา มือบางบีบลำคอของอีกฝ่ายแน่นอย่างไร้สติ

     

                “ใครๆ ก็รู้...”

     

                “หุบปากเน่าๆ ของแกเดี๋ยวนี้นะ”

     

                “รับ...ไม่ได้...เหรอ?”

     

                “ฉันบอกให้หยุดพูดไง!” ทงเฮตะโกนลั่น มือบางเกร็งแน่นบีบคอจนอีกฝ่ายหายใจติดๆ ขัดๆ ดวงตากลมโตที่เคยสดใสของทงเฮฉายแววโรจน์จนน่ากลัว นิ้วหัวแม่มือกดแน่นอย่างไม่คิดจะปล่อยจนคนที่อยู่ด้านล่างอ้าปากอย่างขอชีวิต

     

                “ทงเฮ...พอได้แล้ว อย่าทำแบบนี้” จงอุนรีบวิ่งมากระชากร่างบางถอยออกห่างจากเด็กหนุ่มอีกคน เด็กคนนั้นรีบวิ่งหนีไปจากที่นั่น ส่วนทงเฮกลับยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสายด้วยความปวดร้าว

     

                “ทงเฮอย่าไปฟังคนพวกนั้นเลย เขามีปากเขาก็พูดไปทั่ว ป๊าของทงเฮไม่ได้ทำงานแบบนั้นหรอก”

     

                จงอุนคว้ามือเรียวมาจับไว้อย่างปลอบโยน หากแต่มือของทงเฮกลับสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ทงเฮขบฟันเกร็งแน่น นัยน์ตาจ้องมองตามแผ่นหลังของคนๆ นั้นออกไปอย่างเคียดแค้น พ่อของเขาเป็นอย่างที่คนอื่นพูดจริงๆ เหรอ ทงเฮทั้งโกรธทั้งแค้น ก้อนเนื้อที่หน้าอกข้างซ้ายมันคับแน่นไปหมด ความเสียใจถูกปลดปล่อยออกมาทางน้ำตาเท่านั้น ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมาเลย

     

                “เรากลับบ้านกันนะ” จงอุนค่อยๆ ประคองคนตัวเล็กออกมา ทว่า...

     

                “...ฮืด...” ทงเฮหายใจหอบรุนแรงขึ้น น้ำตายังคงรินไหลออกมามากมาย ริมฝีปากบิดเบี้ยว ดวงตาขวางและไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมาเลยแม้แต่นิด

     

                “ทงเฮ เป็นอะไรไป?!

     

                “...ฮืด...” จงอุนแทบประคองร่างเล็กเอาไว้ไม่อยู่เมื่อทงเฮทรุดฮวบลงไปกับพื้น เขารู้ว่าทงเฮเป็นโรคหอบหืดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว จงอุนรีบหยิบยาพ่นในกระเป๋าของทงเฮออกมา ก่อนจะกดยาพ่นเข้าปากร่างเล็ก หากแต่เสียงหายใจก็ยังคงดังฮืดฮาดอยู่เรื่อยๆ

     

                “ทงเฮใจเย็นๆ นะ อย่าเป็นอะไรไปนะอี ทงเฮ”

     

     

                “ฮันกยอง...อะ...อ๊า...”

     

                เสียงครางกระเส่าดังขึ้นเมื่อร่างกายถูกรุกล้ำจากคนด้านหลัง ผู้ที่ถูกเรียกชื่อกระตุกยิ้มร้ายอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกระแทกกระทั้นตัวเข้าไปตามกามารมณ์ที่พุ่งพล่าน

     

                “พอก่อน...ฉะ...ฉัน...หายใจไม่ทัน...อ๊า...”

     

                เสียงหวานร้องอ้อนวอนต่อร่างกำยำที่เชิดหน้าขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดสูงสุด คำพูดขอร้องไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในหูของฮันกยองเลยสักนิด เขาบีบสะโพกมนด้วยความเกร็งอย่างถึงที่สุด ก่อนจะเร่งความเร็วเพิ่มไปมากยิ่งขึ้นตรงข้ามกับความปรารถนาของอีกฝ่าย

     

                “อ๊ะ...อ๊า...”

     

                เสียงครางครั้งสุดท้ายดังยาวปะปนมาพร้อมกับเสียงเหนื่อยหอบ ร่างบอบบางทรุดลงไปนอนราบกับเตียงอย่างหมดแรง

     

                “ไอ้ฮันกยอง แกกะเอาให้ฉันตายเลยหรือไง”

     

                “จะบ่นทำไมในเมื่อพี่เป็นคนเรียกร้องก่อนทุกครั้ง”

     

                คิม ฮีชอลค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นนั่งพิงขอบเตียงเอาไว้ ก่อนจะมองฮันกยองด้วยหางตา หลังจากวันที่เขาโดนข่มขืนในวันนั้น ฮีชอลก็ไม่คิดจะปั้นผู้ชายคนนี้ให้เป็นดาราในสังกัดอีก เขาควรจะปล่อยให้เรื่องเลวร้ายมันผ่านไปเหมือนสายลม

     

                แต่เพราะสัมผัสที่วิเศษจากฮันกยองทำให้ฮีชอลเป็นคนเรียกร้องอยู่บ่อยครั้ง

     

                คนหนึ่งชอบความรุนแรง...

     

                ส่วนอีกคนก็ชอบถูกกระทำด้วยความรุนแรงเช่นกัน...

     

                พวกเขารู้จักกันมานานถึงสิบปีก็จริง แต่ทั้งสองไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์ที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้เลย ฮันกยองแค่โทรตามฮีชอลมาหาในเวลาที่เหงา และบางครั้งฮีชอลก็เป็นคนตามฮันกยองออกไปร่วมรักด้วยเช่นเดียวกัน

     

                แม่ของฮันกยองเสียชีวิตมาหลายปีแล้ว หากแต่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมาจากดวงตาแข็งกร้าวของฮันกยองเลยสักนิด เขายังใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป เรียนหนังสือและใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยไปวันๆ

     

                “ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

     

                ฮีชอลลุกขึ้นยืนแล้วใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากห้องโดยที่ไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก เมื่อลงมาถึงด้านล่าง ฮันกยองก็เดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่เขาจองเอาไว้

     

                ความจริงแล้ววันนี้ฮันกยองและฮีชอลออกมาดื่มเหล้ากัน แต่พอดื่มไปได้สักพักก็ขึ้นไปปลดปล่อยอารมณ์บนชั้นสองที่จัดเตรียมไว้สำหรับแขก

     

                “นายไม่คิดจะลองเด็กๆ พวกนั้นบ้างเลย”

     

                ฮีชอลพยักเพยิดไปยังเด็กหนุ่มร่างบอบบางที่ยืนเรียงแถวรอให้แขกเรียกใช้บริการ ฮันกยองหันไปมองตามสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหน้า

     

                “หุ่นบางๆ แบบนั้นคงสนองอารมณ์ผมไม่ได้หรอก”

     

                คำตอบของคนตรงข้ามทำให้ฮีชอลยิ้มอย่างพอใจ ฮีชอลไม่ต้องการหัวใจของฮันกยอง แต่เขาชอบที่จะให้ฮันกยองชื่นชมว่าเขาสุดยอดมากแค่ไหน

     

                หากแต่เมื่อฮันกยองกำลังจะหันกลับมา สายตาคมกริบกลับเหลือบไปเห็นร่างโปร่งที่เดินลงบันไดมาด้วยท่าทางอิดโรย ดูจากสภาพภายนอกเหมือนเพิ่งผ่านการบริการลูกค้ามาหมาดๆ และหน้าตาก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย

     

                แต่ทำไมถึงยังมีเสน่ห์น่าดึงดูดแบบนี้

     

                “ผมชอบคนนั้น!” ฮันกยองชี้นิ้วไปทางผู้ชายคนหนึ่ง ฮีชอลหันไปก็รู้สึกไม่ถูกชะตาในทันที เพราะแม้แต่เขาเองยังสัมผัสถึงสายตาที่มีเสน่ห์ของผู้ชายคนนั้นได้

     

                “แล้วนายมาบอกฉันทำไม” ฮีชอลตวัดเสียงถาม ทว่าไม่ยังไม่ทันที่ฮันกยองจะได้ตอบคำถามของเขา ร่างสูงก็ลุกออกไปหาผู้ชายคนนั้นเสียแล้ว

     

                อีกด้านหนึ่งในไนต์คลับแห่งนั้น ฮยอกแจยู่หน้าเมื่อได้กลิ่นเหม็นอับชวนเวียนหัว เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังเหวี่ยง ทว่าเมื่อกำลังจะล้มลง ใครบางคนก็ประคองร่างของเขาเอาไว้

     

                “เท่าไร?” เขาไม่คิดถามว่าฮยอกแจเป็นอะไรไหมเลยแม้แต่นิด

     

                “ผมเพิ่งรับแขกมาครับ” ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นไปตอบอย่างสุภาพ

     

                “ฉันถามว่าเท่าไร ฉันจ่ายให้นายไม่อั้นอยู่แล้ว”

     

                เขาบีบแขนแกร่งของฮยอกแจจนเขี้ยวเป็นจ้ำๆ ฮยอกแจรีบบิดข้อมือของตัวเองออกแล้วเดินไปยืนรวมกับชายบริการ เมื่อยกข้อมือที่เขียวคล้ำขึ้นดูนาฬิกาก็ยิ่งเป็นห่วงลูก ทงเฮไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขาเลย ไม่รู้ว่าโกรธเรื่องเมื่อเช้าหรือเปล่า ไม่รู้ว่าลูกจะกลับบ้านแล้วหรือยัง

     

                “ฮยอกแจ ไปรับแขกชั้นสอง”

     

                ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามาบอกเสียงเข้ม ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นไปจะเอ่ยถาม หากแต่คนนั้นกลับหันไปทางผู้ชายร่างสูงคนนั้น

     

                “แต่ผมยังไม่ได้พักเลย”

     

                “ก็คนนั้นเขาบอกว่าจ่ายไม่อั้นนี่ รีบๆ ไปซะ อย่าขัดใจลูกค้า”

     

                ชายร่างยักษ์กระชากฮยอกแจให้ออกไปทางร่างสูงที่ยืนรอยอยู่ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของฮยอกแจสั่นขึ้นมาพอดี เมื่อเขาหยิบออกมาดูก็พบว่าจงอุนโทรเข้ามาหา ฮยอกแจกำลังจะกดรับสาย หากแต่เสียงของชายร่างหนากลับตวาดขึ้น

     

                “ไปเดี๋ยวนี้ฮยอกแจ!

     

                ฮยอกแจจำใจเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง พยายามคิดในแง่ดีว่าจงอุนอาจจะโทรมาบอกว่าอยู่กับทงเฮก็ได้ แขนแกร่งของชายร่างสูงคนนั้นวาดมาโอบไหล่ของฮยอกแจเอาไว้ ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก

     

                “ฉันชื่อฮันกยองนะ ครางชื่อฉันดังๆ ล่ะ ฉันซื้อนายมาแพง”

     

     

                ใช่ว่าซีวอนจะไม่รู้สึกผิดที่พูดกับคยูฮยอนออกไปแบบนั้น แต่ช่วงนี้เขาทำงานหนักมากจริงๆ ที่โรงพยาบาลมีแพทย์หลายคนได้ทุนไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศทำให้แพทย์ขาดแคลนและเขาจึงต้องเข้าเวรบ่อยมากขึ้นจนกว่าแพทย์จะย้ายเข้ามาใหม่

     

                ซีวอนไม่เคยลืมว่าวันนี้เป็นวันอะไร

     

                ตาคมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังหลายครั้ง คยูฮยอนอาจจะกำลังร้องไห้ หรือไม่ก็รอเซอร์ไพรส์เขาอยู่ที่บ้าน

     

                หรือเขาจะทิ้งงานแล้วหนีกลับบ้านไปหาคยูฮยอนดีนะ

     

                ซีวอนเอนตัวพิงหลังไปกับพนักเก้าอี้อย่างคิดไม่ตก เขาไม่อยากเป็นคนทำตัวเหลวไหลเลย แต่เขาก็ลบเสียงเศร้าๆ ของคยูฮยอนในตอนเช้าออกไปจากความคิดไม่ได้

     

                “คยูฮยอน รอผมด้วยนะ”

     

                ซีวอนผุดลุกขึ้นยืนแล้วถอดเสื้อกาวน์สีขาวออก ทว่ายังไม่ทันที่จะคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปจากห้อง พยาบาลวัยกลางคนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องทันที

     

                “คุณหมอชเวคะ คนไข้อาการหนักมากเลยค่ะ”

     

     

    Talk with Lee Seen

                อยากอ่าน NC ฮันฮยอกหรือเปล่าคะ? หึหึ

    ตอนหน้ามี NC แน่ๆ หนึ่งคู่ รู้สึกว่า...เรื่องนี้จะมีฉากรักบ่อยเกินไปแล้วนะ

    เอาน่า...ตอนนั้นมาดูพ่อหึง เอ้ย! หวงลูก...

    พร้อมกับเปิดตัวปะ...ปะ...ปะ...ปาร์ค ยูชอน!!!!!!!!!!!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×