คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : การเริ่มต้น
ณ โรงเรียนปวช.สายพาณิชย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆมีนักเรียนไม่มากมายเท่าใดนัก แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีผู้ชายเป็นส่วนน้อยจนแทบจะนับคนได้เลย
และในช่วงเลิกเรียนของวันนั้นเอง มีกลุ่มนักเรียนชาย4คน อายุราวๆประมาณ17-18ปีสูงประมาณ170+ทุกคน ไว้ทรงผมสั้นแต่ยาวจนผิดกฎโรงเรียนแต่ก็เรื่องธรรมดา พวกเขากำลังชวนเพื่อนอีกคนให้ไปเที่ยวด้วยกัน
“เฮ้ยไอ้ตี๋ วันนี้เอ็งจะไปเดินตลาดกับพวกข้าป่าว”
เสียงของเด็กหนุ่มชื่อ “ฮาย” กำลังชวนเพื่อนอีกหนึ่งให้ไปเที่ยวด้วยกัน
“ไปกันอีกแล้วเหรอ ข้าเห็นพวกเอ็งไปกันแทบทุกวัน”
เสียงชายหนุ่มที่มีชื่อว่า”ตี๋”นั้นตอบกลับมา ลักษณะของเขานั้นอายุไล่เลี่ยกันผิวขาวไว้ทรงผมสั้นธรรมดาที่เกาหลีแบบไม่มีสาเหตุ สูงประมาณ160ต้นๆ
“แล้วตกลงจะไปไหมล่ะ”
เสียงของนพซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันนั้น ถามย้ำอีกครั้ง
“เออไปก็ได้หว่า แต่พวกเอ็งอย่าไปหาตีนมาอีกนะเว้ย”
ตี๋ตอบตกลงด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่าย
“โถ่ ทำกลัวไปได้ไปกันตั้งเยอะ จะไปก็รีบๆหน่อยเดี๋ยวสาวๆจะเลิกเรียนแล้ว”
ขวัญเพื่อนในกลุ่มอีกคนพูดด้วยอาการเด็กหนุ่มผู้หิวโหยความรัก เพราะว่าจากโรงเรียนที่พวกเขาเรียนอยู่นั้นมีโรงเรียนหญิงล้วนอยู่ห่างไปจากตลาดไม่ใกล้นัก
พวกเขาเดินไปที่ตลาดซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่พอดู เพราะละแวกรอบตลาดแห่งนี้มีสถาบันการศึกษาอยู่เต็มไปหมดซึ่งเมื่อเลิกเรียนเด็กนักเรียนจากสถาบันต่างๆก็จะมาเดินกันยังกะเป็นศูนย์การค้าเลยที่เดียว
แต่ระหว่างทางที่พวกเขาเดินไปตลาดก็มีบริเวณที่เป็นป่ารกอยู่เป็นบ้างจุด แล้วให้ระหว่างที่เดินผ่านบริเวณที่ว่านั้นเอง
“เนว เนว เจ้าได้ยินข้าไหม เนว!!”
เสียงแหบๆเหมือนชายแก่ ดังเข้ามาในหูของตี๋ ชัดเหมือนกำลังพูดอยู่ข้างหู แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
“เนว!! เนว!!!”
เสียงดังขึ้นจนตี๋เริ่มรำคาญจึงหันไปมองพื้นที่เป็นป่ารกแล้วล้อมด้วยรั้วหนาม ว่าใครกำลังตะโกนเรียกหาคนอยู่แถวนี้
โอ๊ย!!
จู่ๆก็มีแหวนวงหนึ่งพุ่งเข้ามาโดนแทรกหน้าเขาเต็มๆ เพื่อนๆที่เดินนำเขาอยู่ก็หันกลับไปมอง เห็นตี๋กำลังเก็บบ้างอย่างขึ้นมาจากพื้นและอีกมือจับหน้าผากไว้
“เฮ้ยตี๋เป็นอะไรวะ ร้องเสียงหลงเลยเอ็ง”
ฮายวิ่งเข้ามาทักก่อนเป็นคนแรก
“ไม่รู้ใครมันปาแหวนมาใส่หัวข้า เจ็บชิบเป้งเลย”
ตี๋บ่นพร้อมกับยกแหวนที่ทำจากเงินเป็นรูปหัวกะโหลก ที่หยิบมาได้ให้เพื่อนดู
ฮายสงสัยกับอาการของเพื่อนที่เอามือปิดแผลไว้ จึงจับมือที่ตี๋ปิดรอยแผลไว้ออก ฮายกับเพื่อนๆเห็นถึงกับตกใจเพราะรอยแผลช้ำเป็นรูป “หัวกะโหลก”
“เฮ้ย เท่วะไม่ต้องเสียตังไปสักเลย”
ขวัญพูดขึ้นมาเอาฮาซะอย่างงั้น
“เท่กับผีอะไรล่ะ”
ตี๋บ่นต่อ และมองไปที่ๆแหวนพุ่งออกมาหาว่าใครเป็นผู้ขว้างออกมา แต่ไม่พบเห็นใครเลยในบริเวณนั้น
“ยึดเลยล่ะกัน จะคุ้มค่าเจอหัวไหมเนี่ย เหอะ”
ตี๋บ่นต่ออีกพร้อมถอนหายใจ แล้วก็หยิบแหวนนั้นใส่เข้ากับนิ้วกลางมือขวาเพื่อยืนยันว่ามันได้ตกเป็นของเขาแล้ว
“พอดีเลยแหะ พวกเอ็งว่าไง”
ตี๋เริ่มอารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้แหวนที่ราคาประมาณ200-300บาทในท้องตลาดปันจุบัน แต่แล้วเขาได้สังเกตเห็นว่าพวกเพื่อนของเขายืนนิ่งจนผิดสังเกต สิ่งโดยรอบเขาหยุดนิ่ง
จู่ๆ ก็มีหัวกะโหลกที่ดูเหมือนจะเป็นเหล็ก ในชุดผ้าคลุมสีดำที่มีไอควันสีดำโพยพุ่งออกมาจากใต้ผ้าคลุมตลอด โผล่มาจากไหนไม่รู้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา
อ้า! “ข้าเจอเจ้าซะที่นะ เนว”
เจ้าหัวกะโหลกอ้าปากบอกไฟสีดำลอยออกมาจากปากมันเล็กน้อยแล้วพูดกับตี๋ ด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“คือว่า คุณจำคนผิดแล้วมั่งครับ ผมชื่อ ตี๋ ไม่ได้ชื่อเนว”
ตี๋พยายามคุมสติไว้แล้วตอบกลับไป เพื่อจะหลุดรอดจากสถานการณ์ที่ชวนงงนี้ไปได้
“น่าเศร้าจริงๆ ที่เจ้ายังจำแม้แต่ตัวเองไม่ได้”
เจ้าหัวกะโหลกในท่าทีที่ผิดหวัง แล้วก็หายไปด้วยไฟสีดำที่พุ่งมาจากใต้ผ้าคลุมทิ้งให้ตี๋มึนงงกับคำพูดเร้านั้น
“วันนี้ไอ้ตี๋มันโชคดีวะ อยู่ๆก็ได้ของดี”
เสียงของฮายพูดแซวขึ้นมา ตี๋จึงรู้ว่าสิ่งต่างๆโดยรอบขยับอีกครั้ง
“โชคดี หรือโชคเลือดวะ”
นพพูดแซวขึ้นมาอีกพลางตัดมุขกันแล้วก็หัวเราะขบขันกันไป เหลือเพียงตี๋ที่ยืนมอง
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว“
ตี๋พูดด้วยเสียงเบาๆไม่ให้เพื่อนได้ยิน
“อ้าวไอ้ตี๋ แหวนหายไปไหนแล้ววะ”
ขวัญมองดูตี๋เห็นแหวนที่ตี๋เก็บได้นั้นหายไปจึงพูดถามขึ้นมา
ตี๋จึงยกมือข้างที่ตนสวมแหวนไว้ พบว่าแหวนที่ตนสวมไว้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่เพื่อนๆเขากลับมองไม่เห็น
“ข้าก็ไม่รู้วะ รู้สึกตัวอีกที่ก็หายไปละ”
ตี๋ก็พูดไปตามความเป็นจริงไปซะอย่างงั้น
“โฮ เสียดายวะจะยืมใส่ซะหน่อย”
ขวัญพูดด้วยอาการผิดหวัง เพราะตนก็ชอบเครื่องประดับที่ทำจากเงิน
“เฮ้ยรีบไปดีกว่า เดี๋ยวอดดูของดี”
นพพูดเตือนเพื่อนๆ เวลาในแผนการส่องสาวของพวกเขาใกล้มาถึงแล้ว
กลุ่มของตี๋ก็เลยเดินกันไปต่อโดยไม่รู้ว่า เหตุการณ์เมื่อกี้มีคนกำลังจ้องมองอยู่จากมุมตึกที่มืดมิด ยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะเห็นสิ่งใดอยู่ในบริเวณนั้น
ในมุมตึกนั้นแลเห็นผู้ชายที่แสงส่องเข้ามาเห็นแค่ครึ่งบนของเขาเท่านั้น เขาสวมแว่นตาสีเงิน ผมสีเงินแทรกดำใส่เสื้อโค้ดสีเทาที่เปิดเห็นเสื้อยืดสีดำที่อยู่ข้างใน กำลังจ้องมองเด็กนักเรียน4คนจากไปจากมุมที่เขามองอยู่ เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วก็หันหลังเดินเข้าไปในความมืด ไปโผล่ยังปราสาทที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่หนาแน่น เขาเดินเข้าไปในปราสาทเรื่อยๆจนถึงห้องสมุด เข้าเปิดประตูเข้าไป
ในห้องสมุดที่มองดูโล่งและสีจากผนังไม้สีน้ำตาล ชั้นหนังสือทำจากไม้อย่างดีและเรียงเป็นระเบียบไว้ชิดกับพนังห้อง พร้อมเพลงคลาสสิคที่เปิดบรรเลงเบาๆไว้นั้นมีผู้ชายผมสีขาวอยู่คนหนึ่งสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำ กำลังยืนอ่านหนังสืออยู่
“ตอนนี้มังกรโลหะ ได้ปรากฏตัวแล้วครับ และมันก็ได้พบผู้ครอบครองแล้วด้วยครับ มาสเตอร์”
ชายผู้สวมแว่นตาสีเงินพูดกับผู้ชายผมขาวในห้องสมุดนั้นอย่างสุภาพ
ตรึบ!!
เสียงปิดหนังสือปกหนาเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือของผู้ชายผมขาวดังไปทั่วห้อง แล้วเขาก็หันมาเห็นดวงตาสีแดงราวโลหิตเขาผู้นี้คือ “ไซแอม” หัวหน้าขององค์กรBlack Chain
เขามองชายผมสีเงินแทรกดำที่อยู่เบื้องหน้า
“คุณทำงานได้ดีมากครับ ไอแซค แต่ผมมีเรื่องอีกอย่างที่อยากให้คุณช่วย”
ไซแอมพูดด้วยวาจาที่สุภาพและเสียงที่นิ่ง ฟังดูแล้วเย็นชาจนทำให้รู้สึกสยอง แต่ทำให้รู้ว่าชายผู้สวมแว่นตาสีเงินผู้อยู่ต่อหน้าเขานี้มีนาม “ ไอแซค” และจะไว่วานในเขาช่วยทำงานต่อ
“เชิญท่านพูดมาได้เลยครับ มาสเตอร์”
ไอแซค พูดน้อมรับคำขอของชายผมสีขาวนัยน์ตาสีโลหิต
“ช่วยไปตามคนๆหนึ่งให้ผมหน่อยนะครับ”
ไซแอมพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ ก่อนที่จะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหมือนกับว่าบ้างสิ่งที่น่าสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น
ส่วนทางฝั่งตี้กับเพื่อนๆเดินมาเกือบถึงหน้าบริเวณโรงเรียนสตรีแล้ว ซึ่งก่อนถึงหน้าประตูโรงเรียนจะมีป้ายรถเมล์อยู่และเมื่อพวกเขาไปถึงสาวๆที่พึ่งเลิกเรียนก็ทยอยกันออกมา
เพื่อนๆของตี๋ก็แอบมองกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น ทั้งผู้หญิงที่เดินมารอขึ้นรถกลับบ้านที่ป้ายรถเมล์ และผู้หญิงที่แฟนมารับที่หน้าโรงเรียนที่พวกเขามองดูแล้วพาให้ช้ำใจ แต่สายของตี๋กำลังรอค่อยผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มองหาจนเพื่อนจับสังเกตได้
“โถ ไอ้ตี๋เอ็งมองหายายแว่นนั้นอีกแล้วเหรอไงวะ รักเดียวใจเดียวจริงจริงนะเอ็ง”
ฮายตบหัวตี๋เบาๆ แล้วพูดแซวขึ้นมาเพราะพวกเขาก็มาทำแบบนี้เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และตี๋ก็ยอมตามมาทุกวันเพราะที่จะมองดูเธอคนนั้นเพียงคนเดียว
“เอ็งก็มองอยู่ได้ทุกวันเมื่อไรจะเข้าไปจีบซะที่วะ”
นพพูดตรอกย้ำเข้ามาอีก จนตี๋นั้นพูดไม่ออกเพราะนั้นเป็นความจริงทั้งหมด
เมื่อเพื่อนๆแซวอยู่ได้ไม่นาน คนที่พวกเขาพูดถึงก็เดินออกมา ผู้หญิงตัวเล็กๆสูงประมาณ160กว่าๆ หน้าตาออกหมวยนิดๆ(ตาตี่)สวมแว่นตาที่หาซื้อได้ทั่วไป ไว้ผมนักเรียนหญิงทั่วไปสะพายถุงผ้าสีขาว ดูผ่านๆก็เห็นเป็นแค่เด็กเรียนสวมแว่นธรรมดาๆ
ทุกวันเธอจะเดินมาขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์กับเพื่อนๆของเธอ4-5คน แต่วันนี้เธอกลับเดินมาคนเดียวแล้วมายืนรอรถข้างๆตี๋
“เฮ้ย ไอ้ตี๋โอกาสดีมาแล้วเอาเลย”
ฮายพูดด้วยเสียงเบาๆ บอกเป็นการส่งซิกให้ตี้รู้ถึงโอกาสที่จะหาได้ยาก
ตี๋กลับเกิดอาการเขินอายพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาซะดื้อๆ
“มาทุกวันเลยนะค่ะ มาหาใครเหรอคะ”
เด็กผู้หญิงสวมแว่น กลับเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ปะ..ป่าวครับ แค่พอดีมาขึ้นรถแถวนี้”
ตี๋ตั้งตัวไม่ทัน แล้วก็พูดไปแบบคิดอะไรไม่ออก
“แปลกจังเลยนะค่ะ ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเธอก็มีไม่ใช่เหรอ”
สาวแว่นพูดสวนกลับมา ว่าเธอนั้นจับโกหกได้ซะแล้ว เพราะบ้านของตี๋กับบ้านของเธอนั้นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแถมอยู่ตรงข้ามกันซะอีก แล้วแน่นอนว่าเจ้ารถเมล์ที่นั่งไปนั้นต้องเป็นสายเดียวกันอยู่แล้ว และมันต้องอ้อมจากหน้าโรงเรียนสตรีแห่งนี้ไปยังหน้าโรงเรียนที่ตี๋เรียนอยู่ ว่าง่ายๆใครไม่รู้ว่าโกหกก็แปลกล่ะ
ตี๋สะดุดจนพูดอะไรไม่ออก สาวเจ้าก็หัวเราะแบบเบาๆพลางยกมือขึ้นมาปิดริมผิวปากเล็กน้อย ทำให้ตี๋นั้นอายขึ้นไปอีก ระหว่างนั้นรถเมล์คันดังกล่าวก็ขับมาจอดหน้าป้าย (เหมือนกันคนเขียนสั่งให้มันมา)
สาวแว่นก้าวเดินจะไปขึ้นรถ แล้วหันมามองตี๋ที่ยืนตัวแข็งอยู่
“ไม่ขึ้นรถเหรอค่ะ”
สาวแว่นหันกลับมาถามตี๋
“ออ ไม่เป็นไรครับเห็นรถมันเต็มแล้วผมไปคันหลังดีกว่า”
ตี๋พูดกลับมาด้วยเสียงที่สั่นด้วยอาการเกร็งสุดชีวิต สาวแว่นหันกลับไปมองบนรถ ที่มีคนแค่ไม่ถึง10คนแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“งั้นไปก่อนนะ ไว้เจอกันวันหลังนะค่ะ”
สาวแว่นบอกลาแล้ววิ่งขึ้นรถไป
“ค.คะ.ครับ”
เสียงตี๋ตอบ ด้วยเสียงตะกุกตะกัก พลางยกมือมาโบยมือลา
สาวแว่นวิ่งขึ้นไปบนรถแล้วหันกลับมายิ้มให้
“อือ ลืมบอกไปแหวนสวยดีนะค่ะ”
สาวน้อยใส่แว่นพูดทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนประตูรถจะปิด ทำให้ตี๋สะดุ้งขึ้นมาว่าเธอเห็นมันได้ยังไง
เพื่อนๆตี๋ยืนดูแบบเงียบ แล้วซุกซิบแซวตี๋กันอยู่ข้างหลัง แต่พวกเขาไม่รู้เลยการกระทำทั้งหมดของพวกเขาในวันนี้กำลังถูกใครอีกคนกำลังจ้องมองอยู่ (มาจ้องอีกละคิดแบบนั้นอยู่ป่ะ)
“ฟีนิกส์ เรียกยายแก่หนังเหี่ยวทราบแล้วเปลี่ยน”
เด็กหนุ่มผมสีเขียว นัยน์ตาสีฟ้าคลื่นทะเลสวมแจ็คเก็ตสีดำเสื้อยืดสีแดงกางเกงสีดำ กำลังยืนพอยเท้าอยู่และพูดผ่านโทรศัพท์หาใครบ้างคน
“ฟีนิกส์หยุดเรียกฉันแบบนั้นซะที่ได้ไหม”
เสียงผู้หญิงตอบกลับมา ฟังแล้วไม่น่าจะแก่เหมือนเด็กผู้ชายผมสีเขียวผู้นี้เรียก เสียงออกหวานจนฟังเป็นหญิงสาวอายุ20ต้นๆเท่านั้นเอง
“พูดความจริงแล้วทำทนฟังไม่ได้เหรอไงจ๊ะป้า”
เสียงเด็กหนุ่มสีเขียวพูดตอบกลับ
“ฟีนิกส์ เลิกกวนประสาทแล้วรายงานผลมา”
เสียงผู้หญิงพูดกลับมาด้วย น้ำเสียงที่จริงจัง
“ตอนนี้พบผู้ถือครองมังกรโลหะ อย่างที่คิดไว้แล้วครับ ป้า!”
ชายหนุ่มผมเขียวนาม ฟีนิกส์ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น(แต่ก็ติดเล่นอยู่ดี)
“งั้นกลับมาได้แล้ว เราจะดำเนินแผนการขั้นที่2ต่อ”
เสียงหญิงสาวพูดก่อนจะมีเสียงกระแทกหูโทรศัพท์ดังขึ้น
“ยายป้านี้ดุอย่างเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
ฟีนิกส์พูดบ่นหลังจากโดนกระแทกหูโทรศัพท์ใส่ แล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้นระหว่างทางนั้นเองเขารู้สึกเหมือนมีเงาคนดำๆเดินผ่านเขาไป
“พวกเจ้าอย่าทำอะไรให้มันเกินหน้าเกินตากันนักสิ ไม่งั้นข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”
เสียงผู้ชายพูดขึ้น ในขณะเงาสีดำเดินผ่านไปราวกับเวลาหยุดนิ่งช่วงขณะ ฟีนิกส์หันกลับไปมองก็ไม่พบอะไร...
ความคิดเห็น