ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Identity V Fanfic ] My darling is Hunter

    ลำดับตอนที่ #3 : ผมเบื่อที่ต้องอยู่ห่างจากคุณเเล้ว 100%

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 61





    "คุณน่าจะรู้นะว่าฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูดเลยซักนิด"

    ฉันสะบัดข้อมือออกหลังจากเราจ้องตากันได้ซักพัก ฝ่ามือของเขาเย็นราวกับน้ำแข็งอย่างน่าประหลาด เเจ๊คมองฉันอย่างมีความหมาย

    "ผมไม่ได้คาดหวังให้คุณเข้าใจหรอก
     แค่ไม่อยากให้คุณโทษตัวเอง"

    "อ๋อค่ะ ขอบคุณมาก" ฉันแดกดันก่อนสะบัดหน้าเดินหนี รู้สึกเดือดปุดๆเหมือนซุปในหม้อเมื่อกลางวัน ใช่สิ ฉันมันไม่น่าสนใจเหมือนเขาที่ทั้งหล่อเเละบ้านรวยทั้งยังดูลึกลับอีก ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับชาวสวนบ้านนอกจนๆกันล่ะ เเละไอ้ที่ว่าอันตรายนั่นมันอะไร เนื้อเเท้ของเขาเป็นผีดูดเลือดรึไง


    "เป็นยังไงบ้าง เขาชอบรึเปล่า" เอมิลี่รีบเข้ามาถามเมื่อฉันเข้ามาในบ้าน ฉันกลอกตาอย่างสุดเซ็ง


    "รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ปาใส่หน้าเขาให้รู้เเล้วรู้รอด"





    บ่ายวันพุธ อากาศเริ่มหนาวเย็นไม่อบอุ่นเท่าวันก่อนๆ ฤดูใบไม้ร่วงคงหวนมาใกล้เต็มที ฉันเริ่มผวา ฤดูหนาวเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด นอกจากจะทำให้ปลูกดอกไม้ไม่ได้จนขาดรายได้เเล้ว ฉันยังขี้หนาวขั้นรุนเเรง 
     
    ฉันนั่งดอกไม้ที่โต๊ะในบ้านเพื่อส่งให้กับมารีเนตด์ หล่อนเป็นสาวสวยผมบลอนด์ที่อาศัยอยู่ในบ้านหรูทางตอนเหนือ เธอมักจะสั่งดอกไม้จากฉันเป็นประจำเพื่อจัดงานเลี้ยง เธอชอบเป็นจุดสนใจ บ่อยครั้งที่หล่อนชวนฉันไปงานของเธอเเต่ฉันได้เเต่ปฏิเสธทุกครั้ง งานคงล่มอย่างไม่ต้องสงสัยถ้าฉันไป มารีเนตด์ไม่ค่อยสนใจใครนอกจากตัวเอง เธอเป็นอีกคนที่ไม่ได้มองว่าฉันเพี้ยนเหมือนคนอื่นๆเพราะความจริงเเล้วเธอไม่เคยสังเกตฉันนานพอต่างหาก 

    ฉันดีใจที่ในที่สุดก็ได้หาโอกาสออกจากบ้านเสียทีก่อนจะจมจ่อมอยู่กับอารมณ์บูดเซ็งของตัวเองจนตายซะก่อน เเจ๊คทำให้ฉันหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึง แม้จะหาเหตุผลล้านเเปดฉันก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด เเละฉันเกลียดความรู้สึกนี้จริงๆ

    เมื่อเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ฉันหอบตะกร้าดอกไม้ก่อนจะถือออกมาหน้าบ้าน บ้านของมารีเนตด์อยู่ไกลเกือบแปดไมล์ ฉันจึงต้องขับรถไปอย่างไม่มีทางเลือก รถของฉันที่จริงๆดูเหมือนเครื่องยนต์กระป๋องเป็นสมบัติของพ่อ โชคดีที่ยังไม่ไหม้ไปกับโรงโม่เเต่มันก็เก่าคร่ำครึเเถมยังส่งเสียงโครมครามเวลาวิ่งอย่างน่าใจหาย เป็นไปได้หากเฟรดดี้ว่าง ฉันมักจะขอยืมวอลโล่คันงามนั่นมาขับมากกว่า เเต่ก็อย่างว่า ช่วงนี้เขายุ่งจนตัวแทบจะบิดเป็นเส้นพาสต้าอยู่เเล้ว


    ฉันวางตะกร้าดอกไม้ที่ฝั่งคนนั่งก่อนจะบิดกุญเเจสตาร์ทรถ ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่มันยังติดเครื่องดีอยู่ก่อนจะขับออกจากบ้านช้าๆ ฉันวางเเผนว่าจะเเวะกินอาหารที่หมู่บ้านก่อนเเละกลับมาบ้านก่อนหกโมงเย็น


    ฉันขับดัทสันเก่าหงั่กไปเรื่อยๆ มันส่งเสียงดังหนวกหูตลอดทางจนถึงหมู่บ้าน ท้องฉันร้องโวยวายทันทีเมื่อถึงร้านอาหารมาร์โก้ซึ่งเป็นร้านประจำ ฉันอดรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้กลิ่นอาหารหอมๆ เเต่ความรู้สึกนี้ก็ปลิวหายไปทันทีเมื่อเข้ามาในร้าน

    เเจ๊คอีกเเล้ว เขาดูโดดเด่นกว่าใครในร้าน ตรงข้ามเขาเป็นผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งท่าทางมีฐานะ ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างอารมณ์ดี ฉันอยากจะทึ้งหัวตัวเอง ร้านอาหารในหมู่บ้านนี้มีเป็นสิบทำไมเขาต้องโคจรมากินที่เดียวกับฉันด้วย ฉันนั่งลงที่โต๊ะว่างที่ไกลจากตรงนั้นที่สุดก่อนจะสั่งอาหารมาทาน เเต่ถึงกระนั้นร้านนี้ก็เล็กนิดเดียว เเจ๊คสังเกตเห็น เขาส่งยิ้มบางๆมาให้เเต่ฉันทำเป็นมองไม่เห็นโดยการหยิบหนังสือฟรีของร้านขึ้นมาอ่านเเละดูให้เเน่ใจว่ามันไม่ได้กลับหัว

    ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ฉันวางหนังสือก่อนจะลงมือทานอาหารให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อจะวางเงินค่าอาหาร ฉันหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเเละพบว่าไม่มีเงินอยู่ในนั้นแม้เเต่เหรียญเดียว

    "ไม่จริงน่า" ฉันร้อนรน พยายามเคาะๆกระเป๋ากับโต๊ะเผื่อมันจะเเอบอยู่เเล้วก็ต้องสิ้นหวังเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอากระเป๋างี่เง่านี่ไปซักเมื่อวานก็เลยเอาเงินออกไปหมดเเละตอนนี้ก็เลยไม่มีเงินติดตัวเลยซักเพนนี ฉันถอนหายใจให้กับความโง่ของตัวเองเเละคิดว่าจะติดต่อคุณเอมมิลี่ให้จ่ายเงินให้ก่อนอย่างไงดี 

    ในตอนนั้น ผู้หญิงสูงวัยเเละแจ๊คลุกขึ้น พวกเขาจับมือบอกลากันก่อนที่หล่อนจะออกจากร้านไป เเทนที่เเจ๊คจะทำเหมือนเธอเเต่เขากลับตรงมาหาฉันเเทน

    "หวัดดี" เขายิ้มบางๆทักทายฉันที่ทำหน้าบูดบึ้ง "คุณมาทำอะไรที่นี่"


    "เเล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ" ฉันตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ "เราไม่ใช่เพื่อนกันไม่ใช่หรอ"


    "ไม่เอาน่า เอ็มม่า" เขาหัวเราะเบาๆ อย่างมีเสน่ห์  "มันคงฉลาดกว่าจริงๆถ้าคุณอยู่ห่างๆผม"


    "ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด" ฉันขมวดคิ้วมองเขา เเต่เเจ๊คเปลี่ยนเรื่อง "คุณลืมเอาเงินมาหรอ"


    "รู้ได้ยังไง" ฉันถามอย่างตกใจในขณะที่เขาพยายามกลั้นหัวเราะ "ก็คุณเล่นเคาะกระเป๋าเงินซะดังขนาดนั้น"


    "อ๋อ" ฉันรับเสียงอู้อี้ "ฉันทำเรื่องน่าขายหน้าอีกเเล้วสิ"


    "ไม่หรอก" เเจ๊คว่า ฟังเหมือนกำลังขำ "ให้ผมจ่ายให้เอามั้ย"


    "ไม่จำเป็นหรอก" ฉันเชิดคาง เกือบลืมไปเเล้วว่ากำลังโกรธเขาอยู่ "เดี๋ยวฉันให้คุณเอมิลี่มาจ่ายให้ก็ได้"


    "คุณจะติดต่อเธอยังไง" 


    "โทรศัพท์ไง"


    "คุณรู้เบอร์เธอหรอ" เเจ๊คพยายามต้อนฉัน เขาดูสนุก


    "เเน่นอนสิ"


    "คุณมีโทรศัพท์หรอ" 


    "ตู้สาธารณะก็มี"


    "คุณมีเงินหยอดเหรียญ?"


    "นั่นมัน...." ฉันอ้าปากจะเถียงเเต่ก็อับจนคำพูด เเจ๊คยิ้มอย่างผู้ชนะ "เชื่อผมเอ็มม่า นี่ดีที่สุดเเล้ว"


    ฉันนิ่งไปซักพักเพื่อมองหาทางเลือกอื่นเเต่ก็ต้องยอมรับ "ก็ได้" ฉันฮึดฮัด "เเต่ฉันเเค่ขอยืมนะ ไม่ได้ขอให้คุณเลี้ยง"


    "โอเค" เขายิ้มพลางวางเงินลงบนโต๊ะ "เเต่ไม่สัญญานะครับว่าจะรับคืน"


    จากนั้นทั้งฉันเเละเเจ๊คก็ออกจากร้านมา ฉันถอนหายใจก่อนจะสังเกตป้ายประกาศที่พึ่งเอามาติดอยู่หน้าร้าน เป็นข่าวใหญ่ๆที่เขียนเกี่ยวกับคนร้ายฆ่าคนที่เมืองข้างๆถูกจับเเล้ว น่าเสียดายที่ไม่ใช่คดีที่ต้องทำให้คุณเฟรดดี้วิ่งเต้นไปทั่ว


    "คุณคิดยังไงกับข่าวนี้" 


    "คะ?" จู่ๆเเจ๊คก็ถามฉันด้วยน้ำเสียงเกินจะหยั่งลึก ฉันส่ายหน้าเบาๆ "ไม่รู้สิ คงเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมมาก"

    "แล้วถ้าเขามีเหตุผลที่ต้องฆ่า เเต่จริงๆไม่อยากทำล่ะ" เเจ๊คถามต่อ


    "ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงน่าสงสาร" ฉันคิด รู้สึกเเปลกใจ "ฉันเชื่อว่าไม่มีใครอยากทำสิ่งเลวร้าย เเล้วยิ่งกับคนที่ต้องทำเพราะความจำเป็น นั่นคงเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากสำหรับเขา"


    "อย่างนั้นหรอ" เเจ๊ครับเบาๆราวกับพูดกับตัวเองก่อนหันมามองฉันอย่างมีความหมาย "คุณเป็นคนที่เเปลกนะ เอ็มม่า"


    "จะรับเป็นคำชมนะ" ฉันยักไหล่ เเจ๊คหัวเราะเบาๆ "เเล้วคุณจะไปไหนต่อหรอ"


    "เอาดอกไม้ไปส่งน่ะ ที่หมู่บ้านเอ็มเมตน์"


    "นั่นไกลมากนะ" เเจ๊คเลิกคิ้ว "รถของคุณจะไปถึงหรอ"


    "เเน่นอน ถึงมันจะเก่าเเต่ก็ยังวิ่งได้เเจ๋วอยู่" ฉันว่า เเต่กลับรู้สึกไม่มั่นใจเอาซะเลย เเจ๊คหัวเราะหึๆ


    "เอ้า ถ้าคุณว่าอย่างนั้น งั้นผมไปก่อน ระวังด้วยนะ"


    "โอเค"

     

    ******************


    ฉันไปถึงบ้านของมารีเนตด์ตอนบ่ายสาม เเต่คนรับใช้ของเธอไม่อยู่ ฉันเลยต้องช่วยเธอจัดดอกไม้เเละเตรียมงานเลี้ยงเเทน ค่าตอบเเทนก้อนโตนั่นทำเอาฉันปฏิเสธไม่ลง กว่างานจะเสร็จก็ผ่านมาสี่ชั่วโมง ฉันเปิดประตูรถอย่างเอื่อยเฉื่อย ติดเครื่องเจ้าแก่เเละขับออกไปอย่างเรื่อยๆ อยากทิ้งตัวลงบนที่นอนเต็มที

    ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำ ฉันขี่รถตรงมาเรื่อยๆ รู้สึกเซ็งที่ถนนขรุขระทำฉันเด้งไปมาอยู่บนรถ หวังว่าจะไม่ได้ขี่เจ้านี่อีก 

    เเละสิ่งที่ฉันไม่อยากให้เกิดที่สุดก็เกิดขึ้น มีเสียงโครมครามผิดปกติดังจากรถ เเละเครื่องยนต์หยุดทำงานไปซะดื้อๆกลางทาง  ฉันพยายามสตาร์ทรถอย่างกระวนกระวาย "ไม่เอาน่า ติดสิ" เเต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเเต่ความเงียบ ฉันรู้สึกสิ้นหวัง ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย บ้านฉันอยู่ห่างไปอีกเกือบสี่ไมล์ ไม่มีทางจะเดินไปถึงที่นั่นโดยขาไม่เดี้ยงไปซะก่อน

    ฉันตัดสินใจรอมีคนผ่านมาเเละขอติดรถไปจนถึงหมู่บ้าน เป็นความหวังที่ริบหรี่มาก เพราะเส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านอยู่เเล้ว เเถมยังขนาบไปด้วยป่าทั้งสองข้างทาง จบเห่

    ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาเรื่อย ฉันกดเปิดวิทยุเพื่อบั่นทอนความกลัวเเละเปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น โชคดีที่ทั้งสองมันยังใช้การได้ ฉันฟังเพลงไปเรื่อยๆจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

    เสียงอะไรบางอย่างทำให้ฉันสะดุ้งตื่น หน้าปัดรถบอกเวลาเที่ยงคืน ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเเละรู้สึกถึงความหวัง มีรถคันนึงกำลังเเล่นมา ฉันรีบลงจากรถ โบกมือเรียกรถคั้นนั้น

    "ฉันขอติดรถไปด้วยได้มั้ยคะ!" ฉันตะโกน รู้สึกดีใจที่รถคันจอดลงข้างๆ กระจกถูกลดลง

    "ว่าไงคนสวย" มีผู้ชายสองคนในรถ คนนึงสวมเสื้อคลุมสักหราด อีกคนสวมเสื้อยืด ท่าทางมอมเเมม ทั้งคู่เหมือนโจรภูเขาที่หลุดมาจากหนังตอนบ่าย ฉันหุบยิ้มลงอัติโนมัติ  "เอ่อ คือรถฉันเสียน่ะ เเต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงมีคนมารับ" ฉันรีบหันหลังเดินหนี ได้ยินหัวเราะของทั้งสองไล่หลังมา 

    "เฮ้ รอก่อนสิ" ชายคนนึงลงรถมา ฉันรีบพยายามเดินเร็วๆเพื่อกลับไปที่รถอย่างใจคอไม่ค่อยดี ฉันมีเงินจากการทำงานเมื่อกี้ประมาณ10เหรียญ เเต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าโจร  เสียงฝีเท้าด้านหลังดังขึ้นเรื่อยๆก่อนมือสากๆจะมาจับฉันไว้

    "ให้พวกเราไปส่งน่า" ชายฉกรรจ์ดวงตาวาวโรจน์อย่างดุร้าย 

    "ปล่อยฉัน" ฉันสะบัดมืออกอย่างรุนเเรง อีกคนลงรถมา ทั้งคู่พยายามต้อนฉันให้จนมุม ฉันเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ ตะโกนออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ "อย่าเข้ามานะ!"

    "ทำไมเราต้องฟังเธอด้วย" พวกเขายังไม่หยุดจนฉันสะดุดอะไรซักอย่างล้ม รู้สึกกลัวเกินกว่าจะขยับหนีไปไหน "เดี๋ยวพวกเราไปส่งเธอเอง ถึงสวรรค์เลยล่ะ" หนึ่งในนั้นหัวเราะเหมือนนี่เป็นเรื่องตลกเต็มประดา ฉันหลับตาปี๋ ไม่กล้าจินตนาการสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ทันใดนั้นก็มีเเสงสว่างวาบเข้ามาตามด้วยเสียงเบรกดังเอี๊ยด ปอร์เช่สีดำสนิทอยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนประตูรถจะเปิดออกมา เสียงตะโกนด้วยความโกรธร้องสั่ง "หมอบลง เอ็มม่า"

    ฉันทำตามอัตโนมัติ เสียงปืนดังขึ้นสองนัดก่อนจะมีเสียงร้องโอดโอยจากตัวบึกทั้งสอง ฉันอึ้ง รู้สึกเหมือนตัวเองลืมวิธีหายใจไปเเล้ว เเจ๊ครีบมาดึงฉันขึ้นรถก่อนจะเลี้ยวออกไปอย่างรวดเร็ว

    ฉันรู้สึกโล่งใจเป็นล้นพ้นเเละรู้สึกปลอดภัยที่สุด เเจ๊คเข้ามาช่วยฉันได้อย่างไม่คาดฝัน ฉันจ้องใบหน้างามไร้ที่ติใต้เเสงสลัวๆก่อนจะสังเกตได้เมื่อหายตกใจว่าสีหน้าของเขาตอนนี้เเทบจะฆ่าคนได้เเล้ว

    "พวกเขาจะตายมั้ย" ฉันถามเสียงเเหบพร่าเมื่อนึกถึงชายฉกรรจ์ทั้งสอง


    "ถ้าตายก็ดี" เขาตอบห้วนๆ ดวงตาเป็นประกายโรจน์ด้วยความเดือดดาล "น่าเสียดายที่ยิงโดนเเค่ขา ถ้าผมมาช้ากว่านี้คุณคงเสร็จไอ้พวก---" เเจ๊คพูดด้วยความโกรธกริ้ว เขาผ่อนคันเร่งก่อนจะจอดลงข้างทาง หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเหมือนจะระบายโทสะของตัวเอง


    "คุณเป็นอะไรรึเปล่า" ฉันรู้สึกตกใจ เเจ๊คเเตกต่างไปกว่าตอนปกติมาก เขาดูน่ากลัวยิ่งกว่าผู้ชายเมื่อกี้ด้วยซ้ำ 


    "ขอโทษที ผมจัดการกับอารมณ์โกรธตัวเองไม่ค่อยได้" เขาตอบกลับมา น้ำเสียงยังฟังดูหงุดหงิด "คุณเป็นอะไรรึเปล่า"


    "ไม่เป็นไรค่ะ คุณมาช่วยฉันไว้ทันพอดี" ฉันตอบก่อนถามต่อ "คุณมาช่วยฉันไว้ได้อย่างไง"


    "เอมิลี่ น้าของคุณมาที่บ้านผม" เเจ๊คกล่าว เขาดูปกติขึ้น "เธอไปที่บ้านคุณมาเเละไม่เจอ ซึ่งมันก็สามทุ่มเล้ว ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยออกตามหาคุณด้วย"


    ฉันนิ่งฟัง  รู้สึกตื้นตันเป็นที่สุด "ฉันคิดว่าคุณไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันซะอีก"


    "ผมบอกว่าเราอย่าเป็นเพื่อนกันดีกว่า เเต่ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ" เเจ๊คกล่าว น้ำเสียงเขาดูนุ่มนวลขึ้น "เเต่ช่างมันเถอะ ผมเบื่อที่ต้องอยู่ห่างจากคุณเเล้ว"


    "ส-เเสดงว่าตอนนี้เราเป็นเพื่อนกัน ใช่มั้ยคะ" ฉันถามเสียงค่อย รู้สึกประหม่ากับคำพูดของเขาเมื่อกี้ เเจ๊คยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน


    "คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ"




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×