[SF] ----- พลาดท่ารัก ----- [EunHae] - [SF] ----- พลาดท่ารัก ----- [EunHae] นิยาย [SF] ----- พลาดท่ารัก ----- [EunHae] : Dek-D.com - Writer

[SF] ----- พลาดท่ารัก ----- [EunHae]

โดย Lee Seen

หยุดหลอกพี่ชายของฉัน หยุดสูบเงินจากครอบครัวของเราได้แล้ว นายไม่มีอะไรเหมาะสมกับพี่ฮันกยองเลยสักนิด!

ผู้เข้าชมรวม

3,218

ผู้เข้าชมเดือนนี้

4

ผู้เข้าชมรวม


3.21K

ความคิดเห็น


18

คนติดตาม


23
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  16 ธ.ค. 54 / 12:27 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

Happy Birthday น้องบ๋อมสุดที่รัก(เด็กฮันชอล, อึนเฮ)
ขอให้ชีวิตในชาตินี้มีแต่ความสุขสมหวังทุกประการ สาธุ!



ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ

     

    Title : พลาดท่ารัก

    Paring : Eunhyuk x Donghae

     

                รถยนต์สปอร์ตยี่ห้อปอร์เช่เคย์แมนสีน้ำเงินคันหรูที่ราคาเหยียบสองร้อยล้านวอนจอดสนิทลงหน้าร้านอาหารซอมซ่อร้านหนึ่ง เจ้าของรถเปิดประตูออกแล้วก้าวลงมาด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง มือหนาผลักประตูให้ปิดลงตามแรงโทสะของตัวเอง ก่อนจะเดินบุ่มบ่ามเข้าไปในร้าน เล่นเอาหนึ่งในเจ้าของร้านถึงกับเสียขวัญ

     

                “เอ่อ ต้องการทานอะไรเหรอคะ...”

     

                “คิม ฮีชอลอยู่ไหน?!” เสียงกร้าวตวาดขึ้นทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ ดวงตารีเล็กเหมือนชาวเกาหลีทั่วไป ทว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด เส้นผมสีโอ๊คที่ตัดสั้นและถูกจัดทรงอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยตามแฟชั่นทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้น ผิดก็แต่น้ำเสียงที่เขาใช้ และสายตาที่เขากำลังมองไปรอบๆ ร้านอาหารอยู่ในตอนนี้

     

                “ถามหาพี่ฮีชอลทำไม?” จากน้ำเสียงที่ใช้ต้อนรับลูกค้าในคราวแรกก็เปลี่ยนเป็นเรียบตึงทันที

     

                “ฉันถามว่าคิม ฮีชอลอยู่ที่ไหน อยู่ในบ้านหรือเปล่า?!” เขาเอ่ยคำถามเดิมอีกครั้ง ก่อนจะสอดสายตาเข้าไปในบ้าน อีกคนจึงเดินมาขวางทางไว้ แม้จะแต่งตัวมอซอ หากศักดิ์ที่มีอยู่ในจิตใจก็ไม่อาจให้ใครมาทำลายได้ง่ายๆ

     

                “ฉันไม่บอกจนกว่านายจะบอกมาก่อนว่าถามหาพี่ฮีชอลทำไม แล้วอีกอย่างนะ...ดูท่าทางนายจะอายุน้อยกว่าเขา โปรดให้เกียรติพี่ชายของฉันด้วย”

     

                “มีอะไรเหรอทงเฮ? เสียงดังไปถึงหลังร้านเชียว อ้าว...คุณฮยอกแจ” คิม ฮีชอลที่ทุกคนตามหาย้ายตัวเองออกมาจากหลังร้าน ก่อนจะเอ่ยถามน้องชายที่กำลังคุยกับลูกค้าคนหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อฮีชอลได้พบหน้าคนที่คิดว่าเป็นลูกค้า ดวงตาคู่สวยกลับเบิกกว้าง คำทักทายที่เหมือนจะรู้จัก ทว่าไม่สนิทสนมทำให้อี ทงเฮผู้เป็นน้องชายแท้ๆ อดสงสัยไม่ได้

     

                “อยู่นี่เองเหรอ? ฉันนึกว่านายจะออกไปสูบเงินพี่ฮันกยองซะอีก?” ฮยอกแจหรืออี ฮยอกแจลูกชายคนเล็กของตระกูลอีพูดกับฮีชอล ก่อนจะเบ้ปากแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น เขาไม่ได้อยากจะมาที่นี่เพื่อพูดกับคนที่สูบเงินจากพี่ชายของเขา แต่ที่จำเป็นต้องมาเพราะว่าคุณแม่ขอร้องให้มา

     

                “วันนี้ฮันกยองไม่มาหรอกครับ เขามีประชุมที่บริษัท แล้วอีกอย่าง...ผมก็ไม่ได้สูบเงินจากเขา ไม่เคยคิด!” ฮีชอลว่าอย่างระงับอารมณ์ของตัวเอง ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ แต่ที่ต้องยอมเพราะคนๆ นี้เป็นน้องชายของคนรัก แม้ว่าจะไม่ชอบเขาก็ตาม แต่ฮีชอลก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปตอบโต้ฮยอกแจได้

     

                จริงๆ แล้วเขาไม่มีอะไรไปตอบโต้ฮยอกแจได้เลย

     

                “งั้นนายก็คงผิดหวังล่ะสิ ที่วันนี้ไม่ได้เงินจากพี่ชายของฉัน”

     

                “คุณฮยอกแจ!” ฮีชอลเบิกตากว้างกับคำพูดดูถูกที่ยังคงหลั่งไหลออกมาจากปากของลูกชายมหาเศรษฐีตรงหน้า

     

                แต่ในขณะที่เขายังนิ่งเฉยอยู่นั้น คนเป็นน้องชายกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป

     

                “นี่! หยุดพูดจาต่ำๆ กับพี่ฮีชอลเดี๋ยวนี้นะ” ทงเฮบอกแล้วยืนขวางทางระหว่างคนสองคนเอาไว้ เขาจ้องหน้าฮยอกแจอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

     

                “ฉันพูดต่ำตรงไหน แค่พูดความจริง” เขาเอ่ยพลางยักไหล่

     

                “ฉันบอกให้หยุด!

     

                “อี ทงเฮ” ฮีชอลดึงแขนเสื้อของน้องชายไว้อย่างขอร้อง แต่ทงเฮกลับสะบัดออกอย่างแรง

     

                “พี่ชายของเธอต่างหากที่ควรจะหยุด” ฮยอกแจบอก ก่อนจะหันไปหาฮีชอลอีกครั้งหนึ่ง “หยุดหลอกพี่ชายของฉัน หยุดสูบเงินจากครอบครัวของเราได้แล้ว นายไม่มีอะไรเหมาะสมกับพี่ฮันกยองเลยสักนิด!” ฮยอกแจเอ่ยดังลั่นร้าน ทงเฮเห็นพี่ชายน้ำตาคลอด้วยความเสียใจจึงรีบดันฮีชอลไปหลังร้าน ก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา และหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนไร้มารยาทอย่างฮยอกแจอีกครั้ง เขาเชิดหน้าขึ้นด้วยความไม่ยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยคำ

     

                “ถึงพี่ชายของฉันจะคบกับพี่ชายของนาย แต่เขาก็ไม่เคยสูบเอาเงินจากใคร ครอบครัวเรามีศักดิ์ศรีมากพอ แล้วอีกอย่าง...พี่ฮีชอลก็ไม่ได้ไปหาเขาก่อน พี่ชายนายต่างหากที่ตามมาเทียวไล่เทียวขื่อพี่ชายของฉันทุกวัน”

     

                “งั้นเหรอ?” ฮยอกแจตอบสั้นๆ หลังจากที่ทงเฮพูดไปเสียยืดยาว นั่นจึงยิ่งทำให้เจ้าของร้านอาหารเดือดดาลมากขึ้นไปอีก ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดเพราะโมโหที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้จึงเดินไปคว้าตะหลิวทำครัวมาเป็นอาวุธ แล้วชี้หน้าด่าคนรวยที่แสนป่าเถื่อน

     

                “ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้นะ แล้วก็อย่ามายุ่งกับครอบครัวเราอีก ไม่งั้นฉันเอาตายแน่”

     

                “งั้นก็บอกพี่ชายของเธอก่อนสิว่า...เลิกยุ่งกับพี่ฮันกยองได้แล้ว” ฮยอกแจเอ่ยอีกครั้ง เขายังคงวางมาดอย่างเป็นต่อและเหนือชั้นกว่าทงเฮทุกประการ มือที่ถือตะหลิวจึงยกขึ้นเตรียมฟาดหัวอีกฝ่าย

     

                “พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม ถ้านายไม่ออกไปตอนนี้ ฉันจะฟาดให้เละเลย!

     

                แทนที่ฮยอกแจจะกลัว เขากลับพิจารณาร่างกายของคนตรงหน้า โดยเฉพาะท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามขัดกับใบหน้าหวานๆ ที่เหมือนผู้หญิงในร่างผู้ชาย

     

                ...หรืออาจจะเป็นผู้ชายในร่างผู้หญิงก็ได้

     

                “โถ...ทำเป็นอัพกล้ามให้โต คิดว่าจะเท่เหมือนผู้ชายอย่างฉันหรือไง” ฮยอกแจยกแขนขึ้นกอดอกแล้วหรี่ตาจ้องมองท่อนแขนของทงเฮ ก่อนจะเอ่ยกระทบกระเทียบ

     

                “วะ...ว่าไงนะ? ทอมเหรอ?” เขาแทบปรี๊ดแตก อี ทงเฮเป็นผู้ชายนะเว้ย เป็นผู้ชายทั้งแท่งเชียวละ ไอ้หมอนี่มันชักยังไงกัน เห็นเขาเป็นผู้หญิงหรือไง

     

                แต่ทันใดนั้น ฮยอกแจก็โน้มลงมากระซิบข้างหูเขาด้วยท่าทางที่จู่โจมจนแทบตั้งตัวไม่ทัน

     

                “ของแบบนี้ ต้องลองสักครั้ง รับรอง...เธอได้กลับไปใส่กระโปรงแน่”

     

                “ไอ้บ้า!” ทงเฮแหวอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกระชากข้อมือของฮยอกแจมาสัมผัสที่หน้าอกของตัวเองอย่างแรง ฮยอกแจอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

     

                “มะ...ไม่...ไม่มีหน้าอก?”

     

                “ก็เออดิ ฉันเป็นผู้ชาย!” ทงเฮยืนยันเพศของตัวเอง แต่ฮยอกแจกลับไม่เชื่อ เขาส่ายหน้าระรัวกับความจริงอันหน้าตกใจนั้น ผู้ชายที่ไหนในโลกใบนี้ที่จะหน้าหวานเหมือนกับผู้หญิง แต่กล้ามกลับโตยิ่งกว่าเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์อย่างเขาเสียอีก

     

                ในขณะที่ทงเฮเอาแต่จ้องมองใบหน้าอึ้งๆ ของฮยอกแจอยู่นั้น มือหนาก็เลื่อนลงไปด้านล่างสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของทงเฮอย่างเต็มไม้เต็มมือ

     

                คราวนี้ฮยอกแจเบิกตาโพลงยิ่งกว่าเดิม

     

                “ผู้ชายจริงๆ เหรอเนี่ย?!” เขาถามจากทงเฮอีกครั้ง

     

                “อ๊าก!!!!!!!!! ไอ้บ้า ไอ้หื่นกาม ไอ้...ไอ้...” ทงเฮโวยวายลั่นอย่างหัวเสีย อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาจับปิกาจูของเขาหน้าตาเฉย แถมยังยืนนิ่งเป็นลิงอมขี้อยู่ในร้านของเขาอีก อย่างนี้มันต้อง...ตาย!!!

     

                “หยุดเลย!” ฮยอกแจที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วรวบข้อมือทงเฮทั้งสองข้างของทงเฮไว้แน่นเมื่อเห็นว่าทงเฮกำลังยกตะหลิวจะฟาดเขา ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นตามเจตนารมณ์เดิมของตัวเอง “ฉันมาธุระแค่นี้แหละ เธอ...เอ้ย! นาย...ช่วยไปบอกพี่ชายของนายไว้ด้วยก็แล้วกัน เลิกยุ่งกับพี่ชายของฉัน ไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน” ฮยอกแจพูดจบก็รีบหมุนตัวเดินออกไปจากร้านอาหารทันที ทงเฮจะด่าก็ด่าไม่ออก เพราะตอนนี้เขาอยู่ในอาการช็อคไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

                “อ๊ากกกกกกกกกกกก”

     

     

                สองวันต่อมา ในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีขาวเกือบทั้งห้องมีคนกำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่บนเตียงกว้าง เครื่องปรับอากาศที่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมไม่ส่งเสียงใดๆ รบกวนการนอนเลย ในห้องนี้จึงเปรียบเหมือนเป็นสวรรค์บนดินของฮยอกแจ

     

                แต่แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งก็หวีดร้องขึ้นตั้งแต่เช้า

     

                “ฮยอกแจ!!!!!!!!!!!” ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก กว่าจะรู้ตัวอีกที หญิงวัยกลางคนที่มีหน้าตาสละสวยก็ประชิดเข้าถึงเตียงนอนของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอกระแทกตัวนั่งลงข้างชายหนุ่ม ก่อนจะดึงผ้าห่มสีเบจออกแล้วเขย่าตัวร่างโปร่งที่ยังตื่นไม่เต็มตาอย่างรุนแรง

     

                “แม่!

     

                “ฮยอกแจ ลูกต้องจัดการให้แม่นะ ไอ้หนุ่มบ้านนอกนั่นมันมาบ้านเราอีกแล้ว” เธอเอ่ยขึ้นราวกับประสาทเสียขั้นรุนแรง ฮยอกแจจึงค่อยๆ ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง

     

                “แม่หมายถึงใครอ่ะครับ?”

     

                “จะใครซะอีกล่ะ ก็คิม ฮีชอลแฟนของพี่ชายลูกไง ฮยอกแจต้องจัดการให้แม่นะ แม่ไม่ชอบมัน ไม่ชอบๆๆ”

     

                “โธ่...แม่! ก็ถ้าพี่จะรักผู้ชายคนนั้นก็ปล่อยให้เขารักกันไปสิครับ” ฮยอกแจบอกอย่างหัวเสียไม่แพ้กัน ใช่แล้ว เขาไม่ได้เห็นด้วยกับผู้เป็นมารดาเสียทีเดียว แต่ที่ต้องไปหาฮีชอลเมื่อวันก่อนก็เพราะถูกรบเร้าให้ไป

     

                ฮยอกแจเป็นผู้ชายประเภทที่ไม่สนใจใครอยู่แล้ว ใครจะทำอะไรก็ช่าง ขอเพียงอย่านำความเดือดร้อนมาถึงเขาก็พอ

     

                สำหรับเรื่องของฮันกยองกับฮีชอลก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าฮีชอลจะมีฐานะที่ต่ำต้อยกว่าครอบครัวของเขา อาจจะเรียกว่ายากจนขั้นรุนแรงเลยก็ได้ แต่ฮยอกแจก็ไม่ได้เห็นว่าฮีชอลจะเป็นคนเลวเหมือนที่มารดาของเขาบอก

     

                แต่ในเมื่อเขาเป็นลูกชายคนเล็ก...

     

                ฮยอกแจจึงอยากจะสร้างความภาคภูมิใจต่อผู้เป็นมารดาก็เท่านั้นเอง

     

                “ไม่ได้! ยังไงก็รักกันไม่ได้ คิดดูสิ...ถ้าฮันกยองคว้าใครก็ไม่รู้มาทำเมีย หุ้นของบริษัทเราจะไม่ดิ่งลงเหวเชียวเหรอ การแต่งงานมันมีผลต่อหน้าตาของบริษัทนะฮยอกแจ ลูกเข้าใจแม่ใช่ไหม?”

     

                “เข้าใจครับ” ฮยอกแจพยักหน้าหงึกหงักพลางหลับตาลง ทำไมเขาต้องมาทำอะไรแบบนี้อีกแล้วเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องเอาเสียเลย

     

     

                รถยนต์สปอร์ตสีน้ำเงินคันเดิมจอดลงที่หน้าบ้านของอี ทงเฮอีกครั้งหลังจากที่ฮยอกแจใช้เวลาอาบน้ำเกือบชั่วโมง และเมื่อลงมายังชั้นล่างของบ้านก็พบว่าฮันกยองพาฮีชอลออกมาข้างนอกแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะไปตามหาสองคนนั้นได้ที่ไหน จึงมายังบ้านของทงเฮอีกครั้ง

     

                และครั้งนี้...เจ้าของร้านก็ยังคงทักทายเขาด้วยตะหลิวด้ามเดิม

     

                “พี่ฮีชอลไม่อยู่” ทงเฮเอ่ยขึ้นก่อนที่จะถูกชายหนุ่มเอ่ยถามเสียอีก เขาเดินออกมาจากหน้าเตาแก๊สแล้วเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่พร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ

     

                “ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่อยู่ ฮีชอลไปที่บ้านฉัน ตอนนี้เขาออกไปกับพี่ฮันกยอง”

     

                “แล้วไง?” ทงเฮยักไหล่ถาม

     

                “ก็อย่างที่ฉันเตือนเธอ เอ้ย! เตือนนายเอาไว้ ถ้าพี่ของนายยังไม่หยุด จะมาหาว่าฉันใจร้ายไม่ได้นะ” ฮยอกแจบอกพลางยิ้มที่มุมปากราวกับเสือร้ายที่กระหายการล่า เขาย่างสามขุมเข้าไปประชิดทงเฮ ในขณะที่คนมีอาวุธเป็นตะหลิวกลับหาวิธีป้องกันตัวเองไม่ได้เลยนอกจาเดินถอยหลังจนชนกับกำแพงเข้า

     

                ฮยอกแจยกแขนข้างหนึ่งเท้ากับกำแพงเพื่อขวางไม่ให้ทงเฮหนีเขาไปไหน ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถาม

     

                “ร้านอาหารนี้พวกนายคงเช่าอยู่สินะ” ฮยอกแจเอ่ยถาม รอยยิ้มของเขาทำให้ทงเฮกลัว มือที่ถือตะหลิวสั่นเทาอย่างหวาดหวั่น ผู้ชายคนนี้ไว้ใจอะไรไม่ได้เลยสักนิด แม้แต่จะกระพริบตา ทงเฮยังต้องข่มใจเอาไว้

     

                “นายถามทำไม?” เขาจ้องตาฮยอกแจ แต่เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้กรอบตาเรียวมองกลับมา ทงเฮก็เสหลบอยู่บ่อยครั้ง

     

                “หึ” ฮยอกแจหัวเราะสั้นๆ

     

                “หัวเราะอะไร?”

     

                “หึหึ” เขายิ้มมุมปากอย่างโหดเหี้ยม ทงเฮไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้มีแผนการอะไรอยู่ในใจบ้าง มือที่ยันกำแพงไว้ค่อยๆ คลายออก ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง “หึหึหึ”

     

                “ไอ้บ้า! ฉันถามว่านายหัวเราะทำไม?”

     

                “หึหึ” ฮยอกแจหันมาหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะขึ้นรถเขาก็หันกลับมาหาทงเฮ มือข้างขวาทำเป็นรูปปืน ก่อนจะยิงตรงมาที่ทงเฮ แล้วขึ้นรถสปอร์ตส่วนตัวบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

     

                ทงเฮได้แต่ยืนอึ้งด้วยความงุนงง

     

                ไอ้หน้าไก่ไฮโซนี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

     

     

                ที่ร้านอาหารของทงเฮ แม้จะมีขนาดเล็กๆ แต่ก็มักจะวุ่นวายในช่วงกลางวันเสมอ เนื่องจากร้านอาหารแห่งนี้อยู่ใกล้กับสถานที่ราชการหลายแห่ง ทำให้พนักงานราชการมาแวะเวียนที่ร้านของทงเฮอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็มาขายขนมจีบ หากแต่ทงเฮผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับครอบครัวก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครเลยสักคน

     

                ปกติจะมีฮีชอลช่วยเสิร์ฟอาหารบ้าง แต่หลังจากที่ฮีชอลคบหาฮันกยอง พี่ชายของเขาก็ออกไปข้างนอกเกือบทุกวัน ทำให้ทงเฮมีหน้าที่ทำอาหารตามที่ลูกค้าสั่ง เสิร์ฟอาหาร เก็บกวาดโต๊ะ และล้างจานด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าเขาทำทุกอย่างภายในร้านนั่นแหละ

     

                ทงเฮไม่เคยโกรธฮีชอลเลย เขารู้ว่าสักวันฮีชอลก็ต้องมีคนรัก และฮีชอลก็ชอบทำงานในบริษัท ชอบนั่งในที่เย็นๆ มากกว่าจะมายืนขาแข็งหน้าเตาแก๊ส พี่ชายของเขาเรียนเก่ง แถมยังจบการศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐบาลอีกด้วย ที่ต้องออกไปกับว่าที่พี่เขยก็คงจะไปฝึกงาน

     

                สำหรับทงเฮแล้ว เขาหัวไม่ดีเท่าฮีชอล แต่ทว่าพ่อกับแม่ที่ก่อตั้งร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ร่วมกันมาก็ไม่อยากทิ้งกิจการให้สูญเปล่า ท่านทั้งสองจึงยกร้านแห่งนี้ให้กับลูกชายก่อนที่พวกท่านจะจากไป และในเมื่อฮีชอลไม่รับ มรดกนั้นจึงตกมาสู่อี ทงเฮ

     

                หากแต่ในตอนบ่าย...

     

                จู่ๆ ก็มีชายชุดดำสองคนขับรถมาเทียบอยู่หน้าร้าน ทั้งสองคนเปิดประตูลงมา คนหนึ่งทำหน้าที่ติดกาว ส่วนอีกคนหนึ่งถือแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดแผ่นเล็กมาด้วย ก่อนจะแปะลงที่หน้าร้านของเขา แล้วคนพวกนั้นก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

     

                แต่ทงเฮยังยืนอึ้งไม่หาย...

     

                ไอ้พวกนี้มันมาทำอะไรกัน...(วะ)?

     

                ทว่าเมื่อเดินออกมาอ่านข้อความในฟิวเจอร์บอร์ดแล้ว ทงเฮก็แทบลมจบในทันที

     

                ประกาศขายบ้านและที่ดินราคาถูก ติดต่อ...

     

                ให้ตายสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทงเฮได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าร้าน เขายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้นนอกจากรีบกดเบอร์ไปหาเจ้าของบ้านหลังนี้

     

                [สวัสดีครับ] ชายคนนั้นเอ่ยเสียงสูงต่ำเหมือนกับร้องเพลงเป็นประจำ ทงเฮมักจะชมเสมอว่าเสียงของเขาไพเราะ แต่ไม่ใช่กับวันนี้

     

                “นี่คุณ! ประกาศขายบ้านอะไร หมายความว่ายังไงกันแน่ แล้วสัญญาเช่าของผมล่ะ?”

     

                [ขอโทษด้วยครับที่ผมต้องทำแบบนั้น] เขาเอ่ยบอก หากแต่ในน้ำเสียงนั่นไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลย [ก็เขาเสนอราคาให้ผมสูงกว่าที่ธนาคารประเมินตั้งห้าเท่า ถ้าผมไม่รับไว้ก็เสียดายแย่สิ]

     

                “ว่าไงนะ? มีคนมาขอซื้องั้นเหรอ?!” ทงเฮตะโกนถามอย่างเดือดดาล

     

                [ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละครับ]

     

                “แล้วผมกับพี่ชายจะไปอยู่ที่ไหน เราเช่าที่นี่มาเป็นสิบๆ ปี ขอซื้อมาตั้งหลายครั้งแต่คุณก็ไม่เคยขายให้ แล้วจู่ๆ คุณก็ขายให้คนอื่น แถมไอ้บ้านั่นมันยังเอาไปขายต่อถูกๆ อีก เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ...”

     

                ทงเฮเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะสรุปเรื่องทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น เขารีบรัวนิ้วบนโทรศัพท์ตามเบอร์ที่ปรากฏอยู่ในใบปนะกาศขายทันที

     

                ไม่นานนักก็มีคนกดรับ

     

                และดูเหมือนว่าทางฝ่ายนั้นจะรอโทรศัพท์ของเขาอยู่แล้ว

     

                [เป็นไงล่ะ เซอร์ไพรส์ไปเลยใช่ไหม?] อีกฝ่ายถามอย่างกวนประสาททันทีที่รับสาย ทงเฮได้แต่กัดฟันกรอด ดวงหน้าสวยมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ แต่เขาจะไม่ยอมให้มันไหลลงมาเป็นอันขาด ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ให้ได้

     

                “นายมีปัญญาทำแค่นี้เองเหรอ?” ทงเฮถาม

     

                [ใครว่าล่ะ สำหรับคนดื้อด้านอย่างนายและพี่ชาย นี่แค่สั่งสอนเท่านั้น หึหึ] ฮยอกแจเอ่ยบอก ทงเฮกำหมัดแน่นจนตัวสั่น เขาไม่ชอบเสียงหัวเราะของหมอนี่เอาเสียเลย

     

                “คิดว่าทำแบบนี้แล้วพี่ฮีชอลจะเลิกกับพี่ชายของนายหรือไง?!

     

                [ก็ลองดูสิ ถ้าพี่นายไม่หยุด ฉันจะทำมากกว่านี้อีก]

     

                “อี ฮยอกแจ!” ทงเฮแหวลั่นอย่างสุดทน ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยายามเจรจากับอีกฝ่ายอย่างที่ผู้ดีเขาทำกัน “คนเขารักกันแล้วนายไปขัดขวาง มันบาปนะ” ทงเฮบอกด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

     

                [ฉันกำลังช่วยให้พี่ชายของฉันหลุดพ้นจากขุมนรกต่างหาก แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันไม่แพ้ทางให้กับลูกไม้ตื้นๆ ของนายหรอก ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนั้น]

     

                คำพูดที่แสดงถึงการรู้ทันของฮยอกแจทำให้ทงเฮกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ดีล่ะ ไม่อยากเจรจาก็ไม่ต้องเจรจา ศึกครั้งนี้ ยังไงทงเฮก็ต้องสู้ยิบตานั่นแหละ

     

                [เงียบทำไม? คิดมุขไม่ออกแล้วล่ะสิ]

     

                “ถ้านายทำแบบนี้แล้วฉันกับพี่จะไปอยู่ที่ไหนเล่า?!” ทงเฮตะโกนถามเสียงดัง และในขณะเดียวกันนั้นก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินมาด้อมๆ มองๆ แถวหน้าร้านพอดี ทงเฮเลยดึงโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะหันไปถาม “มาทานอาหารเหรอครับ?”

     

                “เอ่อ...บ้านหลังนี้ขายเหรอ?” เขาหันมาถามทงเฮ ร่างโปร่งจึงเลื่อนสายตามองดูคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

     

                เหมือนพวกชอบกว้านซื้อที่ดิน

     

                “ไม่ขายโว้ย!

     

                “เอ๊า! ไม่ขายแล้วจะติดประกาศทำไม?” อีกฝ่ายเอ่ยถามพลางเกาศีรษะแกรกๆ

     

                “จะอยากรู้ทำไม บอกว่าไม่ขายก็คือไม่ขาย บ้านหลังนี้ไม่ขาย...เข้าใจไหม?!” ทงเฮกระชากแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดออก ก่อนจะหักเป็นสองส่วน แล้วปาลงพื้น กระโดดกระทืบซ้ำอีกทีเพื่อความสะใจ

     

                [คงวุ่นวายน่าดูเลยสินะ ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ลำบาก] ฮยอกแจบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจยิ่งกว่าทงเฮอีกร้อยเท่า

     

                “นายจะเอายังไงกันแน่?!” ทงเฮตะโกนถาม เขาชักจะไม่เหลือความอดทนอีกต่อไปแล้ว แต่แทนที่ฮยอกแจจะตอบอะไรกลับมา เขากลับเงียบ และในที่สุดก็วางสายลงไป “ไอ้บ้าเอ๊ย! อยากจะวางก็วาง ไม่คิดจะบอกกล่าวกันก่อนหรือไง ฉันล่ะเกลียดคนประเภทนี้จริงๆ”

     

                หลังจากบ่นฉอดๆ อีกเกือบห้านาที เบอร์โทรศัพท์ที่ทงเฮเพิ่งโทรออกไปเมื่อครู่ก็ส่งข้อความกลับมาให้เขา ทงเฮยู่หน้าอย่างแปลกใจ ก่อนจะอ่านตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเสียงดังชัดเจน

     

                “โรงแรม... ห้อง...”

     

     

                หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง ทงเฮก็ตัดสินใจปิดร้านและรีบรุดไปยังสถานที่ที่ฮยอกแจนัดพบ เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรทั้งนั้นในเมื่อเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งเช่นกัน หากฮยอกแจจะทำอะไรเขาล่ะก็ ทงเฮก็สามารถสู้ได้อย่างสูสี

     

                อย่างน้อย...กล้ามแขนของเขาก็ใหญ่กว่าไอ้หน้าไก่นั่น

     

                แต่พอถึงประตูหน้าห้องของโรงแรมที่ฮยอกแจนัด ทงเฮกลับรู้สึกแข้งขาสั่นไปหมด จู่ๆ หัวใจก็เต้นระส่ำขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาชั่งใจอยู่นานกว่าจะเคาะประตูได้ แต่ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นมา ชายในชุดสูทสีดำสองคนก็เปิดประตูออกกว้าง ก่อนจะเชิญเขาเข้าไปด้านใน

     

                “คุณหนูรออยู่ด้านในครับ”

     

                “คุณหนู!” ทงเฮขำพรืดกับสรรพนามที่หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยบอก สักพักก็มีเสียงตะโกนกลับมา

     

                “บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉันว่าคุณหนูต่อหน้าคนอื่น พวกแกสองคนออกไปรอข้างนอกเลยไป” ฮยอกแจเว้นไว้เพียงครู่แล้วเอ่ยต่อ “ส่วนทงเฮ...เข้ามาได้”

     

                สิ้นเสียงของฮยอกแจ ทงเฮก็ถูกผลักเข้าไปด้านในห้องชุดสุดหรูของโรงแรม เขาก้าวไปอย่างเชื่องช้าด้วยความหวาดหวั่น

     

                หวังว่าอี ฮยอกแจคงไม่ล่อลวงเขามาฆ่าที่นี่หรอกนะ

     

                แต่เมื่อไปถึงด้านใน กลับพบว่าไอ้คุณหนูหน้าไก่กำลังเล่นเกมส์ออนไลน์อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยซ้ำ

     

                “นั่งก่อนสิ ฉันกำลังยุ่ง” เสียงทุ้มเอ่ยบอกในขณะที่ยังนั่งอยู่บนเตียง หน้าตาและท่าทางเคร่งเครียดราวกับกำลังดูรายงานการประชุมระดับโลก

     

                “ถ้านายไม่รีบคุย ฉันจะกลับแล้วนะ” ทงเฮบอกพร้อมกับหมุนตัวหันหลัง ในขณะนั้นฮยอกแจก็เด้งตัวลุกขึ้น แล้วตะโกนลั่น

     

                “ก็บอกว่านั่งรอก่อนแปบนึง จะเอาไหม...บ้านโทรมๆ ของนายน่ะ”

     

                แม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายเรียกบ้านเช่าของเขากับพี่ชายว่าบ้านโทรม แต่เมื่อพูดถึงบ้านแล้ว ทงเฮก็ยอมที่จะย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อรอให้อีกฝ่ายเล่นเกมส์ออนไลน์จนเสร็จ

     

                ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...

     

                ทงเฮเริ่มฝืนลืมตาขึ้นมอง เขารู้สึกดวงตาของตัวเองกำลังจะปรือปิดด้วยความง่วงงุน การนั่งรออยู่เฉยๆ มันน่าเบื่อมากเกินไป แล้วตอนนี้เขาก็เมื่อยมาก และง่วงมากๆ อีกด้วย

     

                หนึ่งชั่วโมงผ่าน...

     

                ทงเฮเริ่มเอนหลังพิงกับโซฟาเดี่ยว ก่อนจะยอมแพ้ต่อความง่วง เขาหลับลงไปในที่สุด แต่ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งนาที เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัวแล้วเด้งลุกขึ้นนั่ง

     

                นี่เขาเผลอหลับไปเหรอ?

     

                หรือแค่ฝันไป...?

     

                ไม่สิ! เขายังนั่งอยู่ในห้องเดิม และเสียงนาฬิกาปลุกเมื่อครู่ก็ยังดังอยู่ข้างหูนี่เอง มันดังมาจากโทรศัพท์ที่ถูกถือโดยใครบางคน เมื่อมองตามขึ้นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าคนๆ นั้นคือฮยอกแจนี่เอง

     

                เขาเล่นเกมส์ออนไลน์เสร็จแล้ว

     

                “ที่หลับนี่ง่วง...หรือว่าอ่อย?” เขาเอ่ยถาม แล้วดึงโทรศัพท์กลับไปปิดเสียงปลุกที่เขาเปิดไว้เมื่อครู่

     

                “ฉันน่ะเหรอจะอ่อยนาย อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ” ทงเฮยืดตัวขึ้นไปต่อปากต่อคำกับเขา ก่อนจะพบว่าแม้ตัวเองจะมีกล้ามใหญ่กว่า แต่ฮยอกแจก็สูงมากกว่าเขาอยู่หลายเซ็น

     

                อย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นต่อสินะ

     

                “ฉันจะไปรู้เหรอว่านายอ่อยหรือเปล่า นายอาจจะเนียนเหมือนพี่ชายของนายก็ได้”

     

                “อย่ามาดูถูกพี่ชายของฉัน ไม่งั้นฉันเอาเลือดปากนายออกแน่” ทงเฮกำหมัดแน่นแล้วยกขึ้นสูงเตรียมชกหน้าฮยอกแจ หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่เกรงกลัว เขารวบข้อมือบางของทงเฮเอาไว้ ก่อนจะโน้มลงมาใกล้ๆ

     

                ในตอนนั้นทงเฮรู้สึกเหมือนแข้งขาอ่อนปวกเปียกไปหมด ความกล้าหาญที่พกมาเต็มกระเป๋าในตอนแรกก็เหือดหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาเสียหลักล้มลงนั่งที่โซฟาตามเดิม แต่ฮยอกแจก็ยังโน้มตามลงมา

     

                “ถ้าจะเอาเลือดออกจากปากของฉันล่ะก็ ต้องใช้ปากของนายเท่านั้นนะ”

     

                “มะ...หมายความว่าไง?” ทงเฮเบิกตากว้าง แต่หน้าหวานกลับร้อนผ่าวเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา ฮยอกแจส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะนั่งลงเบียดชิดกับทงเฮ ครั้นพอทงเฮจะขยับตัวหนี เขาก็เอามือเข้ามาโอบเอวเสียแน่น

     

                “ตัวสั่นแบบนี้ แสดงว่าไม่เคยมาก่อนล่ะสิ” ฮยอกแจกระซิบข้างหูเอ่ยถาม เล่นเอาทงเฮขนลุกซู่ไปทั่วทั้งแขน

     

                “ทะ...ทำไมจะไม่เคยล่ะ ฉันน่ะฟันผู้หญิงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะ” ทงเฮเอ่ยบอกอย่างตะกุกตะกัก เพราะสิ่งที่เขาพูดออกมาไม่มีความจริงอยู่เลยสักนิดเดียว

     

                “งั้นเหรอ...แล้วกับผู้ชายล่ะ?” ฮยอกแจไม่ได้เชื่อคำพูดของทงเฮ เพียงแต่เขาอยากจะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายก็เท่านั้น อยากรู้ว่าอี ทงเฮจะแถไปได้ไกลอีกสักแค่ไหน

     

                “เคย! ฉันเคยมาหลายครั้งแล้วด้วย อ่อนๆ อย่างนายน่ะฉันไม่สนหรอก อย่างฉันต้องใหญ่ๆ แน่นๆ เท่านั้น” ทงเฮพยายามแกะมือที่เหมือนหนวดปลาหมึกของฮยอกแจออกจากเอวของตัวเอง แต่ยิ่งแกะออก ฮยอกแจก็ยิ่งขยับเข้ามาชิดใกล้ ทงเฮแทบจะลืมหายใจไปเสียตั้งแต่วินาทีนั้น

     

                “แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าของฉันไม่ใหญ่ไม่แน่น” ฮยอกแจหลิ่วตาถาม

     

                “ฉันมองครั้งเดียวก็ดูออกแล้ว อย่างนายน่ะไม่มีน้ำยาหรอก”

     

                “จะลองไหมล่ะ?” คำชักชวนง่ายๆ ทำให้คนฟังเงียบกริบ

     

                อี ทงเฮเอ๊ย! เดินมาให้เขาเชือดถึงโรงแรมแท้ๆ โง่กว่านี้มีอีกไหม?

     

                “ทำไมฉันต้องลองด้วย ฉันไม่ได้อยากรู้สักหน่อย อีกอย่าง...ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ชอบคนแบบนาย” ทงเฮดีดตัวลุกขึ้นยืน แต่คนกะล่อนอย่างฮยอกแจก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เขาลุกขึ้นตามแล้วกอดเอวของทงเฮจากทางด้านหลัง ซุกจมูกโด่งเป็นสันไปกับลำคอระหงแล้วกระซิบเสียงพร่า

     

                “อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ นายยังไม่ได้ลองเลยนะ”

     

                “ปล่อย!” ทงเฮบอกเสียงสั่น เพราะถ้าขืนปล่อยให้ฮยอกแจกอดนานกว่านี้ มีหวังคนอ่อนไหวง่ายอย่างเขาได้โอนอ่อนตามฮยอกแจแน่ๆ

     

                “เอางี้ไหม? ถ้านายยอมเป็นของฉัน ฉันจะยอมให้พี่ชายของนายกับพี่ชายของฉันคบกัน” เขายื่นข้อเสนอ หากแต่แทนที่จะหันหน้ามาเจรจากันตรงๆ กลับกอดค้างเอาไว้แบบนั้น ทงเฮจึงตอบด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

     

                “ไม่มีทาง!

     

                “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ ฉันมีเวลาให้นายอีกตั้งยี่สิบนาทีนะ” ฮยอกแจกระซิบกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยทงเฮให้เป็นอิสระ แต่เมื่อทงเฮกำลังจะเดินหนีเขาออกไปนอกห้อง ฮยอกแจก็รั้งไว้ด้วยคำพูดของเขา

     

                “ออกไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันสั่งลูกน้องไว้แล้วว่าไม่ให้ปล่อยนายไปจนกว่าฉันจะบอก”

     

                “นายนี่มัน!” ทงเฮพูดอะไรไม่ออกนอกจากชี้หน้าด่าฮยอกแจอย่างโมโห ร่างสูงโปร่งไม่ได้สนใจท่าทางร้อนรนของอีกฝ่ายเลยสักนิด เขาเดินตรงไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ที่ปลายเตียง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำราวกับเห็นทงเฮเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่มีความสำคัญอะไร

     

                ยี่สิบนาทีต่อมา...

     

                ทงเฮที่นั่งกระวนกระวายก็ผุดลุกขึ้นยืนเมื่อเสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออกกว้าง เขากำลังจะเงยหน้ามองฮยอกแจ แต่ทว่าเมื่อพบว่าร่างสูงโปร่งเดินออกมาในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวที่เผยให้เห็นช่วงอกที่แสนกำยำ ทงเฮก็รีบเบนหน้าหนีไปทางอื่น

     

                แต่ก็ยังอดชำเลืองมองฮยอกแจไม่ได้

     

                ชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ยังมีหยดน้ำแพรวพราวเกาะอยู่ตามร่างกาย พื้นที่เขาเดินผ่านมามีรอยเท้าเปียกอยู่เต็มไปหมด เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าทงเฮ เสียงทุ้มก็เอ่ยคำ

     

                “พร้อมหรือยัง?” เขาถามพร้อมกับยิ้มมุมปากบางเบา

     

                “พร้อม? พร้อมอะไร?” ทงเฮกลืนน้ำลายอึกใหญ่กับหุ่นที่น่าชวนมองของเขา เมื่อก้มหน้างุด ฮยอกแจก็เดินเข้ามาใกล้แล้วกดรั้งท้ายทอยของทงเฮเข้าหา เขาเลื่อนสันจมูกโด่งเข้ามาแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกของทงเฮ จ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาคู่สวย ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง

     

                “พร้อมแล้วสินะ” ฮยอกแจกระซิบเสียงพร่า ก่อนจะเลื่อนจมูกลากผ่านพวงแก้มใส ทงเฮพยายามผลักอกแกร่งของอีกฝ่ายออกห่าง แต่สัมผัสที่ฮยอกแจปลุกเร้าเขาช่างดึงดูดเหลือร้าย ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ต้านทานฮยอกแจไม่ได้เลย

     

                “ปะ...ปล่อย ปล่อยนะฮยอกแจ”

     

                “เสียงของนายนี่ช่างยั่วยวนเหลือเกินนะ” ฮยอกแจซุกไซ้ไปตามซอกคอหอมหวานของทงเฮอย่างนึกสนุก ยิ่งอีกฝ่ายพยายามหันหน้าหนีเขาก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น

     

                “อื้อ...ออกไปนะ!” ทงเฮผลักฮยอกแจด้วยแรงทั้งหมดของตัวเอง หากแต่เขาเพียงแค่ผละออกชั่วครู่เท่านั้น เมื่อได้มองหน้าตาของทงเฮที่มีความหวาดกลัวอยู่เต็มไปหมดก็อดจะโน้มลงมากลั่นแกล้งอีกไม่ได้ “อะ...อื้อ...”

     

                “ครางเก่งจังเลยนะ” ฮยอกแจว่าพลางผลักทงเฮออกห่างด้วยท่าทีที่แสนรังเกียจแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง “นายคงใช้ร่างกายหาเงินบ่อยล่ะสิ พี่ชายของนายก็เหมือนกัน คงจะใช้ร่างกายหลอกเอาเงินจากพี่ชายของฉัน ฉันพูดถูกไหม?”

     

                “อี ฮยอกแจ!” ทงเฮตวาดชื่ออีกฝ่ายดังลั่นด้วยความเจ็บปวด

     

                “ทำไม? โกรธเหรอที่ฉันรู้ทัน นายเองก็คง...หวังเงินจากฉันเหมือนกันสินะ” คำพูดที่ดูถูกตลอดเวลาทำให้ความอดทของทงเฮหมดลงทันที เขาฟาดฝ่ามือเต็มใบหน้าคมสันของฮยอกแจจนฝ่ายนั้นหันไปตามแรงตบ ก่อนจะพ่นคำพูดออกไปอย่างประชดประชัน

     

                “ใช่! ฉันอยากได้เงินของนาย พอใจหรือยัง ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะไม่ทำแบบพี่ฮีชอล แต่จะเอาเงินจากนายให้มากกว่าร้อยเท่าพันเท่า”

     

                ทงเฮพูดจบก็ผลักอกฮยอกแจอย่างแรง ก่อนจะวิ่งหนีออกไปด้านนอก เขาไม่เห็นใครยืนอยู่หน้าห้องเลยแม้แต่คนเดียว บอร์ดี้การ์ดชุดดำที่ฮยอกแจพูดถึงก็หายไปแล้ว สรุปก็คือหลายชั่วโมงที่ผ่านมาทงเฮต้องทนนั่งอยู่ในห้องนี้เพราะถูกฮยอกแจหลอก

     

                เขามันโง่...โง่เหลือเกินที่คิดว่าจะเจรจาตกลงกับคนพรรค์นั้นได้

     

                ความจริงแล้วฮยอกแจเลวทรามกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากเหลือเกิน

     

                แต่ทันทีที่ประตูปิดลง ฮยอกแจกลับเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างอารมณ์ดี แม้เขาจะปวดหนึบและรู้สึกชาที่ข้างแก้มหลังจากถูกทงเฮตบเมื่อครู่ แต่ฮยอกแจก็ยังรู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก

     

                ทำไมเขาถึงได้ชื่นชอบที่จะต่อเถียงกับคนอย่างทงเฮนะ

     

                หน้าตาหรือก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ทว่ามองนานๆ แล้วกลับดูเป็นผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง ยิ่งดวงตาแข็งกร้าวเวลาที่กำลังพูดปกป้องพี่ชายของตัวเอง หรือแม้แต่เวลาที่กำลังโกรธจัด ฮยอกแจรู้สึกว่าทงเฮช่างหน้าหลงใหลเหลือเกิน

     

                หรือว่าบางที...เขาอาจจะตกหลุมรักทงเฮเข้าแล้ว

     

     

                คืนนั้นทงเฮกลับมาถึงบ้านก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอน ฮีชอลกลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่มก็เดินมาเคาะประตูห้องนอนของน้องชายด้วยความเป็นห่วง เพราะปกติแล้วทงเฮจะนั่งดูโทรทัศน์รอเขากลับมาถึงบ้านก่อนจึงจะค่อยเขานอน หากแต่วันนี้กลับดูแปลกไป

     

                “ทงเฮ หลับหรือยัง?” ฮีชอลส่งเสียงเรียกพร้อมกับเคาะประตู สักพักทงเฮก็เปิดประตูกว้าง ก่อนจะเอ่ยคำ

     

                “ยังไม่หลับครับ”

     

                “ทำไมเข้านอนเร็วนักล่ะ ไม่สบายเหรอ?” ทันทีที่เอ่ยถาม หลังมือบางก็ยกขึ้นอังหน้าผากของน้องชายทันที ทงเฮยืนนิ่งจ้องมองพี่ชายของตัวเอง แม้เขาจะเหนื่อยกับการรังควานของฮยอกแจ แต่ฮีชอลต้องมีความรักกับคนที่ฐานะแตกต่างกัน พี่ชายของเขาต้องเหนื่อยมากกว่าหลายเท่า

     

                “พี่...” ทงเฮรวบมือบางของพี่ชายมากุมไว้ ก่อนจะเอ่ยเรียก

     

                “หืม?”

     

                “ถ้าหาก...พี่ขาดพี่ฮันกยองไป พี่จะมีชีวิตอยู่ได้ไหม?” ทงเฮรู้ว่าคำพูดของเขาอาจจะทำให้ฮีชอลคิดมาก แต่ร้านที่พ่อกับแม่อุตส่าห์ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ทงเฮไม่อยากให้มันพังด้วยน้ำมือของเขา

     

                “ทงเฮ พี่ขอโทษ” คนเป็นพี่ชายบอกเสียงแผ่ว

     

                “พี่ฮีชอล” ทงเฮเองก็เหนื่อยใจ แต่เขามีความจำเป็นต้องทำแบบนี้ “วันนี้...น้องชายของพี่ฮันกยองเขามาที่บ้านเรา”

               

                “คุณฮยอกแจน่ะเหรอ?” ฮีชอลเอ่ยถาม ทงเฮจึงพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพูดต่อ

     

                “เขาบอกว่าถ้าเราไม่หยุด เขาจะยึดบ้านเราไป ไม่สิ” ทงเฮส่ายหน้าระรัว “เขาซื้อบ้านเราไปแล้ว เขาซื้อบ้านของเราต่อจากเจ้าของคนเก่า และกำลังจะขายบ้านของเราในราคาถูก”

     

                “เป็นไปไม่ได้” ฮีชอลส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     

                “น้องอยากจะบอกพี่แค่นี้ล่ะ น้องรู้ว่าพี่อาจจะคิดมาก แต่นี่เป็นบ้านของเรา แม้จะเป็นแค่บ้านเช่า แต่น้องก็ไม่อยากเสียมันไปให้ใคร พี่เข้าใจน้องใช่ไหม?” ทงเฮถามเสียงสั่นเครือ

     

                “ทงเฮ พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” ฮีชอลดึงน้องชายเข้าไปกอดไว้แน่นอย่างเสียใจ เขาเป็นคนทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ แต่เขาก็เลิกกับฮันกยองไม่ได้ เพราะเขารักฮันกยอง และเพราะฮีชอลได้ให้สัญญากับฮันกยองไปแล้วว่าจะต่อสู้กับความรักครั้งนี้ไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

     

                “แล้วเราจะทำยังไงกันดี?” ทงเฮเอ่ยถาม

     

                “พี่จะจัดการเอง พี่จะทำเองทั้งหมด ทงเฮไม่ต้องเป็นห่วงนะ เข้านอนเถอะ พี่คงพูดอะไรกับน้องไปมากกว่านี้ไม่ได้ ขอโทษจริงๆ”

     

                ทงเฮเข้าไปนอนในห้องตามที่พี่ชายบอก เขาพยายามจะไม่คิดมาก พยายามจะเชื่อใจพี่ชาย แต่ทว่ากลับนอนพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืนด้วยความว้าวุ่นใจ

     

                ไม่ใช่แค่เรื่องที่บ้านถูกประกาศขายเท่านั้น

     

                แต่ยังมีเรื่องของฮยอกแจอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงแรมนั่น เรื่องที่ทำให้สับสนและว้าวุ่นใจได้ตลอดเวลา

     

                สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ ทงเฮผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกดรับในทันที ไม่เคยมีใครโทรมาหาเขาในเวลาดึกดื่นแบบนี้มาก่อน คืนนี้เป็นคืนแรก และก็เป็นคนแรกที่ทำตัวเสียมารยาทได้มากขนาดนี้

     

                อี ฮยอกแจ

     

                “ว่ายังไง?” ทงเฮเอ่ยถามขึ้นทันทีที่กดรับสาย

     

                [ที่นายบอกว่าอยากจะได้เงินของฉันมากกว่าที่พี่นายเอาไปร้อยเท่าพันเท่า นายพูดจริงๆ น่ะเหรอ?] ฮยอกแจถามกลับบ้าง เขาไม่ได้บอกใครหรอกว่าเขาเองก็ว้าวุ่นใจไปไม่น้อยกว่าทงเฮเลย คิดอยู่นานหลายตลบว่าจะหาเรื่องอะไรโทรมาคุยกับทงเฮดี ในที่สุดก็ยกเรื่องที่ทงเฮพูดไว้ในตอนบ่ายขึ้นมาอ้าง

     

                “ใช่! ฉันอยากได้เงิน อยากได้มากๆ” ทงเฮย้ำคำพูดของตัวเอง

     

                [ดีล่ะ งั้นนายก็มาเดทกับฉันสิ]

     

                “วะ...ว่าไงนะ?” เขาต้องหูฝาดไปแน่ๆ ที่ได้ยินฮยอกแจพูดแบบนั้น หรือไม่คนที่พูดก็ต้องประสาทเสียไปแล้วแน่ๆ

     

                [ได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันกำลังขอนายเดท]

     

                “ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ?”

     

                [นายก็อดได้บ้านคืนไง]

     

                “ทั้งๆ ที่นายก็คิดว่าครอบครัวของฉันเป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋น นายก็ยังอยากจะเดทกับฉันเนี่ยนะ”

     

                ทงเฮถามอย่างหยั่งเชิง อยากรู้ว่าฮยอกแจจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่คำตอบที่เฉียบขาดของฮยอกแจก็ทำให้เขาถึงกับผงะแทบจะหงายหลังไปในทันที

     

                [ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่านายจะหลอกเอาเงินจากฉันไปได้สักเท่าไรกันเชียว]

     

     

                เช้าวันต่อมา หลังจากทงเฮอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินลงมาจากชั้นสองเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านขายอาหาร แต่เมื่อเลื่อนเปิดประตูบ้านออกกว้าง กลับเจอนายแบบจำเป็นยืนพิงรถยนต์ปอร์เช่สีน้ำเงินอยู่หน้าร้านของเขา ทงเฮเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่รู้ตัวอีกทีก็ถูกฮยอกแจเหวี่ยงเข้ามานั่งในรถเสียแล้ว

     

                “อะไรของนายเนี่ย? ฉันต้องทำงานนะ”

     

                “ฉันจะพานายไปเดทไง ไปช้อปปิ้ง ไม่ดีเหรอ?” ฮยอกแจเอ่ยถามในขณะที่มือหนายังคงบังคับพวงมาลัย และดวงตาสีน้ำตาเข้มก็ยังคงมองไปตามถนนสีเทาด้านหน้า

     

                “ฉันต้องเปิดร้าน!

     

                “ปิดสักวันไม่ตายหรอกน่า” ฮยอกแจบอกเพราะเขาไม่ไปทำงานที่บริษัทแค่วันเดียว งานก็ยังดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ตัดขัด อย่างน้อยพนักงานคนอื่นๆ ก็ยังทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง และฮันกยองพี่ชายของเขาก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่การเงินเลยแม้แต่น้อย

     

                “นายไม่รู้หรอกว่าขายของวันหนึ่งมันได้เงินสักกี่วอน เพราะนายเป็นคนรวย มีรถหรูๆ ขับ มีบ้านหลังใหญ่ให้ซุกหัวนอน แต่ฉันต้องหาเช้ากินค่ำ และยังต้องจ่ายค่าเช่า” ทงเฮร่ายยาว แต่ฮยอกแจได้แค่ยิ้มกว้างอย่างสบายอารมณ์

     

                “จ่ายค่าเช่าอะไรอีก บ้านที่นายอยู่ตอนนี้มันเป็นบ้านของฉันนะ”

     

                “อี ฮยอกแจ!” ทงเฮเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างโมโห แต่ฮยอกแจก็ยังทำแค่เคาะพวงมาลัยเล่นอย่างสบายใจอยู่อย่างเดิม

     

                “นายก็ขูดรีดเงินไปจากฉันเยอะๆ สิ ทำอย่างที่นายบอกว่าจะทำ ยังไงนายกับพี่ก็ถนัดเรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

     

                “ก็ได้ งั้นรีบขับรถไปเลย ฉันจะผลาญเงินในกระเป๋าของนายไม่ให้เหลือแม้แต่วอนเดียว”

     

     

                หลังจากฮยอกแจขับรถมาจอดที่ห้างสรรพสินค้า เขาก็พาทงเฮเข้าร้านเสื้อผ้าอยู่หลายร้าน เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้เป็นว่าเล่น แต่ทงเฮกลับไม่ได้เสื้อผ้าติดมือออกมาสักชิ้นเดียว เจ้าของใบหน้าหวานเดินเลือกเสื้อผ้าด้วยความเกร็ง เดินไปรอบๆ แล้วก็ส่ายหน้าอย่างไม่ถูกใจ

     

                ฮยอกแจรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะทงเฮไม่ถูกใจ แต่นิสัยของทงเฮไม่ใช่คนที่ชอบหลอกลวงคนอื่นต่างหาก พี่ชายของทงเฮก็คงจะเป็นแบบนั้น แต่ที่ฮยอกแจต้องใจร้ายเพราะเขาแค่ทำตามคำสั่งของผู้เป็นมารดา จริงๆ แล้วฮยอกแจไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้เลย

     

                ยกเว้นก็แต่เรื่องที่เขามาก้อร่อก้อติกทงเฮ เรื่องนี้ไม่ต้องอาศัยคำสั่งของใครทั้งนั้น

     

                เป็นคำสั่งจากหัวใจของฮยอกแจล้วนๆ

     

                “เลือกสักชุดเหอะน่า ไหนบอกว่าจะผลาญให้เกลี้ยงไง” ฮยอกแจเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นทงเฮเดินเข้าออกเป็นสิบๆ ร้านแล้วก็ว่าได้

     

                “ก็มันไม่ถูกใจนี่นา” ทงเฮรีบแย้ง

     

                “ไม่ถูกใจ หรือเลือกไม่เป็นกันแน่ คนอย่างนาย...คงไม่เคยได้เข้าร้านขายของแบรนด์เนมมาก่อนในชีวิตสินะ” คำปรามาสของเขาทำให้ทงเฮหยิบชุดออกมาอย่างไม่ทันคิดถึงสามชุด แต่ชุดที่ทงเฮหยิบนั้นกลับอยู่ในโซนของผู้หญิง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้สังเกตอีกด้วย

     

                “จัดสามชุดนี้ใส่ถุงให้ผมด้วยครับ แล้วไปเก็บเงินจากผู้ชายคนนั้น” เขาชี้มือมาทางฮยอกแจ ก่อนจะสะบัดหน้าใส่

     

                “เดี๋ยว!” เสียงทุ้มใหญ่เรียกพนักงาน “จะซื้อทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองใส่ได้ยังไง?” ฮยอกแจเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าทงเฮหยิบชุดอะไรออกมา แม้แต่พนักงานที่ยืนอยู่ก็ไม่ได้สังเกตเห็น จนกระทั่งเธอก้มลงมองสินค้าในมือของตัวเอง

     

                “ชุดนี้เป็นชุดของผู้หญิงนี่คะ”

     

                “อะไรนะ?!” ทงเฮหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะเบิกตาโพลงที่ชุดในมือของพนักงานสาวเป็นกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนที่มีลูกไม้ระบายอยู่ตรงหน้าอก อีกตัวก็เป็นเดรสยาวลายเสือสุดเซ็กซี่ ส่วนที่เหลือก็เป็นเสื้อคลุมของผู้หญิงอีก เขามองดูชุดทั้งสามแล้วก็หันมาส่งสายตาคาดโทษให้กับฮยอกแจ

     

                “รีบไปลองชุดสิ”

     

                “แต่มันเป็นชุดผู้หญิง” ทงเฮพยายามปฏิเสธ

     

                “ก็นายบอกเองว่าจะซื้อทั้งหมดนี่ งั้นนายก็ต้องลอง” ทงเฮคว้าชุดออกมาจากมือของพนักงานสาวอย่างหงุดหงิดเป็นที่สุด เขาหายเข้าไปในห้องลองเสื้อนานเกือบยี่สิบนาทีจนฮยอกแจคิดว่าคนในนั้นหลับ หรือไม่ก็หนีออกไปยังแผ่นฝ้าด้านบนเสียแล้ว เขาจึงไปเคาะประตูเรียก

     

                “ทงเฮ ออกมาได้แล้ว”

     

                “ไม่! ยังไงฉันก็ไม่ออกไปเด็ดขาด” ทงเฮตะโกนออกมา ดูท่าคนในนั้นจะเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

                “งั้นฉันพังประตูเข้าไป แล้วนายเป็นคนจ่ายค่าเสียหายนะ เพราะนายบังคับให้ฉันทำแบบนี้เอง”

     

                “จะบ้าหรือไง?!

     

                “หนึ่ง...สอง...สะ...”

     

                “โอ๊ย!” ทงเฮดึงประตูออกกว้าง ก่อนจะยืนทำหน้าบึ้งตึงต่อหน้าฮยอกแจ ชุดที่ร่างโปร่งใส่เป็นชุดกระโปรงสีชมพูยาวถึงหน้าแข้ง ขนขาที่โผล่พ้นออกมาทำให้ฮยอกแจมุ่ยหน้า แม้ว่าสีชมพูจะขับให้ใบหน้าของทงเฮดูหวานมากขึ้น แต่กล้ามแขนที่เด่นชัดก็ทำให้ดูน่าเกลียดอย่างเข้ากัน

     

                “เห็นแล้วจะอ้วก!” ฮยอกแจบอกพลางหันหน้าหนี

     

                “แล้วนายให้ฉันใส่ทำไมเล่า?!” ทงเฮบอกอย่างงอนๆ ก่อนจะดันประตูปิดเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดเดิมอีกครั้ง แต่ทว่าฮยอกแจกลับดันประตูเอาไว้

     

                “เปลี่ยนเป็นชุดลายเสือก่อนสิ”

     

                “ฉันไม่เปลี่ยน!” ทงเฮยืนยัน

     

                “งั้นฉันจะขายบ้านให้ธนาคารก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นต่อ ทงเฮจึงปิดประตูอย่างกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า

     

                สักพักประตูก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับคนด้านในที่มาในชุดลายแม่เสือสาว ฮยอกแจกอดอกแล้วหล่วตามอง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

     

                “พยักหน้าหาอะไร?” ทงเฮเชิดหน้าถาม

     

                “เหมือนมากๆ”

               

                “เหมือนอะไร พูดให้มันดีๆ หน่อยนะ”

     

                “เหมือนเสือตัวผู้ไง”

     

                “อ๊าก!!!!

     

                ทงเฮปิดประตูลงอีกครั้ง พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดเดิมที่เขาใส่เข้ามา เขาจะไม่ยอมทำตามไอ้ผู้ดีประสาทกลับคนนี้อีกแล้ว พอกันที

     

                แต่ทว่าเมื่อเปิดประตูออกอีกครั้ง ฮยอกแจกลับยื่นถุงกระดาษที่มีโลโก้ประจำร้านส่งให้ ทงเฮทำหน้าแปลกใจ แต่ยังไม่ทันถามอะไร ถุงนั้นก็ถูกยัดเข้ามาในมือ

     

                “ไว้กลับบ้านแล้วค่อยเปิดดูแล้วกัน ตอนนี้ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันหิวแล้ว”

     

                “เอาแต่ใจชะมัด!” ทงเฮก็บ่นไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็เดินตามร่างสูงโปร่งออกจากร้านจนได้

     

                แม้ฮยอกแจจะดูเหมือนว่าเอาแต่ใจ แต่เขาก็คอยถามทงเฮอยู่เสมอว่าอยากกินอะไร พอจะกินอาหารญี่ปุ่น ทงเฮก็บอกว่าไม่อร่อย อาหารอิตาเลี่ยนก็บอกว่าเลี่ยน อาหารฝรั่งเศสก็บอกว่ากินไม่เป็น ฮยอกแจเลยจนปัญญา

     

                “จะกินอะไรก็เลือกมาสักอย่างเหอะ ฉันขี้เกียจเดินแล้วนะ หิวจะแย่” ฮยอกแจบ่นพลางเอามือกุมท้อง ก่อนจะนั่งพักตามเก้าอี้ข้างทางเดินอย่างหมดหมาดของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทงเฮขำพรืดก่อนจะเอ่ยบอก

     

                “ทำไมนายไม่ถามถึงอาหารเกาหลีสักทีล่ะ ฉันอยากกินบาร์บีคิว” ทงเฮบอกด้วยท่าทางซื่อๆ สุดท้ายทั้งสองคนก็ตกลงปลงใจกันไปกินหมูสามชั้นย่างในร้านอาหารใกล้ๆ ห้างสรรพสินค้านี่เอง

     

                แม้ว่าบาร์บีคิวหรือหมูสามชั้นที่ทงเฮสั่งมากินจะมีราคาแพงเกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างทงเฮจะมีปัญญากินได้ทุกวัน แต่สำหรับฮยอกแจถือว่าอาหารมื้อนี้ถูกที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาแล้ว

     

                ความซื่อและความเด็ดเดี่ยวที่ทงเฮมีทำให้ฮยอกแจรู้สึกหลงรักทงเฮมากยิ่งขึ้น

     

     

                ฮยอกแจคิดไม่ตกว่าเขาจะทำอย่างไรกับเรื่องที่มารดาให้ไปจัดการดี ใจหนึ่งก็อยากทำเพื่อมารดา แต่อีกใจก็เห็นใจกับความรักของพี่ชายและคนรัก ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็เริ่มตกหลุมรักของทงเฮมากขึ้นทุกวัน

     

                แม้ทงเฮจะรำคาญและบ่นเขาเสมอเวลาที่เขาไปหา แต่ฮยอกแจก็ยังเทียวไล้เทียวขื่อและไปตามกวนใจทงเฮได้ในทุกๆ วัน

     

                บางวันถูกไล่ตะเพิดออกมาก็ไม่เป็นไร

     

                แค่ได้เห็นหน้าของทงเฮ ฮยอกแจก็ยังรู้สึกเป็นสุขและนอนหลับฝันดีมากแล้ว

     

                “ฮันกยอง ถ้าลูกไม่เลิกกับมัน งั้นเราตัดแม่ตัดลูกกัน!” ฮยอกแจนั่งเล่นเกมส์ออนไลน์อยู่ในห้องทำงาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของคนเป็นแม่ดังขึ้นจากชั้นล่าง เขาจึงเปิดประตูห้องออกมาดู

     

                “ทำไมแม่เป็นแบบนี้ล่ะครับ ผมก็บอกแม่แล้วว่าฮีชอลเขาเป็นคนดี การศึกษาเขาก็ดี งานที่บริษัทเขาก็ช่วยผมคิดแก้ไขมาหลายครั้งแล้ว”

     

                “แต่ชาติตระกูลมันไม่ดี แค่นี้จบไหม?” คุณนายอีเชิดหน้าขึ้นถามลูกชายคนโตที่แม้จะเก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง แต่ก็มาทำให้ผิดหวังกับเรื่องคู่ครองจนได้

     

                “ถ้าไม่ไม่อนุญาต ผมจะหนีไปกับฮีชอล” ฮันกยองยืนกราน

     

                “ฮันกยอง!” ในตอนนั้นเองที่ฮยอกแจก็เห็นว่าคิม ฮีชอลก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ใบหน้าที่หวาดหวั่นและรู้สึกผิดเกาะแขนของฮันกยองไว้ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ หากแต่คุณนายอีกลับวาดนิ้วออกไปทางประตูหน้าบ้าน

     

                “งั้นก็ออกไปเลย แล้วก็อย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก!

     

                สิ้นเสียงของคุณนายอี ฮันกยองก็คว้าข้อมือของฮีชอลแล้วขึ้นรถยนต์ขับออกไปจากบ้านในทันที เมื่อลูกชายคนโตหนีไป คุณนายอีก็ล้มนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง

     

                “แม่!!!!!!                              

     

                “ฮยอกแจ ลูกต้องช่วยแม่นะ ไปตามพี่ชายของลูกกลับมาให้ได้ เข้าใจไหม...ไปลากตัวพี่ชายลูกกลับมานะ” เธอร่ำร้องบอกลูกชายคนเล็ก แต่ฮยอกแจกลับย่นคิ้วฉับอย่างแปลกใจ

     

                “แล้วแม่ไปไล่พี่เขาก่อนทำไมล่ะครับ?”

     

                “ก็แม่อารมณ์ขึ้นนี่นา ลูกต้องตามฮันกยองกลับมาให้ได้นะ เข้าใจไหมฮยอกแจ...ทำเพื่อแม่นะ”

     

                ฮยอกแจพยักหน้าอย่างจำยอม ก่อนจะบึ่งรถออกไปยังบ้านของทงเฮด้วยความรวดเร็ว เขาเห็นทงเฮยังผัดอาหารอยู่ในร้านอย่างขะมักเขม้น แต่พี่ชายของเขากับคิม ฮีชอลไม่ได้มาที่นี่

     

                “ทงเฮ!” ฮยอกแจเรียกชื่อเจ้าของร้านอย่างร้อนใจ

     

                “มาที่นี่ทำไมอีก? วันนี้ฉันมีลูกค้าเยอะ ไม่ว่างทำตัวไร้สาระแบบนายหรอกนะ” ทงเฮบอกพลางตักอาหารใส่จานข้าวแล้วเดินไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า พอฮยอกแจเห็นจึงฉวยถาดอาหารมาจากมือบางแล้วเดินไปเสิร์ฟเสียเอง ทงเฮได้แต่ยืนอึ้งกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า

     

                “พี่ชายของฉันกับพี่ชายของนายหนีไปด้วยกัน” ฮยอกแจเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่ทว่าใบหน้าคมสันกลับส่อแววเครียดออกมาอย่างชัดเจน

     

                “หนีไปที่ไหน? ตั้งแต่เมื่อไร?” ทงเฮถามขึ้นอย่างตกใจ

     

                “ถ้าฉันรู้แล้วจะมาถามนายไม่เล่า โธ่เว้ย!” ฮยอกแจสบถก่อนจะเตะลมด้วยความโมโห แล้วทั้งสองก็ขับรถออกไปด้วยกันเพื่อตามหาฮันกยองและฮีชอล

     

                ฮยอกแจต่อสายไปหาฮันกยองหลายครั้ง แต่พี่ชายของเขาก็ไม่ยอมรับสายเลย เขาจึงใช้เบอร์ของทงเฮโทรไปแทน สักพักฮันกยองก็กดรับ

     

                “พี่ฮันกยอง นี่ผมเองนะ”

     

                [ฮยอกแจ] ฮันกยองแค่เรียกชื่อของน้องชายกลับมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ [ฝากบอกแม่ด้วยว่าพี่จะไม่กลับไปที่บ้านอีกแล้ว]

     

                “แต่แม่บอกให้ผมตามพี่กลับไปที่บ้านให้ได้ พี่อยู่ที่ไหน ผมจะตามไป” ฮยอกแจเอ่ยถามอย่างร้อนใจ รู้ดีว่ายังไงพี่ชายของเขา เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วก็ไม่ยอมถอยหลังกลับง่ายๆ แน่

     

                [ฮยอกแจ พี่ขอโทษนะ] ฮันกยองพูดจบก็กดวางสายลงไป แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทงเฮก็บันทึกตำแหน่งที่ฮันกยองอยู่ได้จาก GPS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮยอกแจจึงหันมาถาม

     

                “เขาไปทางไหนกัน?”

     

                “เหมือนจะมุ่งหน้าไปแถวซ็อกโซนะ” ทงเฮคาดเดาจากเส้นทางที่เห็นในหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ฮยอกแจจึงเหยียบคันเร่งบึ่งรถสปอร์ตมุ่งตรงไปยังทะเลแถบซ็อกโซทันที

     

                แต่เมื่อเขาไปถึงทะเลที่นั่นและโทรศัพท์ไปหาฮันกยองอีกครั้ง ฮยอกแจกลับติดต่อพี่ชายไม่ได้เลย เขาพยายามถามหาชาวบ้านบริเวณนั้นแต่ก็ไม่มีใครพบเห็นรถยนต์ของพี่ชาย ฮยอกแจจึงจอดรถข้างทางด้วยความผิดหวัง

     

                เขาทำอะไรไม่ได้ดีเลยสักอย่างเดียว

     

                “เขาคงไม่ได้มาที่นี่ หรืออาจจะมา...แต่ไปที่อื่นแล้ว” ฮยอกแจเดินลงมาจากรถ มองไปยังทะเลเบื้องหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยใจ

     

                “ใจเย็นๆ น่า ฉันก็เป็นห่วงพี่ฮีชอลเหมือนกัน ยังไงเขาก็ต้องติดต่อมา”

     

                “นายคิดว่างั้นเหรอ?” ฮยอกแจหันมาถามคนที่ร่วมนั่งรถมากับเขาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา

     

                “พี่ฮีชอลจะต้องโทรมาแน่ๆ” พูดยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงโทรศัพท์ของทงเฮก็ดังขึ้น เขารีบร้อนกดรับโทรศัพท์จากพี่ชายแทบจะในทันที “พี่!

     

                [ทงเฮ...น้องอยู่ไหน?]

     

                “แล้วพี่ล่ะอยู่ที่ไหน ตอนนี้น้องอยู่ทะเลที่ซ็อกโซ” ทงเฮระบุตำแหน่งของตัวเองให้กับพี่ชายทราบ ก่อจะได้ยินเสียงถอนหายใจจากทางปลายสายดังกลับมา “มีอะไรเหรอครับ?”

     

                [พี่ขอโทษนะที่ทำให้นายกับคุณฮยอกแจลำบากอีกแล้ว]

     

                “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” ทงเฮบอกเสียงอ่อน ในโลกนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทงเฮจะพูดดีด้วย

     

                [ถึงฮันกยองจะพาพี่หนีไป แต่พี่ไม่สามารถทำลายอนาคตของเขาได้หรอก ตอนนี้พี่อยู่ที่บ้าน พี่จะเลิกกับเขา]

     

                “เลิกกัน?!” เสียงตะโกนของทงเฮทำให้ฮยอกแจตกใจไปด้วย “ไม่ได้นะครับ ทำไมพี่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ล่ะ ตอนนั้นพี่บอกว่าจะสู้นี่ พี่ฮีชอล...”

     

                [ยังไงแม่กับลูกก็ตัดกันไม่ขาดหรอกทงเฮ ยังไงก็รีบๆ ให้คุณฮยอกแจขับรถมาส่งที่บ้านล่ะ พี่จะรอกินข้าวเย็นกับน้องนะ] พูดจบก็กดวางสายลงไปในทันที ทงเฮรู้ว่าพี่ชายของเขากำลังเศร้า แต่กลับพยายามทำตัวให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วง

     

                “พี่ของนายว่ายังไงบ้าง?” ฮยอกแจถามทันทีที่ทงเฮลดโทรศัพท์ในมือลง

     

                “พวกเขากลับไปที่โซลกันแล้ว เขาบอกว่าจะเลิกกัน”

     

                “เลิกกัน...งั้นเหรอ?” ฮยอกแจถามอย่างตกใจไม่แพ้กับทงเฮ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ

     

                “สมใจนายแล้วใช่ไหมล่ะ? นายอยากให้เขาเลิกกันตั้งแต่แรกแล้วนี่ คราวนี้นายก็พอใจแล้วใช่ไหม?!” ทงเฮตะโกนถามทั้งน้ำตา ฮยอกแจจึงจับประคองพวงแก้มใสไว้มั่น แล้วโน้มเข้าไปประกบปากจุมพิตเพื่อให้ทงเฮหยุดพูด

     

                ฮยอกแจไม่ได้โกรธ ไม่ได้รู้สึกเกลียด

     

                แต่ตอนนี้...เขาไม่รู้จะพูดอะไรออกไปก็เท่านั้นเอง

     

                เพียะ!

     

                “นายมันบ้าที่สุด!” ทงเฮผลักอีกฝ่ายออก ก่อนจะตบหน้าฮยอกแจอย่างแรง เขาเดินหนีขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วในขณะที่ฮยอกแจขับรถกลับไปโซล ทงเฮก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาอีกเลย

     

     

                หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ สัปดาห์กว่าแล้วที่ฮยอกแจไม่ได้มาที่บ้านของทงเฮ ส่วนฮีชอลพี่ชายของเขาก็เอาแต่เซื่องซึมอยู่ในห้อง แม้ว่าจะกินข้าวครบทั้งสามมื้อ แต่ก็เงียบเหงาไม่เหมือนก่อน บ่อยครั้งที่ฮันกยองฝากลูกน้องเอาของมาให้ บ้างก็โทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วง แต่การไม่ได้พบหน้ากันก็ทำให้พี่ชายของเขาเปลี่ยนไป

     

                ฮยอกแจเองก็เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ปล่อยระเบิดลูกใหญ่ด้วยการขโมยจูบแรกของเขาไปที่ริมทะเลในวันนั้น ฮยอกแจก็ไม่มาหาทงเฮอีกเลย

     

                บางที...ฮยอกแจคงเห็นเขาเป็นแค่ของเล่นเท่านั้น

     

                ตั้งแต่ถูกจูบ...ไม่สิ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรทงเฮก็ยังไม่รู้ตัว ความสนิทสนมและคุ้นเคยที่ฮยอกแจมีให้กับเขาทำให้ทงเฮรู้สึกขาดฮยอกแจไม่ได้ เขาคิดถึงฮยอกแจจนแทบเป็นบ้า ทำอาหารก็ใจลอย หยิบน้ำตาลเป็นเกลือ หยิบเกลือเป็นน้ำตาลบ้าง

     

                ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมเลยสักนิด

     

                แม้แต่หัวใจของเขา...ตอนนี้มันก็เหมือนจะหลุดลอยไปอยู่กับฮยอกแจแล้ว

     

                ทงเฮตัดสินใจปิดร้านเร็วกว่าทุกวัน เขาไปหาฮยอกแจที่บริษัทแต่ก็ไม่พบ แต่ทงเฮก็ยังโชคดีที่เจอกับบอร์ดี้การ์ดชุดดำสองคนนั้น เขาจึงถามทางไปบ้านของฮยอกแจ ซึ่งหนุ่มชุดดำก็อาสาขับรถพาทงเฮไปยังคฤหาสน์ของฮยอกแจด้วยตัวเอง

     

                เมื่อทงเฮเข้ามาในบ้านก็พบกับคุณนายอีกำลังนั่งเลือกเครื่องเพชรอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก เขาโค้งคำนับอย่างสุภาพ แต่กลับโดนสายตาดูถูกเหยียดหยามส่งมาให้

     

                เป็นสายตาที่ดูถูกยิ่งกว่าสายตาของฮยอกแจหลายสิบเท่า เป็นสายตาที่แสดงความเหยียดหยามอย่างแท้จริง

     

                “เธอเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”

     

                “ผมมาหาฮยอกแจครับ” ทงเฮว่าก่อนจะมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน คุณนายอีจึงลุกขึ้นยืน

     

                “ใครเชื้อเชิญเธอไม่ทราบ?”

     

                “ไม่มีใครเชิญหรอกครับ ผมมาเอง ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา” ทงเฮบอก ก่อนจะถูกบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของฮยอกแจผายมือไปทางบันไดที่ตรงขึ้นไปยังชั้นสอง แม้คุณนายอีจะโวยวายแค่ไหน แต่ทงเฮก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

     

                ใครจะว่าเขาไม่มีมารยาทก็ช่าง แต่เขาต้องการมาหาเพียงอี ฮยอกแจเท่านั้น

     

                “คุณหนูอยู่ในห้องนี้แหละครับ คงกำลังเล่นเกมส์อยู่”

     

                “ขอบคุณนะ” ทงเฮเอ่ยบอก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อกจากข้างใน เพราะห้องส่วนตัวของฮยอกแจไม่มีใครกล้าเปิดเข้าไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทงเฮเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของห้องทำงานกลับเบิกตากว้าง

     

                “นาย! เข้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง?” ฮยอกแจเอ่ยถามพลางเด้งตัวลุกขึ้นยืน

     

                “นั่งรถบอร์ดี้การ์ดของนายมา”

     

                “ไม่” ฮยอกแจส่ายหน้าระรัว "ฉันหมายถึง...นายไม่ได้พบแม่ฉันมาก่อนเหรอ?” ฮยอกแจยังคงงุนงงไม่หาย

     

                “อ๋อ...ฉันพบแล้ว เธอนั่งดูเครื่องเพชรอยู่ข้างล่าง แถมยังมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า นายถามทำไม?”

     

                “แล้ว...แล้วแม่ไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ?”

     

                “พูด! แต่ฉันจะขึ้นมา ใครจะมาขวางฉันได้” ทงเฮเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฮยอกแจเอาแต่ยิงคำถามใส่เขาโดยที่ไม่เหลือพื้นที่ให้เขาได้พูดเลยสักนิดเดียว “ฉันจะพูดธุระของฉันได้หรือยัง?”

     

                “อื้อ” ฮยอกแจยังคงเก็บอาการดีใจเอาไว้ ที่เขาไม่ไปหาทงเฮตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะกลัวว่าทงเฮคงไม่ให้อภัยกับการกระทำของเขาอีกแล้ว ฮยอกแจไม่คิดว่าทงเฮจะมาหาเขาถึงที่นี่

     

                “นายไม่ไปหาฉันตั้งหลายวัน คิดจะยกเลิกสัญญาของเราแล้วหรือไง ฉันยังผลาญเงินไปจากนายได้ไม่เท่าไรเองนะ” ทงเฮบอกเลี่ยงเป็นอย่างอื่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเขามาที่นี่เพียงเพราะเหตุผลอย่างเดียวเท่านั้น

     

                เมื่อฮยอกแจไม่ยอมตอบอะไรออกมา ทงเฮก็รู้สึกเสียหน้าที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่เพียงเพราะอยากจะเห็นหน้าฮยอกแจ แต่เมื่อได้เห็นแล้ว ฮยอกแจกลับทำท่าทางหมางเมินใส่ ทงเฮจึงหมุนตัวหันหลังแล้วเตรียมออกจากห้อง หากแต่กลับถูกฮยอกแจสวมกอดจากทางด้านหลัง

     

                “นายมาที่นี่...มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?” ฮยอกแจกระซิบถามข้างหูเหมือนตอนที่อยู่ในโรงแรม

     

                “ไม่มีอะไร” ทงเฮเงียบลง แล้วแกะมือของฮยอกแจออก เขาหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันเคยบอกว่านายมันบ้าที่จูบฉัน แต่ตอนนี้...ฉันมันบ้าเองที่มาที่นี่”

     

                “ทำไมถึงบ้า?”

     

                “ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่ควรจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว งั้นฉันกลับแล้วนะ” ทงเฮพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปทันที แต่ฮยอกแจกลับเรียกรั้งเอาไว้

     

                “ทงเฮ...” เขาคว้ามือบางมากอบกุมเอาไว้อย่างอ่อนโยน “ได้โปรด บอกมาเถอะว่าจริงๆ แล้ว นายมาที่นี่ทำไม”

     

                “ฉัน...”

     

                “....”

               

                “แค่...คิดถึง” คำพูดสั้นๆ ทำให้หัวใจของใครบางคนพองโตจนแทบจะล้นออกมานอกอก “แล้วก็รัก...”

     

                “รักเลยเหรอ?!” ฮยอกแจถามอย่างตกใจ ทงเฮจึงรีบหมุนตัวกลับไป ก่อนจะโบกมือปฏิเสธ

     

                “ฉันแค่มาบอกว่ารักเฉยๆ นะ ไม่ได้จะเรียกร้องอะไรเลย ก็แค่...อยากจะบอกน่ะ” ทงเฮรู้สึกกลัวว่าฮยอกแจจะคิดเป็นอย่างอื่น กลัวว่าความรู้สึกจริงใจของเขาจะถูกฮยอกแจกล่าวหาว่าเป็นแค่คำหลอกลวงเพราะต้องการได้เงินเท่านั้น เขาคิดว่าตัวเองควรจะไปจากที่นี่จึงหันหลังแล้วเดินออกไป หากแต่ฮยอกแจกลับสวมกอดเขาไว้แน่น

     

                “ทงเฮ...” เขาเอ่ยเรียกด้วยคำพูดที่หวานหูและคิดถึงจนแทบขาดใจ “ฉันเองก็...รู้สึกรักนายเหมือนกัน”

     

                “จริงเหรอ?” ทงเฮถามกลับ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่หูของตัวเองได้ยิน

     

                “จริงสิ” ฮยอกแจตอบสั้นๆ แล้วพยักหน้าระรัว

     

                “แล้วนายไม่กลัวฉันหลอกเอาเงินจากนายเหรอ?”

     

                “นายจะเอาอะไรไปจากฉันได้ เสื้อผ้าแบรนด์แนม นายก็ไม่กล้าเข้าไปเลือก อาหารแพงๆ นายก็กินไม่เป็น นายเอาอะไรไปจากฉันไม่ได้สักอย่างหรอก...อี ทงเฮ” ฮยอกแจบอก ก่อนจะชิงหอมแก้มอย่างเต็มความรัก “เว้นก็แต่...”

     

                “แต่อะไรเหรอ?” คำว่า แต่ของฮยอกแจทำให้ทงเฮรู้สึกแปลกใจ แต่แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ทงเฮยิ้มกว้าง

     

                “หัวใจของฉันไง นายรีดไถไปจนหมดตัวแล้วนะ”

     

                “อ้วก!!!!!!!!!!

     

     

                หลังจากวันนั้นคุณนายอีก็ต้องหนักใจมากขึ้น เพราะแทนที่จะให้ลูกชายคนเล็กไปกำราบลูกชายคนโต กลับตกกระไดพลอยโจนไปหลงรักน้องชายของคิม ฮีชอลเสียอีก คราวนี้ไม่ว่าเธอจะพูดห้ามปรามอย่างไรลูกชายทั้งสองคนก็ไม่เชื่อฟัง อีกทั้งยังเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทั้งพี่ทั้งน้อง

     

                ฮีชอลน่ะไม่เท่าไร เพราะฮันกยองยังพาเข้ามานอนในบ้าน อย่างน้อยก็ยังอยู่ในสายตาของเธอ

     

                แต่กับทงเฮ รายนั้นไม่ยอมออกมาจากร้านอาหารเลย ทำให้ฮยอกแจต้องไปค้างคืนที่บ้านหลังนั้นอยู่บ่อยครั้ง

     

                วันนี้ก็เช่นเดียวกัน

     

                ลูกชายคนเล็กอาบน้ำร่วมสองชั่วโมง ฉีดน้ำหอมจนฟุ้ง และแต่งตัวอย่างหล่อเหลาเอาการ ในขณะที่ลูกชายคนโตของคุณนายอีก็พาคนรักเข้ามานอนที่บ้านพอดี

     

                “คุณฮยอกแจจะออกไปหาทงเฮเหรอครับ?” ฮีชอลเอ่ยทักเมื่อกำลังจะเดินสวนกัน

     

                “ครับ อ้อ...ต่อไปพี่ฮีชอลไม่ต้องเรียกผมว่า คุณ อีกแล้วนะ” ฮยอกแจเอ่ยบอกเพราะเมื่อก่อนเขาบังคับให้ฮีชอลเรียกตัวเองว่า คุณก็ตามคำสั่งของแม่อีกนั่นแหละ ทว่าตั้งแต่คบหากับทงเฮ ทงเฮก็เปลี่ยนแปลงนิสัยของเขาไปจนหมดเปลือก

     

                “พี่จะพยายามนะครับ” ฮีชอลว่าพลางคลี่ยิ้ม “จริงสิ เสื้อผ้าที่คุณ เอ้ย! ฮยอกแจซื้อให้ทงเฮเมื่อเดือนก่อนน่ะ”

     

                “หืม? เสื้อผ้า...?” ฮยอกแจทำหน้างุนงง เขาไปซื้อเสื้อผ้าให้กับทงเฮตั้งแต่เมื่อไรกัน

     

                “ก็เสื้อผ้าแบรนด์เนมพวกนั้นไงล่ะครับ ที่จริงทงเฮเขาทิ้งขยะตั้งแต่วันแรกที่กลับบ้านแล้ว พี่เห็นแล้วเสียดาย เลยเก็บเอาไว้ ฮยอกแจจะเอาไปให้ทงเฮหรือเปล่า ตอนนี้พี่เก็บไว้ในห้องน่ะ”

     

                “งั้นผมขอเข้าไปในห้องพี่ฮีชอลนะครับ แล้วคืนนี้ผมจะทำโทษน้องชายของพี่ให้เข็ดเลย” คำพูดของฮยอกแจทำให้ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะร่วนกับนิสัยชอบเอาชนะของน้อง แต่ฮีชอลกลับนึกเป็นห่วงน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง ทำเขาไว้เยอะ โดนเอาคืนแบบนี้จะเป็นอะไรมากไหมนะ

     

                ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่นั้น คุณนายอีก็เดินออกมา เธอใช้ให้แม่บ้านขนกระเป๋าเดินทางออกมาตั้งสี่ห้าใบ แถมแต่ละใบก็ไม่ใช่ขนาดเล็กๆ ฮยอกแจเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น

     

                “แม่จะไปไหนน่ะครับ?”

     

                “ฉันก็จะไปหาลูกชายคนกลางของฉันน่ะสิ พวกแกน่ะไม่เห็นหัวฉันเลย ฉันจะไปอยู่กับซีวอนที่ไต้หวันแล้ว” คุณนายอีพูดถึงลูกชายคนกลางที่กิจการของบริษัทในสาขาที่ไต้หวัน “อย่างน้อยเขาก็แต่งกับคยูฮยอน ลูกชายเจ้าของโรงแรม ไม่เหมือนพวกแก ไม่ได้เรื่องสักคน”

     

                “เที่ยวให้สนุกนะครับแม่!” ฮยอกแจโบกมือลาอย่างร่าเริง ไม่ได้สนใจจะง้อมารดาของตัวเองเลยแม้แต่นิด เขารู้ว่ามารดาน่ะมีนิสัยขี้งอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

     

                แต่ว่าตอนนี้...ฮยอกแจจะต้องรีบไปจัดการกับอี ทงเฮตัวดีเสียก่อน

     

                เดี๋ยวจะซื้อชุดลายเสือไปใส่เสียให้เข็ดเลย!

     

     

    Talk with Lee Seen

                เป็นพล็อตที่คิดไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้แต่งเสียที

    ทั้งๆ ที่วางโครงเรื่องมาได้เกือบสองสัปดาห์ แต่ก็ลีลาจนถึงวันนี้

    ฟิคนี้อวยพรวันเกิดให้กับน้องบ๋อม ผู้ที่มีคอมเม้นท์ฟิคหลงรักยาวที่สุดในสามโลกจ้า

     

    มีความสุขมากๆ นะน้องสาว

     

     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×