คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : หัวใจที่แตกสลาย
ตอนนี้ผู้ที่ยังมีชีวิตและยังแข็งแรงดี ต่างช่วยกันแบกหามผู้ที่บาดเจ็บไปรักษาการปฐมพยาบาล โดยสองคนในจำนวนนั้นก็คลาวด์กับอาริโนะ อาริโนะเองไม่ได้บาดเจ็บมากมาย เพียงแต่อ่อนเพลียเนื่องจากการใช้พลังมากเกินไป แต่คลาวด์ที่โดนระเบิดลำแสงเข้าไปเต็มๆ เรียกได้ว่าเจ็บค่อนข้างสาหัสอยู่ บาดแผลตามตัวมีรอยไหม้จางๆและ กระดูกแขนข้างหนึ่งก็หัก ซึ่งเจ้าตัวเพียงให้เหตุผลว่า
“คงโดนหินกระแทกใส่ตอนระเบิดละมั้ง”
ซึ่งทำให้วินส์ฟาลต้องรับภาระในการออกคำสั่งต่างๆแทนทั้งสองคน เธอให้เหล่ากองกำลังหลักทำหน้าที่ตรวจดูทุกฝีก้าวในระยะร้อยเมตรจากหมู่บ้าน โดยให้เน้นไปทางตะวันออกซึ่งเธอได้ยินเสียงคำรามของสัต.ว์ป่า และให้อีกส่วนหนึ่งดูแลคนบาดเจ็บ ซึ่งงานก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่าพวกโจรพวกนี้จะเป็นไลแคนโทรปทั้งหมดเลย” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อมองดูซากศพของเหล่าโจรที่จัดการได้ และพบว่าพวกนี้เป็นครึ่งคนครึ่งสัต.ว์ทุกตัว มีทั้งม้า หมี เสือ และอีกหลายๆอย่างจนนับไม่หมด
(ทำไมไลแคนโทรปถึงจู่โจมมนุษย์ได้ล่ะ) ความคิดของหญิงสาวผุดขึ้นมาในสมอง
“ท่านวินส์ฟาลครับ เราพบคนๆหนึ่งในป่าทางตะวันออกครับ” นายทหารนายหนึ่ง วิ่งเข้ามาเพี่อรายงานสถานการณ์ ทำให้เธอละจากความคิดนั้น
“ใครกัน” วินส์ฟาลเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่พอนายทหารพาตัวเขาซึ่งอยู่ในสภาพบาดเจ็บหนักเข้ามา เธอก็ตกใจ
_____________________
มนุษย์หมาป่าสีเงินกวัดแกว่งดาบเข้าต่อสู้...
“ว่าแต่ เลสเตอร์อยู่ที่ไหนกัน” ชาเร็ตถามต่ออีกครั้งแต่คราวนี้คนตอบได้แต่นิ่งเงียบแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ดูเหมือนว่านายจะไม่เป็นไรแล้วนี่” จาเคียเอ่ยกับชายหนุ่มตาสีส้มที่กำลังอึ้งกับคำพูดของอลิเซียเมื่อตะกี้นี้ ทำให้สติพุ่งพรวดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง _________________ _____________________
“ท่านรู้จักหรือครับ” ทหารอีกคนถามเธอขึ้น
ยังไม่ทันจะตอบเขาก็กระอักเลือดออกมาทั้งที่ยังสลบอยู่ ทำให้พวกเธอตกใจมาก
“เพื่อนฉันเอง รีบพาไปรักษาก่อน เร็ว” วินส์ฟาลเอ่ยอย่างรีบร้อน และเธอได้เพียงหวังว่ามันจะยังไม่สายเกินไป
หญิงอันเป็นที่รักถูกผลักลงเหว....
และดาบสีดำพุ่งเข้าปลิดชีพ...
“เฮือก”
มันเป็นเพียงแค่ความฝันของชายหนุ่ม ชาเร็ต วูล์ฟกัง นอนอยู่บนเตียงที่ทำจากฟางในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆซึ่งทำด้วยไม้ เขายันตัวลุกขึ้นมาและเอามือกุมขมับ ตัวของเขาเองไม่เข้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ต้องเรียกว่า เขาจำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก ราวกับว่าความทรงจำหายไปชั่วขณะหนึ่ง
เขาตะโกนเพื่อให้เสตียร์ปล่อยเลสเตอร์....
จู่แสงก็วาบขึ้น แล้วสิ่งที่เขาเห็นก่อนจะสลบไปก็คือ เสตียร์หายไปแล้ว....
ประตูห้องถูกเปิดผางออกด้วยการถีบเบาๆ ทำเอาชาเร็ตสะดุ้ง ก่อนจะพบว่ารีเฟลคในชุดเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นสีฟ้าอ่อนเดินถือกระบะน้ำและผ้าเช็ดตัวเข้ามา
“อ้าว ตื่นแล้วนิพี่ชาย” เด็กหนุ่มเอ่ยกับเขาด้วยท่าทีออกทึ่งนิดๆ
“ที่นี่.....”
“เมืองสตาร์ฟอล” รีเฟลคเอ่ยตอบทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะถามอะไร “อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของร็อควิลล์น่ะ เดินทางจากที่นั่นสามวันก็ถึง”
“นี่ฉันหลับไปสามวันเชียวเหรอ” ชายผู้มีตาสีส้มถึงกับตกใจกับอาการบาดเจ็บของเขา
“ถ้าพูดให้ถูกก็
5 วัน” รีเฟลคพูดด้วยท่าทางไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่ แต่แค่นั้นก็ทำให้ชาเร็ตงงเป็นไก่ตาแตก
“ 5 วัน!?” เป็นคำอุทานที่หลุดออกมาจากปากเขาทันทีที่ได้รับคำตอบ
“เอาล่ะ ไหนๆก็หายแล้ว แต่งตัวแล้วลงไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยเป็นไรไป” ไม่พูดปล่าว รีเฟลคโยนชุดผ้าฝ้ายแบบเดียวกับที่เขาใส่ให้ รูปแบบและลวดลายของมันไม่ต่างจากที่รีเฟลคสวมเองมากนัก เพียงแค่เป็นเสื้อแขนสั้นสีม่วงอ่อนๆ กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลแทน ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะถามต่อ เขาก็ปิดประตูแล้วเดินออกไป
สังหรณ์อันแม่นยำในจิตใจของหนุ่มผมดำ ทำให้รู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเลสเตอร์แน่ๆ เขาก็ได้แต่ภาวนาจะไม่เป็นจริงดังที่เขาคิดเท่านั้น แม้ว่าจะรู้คำตอบจากสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็ตาม
“โอ้โห เข้ากันจริงๆแฮะ เท่สุดๆ” รีเฟลคถึงกับออกปากชมชาเร็ตทันทีที่เขาเดินลงบันไดจากห้องนอนชั้นสอง ความจริงแล้วหากคนชมเป็นผู้หญิงก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่มันผู้ชายนะนั่น
“แล้วจาเคียกับ....เอ่อ...อีกคนล่ะ” ชาเร็ตเองถามถึงสาวน้อยจิ้งจอก และอลิเซียซึ่งเขาเองจำชื่อไม่ได้
“โห สงสัยยัยนั่นจะได้แฟนเป็นมนุษย์จริงๆแฮะ ถามถึงทันทีเลยวุ้ย” เด็กหนุ่มผมกระเซิงพูดหยอกล้อ ทำเอาชาเร็ตหน้าแดงปี๊ด ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดผางออก ผู้ที่อยู่หน้าบ้านคือเด็กสาวที่มีผมทรงหนูแทะสีส้มและมีหูกับหางจิ้งจอกสีน้ำตาล รีเฟลคเองแค่เห็นหน้าเธอตอนนี้ ก็ซีดเป็นไก่ต้ม ซึ่งเรื่องจะลงเอยอย่างไรนั้นก็คงไม่ต้องบอก
“แกบอกว่าชั้นเป็นแฟนเจ้าหมอนี่เหรอ วันนี้ชั้นจะเอาแกให้ตายยยยยยยย” จาเคียหักข้อนิ้วดังเป๊าะๆแบบเดียวกันกับที่ทำที่ร็อควิลล์ด้วยสีหน้าโมโหสุดขีด
“อะ จะแว้กกกกกกกกกก ล้อเล่นว้อย ล้อเล่น ชั้นเป็นพี่เธอตั้งปีนึงนะ อย่าทำอย่างนี้ แว้กกกกก” คราวนี้รีเฟลคไม่ต้องหนีอีกแล้วเพราะว่าคุณเธอเล่นกระโจนมาแบบไม่ต้องทันตั้งตัว ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าจะห้ามยังไง
ตีกันอยู่พักใหญ่ อลิเซียซึ่งเดินออกมาจากห้องอีกห้องในชุดกันเปื้อน พอเห็นเท่านั้นแหละคุณเธอก็ร่ายเขตอาคมจับทั้งสองแยกกันทันที
“นี่ โตแล้วนะ ทั้งคู่! หยุดซักทีได้มั้ย!” เธอเอ่ยเสียงกร้าว แม้เสียงของเธอจะไพเราะในยามปกติ แต่คราวนี้ฟังดูน่ากลัวจนจาเคียกับรีเฟลคสะดุ้งเฮือก “อยู่ต่อหน้าแขก จะทำอะไรให้มันรู้บ้าง”
“เอ่อ....คือ...” ชาเร็ตเอ่ยอย่างเก้ๆกัง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็โดนแหวซะแล้ว
“เธอเองก็เหมือนกัน ใช้เวทอาคมเป็นก็ช่วยจับแยกให้บ้างไม่ได้รึไง ต้องให้ชั้นมาห้ามพวกนี้เนี่ย”
อ่าว กลายเป็นว่าเขาผิดซะงั้น
สาวเจ้าไม่พูดอะไรอีก เธอคลายเขตอาคม ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูดังปัง ชาเร็ตเห็นภายในแวบหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าเป็นห้องครัวนี่เอง
เอาเถอะมันคงจะไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ
“อ่าฮะ ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้ว” เขาเอ่ยตอบแล้วหมุนแขนเป็นวงกลมเป็นเชิงพิสูจน์ น่าแปลกที่อาการบาดเจ็บภายในของเขาหายไปจนแทบไม่เหมือนอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญยังเหมือนกับว่าร่างกายจะเบาขึ้นด้วย “ว่าแต่นอกจากเธอแล้วอีกสองคนนี่ ใครอะ”
“อ่อ ผมยังไม่ได้บอกชื่อสินะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางขยี้หัวตัวเอง แก้มแดงช้ำเนื่องจากโดนจาเคียหยิกเอา
“ผมชื่อ รีเฟลค คาโอจิ แล้วพี่ผู้หญิงคนตะกี้ชื่อ อลิเซีย โรเซนไพล์” เขาพูดเสร็จก็เพยิดหน้าไปทางห้องครัวให้รู้ว่าอยู่ในนั้น “ส่วนจาเคียพี่ชายคงรู้จักแล้ว”
“ชั้น ชาเร็ต วูล์ฟกัง” ชาเร็ตตอบพร้อมด้วยสีหน้ายิ้มเจื่อนๆ “ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ไปเดินเล่นกันก่อนเหอะ กว่าพี่อลิเซียจะทำอาหารเสร็จอีกนาน” รีเฟลคจูงทุกคนออกไปสูดอากาศข้างนอก แต่ชายหนุ่มไม่เคลื่อนที่ตามก่อนจะยิงคำถามหนึ่งออกจากปาก
“.....ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับเลสเตอร์”
มันเป็นความเงียบที่ยาวนานหลายนาที
“บอกมาเถอะ ชั้นอยากรู้...” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าภายในใจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พูด
“...ฟังให้ดีนะ...” จาเคียพูดขึ้นช้าๆ ราวกับว่าต้องการให้เวลาทำใจ “ชั้นจะพูดครั้งเดียว”
“หมอนั่นตายแล้ว......” คำตอบหลุดออกจากปากเด็กสาว
ชาเร็ตนิ่งอึ้งไป แทบจะเรียกว่าเกือบจะสลบไปอีกครั้งหนึ่ง ความคิดในสมองตีกันยุ่งเหยิง
“ไม่จริงน่ะ...” เขาพูดเพื่อย้ำอีกครั้ง เผื่อว่าจาเคียจะล้อเขาเล่น
“หมอนั่นไม่หายใจอีกแล้วตอนที่ชั้นดู”
ความหวังสุดท้ายพังทลาย
“....ชั้นขออยู่คนเดียว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้ เขาเปิดประตูวิ่งออกไป จาเคียหันกลับเพื่อจะวิ่งตามแต่รีเฟลครั้งแขนเธอไว้และส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงห้าม
เธอได้เพียงแต่มองตามหลังของชายหนุ่มไป
ชายหนุ่มผมสีดำผู้มีตาสีส้ม เดินอย่างเหม่อลอยท่ามกลางผู้คนครึ่งสัต.ว์ในเมืองมากมาย
บ้านหลายๆหลังในสตาร์ฟอลล้วนแต่เป็นบ้านตามธรรมชาติ บางหลังก็สร้างขึ้นภายในต้นไม้ใหญ่ บางหลังก็อยู่ในถ้ำหินเล็กๆซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นบ้านแท้ๆเช่นเดียวกับหลังที่จาเคียและรีเฟลคอยู่
ถนนหนทางนั้นไม่ได้ถูกปูด้วยอิฐหรือกระเบื้อง แต่เป็นเพียงดินลานที่สีตัดกับขอบหญ้าริมทางเท่านั้น
ชาเร็ตเดินอย่างเลื่อนลอยไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ก่อนที่เขาจะเดินมาถึงลานใหญ่ที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง
น้ำพุนี้คงเป็นอีกสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยรอบน้ำพุมีเก้าอี้ที่ทำง่ายๆโดยการเอาหินมาเรียงกัน นอกจากนี้ ก็มีร้านค้าต่างๆตั้งล้อมเป็นวงกลมอยู่มากมาย แต่เนื่องจากว่าเย็นมากแล้วจึงทำให้ร้านต่างๆปิด และทำให้ที่นี่ไร้ซึ่งผู้คน
ชายหนุ่มเดินจนเหนื่อยแล้วจึงนั่งพักลงบนก้อนหินที่เรียงไว้เป็นเก้าอี้ก้อนหนึ่ง พลางมองไปรอบๆอย่างไร้จุดหมาย
...ถ้ากลับไปฉันขอต่อยหน้านายพลซักทีได้ไหมเนี่ย...
(ได้เลย ถ้านายต้องการ) ชายหนุ่มหลับตาลงเมื่อเสียงในอดีตผุดขึ้นมา
...นายยิ้มอะไรของนาย...
(ฉันยิ้มที่นายยังอยู่กับฉันละมั้ง) เสียงของเลสเตอร์ยังผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
...เออ สังหรณ์แกมันแม่นจริง...
(ถ้าแม่นมากขนาดนั้นละก็นายก็คงไม่ตายหรอกจริงไหม) เขาตอบแม้จะรู้ว่าเจ้าตัวไม่อยู่แล้วก็ตาม
“ชั้นขอโทษ....ที่ช่วยนายไม่ได้” ชาเร็ตเอ่ยพึมพำ ดวงตาสีส้มมีน้ำใสๆเอ่อล้น แต่มันไม่มากพอจะไหลลงมาตามใบหน้าเนื่องจากเขากลั้นมันเสีย
แสงอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆลดหายไปราวกับไว้อาลัย ให้กับความเศร้าของชายหนุ่ม
อาหารมากมายถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ทำด้วยไม้โอ้กสีน้ำตาลเข้ม อาหารพวกนี้เป็นผลงานของอลิเซียซึ่งฝีมือระดับเชฟภัตตาคารเลยทีเดียว
แต่แม้ว่าอาหารจะอร่อยแค่ไหน ทว่ามันกลับไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจาเคีย รีเฟลคและอลิเซียจะนั่งกันเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่เก้าอี้ตัวหนึ่งยังคงว่างอยู่
“หมอนั่นหายไปนานมากเลยนะ” จาเคียเอ่ยขึ้น ถึงเธอจะไม่ชอบเขาแค่ไหน แต่ว่าการที่จู่ๆคนก็หายไปนานๆแบบนี้มันก็ทำให้เธอเป็นห่วงได้เหมือนกัน
“ทำไมต้องมานั่งรอพี่ชาเร็ตด้วย” รีเฟลคบ่นด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ “เรากินไปก่อนแล้วเก็บไว้ให้ก็ได้นี่” ซึ่งนั่นทำให้อลิเซียอ้าปากจะตักเตือนเด็กหนุ่ม แต่ว่าเธอยังไม่ทันจะพูดอะไร เด็กสาวเองก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน
“ถ้าเขาไม่ช่วยเราเพื่อนเขาจะตายแล้วเขาจะเป็นอย่างงี้เหรอ ยังไงก็รอเขาหน่อยน่า” คำพูดของจาเคียทำให้รีเฟลคเงียบลง ตัวเขาเองก็เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
“.....งั้นชั้นไปตามให้ก็ได้” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างกระทันหัน แล้วเดินออกจากบ้านไป
“ทำไมจาเคียถึงเป็นแบบนั้นน่ะ” รีเฟลคเอ่ยอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ได้คำตอบจากอลิเซีย
“เพราะเขาอาจจะคล้ายกันกับตัวเธอเองก็ได้”
เด็กสาวเดินไปตามถนนดินลาน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่แสงสว่างก็ไม่ได้หมดไปเนื่องจากแสงของหิ่งห้อยบินออกจับคู่ในยามกลางคืนตามธรรมชาติ แสงสีเขียวอ่อนดูสวยสะดุดตา แต่เด็กสาวเองเคยเห็นจนชินตาจึงไม่ได้สนใจ เธอเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบเขา
ขาเร็ตนั่งอยู่ตรงกลางแท่นน้ำพุซึ่งหยุดพุ่งไปแล้ว เขามองดวงดาวบนฟ้าสีน้ำเงินเข้มอย่างเหม่อลอยและไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง สีหน้าที่ไร้อารมณ์ทำให้เห็นว่าเขาช็อคแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เด็กสาวเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแต่เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วปีนขึ้นไปนั่งข้างบนกับเขาด้วย ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มหันมามอง
“.....มีอะไรหรือเปล่า...” ชาเร็ตถามเธอ เขาไม่คิดว่าจาเคียจะมานั่งข้างเขาใกล้ๆอย่างงี้ เพราะที่ผ่านมาเธอดูเหมือนว่าจะไม่ญาติดีกับเขาเสียเลย แต่ถึงจะมีสาวสวยน่ารักมานั่งข้างๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะจิตสำนึกภายในยังคอยย้ำว่าเขาทำให้เพื่อนต้องตาย
“เปล่า ก็แค่มาดูดาว” เด็กสาวตอบพลางนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ หางสีน้ำตาลสะบัดขึ้นลงเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอเองไม่ได้คิดจะมาดูแค่ดาวอย่างที่พูด เพราะตัวเธอเองก็ไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนกับแท่น ต่างคนต่างมีเรื่องคิดอยู่ในใจ ทำให้ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลย แต่มันก็ทำให้บรรยากาศหดหู่ของเขาดีขึ้นและกลายเป็นความสงบ
และแล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงเมื่อสาวน้อยจิ้งจอกพูดขึ้น
“....นายน่ะไม่ต่างจากชั้นหรอกนะ” คำพูดนี้เบนความสนใจของชาเร็ตทำให้เขาหันมามองเธออีกครั้ง แต่จาเคียเองไม่ได้หันมามอง สายตาคู่คมสีน้ำตาลกลับจ้องมองเหล่าดาราบนท้องฟ้า
“ชั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่ง สนิทกันแบบนายกับเขานี่แหละ” เธอเอ่ยต่อ ชายหนุ่มก็ฟังอย่างตั้งใจ ราวกับว่ามันจะช่วยเบนเขาออกจากความเศร้าโศกได้บ้าง
“เธอชื่อว่าเฟร่า เป็นจิ้งจอกแบบชั้น ยัยนั่นน่ะ ทั้งกวนประสาท ทั้งไม่เรียบร้อย แถมยังชอบแกล้งชั้นอยู่บ่อยๆ ทำให้โมโหจนตีกันทุกที” แววตาของจาเคียแฝงความเศร้าเอาไว้ระหว่างที่พูด “แต่เราก็เป็นเพื่อนรักที่ตายแทนกันได้”
ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงที่กะโตกกะตากของเธอถึงกลายเป็นเสียงไพเราะของเด็กสาวอายุสิบหกไปเสียได้
“แล้วตอนนี้เธอไปไหนแล้ว” ชาเร็ตถามในขณะที่ใช้แขนยันตัวขึ้น ในใจพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแค่ถามเพื่อให้แน่ใจเท่านั้น
“ไม่อยู่แล้วล่ะ” คำตอบเรียบได้ใจความ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยิ่งฉายแววหดหู่มากกว่าเดิม ซึ่งเขาเองไม่ได้ตกใจมากนัก เพราะว่าเท่าที่ฟังก็พอเดาออก
“ตอนนั้นชั้นยังแปลงร่างไม่ได้เลย เราถูกมอนสเตอร์ตัวนึงบุกเข้าจู่โจมระหว่างที่เล่นกันอยู่ในป่า ถ้าตอนนั้นชั้นแปลงร่างได้ละก็คงจะพาเฟร่าหนีมารอดมาได้อยู่แล้ว” จาเคียพูดพลางหลบหน้า ดูเหมือนว่าตาของเธอจะเริ่มมีน้ำไหลรินออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็ปาดมันทิ้งไป
“งั้นเหรอ.....” ชายหนุ่มตอบรับเบาๆ ในใจเขาจะอยากให้เธอหยุดพูดซะ เพื่อว่าเธอจะได้กลับไปสดใสเหมือนเดิมแต่อีกใจหนึ่ง กลับปล่อยให้เธอพูดต่อ
“ชั้นเองตอนแรกก็เศร้าแบบเดียวกับนาย เอาแต่โทษตัวเอง” จาเคียพูดต่อ หลังจากปาดน้ำตาเสร็จ “แต่ว่าการเอาแต่เศร้ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ เลสเตอร์จะไม่ฟื้นขึ้นถึงแม้นายจะฆ่าตัวตายก็ตาม”
คำพูดที่ออกจากปากเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มเองชะงัก ไม่ใช่แค่คำพูด แต่แววตาที่ฉายแววมุ่งมั่นของเธอก็เช่นกัน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พูดตอบ เพียงแต่ก้มหน้าหลบตา
“เอาเถอะ ถ้านายไม่ฟังล่ะก็ จะนั่งต่อไปก็ได้ ชั้นจะได้ไปบอกพี่อลิเซียว่านายไม่กินข้าว” เธอพูดพลางลุกขึ้นก่อนจะกระโดดลงมาจากแท่นน้ำพุ ชายหนุ่มเงียบอยู่พักหนึ่ง ท่ามกลางจิตใจที่สับสน เขามองเด็กสาวเดินห่างออกไปแล้วตัดสินใจตะโกนเรียกในที่สุด
“เดี๋ยวสิ”
จาเคียหันกลับมามองเขา ราวกับว่าเธอรอให้เขาเรียกอยู่แล้ว
“ถ้าเธอไม่นำทางแล้วชั้นจะกลับไปยังไงล่ะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของทั้งสองก่อนที่ชาเร็ตจะลุกขึ้นจากนั้นก็กระโดดลงมา แล้ววิ่งไปเดินข้างจาเคีย
ชายหนุ่มแอบมองหน้าเธอระหว่างที่เดินคู่กันราวกับว่าอยากจะพูดอะไรซักอย่าง
(ขอบใจนะ)
แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ในใจเท่านั้น
_____________________
มนุษย์หมาป่าสีเงินกวัดแกว่งดาบเข้าต่อสู้...
หญิงอันเป็นที่รักถูกผลักลงเหว....
และดาบสีดำพุ่งเข้าปลิดชีพ...
“เฮือก”
มันเป็นเพียงแค่ความฝันของชายหนุ่ม ชาเร็ต วูล์ฟกัง นอนอยู่บนเตียงที่ทำจากฟางในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆซึ่งทำด้วยไม้ เขายันตัวลุกขึ้นมาและเอามือกุมขมับ ตัวของเขาเองไม่เข้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ต้องเรียกว่า เขาจำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก ราวกับว่าความทรงจำหายไปชั่วขณะหนึ่ง
เขาตะโกนเพื่อให้เสตียร์ปล่อยเลสเตอร์....
จู่แสงก็วาบขึ้น แล้วสิ่งที่เขาเห็นก่อนจะสลบไปก็คือ เสตียร์หายไปแล้ว....
ประตูห้องถูกเปิดผางออกด้วยการถีบเบาๆ ทำเอาชาเร็ตสะดุ้ง ก่อนจะพบว่ารีเฟลคในชุดเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นสีฟ้าอ่อนเดินถือกระบะน้ำและผ้าเช็ดตัวเข้ามา
“อ้าว ตื่นแล้วนิพี่ชาย” เด็กหนุ่มเอ่ยกับเขาด้วยท่าทีออกทึ่งนิดๆ
“ที่นี่.....”
“เมืองสตาร์ฟอล” รีเฟลคเอ่ยตอบทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะถามอะไร “อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของร็อควิลล์น่ะ เดินทางจากที่นั่นสามวันก็ถึง”
“นี่ฉันหลับไปสามวันเชียวเหรอ” ชายผู้มีตาสีส้มถึงกับตกใจกับอาการบาดเจ็บของเขา
“ถ้าพูดให้ถูกก็
5 วัน” รีเฟลคพูดด้วยท่าทางไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่ แต่แค่นั้นก็ทำให้ชาเร็ตงงเป็นไก่ตาแตก
“ 5 วัน!?” เป็นคำอุทานที่หลุดออกมาจากปากเขาทันทีที่ได้รับคำตอบ
“ว่าแต่ เลสเตอร์อยู่ที่ไหนกัน” ชาเร็ตถามต่ออีกครั้งแต่คราวนี้คนตอบได้แต่นิ่งเงียบแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“เอาล่ะ ไหนๆก็หายแล้ว แต่งตัวแล้วลงไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยเป็นไรไป” ไม่พูดปล่าว รีเฟลคโยนชุดผ้าฝ้ายแบบเดียวกับที่เขาใส่ให้ รูปแบบและลวดลายของมันไม่ต่างจากที่รีเฟลคสวมเองมากนัก เพียงแค่เป็นเสื้อแขนสั้นสีม่วงอ่อนๆ กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลแทน ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะถามต่อ เขาก็ปิดประตูแล้วเดินออกไป
สังหรณ์อันแม่นยำในจิตใจของหนุ่มผมดำ ทำให้รู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเลสเตอร์แน่ๆ เขาก็ได้แต่ภาวนาจะไม่เป็นจริงดังที่เขาคิดเท่านั้น แม้ว่าจะรู้คำตอบจากสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็ตาม
“โอ้โห เข้ากันจริงๆแฮะ เท่สุดๆ” รีเฟลคถึงกับออกปากชมชาเร็ตทันทีที่เขาเดินลงบันไดจากห้องนอนชั้นสอง ความจริงแล้วหากคนชมเป็นผู้หญิงก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่มันผู้ชายนะนั่น
“แล้วจาเคียกับ....เอ่อ...อีกคนล่ะ” ชาเร็ตเองถามถึงสาวน้อยจิ้งจอก และอลิเซียซึ่งเขาเองจำชื่อไม่ได้
“โห สงสัยยัยนั่นจะได้แฟนเป็นมนุษย์จริงๆแฮะ ถามถึงทันทีเลยวุ้ย” เด็กหนุ่มผมกระเซิงพูดหยอกล้อ ทำเอาชาเร็ตหน้าแดงปี๊ด ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดผางออก ผู้ที่อยู่หน้าบ้านคือเด็กสาวที่มีผมทรงหนูแทะสีส้มและมีหูกับหางจิ้งจอกสีน้ำตาล รีเฟลคเองแค่เห็นหน้าเธอตอนนี้ ก็ซีดเป็นไก่ต้ม ซึ่งเรื่องจะลงเอยอย่างไรนั้นก็คงไม่ต้องบอก
“แกบอกว่าชั้นเป็นแฟนเจ้าหมอนี่เหรอ วันนี้ชั้นจะเอาแกให้ตายยยยยยยย” จาเคียหักข้อนิ้วดังเป๊าะๆแบบเดียวกันกับที่ทำที่ร็อควิลล์ด้วยสีหน้าโมโหสุดขีด
“อะ จะแว้กกกกกกกกกก ล้อเล่นว้อย ล้อเล่น ชั้นเป็นพี่เธอตั้งปีนึงนะ อย่าทำอย่างนี้ แว้กกกกก” คราวนี้รีเฟลคไม่ต้องหนีอีกแล้วเพราะว่าคุณเธอเล่นกระโจนมาแบบไม่ต้องทันตั้งตัว ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าจะห้ามยังไง
ตีกันอยู่พักใหญ่ อลิเซียซึ่งเดินออกมาจากห้องอีกห้องในชุดกันเปื้อน พอเห็นเท่านั้นแหละคุณเธอก็ร่ายเขตอาคมจับทั้งสองแยกกันทันที
“นี่ โตแล้วนะ ทั้งคู่! หยุดซักทีได้มั้ย!” เธอเอ่ยเสียงกร้าว แม้เสียงของเธอจะไพเราะในยามปกติ แต่คราวนี้ฟังดูน่ากลัวจนจาเคียกับรีเฟลคสะดุ้งเฮือก “อยู่ต่อหน้าแขก จะทำอะไรให้มันรู้บ้าง”
“เอ่อ....คือ...” ชาเร็ตเอ่ยอย่างเก้ๆกัง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็โดนแหวซะแล้ว
“เธอเองก็เหมือนกัน ใช้เวทอาคมเป็นก็ช่วยจับแยกให้บ้างไม่ได้รึไง ต้องให้ชั้นมาห้ามพวกนี้เนี่ย”
อ่าว กลายเป็นว่าเขาผิดซะงั้น
สาวเจ้าไม่พูดอะไรอีก เธอคลายเขตอาคม ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูดังปัง ชาเร็ตเห็นภายในแวบหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าเป็นห้องครัวนี่เอง
เอาเถอะมันคงจะไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ
“ดูเหมือนว่านายจะไม่เป็นไรแล้วนี่” จาเคียเอ่ยกับชายหนุ่มตาสีส้มที่กำลังอึ้งกับคำพูดของอลิเซียเมื่อตะกี้นี้ ทำให้สติพุ่งพรวดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“อ่าฮะ ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้ว” เขาเอ่ยตอบแล้วหมุนแขนเป็นวงกลมเป็นเชิงพิสูจน์ น่าแปลกที่อาการบาดเจ็บภายในของเขาหายไปจนแทบไม่เหมือนอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญยังเหมือนกับว่าร่างกายจะเบาขึ้นด้วย “ว่าแต่นอกจากเธอแล้วอีกสองคนนี่ ใครอะ”
“อ่อ ผมยังไม่ได้บอกชื่อสินะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางขยี้หัวตัวเอง แก้มแดงช้ำเนื่องจากโดนจาเคียหยิกเอา
“ผมชื่อ รีเฟลค คาโอจิ แล้วพี่ผู้หญิงคนตะกี้ชื่อ อลิเซีย โรเซนไพล์” เขาพูดเสร็จก็เพยิดหน้าไปทางห้องครัวให้รู้ว่าอยู่ในนั้น “ส่วนจาเคียพี่ชายคงรู้จักแล้ว”
“ชั้น ชาเร็ต วูล์ฟกัง” ชาเร็ตตอบพร้อมด้วยสีหน้ายิ้มเจื่อนๆ “ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ไปเดินเล่นกันก่อนเหอะ กว่าพี่อลิเซียจะทำอาหารเสร็จอีกนาน” รีเฟลคจูงทุกคนออกไปสูดอากาศข้างนอก แต่ชายหนุ่มไม่เคลื่อนที่ตามก่อนจะยิงคำถามหนึ่งออกจากปาก
“.....ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับเลสเตอร์”
มันเป็นความเงียบที่ยาวนานหลายนาที
“บอกมาเถอะ ชั้นอยากรู้...” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าภายในใจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พูด
“...ฟังให้ดีนะ...” จาเคียพูดขึ้นช้าๆ ราวกับว่าต้องการให้เวลาทำใจ “ชั้นจะพูดครั้งเดียว”
“หมอนั่นตายแล้ว......” คำตอบหลุดออกจากปากเด็กสาว
ชาเร็ตนิ่งอึ้งไป แทบจะเรียกว่าเกือบจะสลบไปอีกครั้งหนึ่ง ความคิดในสมองตีกันยุ่งเหยิง
“ไม่จริงน่ะ...” เขาพูดเพื่อย้ำอีกครั้ง เผื่อว่าจาเคียจะล้อเขาเล่น
“หมอนั่นไม่หายใจอีกแล้วตอนที่ชั้นดู”
ความหวังสุดท้ายพังทลาย
“....ชั้นขออยู่คนเดียว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้ เขาเปิดประตูวิ่งออกไป จาเคียหันกลับเพื่อจะวิ่งตามแต่รีเฟลครั้งแขนเธอไว้และส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงห้าม
เธอได้เพียงแต่มองตามหลังของชายหนุ่มไป
_________________
ชายหนุ่มผมสีดำผู้มีตาสีส้ม เดินอย่างเหม่อลอยท่ามกลางผู้คนครึ่งสัต.ว์ในเมืองมากมาย
บ้านหลายๆหลังในสตาร์ฟอลล้วนแต่เป็นบ้านตามธรรมชาติ บางหลังก็สร้างขึ้นภายในต้นไม้ใหญ่ บางหลังก็อยู่ในถ้ำหินเล็กๆซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นบ้านแท้ๆเช่นเดียวกับหลังที่จาเคียและรีเฟลคอยู่
ถนนหนทางนั้นไม่ได้ถูกปูด้วยอิฐหรือกระเบื้อง แต่เป็นเพียงดินลานที่สีตัดกับขอบหญ้าริมทางเท่านั้น
ชาเร็ตเดินอย่างเลื่อนลอยไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ก่อนที่เขาจะเดินมาถึงลานใหญ่ที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง
น้ำพุนี้คงเป็นอีกสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยรอบน้ำพุมีเก้าอี้ที่ทำง่ายๆโดยการเอาหินมาเรียงกัน นอกจากนี้ ก็มีร้านค้าต่างๆตั้งล้อมเป็นวงกลมอยู่มากมาย แต่เนื่องจากว่าเย็นมากแล้วจึงทำให้ร้านต่างๆปิด และทำให้ที่นี่ไร้ซึ่งผู้คน
ชายหนุ่มเดินจนเหนื่อยแล้วจึงนั่งพักลงบนก้อนหินที่เรียงไว้เป็นเก้าอี้ก้อนหนึ่ง พลางมองไปรอบๆอย่างไร้จุดหมาย
...ถ้ากลับไปฉันขอต่อยหน้านายพลซักทีได้ไหมเนี่ย...
(ได้เลย ถ้านายต้องการ) ชายหนุ่มหลับตาลงเมื่อเสียงในอดีตผุดขึ้นมา
...นายยิ้มอะไรของนาย...
(ฉันยิ้มที่นายยังอยู่กับฉันละมั้ง) เสียงของเลสเตอร์ยังผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
...เออ สังหรณ์แกมันแม่นจริง...
(ถ้าแม่นมากขนาดนั้นละก็นายก็คงไม่ตายหรอกจริงไหม) เขาตอบแม้จะรู้ว่าเจ้าตัวไม่อยู่แล้วก็ตาม
“ชั้นขอโทษ....ที่ช่วยนายไม่ได้” ชาเร็ตเอ่ยพึมพำ ดวงตาสีส้มมีน้ำใสๆเอ่อล้น แต่มันไม่มากพอจะไหลลงมาตามใบหน้าเนื่องจากเขากลั้นมันเสีย
แสงอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆลดหายไปราวกับไว้อาลัย ให้กับความเศร้าของชายหนุ่ม
_____________________
อาหารมากมายถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ทำด้วยไม้โอ้กสีน้ำตาลเข้ม อาหารพวกนี้เป็นผลงานของอลิเซียซึ่งฝีมือระดับเชฟภัตตาคารเลยทีเดียว
แต่แม้ว่าอาหารจะอร่อยแค่ไหน ทว่ามันกลับไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจาเคีย รีเฟลคและอลิเซียจะนั่งกันเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่เก้าอี้ตัวหนึ่งยังคงว่างอยู่
“หมอนั่นหายไปนานมากเลยนะ” จาเคียเอ่ยขึ้น ถึงเธอจะไม่ชอบเขาแค่ไหน แต่ว่าการที่จู่ๆคนก็หายไปนานๆแบบนี้มันก็ทำให้เธอเป็นห่วงได้เหมือนกัน
“ทำไมต้องมานั่งรอพี่ชาเร็ตด้วย” รีเฟลคบ่นด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ “เรากินไปก่อนแล้วเก็บไว้ให้ก็ได้นี่” ซึ่งนั่นทำให้อลิเซียอ้าปากจะตักเตือนเด็กหนุ่ม แต่ว่าเธอยังไม่ทันจะพูดอะไร เด็กสาวเองก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน
“ถ้าเขาไม่ช่วยเราเพื่อนเขาจะตายแล้วเขาจะเป็นอย่างงี้เหรอ ยังไงก็รอเขาหน่อยน่า” คำพูดของจาเคียทำให้รีเฟลคเงียบลง ตัวเขาเองก็เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
“.....งั้นชั้นไปตามให้ก็ได้” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างกระทันหัน แล้วเดินออกจากบ้านไป
“ทำไมจาเคียถึงเป็นแบบนั้นน่ะ” รีเฟลคเอ่ยอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ได้คำตอบจากอลิเซีย
“เพราะเขาอาจจะคล้ายกันกับตัวเธอเองก็ได้”
เด็กสาวเดินไปตามถนนดินลาน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่แสงสว่างก็ไม่ได้หมดไปเนื่องจากแสงของหิ่งห้อยบินออกจับคู่ในยามกลางคืนตามธรรมชาติ แสงสีเขียวอ่อนดูสวยสะดุดตา แต่เด็กสาวเองเคยเห็นจนชินตาจึงไม่ได้สนใจ เธอเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบเขา
ขาเร็ตนั่งอยู่ตรงกลางแท่นน้ำพุซึ่งหยุดพุ่งไปแล้ว เขามองดวงดาวบนฟ้าสีน้ำเงินเข้มอย่างเหม่อลอยและไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง สีหน้าที่ไร้อารมณ์ทำให้เห็นว่าเขาช็อคแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เด็กสาวเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแต่เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วปีนขึ้นไปนั่งข้างบนกับเขาด้วย ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มหันมามอง
“.....มีอะไรหรือเปล่า...” ชาเร็ตถามเธอ เขาไม่คิดว่าจาเคียจะมานั่งข้างเขาใกล้ๆอย่างงี้ เพราะที่ผ่านมาเธอดูเหมือนว่าจะไม่ญาติดีกับเขาเสียเลย แต่ถึงจะมีสาวสวยน่ารักมานั่งข้างๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะจิตสำนึกภายในยังคอยย้ำว่าเขาทำให้เพื่อนต้องตาย
“เปล่า ก็แค่มาดูดาว” เด็กสาวตอบพลางนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ หางสีน้ำตาลสะบัดขึ้นลงเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอเองไม่ได้คิดจะมาดูแค่ดาวอย่างที่พูด เพราะตัวเธอเองก็ไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนกับแท่น ต่างคนต่างมีเรื่องคิดอยู่ในใจ ทำให้ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลย แต่มันก็ทำให้บรรยากาศหดหู่ของเขาดีขึ้นและกลายเป็นความสงบ
และแล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงเมื่อสาวน้อยจิ้งจอกพูดขึ้น
“....นายน่ะไม่ต่างจากชั้นหรอกนะ” คำพูดนี้เบนความสนใจของชาเร็ตทำให้เขาหันมามองเธออีกครั้ง แต่จาเคียเองไม่ได้หันมามอง สายตาคู่คมสีน้ำตาลกลับจ้องมองเหล่าดาราบนท้องฟ้า
“ชั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่ง สนิทกันแบบนายกับเขานี่แหละ” เธอเอ่ยต่อ ชายหนุ่มก็ฟังอย่างตั้งใจ ราวกับว่ามันจะช่วยเบนเขาออกจากความเศร้าโศกได้บ้าง
“เธอชื่อว่าเฟร่า เป็นจิ้งจอกแบบชั้น ยัยนั่นน่ะ ทั้งกวนประสาท ทั้งไม่เรียบร้อย แถมยังชอบแกล้งชั้นอยู่บ่อยๆ ทำให้โมโหจนตีกันทุกที” แววตาของจาเคียแฝงความเศร้าเอาไว้ระหว่างที่พูด “แต่เราก็เป็นเพื่อนรักที่ตายแทนกันได้”
ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงที่กะโตกกะตากของเธอถึงกลายเป็นเสียงไพเราะของเด็กสาวอายุสิบหกไปเสียได้
“แล้วตอนนี้เธอไปไหนแล้ว” ชาเร็ตถามในขณะที่ใช้แขนยันตัวขึ้น ในใจพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแค่ถามเพื่อให้แน่ใจเท่านั้น
“ไม่อยู่แล้วล่ะ” คำตอบเรียบได้ใจความ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยิ่งฉายแววหดหู่มากกว่าเดิม ซึ่งเขาเองไม่ได้ตกใจมากนัก เพราะว่าเท่าที่ฟังก็พอเดาออก
“ตอนนั้นชั้นยังแปลงร่างไม่ได้เลย เราถูกมอนสเตอร์ตัวนึงบุกเข้าจู่โจมระหว่างที่เล่นกันอยู่ในป่า ถ้าตอนนั้นชั้นแปลงร่างได้ละก็คงจะพาเฟร่าหนีมารอดมาได้อยู่แล้ว” จาเคียพูดพลางหลบหน้า ดูเหมือนว่าตาของเธอจะเริ่มมีน้ำไหลรินออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็ปาดมันทิ้งไป
“งั้นเหรอ.....” ชายหนุ่มตอบรับเบาๆ ในใจเขาจะอยากให้เธอหยุดพูดซะ เพื่อว่าเธอจะได้กลับไปสดใสเหมือนเดิมแต่อีกใจหนึ่ง กลับปล่อยให้เธอพูดต่อ
“ชั้นเองตอนแรกก็เศร้าแบบเดียวกับนาย เอาแต่โทษตัวเอง” จาเคียพูดต่อ หลังจากปาดน้ำตาเสร็จ “แต่ว่าการเอาแต่เศร้ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ เลสเตอร์จะไม่ฟื้นขึ้นถึงแม้นายจะฆ่าตัวตายก็ตาม”
คำพูดที่ออกจากปากเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มเองชะงัก ไม่ใช่แค่คำพูด แต่แววตาที่ฉายแววมุ่งมั่นของเธอก็เช่นกัน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พูดตอบ เพียงแต่ก้มหน้าหลบตา
“เอาเถอะ ถ้านายไม่ฟังล่ะก็ จะนั่งต่อไปก็ได้ ชั้นจะได้ไปบอกพี่อลิเซียว่านายไม่กินข้าว” เธอพูดพลางลุกขึ้นก่อนจะกระโดดลงมาจากแท่นน้ำพุ ชายหนุ่มเงียบอยู่พักหนึ่ง ท่ามกลางจิตใจที่สับสน เขามองเด็กสาวเดินห่างออกไปแล้วตัดสินใจตะโกนเรียกในที่สุด
“เดี๋ยวสิ”
จาเคียหันกลับมามองเขา ราวกับว่าเธอรอให้เขาเรียกอยู่แล้ว
“ถ้าเธอไม่นำทางแล้วชั้นจะกลับไปยังไงล่ะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของทั้งสองก่อนที่ชาเร็ตจะลุกขึ้นจากนั้นก็กระโดดลงมา แล้ววิ่งไปเดินข้างจาเคีย
ชายหนุ่มแอบมองหน้าเธอระหว่างที่เดินคู่กันราวกับว่าอยากจะพูดอะไรซักอย่าง
(ขอบใจนะ)
แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ในใจเท่านั้น
ความคิดเห็น