ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : วาสุกินาคราช
นิยายเรื่องนี้เป็นของคุณหนมชั้นที่เคยแต่งไว้นานแล้ว ได้รับอนุญาตให้นำมาลงแล้วค่ะ
แสงทองเรืองรองแห่งดวงตะวันสาดส่องไปทั่วหล้า เหล่าสกุณาโผผินออกหากินเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ ดอกหว้าส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วป่าหิมวันต์ ใต้ไทรใหญ่มีรากห้อยระย้าเรี่ยผิวดิน ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นหินใต้ต้นไทรด้วยอาการนิ่งสงบ มีเพียงแผ่นอกเปล่าเปลือยใต้ผ้าคล้องไหล่สีตองอ่อนเท่านั้นที่เคลื่อนไหวตามจังหวะของการหายใจ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่น เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกและเสียงฝีเท้าที่ดังแว่วมา
แสงทองเรืองรองแห่งดวงตะวันสาดส่องไปทั่วหล้า เหล่าสกุณาโผผินออกหากินเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ ดอกหว้าส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วป่าหิมวันต์ ใต้ไทรใหญ่มีรากห้อยระย้าเรี่ยผิวดิน ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นหินใต้ต้นไทรด้วยอาการนิ่งสงบ มีเพียงแผ่นอกเปล่าเปลือยใต้ผ้าคล้องไหล่สีตองอ่อนเท่านั้นที่เคลื่อนไหวตามจังหวะของการหายใจ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่น เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกและเสียงฝีเท้าที่ดังแว่วมา
“ท่านวาสุกิ ท่านวาสุกิ!”
เปลือกตาบางกระพริบน้อยๆก่อนเผยดวงตาสีทับทิมเนื้อกระจ่าง ดวงตางามจับจ้องไปยังทิศทางของเสียงเรียกและเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา แล้วพุ่มไม้ด้านหน้าก็ถูกแหวกออก ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ออกมา เมื่อเห็นชายหนุ่ม เจ้าตัวจึงพูดต่อว่าทันที
“อยู่ที่นี่เองท่านวาสุกิ ปล่อยให้ข้าหาตั้งนาน ”
ผู้นั่งขัดสมาธิมีเพียงรอยยิ้มละไมบนใบหน้า เอ่ยตอบว่า
“เจ้าหาข้าเจอแล้ว ยังจะบ่นอันใดเล่า มุจลินทร์ ข้าเสียอีกที่ต้องต่อว่าเจ้าที่บังอาจมารบกวนการทำสมาธิของข้า”
“ถ้าท่านมิแอบออกมาเพียงผู้เดียว ข้าคงมิต้องรบกวนเวลาอันแสนมีค่าในการทำสมาธิของท่านดอก” เ ด็กหนุ่มพูดประชด ยังผลให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ วาสุกิเอ่ยเสียงนุ่ม
“ข้ามิคิดออกมาเพียงผู้เดียวหรอก หากงูน้อยบางตัวหลับสบายเสียจนข้ามิกล้าปลุก”
“ท่านวาสุกิ ข้าบอกท่านที่ครั้งกันว่าข้ามิใช่งูน้อย” เสียงของเด็กหนุ่มกระเง้ากระงอด “อีกไม่กี่เพลาข้าก็จักเติบใหญ่เป็นนาคาผู้แกร่งกล้าเช่นท่านพ่อของข้าทีเดียวเชียว”
วาสุกิหัวเราะน้อยๆ ริมฝีปากอิ่มแย้มพรายอย่างขบขันในคำพูดของอีกฝ่ายพลางใช้นิ้วจิ้มเบาๆที่หน้าผากกลมมน
“รอให้ถึงเพลานั้นเสียก่อนเถิด จึงค่อยมาอวดอ้าง หากจักหวังเป็นดังแม่ ทัพหิรัญนาค ต้องบำเพ็ญตบะมิใช่เพียงร้อยสองร้อยปีเท่านั้นดอกนะ”
มุจลินทร์หน้างอหากแต่ดวงตาสีเหลืองอำพันแสดงถึงความรักความเคารพในตัวชายหนุ่มตรงหน้ายิ่งนัก วาสุกิมองเด็กหนุ่มด้วยสายตารักใคร่ เอ็นดู
“กลับนาคภพเถิดขอรับท่านวาสุกิ ประเดี๋ยวท่านอนันตนาคาจะดุเอานะขอรับ ถ้ารู้ว่าท่านหนีมาที่นี่” เด็กหนุ่มเอ่ยชวน วาสุกินิ่วหน้าเปรยออกมา
“ท่านพ่อคงมิดุข้าดอก เนื่องด้วยมุจลินทร์น้อยคนโปรดทำหน้าที่นี้แทนแล้ว เจ้ามันช่างสำคัญนักนะ รู้ไปเสียหมดว่าข้าอยู่ที่ใด” ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน เผยหน้าท้องแบนเรียบ เอวคอดถูกปิดบังด้วยเข็มขัดทองซึ่งรัดผ้าสีเขียวเข้มมันระยับจับจีบหน้าปล่อยชายยาวจนถึงพื้น ผมสีดำเป็นมันขลับถูกมัดรวบด้วยเถาวัลย์ไว้อย่างไม่ใส่ใจนัก ชายหนุ่มก้าวลงมาจากแผ่นหินแล้วเดินนำเด็กหนุ่มออกไป
“แล้วอีกอย่างหนึ่งท่านพ่อของข้าคงยังมิตื่นดอก”
กว่าจะกลับถึงแดนบาดาลก็เป็นเพลาสาย คนที่ถูกหาว่ายังไม่ตื่นกำลังนั่งหน้าบึ้งอยู่หน้าตั่งไม้สัก ซึ่งวางสำรับอาหารไว้มากมาย ดวงตาสีแดงโกเมนจ้องไปยังร่างโปร่งที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตรงเข้ามา จอมนาคาเอ่ยเสียงแข็ง
“กว่าจักมาถึงเจ้าลูกตัวดี จักให้พ่อต้องหิวจนท้องกิ่วก่อนใช่ฤาไม่ บอกมาเสียโดยดีว่าไป เถลไถลที่ไหนมาจึงกลับเอาเพลานี้”
วาสุกิมองดวงหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตน หากแต่หวานซึ้งกว่าแล้วพูดยิ้มๆ
“การที่บุตรผู้เติบโตแล้วจักไปไหนมาไหน ย่อมมิใช่กิจธุระอันใดของบิดาผู้ชรา มิใช่ฤา?…....” พูดยังไม่ทันขาดคำ วาสุกิก็ต้องเอียงหัวหลบลูกมะขามป้อมที่ลอยลิ่วมาจากมือของอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงที่แผดก้อง
“วาสุกิ!! หัดปากดียอกย้อนพ่อฤา?”
“ข้าฤาจักกล้าทำเช่นนั้นต่อบิดาผู้เป็นที่รัก ข้าเพียงแต่หยอกล้อท่านเล่นเท่านั้น ท่านจงดูอาหารในสำรับนี่เถิดแต่ละอย่างช่างน่าทานยิ่งนัก” นาคาหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง ก้มลงมองสำรับคาวหวานที่วางเรียงรายในถ้วยชามดินเผา หากอนันตนาคายังจ้องเขม็ง เอ่ยเสียงแข็ง
“มิต้องเปลี่ยนเรื่อง! เจ้ายังมิได้ตอบข้าว่าไปที่แห่งใดมา”
วาสุกิยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นดวงตาสีโกเมนจับจ้องคาดคั้น จึงตอบอ้อมแอ้ม
“ข้าออกไปเพียงใกล้ๆนี่เอง เพียงเข้าไปในป่าหิมวันต์เท่านั้น”
แล้วคนตอบก็เตรียมอุดหูเพื่อกันเสียงดุว่าจากบิดาดังที่เคยเป็น หากแต่คราวนี้อีกฝ่ายเพียงมองหน้าเฉยๆ หากดวงตามีแววประหลาด น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยอ่อนหวานเป็นพิเศษ
“หากมีแรงเที่ยวเล่นแล้วไซร้ ลูกสมอพวกนี้คงมิจำเป็นสินะ วาสุกิ เช่นนั้นข้าจักยกให้บ่าวไพร่เอาไปกินกันเสีย” พูดจบจอมนาคาจึงทำสัญญาณให้นางกำนัลยกถาดลูกสมอออกไป วาสุกิมองตามตาละห้อยจนบิดาซึ่งแอบจับสังเกตอยู่เงียบๆนึกขันในใจก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“เอาล่ะ กินข้าวได้”
หลังแยกจากบิดาแล้ววาสุกิจึงเดินกลับห้อง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ พบนาคาน้อย มุจลินทร์ กำลังนั่งคอยอยู่ นาคาน้อยเอ่ยลอยๆ
“ที่นี้จักเชื่อข้าได้ฤาไม่ ขอรับ ว่า อย่างไรเสียท่านก็ต้องโดนท่านอนันตนาคาดุอยู่ดี”
“ต่อให้ท่านพ่อลงโทษข้ามากกว่านี้ ข้าก็คงมิออกไปมิได้ดอก มุจลินทร์เอ๋ย ข้ายังมีสิ่งที่ต้องการรู้มากเหลือเกิน”
“ท่านอนันตนาคาคงเป็นห่วงดอกขอรับ เพราะท่านปกครองมานานจนรู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร สิ่งใดอันตราย สิ่งใดมิใช่”
มุจลินทร์พูดเสียงเป็นการเป็นงาน วาสุกิจึงใช้นิ้วจิ้มเบาๆที่หน้าผากนาคาน้อย เอ่ยเสียงเข้ม
“เช่นนั้นเราจึงต้องไปเรียนรู้โลกภายนอกอย่างไรเล่า แม้แต่ท่านพ่อก็มิอาจห้ามข้าได้ดอก”
“ท่านอาจพะวงเรื่องครุฑก็เป็นได้นะขอรับ เหล่าครุฑล้วนร้ายกาจ น่ากลัว แม้แต่ท่านพ่อของข้าก็ยังเตือนข้าอยู่เสมอว่าสำหรับพวกเราเหล่านาคาจะหาสิ่งใดร้ายกาจเสมอครุฑเป็นไม่มี”
“เหอะ! เป็นนกก็ต้องอยู่บนฟ้านู่น!!!! เจ้าคอยดูนะมุจลินทร์ สักวันหนึ่งข้าจักต้องท่องเที่ยวไปทั่วแดนหิมวันต์ให้ได้!” วาสุกิประกาศก้อง นาคาน้อยได้แต่ส่ายหน้าในความดื้อรั้นแห่งนายตน ก่อนจะหยิบถาดทองที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา
“เพลานี้ท่านจงดูสิ่งนี้ก่อนเถิด” มือเล็กเปิดผ้าขาวบางที่คลุมถาดนั้นอยู่เผยให้เห็นลูกสมอผลใหญ่วางเรียงรายอยู่ในถาด
“ลูกสมอนี่ มุจลินทร์! เจ้าเอามาจากที่ใดกัน”
“ของประทานจากท่านอนันตนาคาขอรับ” มุจลินทร์กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยมยิ่ง วาสุกินิ่งไปอึดใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“แม้นข้าจักดื้อดึงปานใด ท่านพ่อก็มิเคยโกรธข้าได้สักที มุจลินทร์เอ๋ย มิใช่ข้ามิได้รักท่านพ่อ หากแต่โลกนี้มีสิ่งที่ข้าสมควรเรียนรู้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ ณ นาคภพแห่งนี้ เจ้ารู้ฤาไม่ว่า หากชีวิตไร้ซึ่งการผจญภัยก็ก็เทียบได้กับการหายใจทิ้งไปเปล่าๆ ข้าใคร่รู้ความเป็นไปของโลกแห่งนี้ ความกระหายของข้าเจ้าคงมิรู้ใจข้าดอกกระมัง ดูก่อนมุจลินทร์เอ๋ย หากวันหนึ่งข้าจักโบยบินไปสู่โลกภายนอกเล่า เจ้าจักทำเช่นไร เจ้าจักบินเคียงข้างข้า ฤาจักมองข้ายามจากไปเล่า”
“หากถึงวันนั้น ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียว มุจลินทร์ผู้นี้จะขอติดตามรับใช้จนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่!!” นาคาน้อยทรุดตัวลงแทบเท้าคนเป็นนายทันที “หากวันหนึ่งท่านคิดไปจากนาคภพ โปรดนำข้าไปกับท่านด้วยนะขอรับ”
“ขอบใจเจ้ามาก มุจลินทร์” วาสุกิเอ่ยเสียงนุ่ม ในใจเต็มไปด้วยความตื้นตัน คงอีกไม่นานนักดอกมุจลินทร์เอ๋ย ข้าสังหรณ์ใจเหลือเกินว่าอีกมิช้านาน ความหวังของข้าจักต้องเป็นจริงอย่างแน่แท้
.................................................................................................................................................
จอมนาคาอนันตนาคาเดินผ่านไปที่ระเบียงเพียงผู้เดียวเพื่อกลับเข้าห้องพักผ่อนอย่างเงียบๆ เมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องจอมนาคาจึงระบายลมหายใจยาวเพื่อผ่อนคลายความหนักอึ้งในหัวใจ
“ห้ามสิ่งใดมิเคยจะฟัง!! วาสุกิ พ่อจักทำฉันใดเจ้าถึงจักยอมอยู่เฉยๆกัน.”
ร่างโปร่งตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย ยามนั้นจอมนาคาคล้ายสดับเสียงกระซิบอันแผ่วเบาราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
“อนันตนาคา ข้ารักเจ้า”
เสียงแสนหวานที่ราวกับผู้พูดกระซิบอยู่ข้างหู อนันตนาคาส่ายศีรษะอย่างแรงราวกับจะสลัดเสียงนั้นให้ลอยหาย
“อนันตนาคา ข้ารักเจ้า”
“ไม่!! ข้ามิอยากฟัง!!! จงหายไป หายไปเสีย!!!”
เสียงกระซิบอันแสนหวานหายไปแล้ว ดวงตาสีโกเมนวาบวับไปด้วยหยาดน้ำ เจ้าตัวกระพริบตาถี่ๆเพื่อขับไล่หยาดน้ำนั้นให้จางหาย พลันได้ยินเสียงหวานไพเราะเสนาะหูมาจากหน้าต่าง เมื่อเดินออกไปจึงพบกับนกการเวกน้อยเกาะกิ่งไม้ขับขานเสียงเพลงแว่วหวาน กังวานแห่งเสียงราวกับจะปลอบประโลมให้คลายทุกข์
“นกน้อย เจ้ามาปลอบข้ารึ” มือเรียวยื่นออกไปข้างหน้า เจ้านกน้อยกระโดดจากกิ่งไม้มาเกาะที่นิ้วมือพลางขับขานเพลงอันแสนหวานต่อ เรียวปากบางคลี่ยิ้ม
“ขอบใจเจ้ามากการเวกน้อย จงกลับสู่ถิ่นของเจ้าเถิด” ชายหนุ่มยื่นมือออกไปข้างหน้า นกการเวกตัวจ้อยจึงขยับปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะบินลับหายไปจากสายตา
นกตัวน้อยบินลอดผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้ามาในห้อง บินวนอยู่เพียงชั่วครู่ก็โผมาเกาะบ่าของบุรุษหนุ่มใหญ่ผู้หนึ่ง ผมสีเงินขึ้นแซมประปราย หากยังคงซึ่งความคมคายของใบหน้า ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย มือแข็งแรงเลื่อนมาข้างหน้าพร้อมหงายฝ่ามือขึ้น นกน้อยจึงขยับปีกบินลงมาอยู่บนฝ่ามือ
“กลับมาแล้วฤา โนรี วันนี้หนีข้าไปไหนมา เจ้านกน้อย”
เสียงสูงๆต่ำๆราวกับทำนองดนตรีที่ตอบกลับมา ทำให้คิ้วดกขมวดเล็กน้อย
“ไปนาคภพมา เก่งจริงนะเจ้า ไปหาผู้ใดเล่า จักไม่บอกกล่าวข้าหน่อยรึ?”
โนรีนกน้อยเริ่มขับขานท่วงทำนองเพลง อันแสนไพเราะจับจิต ดังเช่นที่เคยได้ยินคนผู้หนึ่งขับขานเล่นอยู่เป็นประจำ ร่างสูงหลับตาลง จิตประหวัดไปถึงร่างสูงเพรียวที่เคยอิงแอบแนบชิด อุปทานคล้ายได้กลิ่นดอกลำดวนรวยรินรินอยู่รอบกายราวกับบัดนี้เจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้า
“เขาเป็นเช่นใดเล่า จงแจ้งแก่ข้าเถิด” เสียงพึมพำดังขึ้นจากริมฝีปากได้รูป เสนาะเสียงของการเวกน้อยเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย จนคนฟังแทบขาดใจ ดวงตาสีเทาหม่นเหม่อลอยก่อนจะหรุบลง ริมฝีปากขยับช้าๆ
“อนันตนาคา ข้ารักเจ้า”
ร่างสูงลืมตาขึ้น ปรากฏความเศร้าอ้างว้างในดวงตาเพียงครู่พลันเลือนหาย เสียงเสนาะยังคงขับขานบทเพลงต่อไปราวกับจะปลอบประโลมจิตใจที่หมองเศร้า เสียงเพลงเจื้อยแจ้วของนกการเวกน้อยดังลอดออกไปยังเขตอุทยาน ที่ประดับไปด้วยไม้ดอกนานาพรรณที่พร้อมใจกันชูช่อแข่งกันอวดสีสัน ที่พื้นหญ้านุ่มมีร่างของชายหนุ่มนอนเอามือรองศีรษะอยู่อย่างสบายอารมณ์ หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับบุรุษร่างสูงหากดูอ่อนวัยกว่าและดวงตาที่ดำสนิทยากที่จะหยั่งถึง ชายหนุ่มถอนหายใจเปรยเบาๆ
“โนรีร้องเพลงปลอบพ่อข้าอีกแล้ว พยัคฆาเจ้าได้ยินฤาไม่?”
เสือโคร่งตัวมหึมาที่นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ คำรามเบาๆ
“ข้ามีหูเช่นท่าน จักต้องได้ยินแน่ขอรับ”
“ปากดีเช่นเจ้า สักวันแม้แต่กระดูกก็จักไม่เหลือ!!! ” ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบทมาเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังดวงตาของเสือหนุ่ม
“ท่านพ่อของข้า หากคิดจักมีสัมพันธ์กับผู้ใด ย่อมไร้ผู้ใดจักปฏิเสธ แม้แต่นางอัปสราแลกินนร กินนรีก็พร้อมปรนนิบัติรับใช้ ไยต้องหวนคิดถึงอริราชศัตรู เจ้าว่าอย่างไร? พยัคฆา”
“ข้ามิบังอาจออกความคิดเห็นดอกขอรับ ท่านครุฑมาน” เสือโคร่งหนุ่มตอบอย่างระมัดระวัง
“จ้าวนาคาผู้งามเป็นเลิศ จะหาผู้ใดในหิมวันต์งามเสมอเหมือนเป็นไม่มี งูก็คงเป็นงูอยู่วันยังค่ำ ต่อให้งามล้ำแค่ไหน ข้าชักอยากรู้เสียแล้วว่านาคาตนนั้นใช้มารยา เล่ห์กลอันใดถึงชิงดวงใจพ่อข้าไปได้”
“พูดจาเช่นนี้ หากท่านรักตปักษ์ได้ยินคงจักขุ่นเคืองใจมิใช่น้อย” พยัคฆากล่าวเตือน ครุฑมานเหยียดริมฝีปากออก ดวงตาคมกริบทอประกายประหลาดบางอย่าง เอ่ยลอยๆ
“พยัคฆา เจ้าเคยเห็นเหล่านาคาฤาไม่?”
“เคยขอรับ ข้าเคยเห็นเหล่าลูกนาคาตอนกำลังเล่นน้ำ ” เสือหนุ่มอธิบาย
“แต่ข้ายังไม่เคย”
“ขอรับ” เสือหนุ่มชักรู้สึกแปลกๆกับท่าทีของนายตน
“และข้าก็ต้องการจะเห็น!”
“ท่านครุฑมาน ไม่ได้นะขอรับ ท่านรักตปักษ์สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเยี่ยมกรายไปใกล้นาคภพ” พยัคฆาเอ่ยห้าม เค้าแห่งความวุ่นวายเริ่มลอยมาไกลๆ
“ข้าบอกว่าไปก็คือไป! เจ้าไปเตรียมตัวได้ เราจักลงจากสุบรรณภพ!!”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น