ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Aeon ตำนานดินแดนไม่สิ้นสุด

    ลำดับตอนที่ #5 : อาจารย์ของรีเฟลค

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 49


    หลังจากค่ำคืนแห่งความเศร้าโศกบัดนี้ได้ผ่านพ้นไป ชาเร็ตเองเริ่มที่จะเลิกเหม่อลอย และหันมาลองใช้ชีวิตร่วมกับเผ่าไลแคนโทรปในเมืองสตาร์ฟอล เวลาผ่านไปแค่หนึ่งสัปดาห์ เขาเองก็แทบจะเปลี่ยนไปจากตอนที่เขาได้ยินว่าเลสเตอร์ตายเป็นคนละคนเลยทีเดียว

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาพยายามทำมาตลอดแต่ก็ทำไม่ได้ คือการแปลงร่างอีกครั้ง

    ชาเร็ตถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นกับจาเคีย ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ทำให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นไลแคนโทรป ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าพละกำลังของเขาตอนกลายร่างจะมากกว่าพวกเธอหรือรีเฟลคเสียอีกซึ่งมันทำให้เขาพยายามที่จะกลายร่างให้ได้ในยามที่ต้องการ

    "ตอนแปลงร่างหรอ? เอ ผมก็ไม่รู้แฮะ ก็แค่คิดว่าอยากแปลงร่าง มันก็แปลงไปตามความรู้สึกน่ะ" รีเฟลคซึ่งถูกถามวิธีการแปรสภาพร่างกาย ตอบเพียงแค่นั้น แม้ว่าเขาจะถามจาเคียเธอก็ได้แค่พูดว่า "มันเป็นไปตามสัญชาตญาณล่ะมั้ง"

    "ชั้นเป็นสไปรท์นะ จะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า" อลิเซียเอ่ยขึ้นเมื่อถูกถามในตอนช่วงมื้อค่ำซึ่งเธอรับหน้าที่เป็นผู้ทำด้วยตนเอง "จาเคียกับรีเฟลคยังตอบไม่ได้ ฉันจะไปตอบได้ไง"

    "แล้วชั้นจะทำไงดีเนี่ย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างหมดหวัง เพราะนอกจากสามคนนี้แล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะไปถามใคร คนในเมืองก็ไม่รู้จักซักคน

    "เอางี้สิ ไปถามอาจารย์ผมพรุ่งนี้ก็ได้" รีเฟลคเสนอความคิดขณะที่กำลังตักเนื้อชุบแป้งทองคำโตเข้าปาก "ที่ผมแปลงร่างได้ก็เพราะอาจารย์น่ะแหละ" และพูดขณะที่ยังเคี้ยวไม่หมด

    สรุปเลยได้ข้อตกลงว่าชายหนุ่มจะไปพบกับอาจารย์ของรีเฟลคในวันรุ่งขึ้น

    แสงจันทร์ครึ่งดวงและดวงดาวต่างๆ สร้างความสว่างให้กับท้องฟ้ายามวิกาลของเวลาเที่ยงคืน มันเป็นเวลาที่สิ่งมีชีวิตในป่าชานเมืองสตาร์ฟอลควรจะหลับสนิท

    พุ่มไม้กลุ่มหนึ่งสั่นไหวเบาๆ พร้อมกับเงาคนสามคนที่เดินออกมาจากพุ่มไม้นั้น

    "ที่นี่สินะ สตาร์ฟอล" ชายผู้มีผมซอยสั้นสีฟ้าและตาสีเขียว เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบของยามราตรี

    "ในที่สุดก็ถึงแล้วสินะ" ชายอีกพูดขึ้นมาเช่นกัน ผมยาวสีเขียวอ่อนที่ถูกรวบไว้ปลิวตามสายลมที่พัดผ่าน

    "แล้วเราจะบุกกันตอนไหนอะ" เสียงใสแจ๋วของเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนดังขึ้นตาม ดวงตากลมโตสีฟ้าไบ่งบอกเลยว่าเธอยังคงไร้เดียงสา

    "เราจะเริ่ม พรุ่งนี้"

    พูดจบทั้งสามก็หายไปกับเงามืดของชายป่า


    ชาเร็ตตื่นขึ้นในตอนเช้าของวันถัดมา แสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ช่างสวยงามยิ่งนัก ชายหนุ่มเองไม่ได้หลับสบายอย่างนี้มานาน เขาลุกขึ้นกางแขนบิดขี้เกียจ ก่อนที่ทำกิจวัตรประจำวันแล้วคว้าเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีแดงอ่อนๆ และกางเกงขายาวสีครีมมาใส่

    แม้ว่าจะยังเช้าอยู่แต่ว่าในวู้ดดาเรียเวลาเช้าก็คือเวลาสาย นั่นเป็นคำพูดของอลิเซียซึ่งมักย้ำเตือนกับเขาอยู่บ่อยๆ เนื่องจากว่าประชากรชาวไลแคนโทรปจะตื่นกันขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตีห้าเป็นเวลาปกติ สังเกตได้จากว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ชาเร็ตเห็นเดินผ่านไปจากหน้าต่างชั้นสอง

    ชายหนุ่มวันนี้ไม่ได้ลงไปที่ชั้นล่างทันที เพราะเขาเห็นห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งปิดไว้ด้วยประตูไม้สีน้ำตาลแดง ความจริงแล้วมันคงไม่มีอะไรน่าแปลก ถ้าเกิดว่าไม่มีเสียงกรนดังสนั่นราวสิงโตคำรามมาจากข้างใน จนป้ายคำว่า Refleck ที่ติดอยู่บนบานประตูถึงกับสั่น

    ชาเร็ตเองอดขำไม่ได้กับเด็กหนุ่มสิงโตซึ่งนอนกรนได้ตลก(และน่ากลัว)ขนาดนี้ ชายหนุ่มค่อยๆแอบเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาเผื่อไม่ให้เจ้าของห้องได้ยิน

    ภายในห้องของรีเฟลคซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเก้าตารางเมตร สิ่งของหลายอย่างถูกวางระเกะระกะบนพื้นห้อง มีทั้งสมุด กระดาษ ดินสอ เสื้อผ้า และอีกหลายๆอย่างเต็มไปหมด แม้แต่ดาบคู่ประจำกายเองก็ตั้งทิ้งไว้กับพื้นแบบไม่ใส่ใจ ลิ้นชักตู้และโต๊ะที่อยู่ตรงผนังห้องด้านขวาถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ทำให้มองเข้าไปเห็นเสื้อผ้าที่แสนจะรกรุงรังถูกยัดไว้อย่างลวกๆ

    แต่ที่น่าสนใจกว่าคือตัวต้นเสียง รีเฟลคอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ในท่านอนหงายอ้าปากกว้าง แถมน้ำลายยืดอีกต่างหาก เห็นแล้วไม่รู้จะพูดยังไงดี

    พอเด็กหนุ่มเริ่มกรนอีกครั้งเท่านั้นแหละ พื้นห้องถึงกับสั่นสะเทือน แม้แต่ชาเร็ตเองก็ยังต้องอุดหูก่อนจะเดินมาข้างเตียงพร้อมกับใช้มือเขียนสัญลักษณ์เวทสีฟ้ากลางอากาศ

    ซ่า!

    บอลน้ำขนาดเท่าลูกฟุตบอลก่อตัวขึ้นบนหัวของรีเฟลคซึ่งนอนกรนน้ำจิ้มหก ก่อนมันจะตกลงตามแรงโน้มถ่วงใส่หน้าเขาพอดี ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับตกใจตื่น พลางสะบัดน้ำบนหน้าออกเหมือนสิงโตที่ชอบสะบัดน้ำเวลาแผงคอเปียกไม่มีผิด

    "สายแล้วรีเฟลค ตื่นซะที"

    "แหม่ สายซักหน่อยก็ไม่ได้นะพี่ชาย" รีเฟลคทำเป็นหน้าบึ้งนิดนึงก่อนจะพูด พลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้า

    หลังจากปลุกเสร็จแล้ว ชาเร็ตก็ถึงได้เดินลงมาจากชั้นสอง ตอนนี้ในห้องอาหารไม่มีใครเลย ไม่ใช่ว่าจาเคียกับอลิเซียยังไม่ตื่น แต่เป็นเพราะว่าในบ้านหลังนี้มีแต่รีเฟลคกับเขาเท่านั้น หญิงสาวทั้งสองพักอยู่ในบ้านอีกหลังที่อยู่ข้างๆ ซึ่งทั้งคู่มักจะมาทำอาหารที่บ้านรีเฟลคเพราะรู้ว่าเขาทำกับข้าวไม่เป็น

    แต่เผอิญว่าวันนี้พวกเขานัดกันไปเจอที่น้ำพุเนี่ยสิ แล้วเขาจะทำอะไรกินล่ะ

    "......เอาล่ะสิ ชั้นเองก็ทำไม่เป็นซะด้วย....." ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้

    ลานน้ำพุในคราวนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายต่างกับตอนกลางคืนลิบลับ ร้านค้าต่างๆที่ตั้งอยู่โดยรอบก็เปิดขายกันตั้งแต่เช้า ส่วนใหญ่ของที่ขายก็มักจะเป็นอาหารสดเช่น เนื้อและผัก  แต่ก็มีอยู่บ้างที่เป็นร้านขายอาหารหรือเสื้อผ้า และปัจจัยสี่ต่างๆ

    ที่ทำให้ตลาดแห่งนี้แตกต่างจากตลาดใหญ่เอนเทลก็คือ สินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกสิ่งที่ขายล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตทั้งสิ้น

    จาเคียและอลิเซียนั่งคอยหนุ่มทั้งสองอยู่ที่ม้าหินใกล้ๆกับฐานน้ำพุ ซึ่งตอนนี้มีน้ำพุ่งขึ้นลงเป็นระยะๆ เด็กสาวจิ้งจอกนั่งอยู่ในท่าไขว่ห้างเอามือเท้าคาง ในขณะที่หางจิ้งสีน้ำตาลส่ายไปมาอย่างเบื่อหน่าย ส่วนสไปรท์หญิงเองนั่งอย่างเรียบร้อย และคอยสอดส่องสายตามองหาชายหนุ่มทั้งสอง

    "พวกผู้ชายนี่ต้องมาสายกันอย่างเดียวหรือไง" จาเคียบ่นด้วยความรำคาญจากการรอ เพราะดูเหมือนว่าจะสายไปสิบห้านาทีได้แล้ว

    อลิเซียเองไม่ได้ตอบ แต่ซักพัก เธอก็เอ่ยขึ้น

    "มาแล้วนั่นไง"

    ทันทีที่ทั้งสองสาวเห็นชาเร็ตและรีเฟลคชัดๆ ก็ถึงกับตกใจ

    ชายหนุ่มทั้งสองอยู่ในสภาพที่อิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่ากินยาผิดสำแดงหรืออะไรประมาณนั้น โดยเฉพาะรีเฟลคซึ่งดูจะเป็นเอามาก

    "ไปทำอะไรมาเนี่ย" อลิเซียถามด้วยความกังวล "ดูซิ โทรมกันทั้งคู่เลย"

    ชาเร็ตเผยรอยยิ้มแหยๆ และอ้าปากจะตอบ แต่คนข้างๆชิงพูดตัดหน้าไปก่อน

    "ก็(ไอคุณ)พี่ชาเร็ตน่ะสิ เล่นทำโจ๊กบ้าอะไรก็ไม่รู้" รีเฟลคพูดด้วยท่าทางอิดโรย "ดูตอนแรกก็น่ากินดีอะนะ แต่พอกินเข้าไป รสชาติสุนัขไม่รับประทานมาก คายเอาของเก่าเมื่อคืนออกมาหมดเลย"

    "นายใส่อะไรลงไปในโจ๊กน่ะ" จาเคียถามด้วยความทึ่งที่มีคนทำให้โจ๊กกลายเป็นยาพิษได้

    "ก็...เอ่อ....เกลือ น้ำตาล น้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ...." และอื่นๆอีกมากมายซึ่งแค่ได้ยินก็ทำให้รู้ถึงเซนส์ด้านการทำอาหารที่ไม่ได้เรื่องของชายหนุ่ม ทำเอาอลิเซียถึงกับเอามือปิดปากอย่างกลุ้มใจ

    ในที่สุดสไปรท์สาวก็เลยจัดการซื้อบาบีคิวเนื้อกระต่าย ซึ่งตั้งขายอยู่ในบริเวณนั้นให้ทั้งสองกินรองท้องแทน แม้ว่ารสชาติจะไม่ได้ดีเท่ากับฝีมือของหญิงสาว แต่ว่าก็ยังดีกว่ากินโจ๊กนรกนั่นแน่ๆ

    หลังจากที่ได้หาอะไรใส่ท้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดมุ่งหน้าไปหาอาจารย์ของรีเฟลค ซึ่งจากคำบอกของเด็กหนุ่มสิงโต ทำให้รู้ว่าคนที่กำลังหาอยู่ เปิดฟาร์มวัวกระทิง(?) อยู่ที่ชานเมืองทางตะวันตก

    ชาเร็ตสังเกตวิวรอบๆของเมืองระหว่างที่เดินตามรีเฟลค ชาวเมืองสตาร์ฟอลหลายคนล้วนทักทายกันอย่างเป็นมิตร ราวกับว่าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน บ้างก็ช่วยงานกันทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอในเอนเทล และแสดงให้เห็นถึงความแน่นแฟ้น และความมีน้ำใจของชาวไลแคนโทรป

    ระหว่างที่เขาเดิน ก็มีคนทักพวกเขาทั้งสี่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นไลแคนครึ่งช้าง ที่ชาเร็ตรู้ได้เนื่องจากใบหูอันใหญ่โต หรือว่าจะเป็นสาวครึ่งเสือดาวที่ตามตัวมีลายพร้อยเป็นจุดสีดำๆ ซึ่งคุณเธอเองก็ส่งรอยจูบให้เขา จนชายหนุ่มเองถึงกับหน้าแดง

    "เป็นไข้หรือปล่าวน่ะ" จาเคียเอ่ยขึ้นเมื่อหันมาเห็นชาเร็ตเข้า เขารีบแก้ต่างอย่างลนลานว่าไม่มีอะไร ซึ่งก็ทำให้เด็กสาวสงสัยเล็กน้อย แต่เธอก็เพียงหันกลับแล้วเดินต่อ

    ยิ่งพวกเขาเดินออกมาไกลเท่าไหร่ ทัศนียภาพที่เขาเห็นก็ยิ่งเปลี่ยนไป จากที่มีบ้านต้นไม้และบ้านถ้ำหินอยู่ข้างทาง ตอนนี้ก็ค่อยๆหายไปและแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ดูกว้างสุดลูกหูลูกตา หากมองไปไกลๆ ก็จะเห็นฟาร์มและไร่สวนอีกหลายที่ อันเป็นที่มาของอาหารที่ขายอยู่ในตลาดนั่นเอง

    ในที่สุดพวกชาเร็ตก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง กำแพงของตัวบ้านทำจากอิฐสีน้ำตาลแดงสด หลังคาเองก็เป็นสีแดง แถมรั้วบ้านก็ยังทำด้วยไม้เนื้อแดงเสียด้วย เรียกว่าเน้นโทนแดงเต็มที่ รั้วที่ทำด้วยไม้ทอดยาวไปสุดสายตา และสามารถเห็นฝูงกระทิงกินหญ้ากันอยู่ไกลลิบๆ

    "แน่ใจเหรอว่าอาจารย์นายอยู่ที่นี่" ชายหนุ่มถามรีเฟลคอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เด็กหนุ่มก็ยืนยันกับเขา

    "อืม ที่นี่แหละ"

    "ดูนั่นสิ กระทิงกำลังสู้กัน" จาเคียพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ซึ่งพาให้ทุกคนหันไปมองทางที่เธอชี้ไป

    กระทิงสีน้ำตาลแดงสองตัวกำลังต่อสู้โดยการใช้เขาขวิดกันอย่างบ้าคลั่ง ต่างฝ่ายต่างใช้พละกำลังที่มีล้นเหลือพุ่งเข้าใส่กันอย่างไม่ลดละ จนเป็นการต่อสู้ตามธรรมชาติที่น่าตื่นตะลึง

    พวกเขาจ้องการต่อสู้นี้อย่างไม่กระพริบตา ทันใดนั้น ประตูบ้านก็เปิดขึ้น ชายรูปร่างสูงใหญ่ บึกบึน ผมสีน้ำตาลแดงสั้นชี้ๆ มีปอยผมด้านหลัง 1 กระจุกมัดเอาไว้หยาบๆ เดินออกมาจากบ้าน เท่าที่ดูแล้วคงอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี ดวงตาสีเดียวกับผมส่อประกายกร้าว และบาดแผลเป็นรูปกากบาทที่หน้าทำให้เขายิ่งดูเหี้ยมขึ้นไปอีก

    "พวกแกทำอะไรกันน่ะ!"

    เสียงตะโกนดังลั่นที่ออกมาจากปากชายวัยกลางคนทำให้พวกเขาทั้งสี่แทบจะกระเด็น ต้นหญ้าตามพื้นปลิวตามแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียง แต่ดูเหมือนว่ากระทิงสองตัวนั้นจะไม่หยุดสู้กัน

    "ไม่หยุดใช่มั้ย" เขาพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะวิ่งไปทางพวกมัน ชาเร็ตซึ่งลุกขึ้นมาอย่างมืนๆ หันหน้าตามชายคนนั้นไปก่อนที่เขาจะอึ้งกับสิ่งที่น่าตะลึง

    ชายคนนั้นทำสิ่งที่ชาเร็ตไม่คิดว่าจะทำ เขาจับเขากระทิงตัวหนึ่งด้วยมือขวาข้างเดียวในขณะที่มือซ้ายดันอีกตัวไว้ แล้วเหวี่ยงเจ้าตัวเคราะห์ร้ายนั้นรอบหนึ่ง ก่อนจะโยนมันเข้าไปในคอกที่อยู่ใกล้ๆ ดังโครม แล้วจับอีกตัวโยนตามเข้าไปอีกโครม

    ดูท่าทางอาจารย์ของรีเฟลคจะไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้ว -_-"


    "วะฮะๆๆๆๆ โอ้ รีเฟลค มาเยี่ยมก็มากันเงียบๆ ไม่บอกกันก่อนเลย" ชายร่างใหญ่พูดขึ้นพลางตบไหล่ของรีเฟลคดังป้าบๆจนเจ้าตัวถึงกับร้อง ทุกคนตอนนี้นั่งอยู่ในบ้านของอาจารย์ของเด็กหนุ่มซึ่งใหญ่และค่อนข้างกว้างขวางพอสำหรับทุกคน

    "โอ๊ย 'จารย์ เบาเบ๊า เจ็บนะคร้าบ" รีเฟลคพูดกับอาจารย์ของเขาอย่างเป็นกันเอง โดยหารู้ไม่ว่าคนอื่นๆ ที่เห็นเขาจับกระทิงโยนเข้าไปในคอก ได้แต่นิ่งเงียบ และไม่รู้จะพูดยังไงดี

    "นี่ อาจารย์ผมเอง ทำตัวตามสบายก็ได้" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทุกคนไม่พูดอะไรเลย ดูเหมือนว่าชาเร็ตเองและจาเคียเองจะหน้าซีดเสียด้วย "ไม่เป็นไรหรอกน่า 'จารย์เขาไม่ทำอย่างงั้นกับเราหรอก"

    "เอ้อ จริงสิ สวัสดี เพื่อนรีเฟลคสินะ ชั้นไวโอเลนท์ รูเดี้ยน" ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งมันก็ทำให้ทุกคนผ่อนคลายขึ้นมาก "แล้วก็นี่ลูกสาวชั้น แคเธอรีน" รูเดี้ยนพูดทันทีที่เด็กสาวตัวเล็กๆ นำน้ำห้าแก้วเข้ามาเสิร์ฟให้ทุกคน ซึ่งเด็กสาวเองก็มีผมสีเดียวกันกับพ่อคือผมสีน้ำตาลแดง

    "แหม่ นานๆทีลูกศิษย์ตัวแสบจะมาหาซักทีหนึ่ง คนมันก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา" ไวโอเลนท์เอ่ยยิ้มๆ แต่แววตากร้าวบอกได้ว่ารู้ว่ามีเรื่องให้ช่วย "ตกลงมีเรื่องอะไรมาอีกล่ะ"

    "แหะๆ 'จารย์รู้ทันอีกแล้ว" รีเฟลคเกาหัวอย่างขัดเขินนิดๆ ก่อนที่จะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม "ก็เผอิญว่าพี่ชาเร็ตเขามีเรื่องให้ช่วยหน่อยน่ะครับ"

    ไวโอเลนท์ได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไร เขาเพียงมองดูชาเร็ตตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง แล้วเอ่ยคำถามที่คาใจชายหนุ่มมานาน

    "อยากจะแปลงร่างให้ได้สินะ"

    คำพูดประโยคเดียวทำเอาทุกคนนอกจากรีเฟลคถึงกับตกใจว่าไวโอเลนท์อ่านใจคนได้หรืออย่างไร

    "ไม่ต้องตกใจหรอก อาจารย์น่ะ แค่มองตาดูก็รู้แล้วว่าใครคิดอะไรกันอยู่" เด็กหนุ่มสิงโตพูดขึ้น

    "ครับ ผมเองอยากจะแปลงร่างให้ได้" ชาเร็ตพูดตอบคำถามทันทีที่มีโอกาส ไวโอเลนท์มองเด็กหนุ่มอย่างสนใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา

    "ไหนเล่ามาซิ"

    ชายหนุ่มเอ่ยปากเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่ตอนที่เขากับเลสเตอร์รับงานแล้วเรื่องราวจนกระทั่งเขาเปลี่ยนร่างเข้าต่อสู้กับเสตียรอส ไวโอเลนท์นั่งฟังอย่างตั้งใจ จนเขาพูดจบ

    "อยากได้พลังสินะ" ไวโอเลนท์พูดอีกครั้งหลังจากที่มองตาของเขาอยู่พักหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นความจริง "เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆ ชั้นจะอธิบายเรื่องการแปลงร่างของไลแคนโทรปให้ฟังละกัน"

    "การที่พวกเราไลแคนโทรปจะเปลี่ยนสภาพร่างได้นั้นมีอยู่สองกรณี คือการเปลี่ยนตามสภาพจิตใจ กับการเปลี่ยนตามสัญชาตญาณ" ชายร่างใหญ่เอ่ยช้าๆ อย่างเป็นวิชาการซึ่งไม่ค่อยเข้ากับเขาเท่าไหร่นัก "การเปลี่ยนตามสภาพจิตใจ ก็คือรูปแบบปกติของพวกเรา แต่จากที่เธอเล่ามา เท่าที่เห็น ของเธอเป็นรูปแบบที่สอง ซึ่งเกิดจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอด"

    อลิเซียและจาเคียมองหน้ากันเลิกลั่กเพราะไม่เข้าใจในคำพูดของไวโอเลนท์ รีเฟลคก็เช่นกันแม้ว่าเขาจะเคยเรียนกับอาจารย์คนนี้มาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เคยบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเพียงชาเร็ตที่ยังคงนิ่งอยู่

    "แล้วมัน...เอ่อ...ต่างกันยังไงคะ" ในที่สุดอลิเซียก็เอ่ยคำถามที่คาใจตัวเอง และทุกคนที่อยู่ในที่นั้นออกมา

    "การเปลี่ยนร่างตามสภาพจิตใจ คือการที่ร่างกายแปรสภาพตามคำสั่งของจิตใจ รวมสภาพอารมณ์ในขณะนั้นด้วย ซึ่งจะมีเงื่อนไขในการทำครั้งแรกคือความรู้สึกขีดสุดของอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเช่น โกรธ หรือ ตื่นเต้น  ซึ่งอันนี้ฉันก็บอกไม่ได้ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกนะ" ไวโอเลนท์ตอบคำถามจนกระจ่าง "แต่ถ้าเป็นตามสัญชาตญาณล่ะก็ ไม่มีใครสั่งได้หรอก แม้ว่าแบบนี้จะมีพลังสูงกว่าแบบแรก แต่จะควบคุมตนไม่ได้เหมือนกัน"

    "เรื่องแบบนี้น่ะ มันเป็นเรื่องที่ต้องค้นพบด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก"

    "งั้นหรือครับ...." ชายหนุ่มเสียงอ่อย เพราะดูเหมือนว่าคำตอบที่ได้จะไม่ดีเท่าไหร่

    ชายร่างใหญ่เข้าใจถึงความรู้สึกของชาเร็ต เขาตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

    "ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเชื่อว่าเธอจะค้นพบมัน เธอยังหนุ่ม มีเวลาอีกเยอะ ไม่เหมือนฉันหรอก"

    หลังจากการพูดคุยเรื่องที่ต้องการถามแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องสัปเพเหระกันซะส่วนใหญ่ รีเฟลคกับไวโอเลนท์สนิทกันยิ่งกว่าความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์ ดูเหมือนกับพ่อและลูกกันเสียมากกว่า จาเคียและอลิเซียเองก็คุยและเล่าเรื่องราวต่างให้กับแคทเธรีนซึ่งคอยตื๊อให้เล่าถึงโลกภายนอก ดูแล้วเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง

    ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าขณะนี้มหันตภัยกำลังเกิดขึ้น

    เปลวเพลิงสีแดงแห่งสงครามกำลังแผดเผาเมืองสตาร์ฟอล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×