ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MageAccessory แก้งจอมเวทวุ่นป่วนซ่า!!<ปิดรับสมัครตัวละครแล้ว

    ลำดับตอนที่ #1 : การเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 53


    ณ โรงเรียนปวช.สายพาณิชย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆมีนักเรียนไม่มากมายเท่าใดนัก แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีผู้ชายเป็นส่วนน้อยจนแทบจะนับคนได้เลย

    และในช่วงเลิกเรียนของวันนั้นเอง มีกลุ่มนักเรียนชาย4คน อายุราวๆประมาณ17-18ปีสูงประมาณ170+ทุกคน ไว้ทรงผมสั้นแต่ยาวจนผิดกฎโรงเรียนแต่ก็เรื่องธรรมดา พวกเขากำลังชวนเพื่อนอีกคนให้ไปเที่ยวด้วยกัน

    “เฮ้ยไอ้ตี๋ วันนี้เอ็งจะไปเดินตลาดกับพวกข้าป่าว”

    เสียงของเด็กหนุ่มชื่อ “ฮาย” กำลังชวนเพื่อนอีกหนึ่งให้ไปเที่ยวด้วยกัน

    “ไปกันอีกแล้วเหรอ ข้าเห็นพวกเอ็งไปกันแทบทุกวัน”

    เสียงชายหนุ่มที่มีชื่อว่า”ตี๋”นั้นตอบกลับมา ลักษณะของเขานั้นอายุไล่เลี่ยกันผิวขาวไว้ทรงผมสั้นธรรมดาที่เกาหลีแบบไม่มีสาเหตุ สูงประมาณ160ต้นๆ

    “แล้วตกลงจะไปไหมล่ะ”

    เสียงของนพซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันนั้น ถามย้ำอีกครั้ง

    “เออไปก็ได้หว่า แต่พวกเอ็งอย่าไปหาตีนมาอีกนะเว้ย”

    ตี๋ตอบตกลงด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่าย

    “โถ่ ทำกลัวไปได้ไปกันตั้งเยอะ จะไปก็รีบๆหน่อยเดี๋ยวสาวๆจะเลิกเรียนแล้ว”

    ขวัญเพื่อนในกลุ่มอีกคนพูดด้วยอาการเด็กหนุ่มผู้หิวโหยความรัก เพราะว่าจากโรงเรียนที่พวกเขาเรียนอยู่นั้นมีโรงเรียนหญิงล้วนอยู่ห่างไปจากตลาดไม่ใกล้นัก

    พวกเขาเดินไปที่ตลาดซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่พอดู เพราะละแวกรอบตลาดแห่งนี้มีสถาบันการศึกษาอยู่เต็มไปหมดซึ่งเมื่อเลิกเรียนเด็กนักเรียนจากสถาบันต่างๆก็จะมาเดินกันยังกะเป็นศูนย์การค้าเลยที่เดียว

    แต่ระหว่างทางที่พวกเขาเดินไปตลาดก็มีบริเวณที่เป็นป่ารกอยู่เป็นบ้างจุด แล้วให้ระหว่างที่เดินผ่านบริเวณที่ว่านั้นเอง

    “เนว เนว เจ้าได้ยินข้าไหม เนว!!

    เสียงแหบๆเหมือนชายแก่ ดังเข้ามาในหูของตี๋ ชัดเหมือนกำลังพูดอยู่ข้างหู แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ

    “เนว!! เนว!!!

    เสียงดังขึ้นจนตี๋เริ่มรำคาญจึงหันไปมองพื้นที่เป็นป่ารกแล้วล้อมด้วยรั้วหนาม ว่าใครกำลังตะโกนเรียกหาคนอยู่แถวนี้

    โอ๊ย!!

    จู่ๆก็มีแหวนวงหนึ่งพุ่งเข้ามาโดนแทรกหน้าเขาเต็มๆ เพื่อนๆที่เดินนำเขาอยู่ก็หันกลับไปมอง เห็นตี๋กำลังเก็บบ้างอย่างขึ้นมาจากพื้นและอีกมือจับหน้าผากไว้

    “เฮ้ยตี๋เป็นอะไรวะ ร้องเสียงหลงเลยเอ็ง”

    ฮายวิ่งเข้ามาทักก่อนเป็นคนแรก

    “ไม่รู้ใครมันปาแหวนมาใส่หัวข้า เจ็บชิบเป้งเลย”

    ตี๋บ่นพร้อมกับยกแหวนที่ทำจากเงินเป็นรูปหัวกะโหลก ที่หยิบมาได้ให้เพื่อนดู

     ฮายสงสัยกับอาการของเพื่อนที่เอามือปิดแผลไว้ จึงจับมือที่ตี๋ปิดรอยแผลไว้ออก ฮายกับเพื่อนๆเห็นถึงกับตกใจเพราะรอยแผลช้ำเป็นรูป “หัวกะโหลก”

    “เฮ้ย เท่วะไม่ต้องเสียตังไปสักเลย”

    ขวัญพูดขึ้นมาเอาฮาซะอย่างงั้น

    “เท่กับผีอะไรล่ะ”

    ตี๋บ่นต่อ และมองไปที่ๆแหวนพุ่งออกมาหาว่าใครเป็นผู้ขว้างออกมา แต่ไม่พบเห็นใครเลยในบริเวณนั้น

    “ยึดเลยล่ะกัน จะคุ้มค่าเจอหัวไหมเนี่ย เหอะ”

    ตี๋บ่นต่ออีกพร้อมถอนหายใจ แล้วก็หยิบแหวนนั้นใส่เข้ากับนิ้วกลางมือขวาเพื่อยืนยันว่ามันได้ตกเป็นของเขาแล้ว

    “พอดีเลยแหะ พวกเอ็งว่าไง”

    ตี๋เริ่มอารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้แหวนที่ราคาประมาณ200-300บาทในท้องตลาดปันจุบัน แต่แล้วเขาได้สังเกตเห็นว่าพวกเพื่อนของเขายืนนิ่งจนผิดสังเกต สิ่งโดยรอบเขาหยุดนิ่ง

    จู่ๆ ก็มีหัวกะโหลกที่ดูเหมือนจะเป็นเหล็ก ในชุดผ้าคลุมสีดำที่มีไอควันสีดำโพยพุ่งออกมาจากใต้ผ้าคลุมตลอด โผล่มาจากไหนไม่รู้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา

    อ้า! “ข้าเจอเจ้าซะที่นะ เนว”

    เจ้าหัวกะโหลกอ้าปากบอกไฟสีดำลอยออกมาจากปากมันเล็กน้อยแล้วพูดกับตี๋ ด้วยเสียงที่แหบแห้ง

    “คือว่า คุณจำคนผิดแล้วมั่งครับ ผมชื่อ ตี๋ ไม่ได้ชื่อเนว”

    ตี๋พยายามคุมสติไว้แล้วตอบกลับไป เพื่อจะหลุดรอดจากสถานการณ์ที่ชวนงงนี้ไปได้

    “น่าเศร้าจริงๆ ที่เจ้ายังจำแม้แต่ตัวเองไม่ได้”

    เจ้าหัวกะโหลกในท่าทีที่ผิดหวัง แล้วก็หายไปด้วยไฟสีดำที่พุ่งมาจากใต้ผ้าคลุมทิ้งให้ตี๋มึนงงกับคำพูดเร้านั้น

    “วันนี้ไอ้ตี๋มันโชคดีวะ อยู่ๆก็ได้ของดี”

    เสียงของฮายพูดแซวขึ้นมา ตี๋จึงรู้ว่าสิ่งต่างๆโดยรอบขยับอีกครั้ง

    “โชคดี หรือโชคเลือดวะ”

    นพพูดแซวขึ้นมาอีกพลางตัดมุขกันแล้วก็หัวเราะขบขันกันไป เหลือเพียงตี๋ที่ยืนมอง

    “กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว“

    ตี๋พูดด้วยเสียงเบาๆไม่ให้เพื่อนได้ยิน

    “อ้าวไอ้ตี๋ แหวนหายไปไหนแล้ววะ”

    ขวัญมองดูตี๋เห็นแหวนที่ตี๋เก็บได้นั้นหายไปจึงพูดถามขึ้นมา

    ตี๋จึงยกมือข้างที่ตนสวมแหวนไว้ พบว่าแหวนที่ตนสวมไว้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่เพื่อนๆเขากลับมองไม่เห็น

    “ข้าก็ไม่รู้วะ รู้สึกตัวอีกที่ก็หายไปละ”

    ตี๋ก็พูดไปตามความเป็นจริงไปซะอย่างงั้น

    “โฮ เสียดายวะจะยืมใส่ซะหน่อย”

    ขวัญพูดด้วยอาการผิดหวัง เพราะตนก็ชอบเครื่องประดับที่ทำจากเงิน

    “เฮ้ยรีบไปดีกว่า เดี๋ยวอดดูของดี”

    นพพูดเตือนเพื่อนๆ เวลาในแผนการส่องสาวของพวกเขาใกล้มาถึงแล้ว

    กลุ่มของตี๋ก็เลยเดินกันไปต่อโดยไม่รู้ว่า เหตุการณ์เมื่อกี้มีคนกำลังจ้องมองอยู่จากมุมตึกที่มืดมิด ยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะเห็นสิ่งใดอยู่ในบริเวณนั้น

    ในมุมตึกนั้นแลเห็นผู้ชายที่แสงส่องเข้ามาเห็นแค่ครึ่งบนของเขาเท่านั้น เขาสวมแว่นตาสีเงิน ผมสีเงินแทรกดำใส่เสื้อโค้ดสีเทาที่เปิดเห็นเสื้อยืดสีดำที่อยู่ข้างใน กำลังจ้องมองเด็กนักเรียน4คนจากไปจากมุมที่เขามองอยู่ เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วก็หันหลังเดินเข้าไปในความมืด ไปโผล่ยังปราสาทที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่หนาแน่น เขาเดินเข้าไปในปราสาทเรื่อยๆจนถึงห้องสมุด เข้าเปิดประตูเข้าไป

    ในห้องสมุดที่มองดูโล่งและสีจากผนังไม้สีน้ำตาล ชั้นหนังสือทำจากไม้อย่างดีและเรียงเป็นระเบียบไว้ชิดกับพนังห้อง พร้อมเพลงคลาสสิคที่เปิดบรรเลงเบาๆไว้นั้นมีผู้ชายผมสีขาวอยู่คนหนึ่งสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำ กำลังยืนอ่านหนังสืออยู่

    “ตอนนี้มังกรโลหะ ได้ปรากฏตัวแล้วครับ และมันก็ได้พบผู้ครอบครองแล้วด้วยครับ มาสเตอร์”

    ชายผู้สวมแว่นตาสีเงินพูดกับผู้ชายผมขาวในห้องสมุดนั้นอย่างสุภาพ

    ตรึบ!!

    เสียงปิดหนังสือปกหนาเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือของผู้ชายผมขาวดังไปทั่วห้อง แล้วเขาก็หันมาเห็นดวงตาสีแดงราวโลหิตเขาผู้นี้คือ “ไซแอม” หัวหน้าขององค์กรBlack Chain

    เขามองชายผมสีเงินแทรกดำที่อยู่เบื้องหน้า

    “คุณทำงานได้ดีมากครับ ไอแซค แต่ผมมีเรื่องอีกอย่างที่อยากให้คุณช่วย”

    ไซแอมพูดด้วยวาจาที่สุภาพและเสียงที่นิ่ง ฟังดูแล้วเย็นชาจนทำให้รู้สึกสยอง แต่ทำให้รู้ว่าชายผู้สวมแว่นตาสีเงินผู้อยู่ต่อหน้าเขานี้มีนาม “ ไอแซค” และจะไว่วานในเขาช่วยทำงานต่อ

    “เชิญท่านพูดมาได้เลยครับ มาสเตอร์”

    ไอแซค พูดน้อมรับคำขอของชายผมสีขาวนัยน์ตาสีโลหิต

    “ช่วยไปตามคนๆหนึ่งให้ผมหน่อยนะครับ”

    ไซแอมพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ ก่อนที่จะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหมือนกับว่าบ้างสิ่งที่น่าสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น

     

    ส่วนทางฝั่งตี้กับเพื่อนๆเดินมาเกือบถึงหน้าบริเวณโรงเรียนสตรีแล้ว ซึ่งก่อนถึงหน้าประตูโรงเรียนจะมีป้ายรถเมล์อยู่และเมื่อพวกเขาไปถึงสาวๆที่พึ่งเลิกเรียนก็ทยอยกันออกมา

    เพื่อนๆของตี๋ก็แอบมองกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น ทั้งผู้หญิงที่เดินมารอขึ้นรถกลับบ้านที่ป้ายรถเมล์ และผู้หญิงที่แฟนมารับที่หน้าโรงเรียนที่พวกเขามองดูแล้วพาให้ช้ำใจ แต่สายของตี๋กำลังรอค่อยผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มองหาจนเพื่อนจับสังเกตได้

    “โถ ไอ้ตี๋เอ็งมองหายายแว่นนั้นอีกแล้วเหรอไงวะ รักเดียวใจเดียวจริงจริงนะเอ็ง”

    ฮายตบหัวตี๋เบาๆ แล้วพูดแซวขึ้นมาเพราะพวกเขาก็มาทำแบบนี้เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และตี๋ก็ยอมตามมาทุกวันเพราะที่จะมองดูเธอคนนั้นเพียงคนเดียว

    “เอ็งก็มองอยู่ได้ทุกวันเมื่อไรจะเข้าไปจีบซะที่วะ”

    นพพูดตรอกย้ำเข้ามาอีก จนตี๋นั้นพูดไม่ออกเพราะนั้นเป็นความจริงทั้งหมด

     เมื่อเพื่อนๆแซวอยู่ได้ไม่นาน คนที่พวกเขาพูดถึงก็เดินออกมา ผู้หญิงตัวเล็กๆสูงประมาณ160กว่าๆ หน้าตาออกหมวยนิดๆ(ตาตี่)สวมแว่นตาที่หาซื้อได้ทั่วไป ไว้ผมนักเรียนหญิงทั่วไปสะพายถุงผ้าสีขาว ดูผ่านๆก็เห็นเป็นแค่เด็กเรียนสวมแว่นธรรมดาๆ

    ทุกวันเธอจะเดินมาขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์กับเพื่อนๆของเธอ4-5คน แต่วันนี้เธอกลับเดินมาคนเดียวแล้วมายืนรอรถข้างๆตี๋

    “เฮ้ย ไอ้ตี๋โอกาสดีมาแล้วเอาเลย”

    ฮายพูดด้วยเสียงเบาๆ บอกเป็นการส่งซิกให้ตี้รู้ถึงโอกาสที่จะหาได้ยาก

    ตี๋กลับเกิดอาการเขินอายพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาซะดื้อๆ

    “มาทุกวันเลยนะค่ะ มาหาใครเหรอคะ”

    เด็กผู้หญิงสวมแว่น กลับเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

    “ปะ..ป่าวครับ แค่พอดีมาขึ้นรถแถวนี้”

    ตี๋ตั้งตัวไม่ทัน แล้วก็พูดไปแบบคิดอะไรไม่ออก

    “แปลกจังเลยนะค่ะ ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเธอก็มีไม่ใช่เหรอ”

    สาวแว่นพูดสวนกลับมา ว่าเธอนั้นจับโกหกได้ซะแล้ว เพราะบ้านของตี๋กับบ้านของเธอนั้นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแถมอยู่ตรงข้ามกันซะอีก แล้วแน่นอนว่าเจ้ารถเมล์ที่นั่งไปนั้นต้องเป็นสายเดียวกันอยู่แล้ว และมันต้องอ้อมจากหน้าโรงเรียนสตรีแห่งนี้ไปยังหน้าโรงเรียนที่ตี๋เรียนอยู่ ว่าง่ายๆใครไม่รู้ว่าโกหกก็แปลกล่ะ

    ตี๋สะดุดจนพูดอะไรไม่ออก สาวเจ้าก็หัวเราะแบบเบาๆพลางยกมือขึ้นมาปิดริมผิวปากเล็กน้อย ทำให้ตี๋นั้นอายขึ้นไปอีก ระหว่างนั้นรถเมล์คันดังกล่าวก็ขับมาจอดหน้าป้าย (เหมือนกันคนเขียนสั่งให้มันมา)

    สาวแว่นก้าวเดินจะไปขึ้นรถ แล้วหันมามองตี๋ที่ยืนตัวแข็งอยู่

    “ไม่ขึ้นรถเหรอค่ะ”

    สาวแว่นหันกลับมาถามตี๋

    “ออ ไม่เป็นไรครับเห็นรถมันเต็มแล้วผมไปคันหลังดีกว่า”

    ตี๋พูดกลับมาด้วยเสียงที่สั่นด้วยอาการเกร็งสุดชีวิต สาวแว่นหันกลับไปมองบนรถ ที่มีคนแค่ไม่ถึง10คนแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

    “งั้นไปก่อนนะ ไว้เจอกันวันหลังนะค่ะ”

    สาวแว่นบอกลาแล้ววิ่งขึ้นรถไป

    “ค.คะ.ครับ”

    เสียงตี๋ตอบ ด้วยเสียงตะกุกตะกัก พลางยกมือมาโบยมือลา

    สาวแว่นวิ่งขึ้นไปบนรถแล้วหันกลับมายิ้มให้

    “อือ ลืมบอกไปแหวนสวยดีนะค่ะ”

    สาวน้อยใส่แว่นพูดทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนประตูรถจะปิด ทำให้ตี๋สะดุ้งขึ้นมาว่าเธอเห็นมันได้ยังไง

    เพื่อนๆตี๋ยืนดูแบบเงียบ แล้วซุกซิบแซวตี๋กันอยู่ข้างหลัง แต่พวกเขาไม่รู้เลยการกระทำทั้งหมดของพวกเขาในวันนี้กำลังถูกใครอีกคนกำลังจ้องมองอยู่ (มาจ้องอีกละคิดแบบนั้นอยู่ป่ะ)

     

    “ฟีนิกส์ เรียกยายแก่หนังเหี่ยวทราบแล้วเปลี่ยน”

    เด็กหนุ่มผมสีเขียว นัยน์ตาสีฟ้าคลื่นทะเลสวมแจ็คเก็ตสีดำเสื้อยืดสีแดงกางเกงสีดำ กำลังยืนพอยเท้าอยู่และพูดผ่านโทรศัพท์หาใครบ้างคน

    “ฟีนิกส์หยุดเรียกฉันแบบนั้นซะที่ได้ไหม”

    เสียงผู้หญิงตอบกลับมา ฟังแล้วไม่น่าจะแก่เหมือนเด็กผู้ชายผมสีเขียวผู้นี้เรียก เสียงออกหวานจนฟังเป็นหญิงสาวอายุ20ต้นๆเท่านั้นเอง

    “พูดความจริงแล้วทำทนฟังไม่ได้เหรอไงจ๊ะป้า”

    เสียงเด็กหนุ่มสีเขียวพูดตอบกลับ

    “ฟีนิกส์ เลิกกวนประสาทแล้วรายงานผลมา”

    เสียงผู้หญิงพูดกลับมาด้วย น้ำเสียงที่จริงจัง

    “ตอนนี้พบผู้ถือครองมังกรโลหะ อย่างที่คิดไว้แล้วครับ ป้า!

    ชายหนุ่มผมเขียวนาม ฟีนิกส์ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น(แต่ก็ติดเล่นอยู่ดี)

    “งั้นกลับมาได้แล้ว เราจะดำเนินแผนการขั้นที่2ต่อ”

    เสียงหญิงสาวพูดก่อนจะมีเสียงกระแทกหูโทรศัพท์ดังขึ้น

    “ยายป้านี้ดุอย่างเดิมไม่เปลี่ยนเลย”

    ฟีนิกส์พูดบ่นหลังจากโดนกระแทกหูโทรศัพท์ใส่ แล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้นระหว่างทางนั้นเองเขารู้สึกเหมือนมีเงาคนดำๆเดินผ่านเขาไป

    “พวกเจ้าอย่าทำอะไรให้มันเกินหน้าเกินตากันนักสิ ไม่งั้นข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”

    เสียงผู้ชายพูดขึ้น ในขณะเงาสีดำเดินผ่านไปราวกับเวลาหยุดนิ่งช่วงขณะ ฟีนิกส์หันกลับไปมองก็ไม่พบอะไร...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×