ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หิมวันต์ยังมีรัก (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #2 : สระอโนดาต

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 57


    นาคภพ......... 
     
    ร่างโปร่งของนาคาหนุ่มค่อยๆก้าวออกจากห้องอย่างเงียบกริบ หากก็หาได้พ้นสายตาเหลืองอำพันของนาคาน้อยมุจลินทร์ไปได้ เจ้าตัวตะโกนดังลั่น
     
    “ท่านวาสุกิ!! จะไปไหนขอรับ?”
     
    วาสุกิสะดุ้งเฮือก รีบหันไปเอ็ดเสียงเขียว 
     
    “เจ้าอย่าเสียงดังสิ มุจลินทร์ !! จะให้ท่านพ่อตื่นมาแหกอกข้าหรืออย่างไร?!!” นาคาน้อยยิ้มจืดๆเอ่ยแก้ตัว
     
    “เรื่องนั้นมิต้องกังวลดอกขอรับ ท่านอนันตนาคาออกไปจำศีลที่ถ้ำนพรัตน์แต่ย่ำรุ่งแล้ว ว่าแต่ท่านจักไปไหนฤาขอรับ?”
     
    “ข้าจักไปสระอโนดาต ตอนแรกข้าคิดจักแอบออกไปเงียบ หากเมื่อรู้ว่าท่านพ่อมิได้อยู่ในเพลานี้ ข้าก็โล่งใจ ขอบใจเจ้ามากนะมุจลินทร์” วาสุกิตอบพร้อมกับเดินไปอย่างสบายอารมณ์ ทำให้นาคาน้อยอ้าปากค้าง ก่อนจักวิ่งตามหลังไปพลางส่งเสียงห้าม 
     
    “ไม่ได้นะขอรับ เมื่อวานท่านพึ่งหนีไปเที่ยวมา วันนี้ยังจักออกไปป่าหิมวันต์อีกฤาขอรับ ครานี้จักไปถึงสระอโนดาต มิเพียงท่านอนันตนาคาจักแหกอกท่านดอกขอรับ ข้าคงมิแคล้วจักโดนท่านพ่อแหกอกเช่นกัน” 
     
    “หากเจ้ากลัวก็มิต้องออกไปกับข้า มุจลินทร์ ข้าจักไปเพียงผู้เดียว” วาสุกิแกล้งพูดเสียงขึงขังก้าวยาวๆไม่ยอมหยุด นาคาน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เดินคอตกตามออกไป ปากก็บ่นพึมพำ
     
    “กลับมาข้าต้องโดนท่านพ่อท่านแม่เล่นงานแน่ๆ เฮ้อ ท่านวาสุกินะท่านวาสุกิ ” มุจลินทร์บ่นพึมพำ ก่อนจะก้าวตามผู้เป็นนายออกไปถึงทวารชั้นในแห่งนาคภพซึ่งเป็นม่านน้ำตกขนาดมหึมา สายน้ำเชี่ยวกรากไหลตกกระทบแอ่งน้ำเบื้องล่างเสียงดังกึกก้อง แรงน้ำมหาศาลทำให้เกิดละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณส่องกระทบกับแสงทินกรเกิดเป็นรุ้งเจ็ดสีงามดังภาพฝัน วาสุกินาคราชประนมมือขึ้น ริมฝีปากอิ่มบริกรรมคาถาอย่างคล่องเคล่ว เมื่อจบคำสุดท้ายก็พลันเกิดเสียงกึกก้อง! 
     
    ม่านน้ำตกขนาดมหึมาเริ่มสั่นสะเทือนแลเริ่มแยกออกจากกันเป็นสองสาย ระหว่างม่านน้ำตกกลายเป็นทางเดินขนาดใหญ่ วาสุกิเดินเนิบนาบออกไปตามด้วยนาคาน้อยมุจลินทร์ เมื่อคล้อยหลังนาคาน้อย พลันเกิดเสียงกึกก้องขึ้นอีกครั้ง สายน้ำตกที่แยกออกจากกันกลับมารวมกันกลายเป็นม่านน้ำเชี่ยวกรากเช่นเดิม วาสุกิเดินลงมาตามทางซึ่งเป็นหินซ้อนลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ เมื่อเดินลงมาถึงพื้นด้านล่างวาสุกิแลมุจลินทร์ต่างพากันหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างที่ยืนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ซึ่งยืนต้นตั้งตระหง่านอยู่ณ ที่แห่งนั้น
     
    “ท่านตา!!” 
     
    ชายชราในชุดขาวคลี่ยิ้ม เสียงแหบเครือแฝงความปราณีดังลอดมาจากปากใต้เคราขาว 
     
    “จักรีบไปที่ใดเล่าวาสุกิ? แวะมาคุยกับตาเสียหน่อยเถิด”
     
    วาสุกิและมุจลินทร์ทรุดกายลงนั่งคุกเข่า วาสุกิประนมมือตอบเสียงนุ่ม 
     
    “มิได้รีบดอกขอรับท่านตา ท่านตามีธุระอันใดกับหลานฤาขอรับ” 
     
    “เจ้ายังมิได้ตอบตาเลยว่าจักไปที่ใด? วาสุกิ” 
     
    “หลานว่าจะไปเที่ยวเล่นแถวนี้เพียงครู่ เท่านั้นเองขอรับ” วาสุกิหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเนื่องจากกลัวท่านตาจักห้ามมิให้ออกไป
     
    ชายชรามองใบหน้าขาวนวลเพียงครู่ แล้วถอนหายใจยาว เอ่ยรำพัน
     
    “พระพรหมท่านช่างเล่นตลกดีนักเทียว ไม่ว่าจักเป็นผู้ใด คงต้องแล้วแต่บุญกรรมกระมัง” 
     
    ดวงตางามดั่งทับทิมเนื้อดีปรากฏรอยพิศวง วาสุกิเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
     
    “ท่านตาหมายความว่าอย่างไรฤาขอรับ หลานไม่ใคร่เข้าใจ” 
     
    ชายชราเพียงแต่ยิ้มบางๆพลางแบมือข้างหนึ่งออกมา ทันใดนั้นก็ปรากฏขดเชือกขนาดใหญ่อยู่ในมือ ตัวเชือกเลื่อนไหลไปมาอยู่บนมืออันเหี่ยวย่นราวกับมีชีวิต เกล็ดสีเขียวเข้มสะท้อนแสงเป็นเงาละเลื่อม ดวงตาสีแดงลุกโชนจ้าดังเปลวไฟ ชายชราส่งขดเชือกนั้นให้ร่างโปร่ง
     
    “เอ้า จงรับไปเสีย วาสุกิ ตายกให้เจ้า เอาไว้ป้องกันตัวเถิดหลานรัก”
     
    วาสุกิก้มมองขดเชือกที่เลื่อนไหลอยู่ในมืออย่างประหลาดใจ ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองชายชราในชุดขาว ในดวงตาคู่งามปรากฏรอยพิศวง
     
    “นี่มันคือสิ่งใดฤาขอรับท่านตา หลานมิเคยเห็นมาก่อนเลย”
     
    “นี่คือสุดยอดของวิเศษแห่งนาคภพอย่างไรเล่า ‘บ่วงนาคบาศ’ นี้หากนำไปคล้องผู้ใด คนผู้นั้นจักถูกรัดรึงมิอาจเคลื่อนไหวกายาได้ เพลาที่ต้องบ่วงนี้วิชาอาคมจักสิ้นสูญ หากเมื่อใช้กับท้าวสุบรรณผู้ทรงฤทธิเดชแลผู้สืบเชื้อสาย บ่วงนี้จักกำหราบได้เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น” 
     
    “สิ่งนี้คือของวิเศษโดยแท้ ข้ามิกล้ารับสิ่งนี้ไว้ดอกขอรับ” วาสุกิเอ่ยอย่างนอบน้อม ของวิเศษเช่นนี้สมควรอยู่กับท่านตามากกว่าเขา หากแต่ชายชราเพียงหัวเราะแผ่วๆในลำคอ 
     
    “จงรับไปเถิดวาสุกิหลานข้า ทางที่เจ้าจักไปหนทางอาจยากลำบากหากเพียงมีใจแข็งแกร่ง เจ้าจักผ่านมันไปได้ จงฟังเสียงแห่งใจตนว่ามันอยากจะนำเจ้าไปที่แห่งใด จงไปตามหัวใจแห่งตนเถิด” 
     
    วาสุกิเย็นวาบไปทั่วร่างโดยที่เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ร่างโปร่งกล่าวเสียงแปร่ง 
     
    “ท่านตาพูดอย่างกับว่าข้าจักต้องไปไกลแสนไกล ข้าออกไปเพียงครู่ก็จักกลับแล้ว” 
     
    ชายชรามิได้เอ่ยคำใดกับวาสุกิอีก หากหันหน้ามาทางนาคาน้อย เอ่ยเสียงปราณี 
     
    “เจ้าก็เหมือนกันนะเจ้างูน้อย รักษาตัวดีๆล่ะ ทั้งนายเจ้าด้วย” 
     
    “ขอรับท่านตา ข้าจักดูแลท่านวาสุกิเป็นอย่างดี จักไม่ให้สิ่งใดมาทำอันตรายได้หรอกขอรับ” ดวงตาสีเหลืองอำพันเป็นประกายยามเมื่อเจ้าตัวเอ่ยด้วยความมุ่งมั่น
     
    ชายชราพยักหน้าก่อนจักเลือนหายไปอย่างช้าๆ วาสุกิและมุจลินทร์ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มออกเดินทาง เพียงออกเดินได้สองสามก้าว ร่างโปร่งพลันชะงักแลหันกลับมาพูดกับต้นไทรใหญ่ 
     
    “ท่านตาข้าฝากท่านพ่อด้วยนะขอรับ”
    ต้นไทรสั่นกราวไปทั้งต้น ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกหวั่นไหวกำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจ เหตุใดกันเขาจึงรู้สึกว่าจักต้องจากไปนานแสนนานเสียอย่างนั้น วาสุกิได้ยินนาคาน้อยพูดเปรยๆ
     
    “เหตุไฉน ข้าจึงรู้สึกว่าข้าจักต้องจากที่นี่ไปนานแสนนานขอรับท่านวาสุกิ”
     
    “เหลวไหลจริง เราจักไปเพียงวันสองวัน มะรืนเราจักกลับบ้านแล้ว เร่งเดินเข้าเถิด สายนักแดดจักแรงจนเจ้าเดินไม่ไหว” วาสุกิเอ็ด มุจลินทร์หน้าหงอยเร่งเดินตามไป ร่างโปร่งเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นความไม่สบายใจยังเกาะกุมอยู่ในหัวใจของเขา เมื่อความคิดของนาคาน้อยมุจลินทร์ช่างตรงกับความรู้สึกส่วนลึกในใจอย่างไม่ผิดเพี้ยน หากแต่นาคาหนุ่มมิปริปากออกมาเท่านั้น
     
    การเดินทางจากนาคภพไปยังสระอโนดาตนั้นเมื่อผ่านทวารบาลชั้นในแล้ว จักต้องเดินเท้าต่อไปเป็นเวลาครึ่งวันจึงจักถึงทวารบาลชั้นนอกซึ่งมีอสูรวายุภักดิ์ อสูรผู้มีลักษณะครึ่งยักษ์ครึ่งนก นิสัยดุร้าย คอยรักษาเขตแดนอยู่ เมื่อผ่านทวารบาลชั้นนอกแล้ววาสุกิก็พานาคาน้อยมุจลินทร์เดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่ท่าว่าจักหยุดพักจนนาคาน้อยทนไม่ไหวส่งเสียงประท้วงขึ้นทันที
     
    “โอยท่านวาสุกิ ข้าปวดขาจะแย่แล้วขอรับ ไฉนมันจึงได้ไกลเพียงนี้” มุจลินทร์บ่นโอดครวญ นาคาน้อยถือโอกาสนั่งพักบนก้อนหิน สองมือบีบนวดที่ขาทั้งสองข้าง วาสุกิมองด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ เอ่ยเสียงเรียบ
     
    “อย่าบ่นไปเลยมุจลินทร์ อีกสองทิวาก็จักถึงแล้ว” 
     
    “หา!! อีกสองทิวา! ข้าขอเป็นลมก่อนนะขอรับ” ว่าแล้วนาคาน้อยก็ทำท่าเอนตัวลงนอนกับก้อนหิน เรียกเสียงหัวเราะกังวานสดใสจากวาสุกิ 
     
    “ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น อีกอึดใจเดียวเราจักถึงแล้ว” 
     
    “อึดใจเดียวของท่าน มันตั้งแต่เพลาที่ข้าผ่านไอ้ยักษ์ครึ่งนกที่เฝ้าหน้าประตูแล้ว หากต้องเดินอีกอึดใจ ข้ามิต้องขาดใจตายกันพอดีฤาขอรับ” นาคาน้อยเริ่มงอแงทันที วาสุกิจึงรีบพูดปลอบ 
     
    “ เพียงนิดเดียวก็จักถึงแล้ว อดทนอีกสักนิดเถิด มุจลินทร์” ท้ายประโยคน้ำเสียงทอดอ่อนโยน มือเรียวลูบไล้บนศีรษะของนาคาน้อย ร่างเล็กจึงลุกขึ้นแต่ไม่วายขู่ฟ่อ
     
    “ข้าจักเชื่อท่านอีกสักครั้ง หากครานี้ยังไม่ถึงล่ะก็ เห็นทีท่านต้องแบกข้าไปเสียแล้วล่ะขอรับ” 
     
    วาสุกิหัวเราะก้อง “ตกลงเป็นข้าที่ต้องตามมาคุ้มครองแลรับใช้ท่านนาคาตัวน้อยๆนี่ใช่ฤาไม่?”
    มุจลินทร์หน้ามุ่ย หากมิได้โต้แย้งออกมา เพียงแค่พ้นดงนารีผลซึ่งขึ้นอยู่ดารดาษนาคาน้อยกลับต้องตะลึงอ้าปากค้าง 
     
    ภูเขาสีเงินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ยื่นล้ำเข้าไปในสระกว้างซึ่งบนผิวน้ำนิ่งเรียบราวกระจก เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ลึกลงไปใต้น้ำใสแจ๋ว นาคาน้อยมุจลินทร์แลเห็นเหล่าปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่ายอยู่ในสระนั้น บางแห่งก็แลเห็นก้อนหินน้อยใหญ่อยู่ข้างใต้ หากบางแห่งก็มิสามารถหยั่งถึงก้นบึ้งได้เลย ริมสระน้ำมีต้นไทรใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ รากไทรจำนวนมากห้อยระย้าเรี่ยผิวน้ำแลไหวล้อลมน้อยๆยามเมื่อมีลมโชยผ่าน
     
    “เจ้าเห็นฤาไม่มุจลินทร์ หากเจ้ามิออกมาแล้วไซร้ จักได้เห็นความงดงามของที่นี่หรือ?” 
     
    “งามมากเลยขอรับ” มุจลินทร์พูดราวกับละเมอ นี่เป็นความสวยงามที่จับใจเขาเป็นอย่างมาก วาสุกิทรุดกายลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ รั้งชายผ้านุ่งให้ยกสูงขึ้นเผยให้เห็นเรียวขาขาวเรื่อยลงไปถึงเท้าเล็กเรียว ไกวขาเล่นในน้ำอย่างสำราญใจ ชายหนุ่มหันไปมองร่างเล็ก พลางเอ่ยชวน 
     
    “มานี่สิ มุจลินทร์” 
     
    นาคาน้อยทรุดกายนั่งถัดจากผู้เป็นนายเล็กน้อย มือเล็กรั้งผ้านุ่งขึ้นมาบ้าง หากเมื่อหย่อนเท้าลงไปก็ต้องสะดุ้งชักเท้าขึ้นโดนเร็ว วาสุกิมองด้วยความฉงน
     
    “เจ้าตกใจสิ่งใดฤา? ” 
     
    “เปล่าขอรับ น้ำมันเย็นมากขอรับ” 
     
    “จริงด้วย ข้าลืมไปว่าเจ้ายังเล็กนัก ที่สระอโนดาตแห่งนี้เป็นที่ที่แสงอาทิตย์มิสามารถสาดส่องเข้ามาได้ น้ำจึงเย็นกว่าปกติไงเล่า” 
     
    “ท่านวาสุกิไม่เย็นฤาขอรับ?” นาคาน้อยถามอย่างประหลาดใจที่เห็นชายหนุ่มไม่มีทีท่าอันใดแม้แต่น้อย ดูราวกับจะชอบอกชอบใจมากกว่าเสียอีก 
     
    “เย็นสิ แต่เย็นสบายนะ ข้าชอบน้ำเย็นๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” วาสุกิลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือเรียวปลดผ้าคล้องคอออก รวมถึงเข็มขัดทองที่คาดเอวคอด ปล่อยให้ผ้านุ่งหลุดออกจากร่าง เผยเรือนร่างสูงโปร่ง ด้านล่างมีผ้าบางเบาสีตองอ่อนสั้นเหนือหัวเข่าปกคลุมอยู่ มือเรียวปลดเถาวัลย์ที่มัดเรือนผม ปล่อยผมดำสนิทยาวสยายเต็มแผ่นหลัง 
     
    “ไปเล่นน้ำกันเถิดมุจลินทร์ วันนี้ช่างแปลกเหลือเกินที่มิมีผู้ใดอยู่ที่นี่เลย” วาสุกิเอ่ยชวน แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ
     
    “ท่านวาสุกิ ลงไปเล่นเถิดขอรับ ออกมาข้างนอกอย่างนี้ข้าไม่ใคร่วางใจเท่าใด ข้าขอเฝ้าอยู่บนนี้จักดีกว่า” มุจลินทร์ตอบก่อนคืนร่างเป็นนาคา หากวาสุกิเอ่ยขัดขึ้น
     
    “จงอย่าคืนร่างเดิม มุจลินทร์ ข้ามิอยากให้ใครรู้ว่าพวกเราเป็นนาคา จงแปลงเป็นอย่างอื่นเถิด” 
     
    เมื่อได้ยินเช่นนั้น นาคาน้อยจึงเปลี่ยนร่างเป็นอสรพิษแห่งพงไพร ตัวยาวประมาณสองวาเศษเกล็ดสีดำมะเมื่อมขดคุมเชิงอยู่บนก้อนหินราบริมฝั่ง คอยเฝ้าระวังวาสุกิที่ลงไปแหวกว่ายในสายน้ำอย่างสำราญใจ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×