คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : -Chapter 12- + ประกาศเล็กๆ
Male Pregnant
-Chapter 12-
บางทีวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินจนไม่ทันตั้งตัว เพราะรู้สึกตัวอีกที มินโฮก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งชมการแสดงละครเวทีประจำปีของคณะนิเทศศาสตร์อยู่ท่ามกลางผู้ชมอื่นๆซะแล้ว
แม้เนื้อเรื่องหลักจะดราม่าชวนหลับ แต่แสง สี เสียง อันตระการตาต่างจากตอนซ้อมก็ส่งผลให้มินโฮตื่นเต้นขึ้นมาเป็นพักๆได้บ้างเหมือนกัน แต่ที่ฉุดรั้งสายตาเขาได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็นคนตัวขาวๆแต่งตัวบ้านๆน่ารักๆที่เอาแต่เดินเตาะแตะต้วมเตี้ยมอยู่บนเวทีไปตามบทนั่นแหละ
“ กูเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าปีนี้ไอ้แทฮยอนมันได้บทเด่นขนาดนี้ แล้วแม่งก็เข้ากับบทเหลือเชื่อ ดูๆไปแล้วชักเคลิ้มว่ะ ไอ้แทฮยอนอ่อนแอ๊อ่อนแอ น่าปกป้องชิบ... หื้ม นี่กูอินไปป่ะเนี่ย เฮ้ย ” จีวอนนินทาเจ้าของบทนายเอกของเรื่องพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ส่วนใหญ่คนดูเป็นผู้หญิง แต่ที่เป็นผู้ชายมาดู อาการเหมือนกรูเด๊ะ!!
“ มึงอย่ามาชวนคุย กูกำลังตั้งใจดูอยู่ ” มินโฮบอกปัดอย่างไม่สนใจจะออกความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น
“ แหม น่าหมั่นไส้ว่ะ มึงอะ ” จีวอนผลักหัวเพื่อนรักแก้เก้อ ก่อนหันกลับไปสนใจบนเวทีเหมือนเดิม
ไฟหลักบนเวทีดับลง เหลือเพียงแสงรำไรจากสปอตไลท์สีอ่อนที่ส่องไปยังกลางเวทีให้เห็นเป็นร่างเปลือยเปล่าของคนสองคนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ ร่างที่ใหญ่กว่ากำลังคร่อมทับร่างบอบบางของอีกคนเอาไว้ภายใต้ผ้าห่มสีขาวผืนบาง
สาวน้อยสาวใหญ่สาววายทั้งหลายกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งต้อนรับฉากอัศจรรย์บทใหญ่ของเรื่องที่ถือเป็นฉากที่มีใจความสำคัญไม่ใช่แค่ในแง่ของความวาบหวามอีโรติก หากเป็นความสมจริงทั้งในเรื่องของฉาก บรรยากาศ และฝีมือการแสดงของนักแสดงหลักทั้งสองต่างหากที่เป็นข้อพิสูจน์ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่สำหรับมินโฮแล้ว อะไรๆก็ไม่สามารถนำมาลบล้างความจริงได้อยู่ดี... ความจริงที่ว่า แทฮยอนกำลังถูกชายอื่นที่ไม่ใช่เขากกกอด
มินโฮกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ พยายามกัดฟันข่มอารมณ์หึงหวงของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เขาไม่ได้เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจให้สงบได้อยู่ดี
“ ปีที่แล้ว แทฮยอนได้บทอะไรวะเหยิน ” เป็นเรื่องยากที่จะมองภาพบนเวทีตรงๆได้ มินโฮจึงจงใจหันไปชวนคนด้านข้างคุยแบบเนียนๆ
“ มึงอย่ามาชวนคุย กูกำลังตั้งใจดูอยู่ ” ประโยคคุ้นหูถูกพ่นออกมาจากปากของจีวอน ก่อนเจ้าตัวจะยักคิ้วให้อย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างเป็นที่สุด
มินโฮไม่ได้ว่าอะไรกลับไปแต่เปลี่ยนมาก้มหน้าลง ดวงตาคมเอาแต่จับจ้องมือใหญ่ที่ประสานกันอยู่บนหน้าตักของตัวเอง
“ อะไร แค่กูไม่คุยด้วยหน่อยเดียว มึงถึงกับต้องทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเลยเหรอวะ ” จีวอนเหลือบมองก่อนว่าขึ้นขำๆ
“ จีวอน กูชอบแทฮยอนว่ะ ” มินโฮตัดสินใจพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วๆ จะว่าขัดเขินก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มั่นใจก็ไม่เชิง ไม่รู้ทำไม พอเป็นเรื่องของแทฮยอนทีไร ความมั่นใจแบบเท่ๆของเขาก็มักจะถูกลดทอนลงไปเสมอๆ
“ เอ๊า!! แล้วมึงมาบอกกูทำไม ชอบแทฮยอนก็ไปบอกมันสิวะ ” จีวอนดีใจที่ได้ยินคำๆนี้ แต่ก็ยังไม่วายแกล้งกวนกลับไปอยู่ดี
“ แทฮยอนดูเหมือนจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับกูเลย มึงรู้มั้ย กับไอ้ผู้ชายที่อยู่บนเวทีด้วยกันนั่น แทฮยอนดูจะชอบมันมากกว่ากูอีก ” มินโฮพยักเพยิดไปทางเวทีโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองเลยสักนิด
“ อ่อ เจบีน่ะเหรอ ”
“ มึงรู้จัก? ” มินโฮเงยหน้าถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ ไม่รู้จักก็แปลกดิ เจบีเนี่ยมันจบม.ปลายมาจากที่เดียวกับพวกกูนี่แหละ แถมบ้านมันยังอยู่ตรงข้ามบ้านไอ้แทฮยอนด้วย พวกมันจะสนิทกันมากก็ไม่แปลก มึงอย่าเพิ่งคิดเลยเถิดเลยว่ะ ” จีวอนบอกพลางตบไหล่เพื่อนสองสามทีเพื่อสร้างกำลังใจ
“ ต..แต่เจบีมัน...ชอบแทฮยอนป่ะ..คือ ...แม่ง....โอ๊ย...กูว่า...เพื่อนบ้านกันต้องดูแลกันขนาดนั้นเลย..เหรอวะ ” มินโฮพูดตะกุกตะกักอย่างไร้มาดไอ้หล่อเพลย์บอยตัวพ่อไปโดยสิ้นเชิง
“ แต่มันก็ดูแลไอ้แทฮยอนแบบบริสุทธิ์ใจนะเว้ย พ่อแม่มันเลี้ยงลูกมาดีไง สอนให้ลูกชายรู้จักให้เกียรติคนอื่น แล้วก็ดูแลปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า เจบีน่ะมันเจ้าช๊ายเจ้าชาย ไม่เหมือนมึงหรอก เอะอะอะไรก็พาขึ้นเตียงๆ ”
มินโฮพยักหน้าตาม เป็นอย่างที่จีวอนว่าจริงๆนั่นแหละ แค่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่า หมอนั่นน่ะมันคนละขั้วกับเขาเลย
“ แต่ที่มึงพูดก็ไม่ได้หมายความว่าสองคนนั้นจะไม่ได้แอบชอบกันอยู่นี่หว่า ” มินโฮยังคงอิดออด
“ มึงอย่ามามัวหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่เลย ชอบก็บอกมันไปตรงๆว่าชอบเลยเหอะ กูขอร้อง ” จีวอนบอก เขาไม่ได้ใจร้อนอะไรหรอก เพียงแต่ไม่อยากให้อะไรๆมันสายเกินไปก็เท่านั้น
ถ้ารอให้แทฮยอนผ่านพ้นช่วงที่กำลังอ่อนแอมากที่สุดในชีวิตไปได้ด้วยตัวเองแล้ว มินโฮก็จะหมดโอกาสเข้าหาอีกฝ่ายไปโดยสิ้นเชิง
“ ไม่ได้ กูต้องพยายามทำให้จีอึนบอกเลิกกูให้ได้ก่อน ” มินโฮบอก ความพยายามของเขาเกือบเป็นผลแล้ว หลายสัปดาห์มานี้เขาละเลยอีกฝ่ายชนิดหน้าไม่ไปให้เห็น มือถือก็ไม่รับ แม้แต่เมสเซสก็ไม่ตอบกลับ จนพักหลังๆเขาเริ่มได้เมสเซสจากหล่อนประมาณเรียกให้ไปเคลียร์อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังเล่นตัวทำเป็นไม่สนใจอยู่ กะว่าอีกสักพักคงถูกเรียกให้ออกไปคุยๆๆ บอกเลิก แล้วโดนตบหน้ากลับมาสักทีสองที แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว
“ โห มึงนี่เลวเนอะ ” จีวอนอดสรรเสริญ(?)ไม่ได้ “ งั้นเอาเป็นว่าถ้าจัดการเรื่องจีอึนเรียบร้อยแล้ว มึงก็สารภาพกับแทฮยอนมันซะนะ ”
“ เอ่อ แล้วซึงยุนล่ะวะ หมอนั่นก็ชอบมาเกาะแกะแทฮยอนด้วยเหมือนกัน ”
“ ตกลงมึงจะหาข้ออ้างให้ได้เลยใช่ป่ะ ” จีวอนเริ่มหงุดหงิดที่มินโฮเอาแต่หาทางบ่ายเบี่ยง “ เดี๋ยวพอกูบอกว่าซึงยุนมันไม่ได้คิดอะไรกับแทฮยอน มึงก็อ้างคนอื่นขึ้นมาอีกจนได้อะ ”
“ ก็...กู ไม่มั่นใจนี่หว่า ” มินโฮทำท่าเกาต้นคออย่างไม่รู้ว่าต้องทำอะไรแล้วตัวเองจะดูหล่อกว่านี้ได้อีกแล้ว
“ ถ้ามันไม่รับรักมึง มึงจะตายว่างั้น ” จีวอนประชด
“ มันก็ไม่ถึงกับตายหรอก แต่กูอยากรอให้มั่นใจกว่านี้หน่อยนี่หว่า ก..ก็อกหักมันเจ็บนะโว้ย โดยเฉพาะกับคนที่เรารักมากๆน่ะ ยิ่งแล้วใหญ่ ” มินโฮพูดอ้อมแอ้ม แผ่วเสียงเบาลงจนเหลือเพียงลมแผ่วๆในท้ายประโยค
“ เอาเถอะ มึงจะเอายังไงมันก็เรื่องของมึง แต่กูจะบอกอะไรให้อย่าง ” จีวอนพูดพลางยืดตัวขึ้นเล็กน้อยสลัดความเมื่อยขบที่เกาะอยู่ตามแผ่นหลังและช่วงเอวให้หลุดออกไป “ ไอ้ความมั่นใจเนี่ย มึงไม่ต้องเรียกหาจากคนอื่นหรอก แต่มึงต้องมีอยู่ในตัวเองแล้วต่างหาก ” ว่าแล้วก็ยกนิ้วชี้ของตัวเองขึ้นมาทิ่มเข้าไปที่อกด้านซ้ายของเพื่อนตัวสูงดังฉึกๆอย่างฮาร์ดคอร์
“ ยังไงวะ ” มินโฮได้แต่กุมอกตัวเองแล้วทำหน้าฉงนกลับไป
“ โธ่ กูก็หมายถึงมึงต้องแน่ใจว่ามึงชอบไอ้แทฮยอนจริงๆ แล้วค่อยไปสารภาพรักกับมันไงเล่า ”
“ อื้ม เหรอวะ ” มินโฮพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหมือนคนเพิ่งคิดอะไรออก “ เออ ว่าแต่มึงเถอะ ”
“ เหอ กูทำไม ” จีวอนถามพลางชี้หน้าตัวเอง
“ ปล่อยให้ฮันบินดูอยู่แบบนั้นจะดีเหรอวะ ” มินโฮเตือนด้วยความเป็นห่วงพลางชี้นิ้วไปยังร่างบางซึ่งนั่งเก้าอี้ตัวถัดไปจากจีวอนที่มองพี่ชายตัวเองแสดงฉากอัศจรรย์อันโจ่งครึ่มอยู่บนเวทีตาแป๋ว
“ ชิบหาย!!! ”
จีวอนอุทานลั่นก่อนส่งมือเข้าไปปิดหูปิดตาฮันบินเป็นพัลวัน ส่วนเจ้าเด็กน้อยก็ดื้อดึง คอยแต่จะแกะมือใหญ่ๆออก ไม่ยอมเชื่อฟังอยู่อย่างนั้นเอง ไปๆมาๆฮันบินก็ได้ดูจนจบฉากจนได้
ส่วนอีกคู่ที่นั่งถัดไปก็เอาแต่นั่งเขินม้วนต้วนกันไป นั่งเบียดกันมา จนอีกนิดเดียวก้นของจินอูก็จะเกยขึ้นไปอยู่บนตักของรุ่นพี่ที่รักได้อยู่แล้วเชียว ส่วนซึงฮยอนเองก็ใช่ว่าจะไม่พอใจเสียเมื่อไหร่ เพราะเจ้าตัวยิ้มกริ่มเชียวล่ะ
มินโฮมองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างรู้สึกอิจฉา เมื่อไหร่เขาจะมีเวลาดีๆแบบนี้กับใครสักคนบ้าง
ใครสักคนที่ชื่อนัมแทฮยอนนั่นน่ะ จะหันมามองซงมินโฮคนนี้หน่อยไม่ได้รึไงคร้าบ T^T
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
แทฮยอนกำลังสะลึมสะลืออยู่บนเตียงในห้องซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย มือขาวไร้เรี่ยวแรงถูกยกขึ้นขยี้ตาตัวเองน้อยๆก่อนที่ลูกตาสีดำขลับจะกรอกมองไปรอบๆ
โอเค แค่เห็นแม่เสือสาวอกสะบึมในโปสเตอร์ที่แปะโชว์หราอยู่บนผนังห้องนั่น แทฮยอนก็นึกออกแล้วล่ะว่าห้องนี้มันเป็นห้องของใคร
“ แทฮยอน เป็นไงบ้าง ” เสียงทุ้มเจือความห่วงใยเต็มเปี่ยมเอ่ยถามขึ้น เจ้าของห้องที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นข้างเตียงมีท่าทีตื่นเต้นดีใจ มือใหญ่ถูกส่งขึ้นมาแตะบนขมับคนป่วยเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างกระตือรือร้น
“ ทำไมฉันมาอยู่ที่ห้องนายได้ ” แทฮยอนเปิดปากถาม เสียงแหบแห้งเสียจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ
“ นายเป็นลมไปที่หลังเวทีไง จำได้มั้ย ” มินโฮเล่า เขาตกใจแทบตายตอนที่ทีมงานวิ่งมาบอกพวกเขาว่าแทฮยอนหมดสติอยู่หลังเวที จำได้ว่าตอนนั้นตัวเขาเกือบจะเหาะเข้าไปหาอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
“ หึ ” แทฮยอนยอมรับว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากไข้อ่อนๆที่เป็นมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ แต่กลับไม่มีเวลาพักรักษา เพราะต้องเตรียมตัวสำหรับการแสดงถึงสามรอบด้วยกัน ถึงจะพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่อะไรก็ดูจะมึนๆเบลอๆไปหมด แม้แต่ตัวเองที่หมดแรงล้มลงไปตั้งแต่ตอนไหนก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ “ แล้วตกลงว่าเหตุผลอะไร ฉันถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ” ร่างบางย้อนถามอีกหน
“ นายอยู่ห้องฉัน ฉันจะได้ดูแลนายไง ” มินโฮตอบพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง
“ ปกติฉันก็มีฮันบินคอยดูแลอยู่แล้วนี่ ” แทฮยอนค้าน
“ ฮันบินน่ะ ทั้งทำการบ้าน ทั้งอ่านหนังสือสอบ แล้วยังต้องเอาเวลาพักผ่อนมาดูแลนาย หลังๆมานี้สังเกตว่าน้องนายก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ ” ร่างสูงชี้แจง
“ ฮันบินไม่เห็นเคยบ่นเลยซักคำ ” ได้ฟังคำของอีกฝ่ายแล้ว แทฮยอนก็เริ่มฉุกคิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอาการเจ็บออดๆแอดๆของตัวเองสร้างภาระให้กับน้องชายที่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบมากมายแค่ไหน แต่ด้วยความรั้นอยากเอาชนะก็ทำให้เขาอดพูดแบบนั้นกลับไปไม่ได้อยู่ดี
“ แต่ล่าสุดช่วงหัวค่ำนี้ จีวอนบอกว่า ฮันบินไข้ขึ้น 39 องศา แถมร่างกายก็อ่อนเพลียมาก แล้วนายยังคิดจะดั้นด้นกลับห้องไปให้น้องนายดูแลอีกเหรอ ” มินโฮถามให้คิด
“ .................... ” แทฮยอนมีท่าทีนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ไม่ยอมพูดอะไรกลับมาสักคำหลังรู้ข่าวว่าฮันบินป่วยเพราะมีตัวเองเป็นสาเหตุ
“ แต่นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฮันบินมีจีวอนช่วยดูแลอยู่แล้ว แถมพี่ท็อปก็เพิ่งเข้าไปดูอาการมาให้แล้วด้วย ” มินโฮรีบพูดดักเพราะถึงเขาจะต้องการพูดให้คิด แต่ก็ไม่อยากให้อีกคนต้องเป็นกังวลมากเกินจนกระทบกระเทือนถึงสุขภาพของเจ้าตัวและเด็กในท้อง
“ เป็นเพราะฉัน ฮันบินถึงได้ป่วย ” ดูเหมือนประโยคของมินโฮจะไม่ได้ช่วยให้แทฮยอนรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่
“ อืมใช่ เพราะนายนั่นล่ะ ฮันบินถึงได้ป่วย ” เพราะรู้ดีว่าถึงจะพยายามพูดปลอบใจไปก็คงไร้ประโยชน์ มินโฮจึงเลือกที่จะพูดออกไปตรงๆ ถึงจะดูไร้น้ำใจไปหน่อย แต่ก็นั่นล่ะ ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อมดี
“ ใจร้าย ” แทฮยอนพูดด้วยสีหน้าและแววตาที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังงอนสุดชีวิต ทำเอามินโฮเกือบหลุดขำในความน่ารักของอีกฝ่าย
“ ถ้านายอยากให้ฮันบินได้มีเวลาพักผ่อนเยอะๆ ฉันมีทางออกให้นะ ” มินโฮเสนอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี
“ ...................... ” จากประสบการณ์ทำให้แทฮยอนได้แต่รอฟังข้อเสนอด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะวางใจนัก
“ ย้ายมาอยู่กับฉัน ให้ฉันดูแลนายไปจนกว่าจะคลอด หรือถ้านายจะอนุญาต ให้ฉันดูแลไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ฉันยินดี ”
เฮ้ย นี่มันประโยคอะไร ฟังแล้วแทฮยอนไม่ค่อยเข้าใจ!?! มันแปร่งๆ ทะแม่งๆหู จนไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มแปลจากตรงไหนถึงจะดี เพราะถ้าแปลผ่านๆ ประโยคแรกก็ดูเป็นการแก้ปัญหาเรื่องที่ฮันบินมีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอได้เป็นอย่างดี แต่ไอ้ประโยคหลังเนี่ยสิ กำลังเป็นปัญหาระดับชาติ
สาบานมานะว่าแกไม่ได้กำลังขอฉันเป็นแฟนอยู่น่ะไอ้คุณซง!!!
“ คือปวดหัวว่ะ อยากนอนแล้วอ้ะ ” แทฮยอนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่กลับเฉไฉไปเรื่องอื่นได้หน้าตาเฉย
“ อืม งั้นนายกินอะไรรองท้องนิดนึงก่อน แล้วกินยาซักหน่อย เดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้อีกรอบ แล้วค่อยนอนนะ ” มินโฮออกคำสั่งแต่ใช้น้ำเสียงเป็นเชิงขอร้องอยู่ในที เพราะรู้ดีว่าอีกคนเป็นพวกพยศดื้อดึงมากแค่ไหน
“ อืมมม ” แทฮยอนทอดเสียงยาวอย่างเซ็งๆที่เขาต้องทำตามการชักนำของอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ... ไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ออกปากคัดค้าน
ความเจ้ากี้เจ้าการนี่มันน่ารำคาญก็จริง แต่ขณะเดียวกันความหวังดีที่อีกฝ่ายแสดงออกมามันมากมายเสียจนแทฮยอนไม่กล้าปฏิเสธ
ที่บอกว่าไม่ปฏิเสธนี่ก็แค่ประโยคล่าสุดหรอกนะ แต่ประโยคก่อนหน้านี่ No Way!! นัมแทฮยอนไม่มีทางยอมให้ไอ้กะล่อนอย่างซงมินโฮมันมาดูแลตลอดชาติอย่างเด็ดขาด สาบานให้โจรปล้นบ้านหมา(?)ของจีวอนเลยก็ได้เอ้า
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
ฮันบินเป็นเด็กน่ารัก บนใบหน้าหวานๆมักมีรอยยิ้มเจิดจ้าระบายอยู่ตลอดเวลาอย่างคนมีสุขภาพจิตดี ทั้งยังอ่อนโยน และชอบคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
จีวอนชอบ ไม่สิ หลงรักรอยยิ้มของฮันบินมานานแล้ว อาจจะตั้งแต่แรกเจอ ซึ่งนั่นก็หมายถึงตอนแรกเกิด สมัยที่เจ้าเด็กน่ารักนี่ยังเป็นทารกตัวแดงๆนอนอยู่ในเปลของโรงพยาบาลนั่นแหละ เขาปรารถนาที่จะได้เห็นรอยยิ้มน่ารักๆแบบนี้ของฮันบินตลอดเวลา แต่อาจไม่ใช่กับครั้งนี้
ฮันบินไข้ขึ้นตั้ง 39 องศา จนลืมตาแทบจะไม่ขึ้นอยู่รอมร่อ ถึงขนาดมีสายน้ำเกลือปักคาอยู่ที่ข้อมือ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ฝืนยิ้มให้เขา จีวอนไม่ชอบใจเลยสักนิด เพราะเขารู้ว่าเจ้าตัวไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เลยส่งยิ้มเพื่อบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร
แต่ไม่ได้รู้ตัวเล้ย ว่านั่นยิ่งทำให้เขาเพิ่มความกังวลเข้าไปอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
“ ฮันบิน ปวดหัวมั้ย ” จีวอนถาม เพราะรู้ดีว่าอาการปวดศีรษะมักจะพ่วงมากับไข้หวัดเสมอๆ
“ ก็นิดนึงฮะ ” ฮันบินพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ เหรอ ” จีวอนรับคำก่อนยกมือสองข้างขึ้นประกบข้างขมับของอีกคน ก่อนใช้หัวแม่มือค่อยๆคลึงเบาๆช่วยคลายอาการปวดศีรษะให้เด็กน้อย
“ พี่จีวอนใจดีจัง ” และเป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มน่ารักผุดขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของคนป่วย
“ ถ้ารู้สึกไม่ดี ต้องบอกพี่นะฮันบิน อย่าเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว เพราะพี่จะไม่รู้ว่าเรากำลังเจ็บ ”
“ ฮะ ” ฮันบินยอมตกลง แต่ก็ยิ้มออกมาอีกแล้ว
เหมือนนิสัยที่แก้ไม่หาย ฮันบินเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เพราะน่ารัก จึงมีแต่คนรัก คนคอยเอาอกเอาใจตลอดเวลา แต่ยิ่งมีคนให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ ฮันบินก็ยิ่งติดนิสัยขี้เกรงใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ฮันบินชอบส่งยิ้มให้แทนการบอกว่าไม่เป็นไร จีวอนไม่เถียงหรอกว่านั่นถือเป็นนิสัยที่ดี เพียงแต่เขาไม่อยากให้เด็กน้อยต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจคนที่ได้ชื่อว่าแฟนอย่างเขาก็เท่านั้นเอง
เออ พูดตรงๆอย่างไม่อายปากเขาก็แค่อยากให้ฮันบินมาอ้อนนั่นแหละ
อย่างแบบ ‘ ฮันบินปวดหัวจังเลย พี่จีวอนช่วยทีนะฮะ ’ หรืออย่าง ‘ ฮื่อออ พี่จีวอนต้องจับมือฮันบินเอาไว้แน่นๆนะ ’ หรือไม่ก็ ‘ น…หนาว พี่จีวอนกอดฮันบินเอาไว้จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เลยได้มั้ยฮะ ’ น่ะ ไม่เค้ย ไม่เคยจะมีกับเขาบ้างหรอก
ไม่สบายที่ไรฮันบินจะเอาแต่นอนส่งยิ้ม ยิ้ม และยิ้มให้เขาตลอด ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
“ ขอบคุณนะฮะ พี่จีวอน ” จู่ๆฮันบินก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา ทำเอาจีวอนต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย
“ ขอบคุณพี่ทำไมครับ หื้ม ”
“ เวลาไม่สบายผมไม่เคยรู้สึกแย่เลยสักครั้ง… เป็นเพราะพี่คอยอยู่ข้างๆตลอดเวลา ผม…ดีใจ…จัง ” เด็กน้อยพูดก่อนพริ้มตาหลับลงไปพร้อมกับรอยยิ้ม
นี่สินะคือเหตุผลที่ฮันบินเอาแต่ยิ้มเวลาไม่สบาย เป็นเพราะเขาเองหรอกเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย
“ พี่ก็กะจะอยู่เคียงข้างฮันบินไปตลอดชีวิตนั่นล่ะ ต่อให้ไล่ก็ไม่ไปหรอก ” จีวอนกระซิบบอกก่อนก้มลงจรดริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากร้อนผ่าวของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“ รักนะครับ คนดี ”
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
จินอูกำลังเคลียร์พื้นที่ ทั้งตำราเรียน หนังสืออ่านเสริมภูมิความรู้ต่างๆ แล้วยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกวางทิ้งไว้อย่างระเกะระกะจนรกเต็มห้องไปหมด นอกจากบนเตียงแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีตรงไหนเลยที่จะสามารถหย่อนก้นลงนั่งได้ ไม่เว้นแม้แต่โซฟา
ปกติมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอก แต่เป็นเพราะแขกไม่ได้รับเชิญที่จู่ๆก็ด้านหน้าเข้ามาขออาศัยนอนด้วยนี่แหละ ทำให้จินอูจำต้องเคลียร์ของบนโซฟาออกทั้งหมดเป็นการเร่งด่วนเพื่อใช้เป็นที่นอนของตัวเองสำหรับคืนนี้
เป็นเพราะซึงฮยอนสู้อุตส่าห์เข้ามาดูอาการของสองศรีพี่น้องแทฮยอนฮันบินที่ดันทะลึ่งมาป่วยหนักพร้อมกันที่หอให้เสียจนดึกจนดื่น เจ้าตัวก็แอบเปรยๆมาว่าเหนื่อย อยากนอนแล้ว ไอ้ครั้นจินอูจะไล่กลับไปเลยก็กลัวจะเสียมารยาทเกินไป จึงออกปากชวนรุ่นพี่ท็อปมาซดเป๊บซี่แก้อาการง่วงเหงาหาวนอนที่ห้อง เผื่อจะช่วยให้คุณหมอแกขับรถกลับบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่ไหนได้ ไอ้หมอนี่ดันหน้าด้านขอค้างห้องเขาเลยซะงั้นน่ะ!!!
“ ว้าว เตียงของจินอูหอมจังเลย ” บุคคลที่จินอูกล่าวหาว่าหน้าด้านกำลังนอนกลิ้งเล่นไปมาบนเตียงอยู่ในชุดนอนสั้นเต่อของเจ้าของห้องพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเอาหน้าหนาๆซุกเข้ากับหมอนนุ่ม “ กลิ่นของจินอูทั้งนั้นเลย ฮ้า ”
“ นี่ของผม!!! พี่ใช้อันที่อยู่ในตู้ก็แล้วกันนะฮะ ” จินอูเดินปรี่เข้าไปดึงหมอนกับผ้าห่มของตัวเองมากอดเอาไว้แนบอกก่อนพยักเพยิดไปทางตู้ข้างเตียงเพื่อให้อีกคนได้บริการตัวเองบ้าง
“ ได้ไงล่ะ เราต้องใช้อันเดียวกันสิ ” ซึงฮยอนท้วงก่อนเกาะแขนรุ่นน้องเอาไว้แน่นหนึบ
“ ผมจะไม่นอนเตียงเดียวกับพี่อีกเด็ดขาด!!! ” จินอูปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะคนอย่างชเวซึงฮยอนมันเชื่อถือไม่ได้เลยสักนิด ครั้งนั้นที่บอกกับเขาว่าจะไม่ทำอะไรไปมากกว่านอนกอดอย่างเดียว มันขี้หกทั้งเพ !!!… เปล่าหรอก เวอร์จิ้นของเขายังอยู่ดี แต่แค่รู้สึกว่าถูกคุกคามทางเพศมากไปหน่อยก็เท่านั้น
ก็พี่แกไม่ได้นอนนิ่งๆนี่หว่า ทั้งไล้ ทั้งลูบ ทั้งล้วง ทั้งรูด(?) ทั้งคืน มาเต็มขนาดนี้ จินอูไม่เสียตัวก็นับว่าบุญเท่าไหร่แล้ว
“ จินอู เราเป็นแฟนกันนะ นอนเตียงเดียวกันไม่เห็นเป็นไรเลย ” ไม่ว่าเปล่า มือใหญ่ๆยังจัดการรวบตัวคุณแฟนรุ่นน้องลงมากกกอดเอาไว้เสียแนบแน่นบนเตียงด้วยอีกต่างหาก
“ เอ่อ… ก็ได้ฮะ ” คำว่าแฟนของอีกฝ่ายมันช่างเป็นคำแสลงหูสำหรับจินอูเสียเหลือเกิน เพราะนอกจากมันจะเป็นคำพูดที่คอยค้ำคอเขาให้ยากจะปฏิเสธอะไรก็ตามแต่ที่อีกฝ่ายเสนอมาให้แล้ว มันยังฟังดูไม่ make sence เอาซะเลยในความคิดของเขา
ก็ผู้ชายทั้งแท่งแม่งมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน มันเข้าท่าตรงไหนล่ะวะ
“ จินอูยา คิดอะไรอยู่เหรอ อย่าเครียดมากสิ พี่เป็นห่วงนะ ” เสียงทุ้มว่าพร้อมรอยยิ้มเท่ๆเหมือนอย่างทุกครั้ง ก่อนตบท้ายด้วยการขโมยหอมหน้าผากคนในอ้อมกอดไปอีกฟอดใหญ่
จินอูได้แต่นิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่รอยประทับบนหน้าผากนั่นหรอกที่น่าตกใจ เพราะปกติเขาก็โดนอีกฝ่ายลวนลามเอาๆเสียจนชินซะแล้ว แต่ความอบอุ่นอ่อนโยนที่แฝงมากับความห่วงใยของคนขี้เล่นคนนี้ต่างหาก ที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่แปลกออกไปจากทุกที
อืม ไม่เข้าท่า แต่ก็ไม่เลวนะ บางทีน่ะ
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
เช้าวันนี้ มินโฮลืมตาตื่นขึ้นบนโซฟาท้ายห้องที่ประจำของเขาตั้งแต่มีอีกคนมาอยู่ร่วมกันด้วยอารมณ์แจ่มใส
เมื่อคืนแทฮยอนหายไข้สนิทแล้ว และอากาศวันนี้ก็ดีแสนดี โครตจะเหมาะกับการออกเดท มินโฮจึงมีความคิดที่จะชวนร่างบางออกไปดูหนังด้วยกัน ต่อจากนั้นก็เดินเล่น ไม่ก็จัดปิกนิกเล็กๆตรงริมแม่น้ำฮัน ก่อนจะกลับก็แวะสวนสาธารณะ อยากลองแกว่งชิงช้าให้แทฮยอนนั่งดูสักครั้ง แล้วก็พลัดกันชี้ชวนให้อีกฝ่ายดูเด็กตัวเล็กๆวิ่งเล่นกันประกอบกับประโยคสนทนาประมาณ ‘ อีกหน่อยจะพาเจ้าตัวเล็กของพวกเรามาวิ่งเล่นแบบนี้บ้าง ’ จากนั้นก็เดินกุมมือกันกลับหอ
อุเหม่!! มันต้องเป็นเดทที่มีความสุขยิ่งกว่าที่มินโฮเจอมาทั้งชีวิตแน่ๆ
แต่สวรรค์เหมือนจะไม่เข้าข้างไอ้แบดบอยกลับใจอย่างซงมินโฮเท่าไหร่ เพราะหลังจากกวาดสายตาหาใครอีกคนไปทั่วห้อง บนเตียงก็แล้ว ข้างเตียงก็แล้ว ใต้เตียงก็แล้ว ในห้องน้ำ หรือแม้แต่ในตู้เสื้อผ้า สารพัดที่ๆมินโฮคิดว่าผู้ชายตัวบางๆอย่างแทฮยอนจะสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้ ก็ไม่มีที่ไหนมีคนที่เขาตามหาอยู่เลยสักที่
“ ฮือ~ ” มินโฮครางอย่างหดหู่ที่ตามหาอีกคนไม่พบ เกือบจะหลุดร้องไห้ออกมาจริงๆแล้วล่ะ ถ้ามือไม่บังเอิญปัดไปโดนอะไรสักอย่างที่ถูกแปะเอาไว้โดยความตั้งใจของอีกคนบนหน้าผากตัวเองเข้าซะก่อนล่ะก็นะ
โพสต์อิทสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าฝ่ามือมีเนื้อความเป็นประโยคบอกเล่าที่มินโฮอ่านแล้วต้องหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘ ออกไปเดินเที่ยว เย็นๆกลับ ’
คำว่า กลับ ของแทฮยอนทำเอามินโฮยิ้มไม่หุบ ห้องของเขากลายเป็นที่ๆแทฮยอนวางใจพอจะใช้คำว่า กลับมา เวลาออกไปที่อื่นได้ นั่นทำเอาเขาอดรู้สึกมีความสุขขึ้นมาเล็กๆไม่ได้
ยอมรับว่าแวบแรกที่ไม่เห็นแทฮยอนนอนอยู่บนเตียงเหมือนอย่างวันก่อนๆนั้นทำมินโฮถึงกับใจเสีย เพราะกลัวว่าร่างบางจะกลับห้องตัวเองไปแล้ว แต่เพียงแค่เห็นข้อความสั้นๆของอีกฝ่ายเท่านั้น หัวใจมันก็พองโตขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด
อา... คำว่า ตลอดไป ก็คงพอมีทางบ้างแล้วสินะ
“ ว่าแต่ทำไมไม่ชวนเราสักคำเลยวะ ” มินโฮได้แต่เกาหัวแกรกกรากอย่างครุ่นคิด ใจหนึ่งก็เป็นกังวล กลัวว่าคนท้องคนไส้ไปไหนลำพังเกิดเดินสะดุดหกล้มไปใครจะช่วย แต่อีกใจก็อดน้อยใจไม่ได้ ตอนป่วยไข้ เขาก็คอยดูแล ประคับประคอง พอหายดี ก็ชิ่งหนีตีจากเขาไปแทบจะทันที ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ แต่นี่มันจะไม่ดูไร้เยื่อใยไปหน่อยหรือไงกัน? คุณนัมแทฮยอน
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
แทฮยอนเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ หลังจากเขาสะดุดอากาศจนหน้าเกือบทิ่มอยู่ตรงหน้าห้าง แต่ก็นั่นแหละ มันยังดีที่หน้าเขาไม่ได้กระแทกพื้นไปจริงๆ แต่อวัยวะที่รับกรรมนั้นกลับเป็นฝ่ามือสองข้างกับหัวเข่าทั้งคู่แทน
พลิกฝ่ามือขึ้นมาดูก็พบว่ามันมีเลือดออกทั้งสองข้าง ส่วนหัวเข่าภายใต้ยีนส์นั่นไม่ต้องถึงกับถกขึ้นมาดูก็พอรู้ว่ามันคงไม่ต่างจากตรงฝ่ามือเท่าไหร่
แทฮยอนลองใช้มือคลำท้องภายใต้เสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่ที่จงใจสวมมาเพื่อพรางหน้าท้องนูนๆขนาด 4 เดือนของตัวเองดูแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกที่แรงกระแทกเมื่อครู่ไม่ได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดไปถึงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ภายในอย่างที่เขาเคยเป็นกังวลเลยสักนิด
“ ซี้ด .. ” แต่เพียงแค่เขาก้าวเท้าออกไปครึ่งก้าว ก็รู้สึกแสบแผลที่หัวเข่าจนต้องหลุดเสียงครางออกมาเสียแล้ว ประสาอะไรกับจะให้ไปเดินช็อปปิ้งทั่วห้างอย่างที่ตั้งใจ
ถ้าเป็นวันอื่น ลองเป็นขนาดนี้ เขาคงตัดสินใจกลับบ้านไปแล้วล่ะ แต่พอดีวันนี้เป็นวันเกิดของซงมินโฮนั่นไง แทฮยอนถึงได้ยอมละทิ้งความเจ็บและความอาย ดันทุรังเดินขากะเผลกเข้าห้างเพื่อหาของขวัญให้หมอนั่นแทนที่จะโบกแท็กซี่กลับหออย่างที่ควรจะเป็น
ปกติเขาไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดมินโฮเลยสักครั้ง เพราะอย่างที่รู้ๆอยู่ว่าพวกเขาไม่ถูกกันค่อนข้างรุนแรง แต่ความรู้สึกของแทฮยอนในปีนี้กลับแตกต่างออกไปจากปีก่อนๆชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
หลายวันมานี้ที่เขาได้แต่นอนซมไข้ หมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนเตียงของมินโฮ หมอนั่นก็คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี ทั้งหาอาหาร หยูกยาสารพัดมาป้อนถึงปาก คอยอยู่เป็นเพื่อน เฝ้าไข้เขาตลอดเวลาไม่ยอมห่างจนกระทั่งหายดี นอกจากนั้นยังช่วยเคลียร์งานกลุ่มกับการบ้านที่เขายังทำไม่เสร็จ แถมยังทำช็อตโน้ตเนื้อหาที่เรียนทั้งหมดเตรียมไว้ให้เขาอ่านสอบกลางภาคอีกต่างหาก
เรียกได้ว่าเป็นคนดีจนเขาไม่อาจมองข้ามเรื่องของขวัญไปได้เลยทีเดียว
นั่นก็คือที่มาที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นมาห้างหลังจากหายไข้ทันที แต่ประเด็นคือเขาป่วยนานไปหน่อยจนไม่ค่อยได้ออกไปไหน นานๆถึงจะได้ใช้ขากับเขาสักที บวกกับหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นพรวดพราดทำให้เขากะน้ำหนักฝีเท้าไม่ถูก ผลที่ได้จึงออกมาแย่เล็กๆอย่างที่เป็น
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
พอไม่มีคนป่วยให้ดูแล มินโฮก็รู้สึกว่าตัวเองว่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้นึกอยากพาตัวเองออกไปหลีหญิงตามห้างอย่างที่เคยเป็น ทั้งที่เมื่อก่อนข้างกายเขาแทบไม่เคยขาดผู้หญิงเลยซักครั้ง
เพียงแต่ตอนนี้ ถ้าไม่ใช่แทฮยอนแล้ว มินโฮก็ไม่นึกอยากให้ใครมาอยู่ข้างกายอีก มันอาจฟังดูแหลๆนะ แต่ก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ ก็ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าเขาชอบแทฮยอนจริงๆนี่นา
แต่ยังไงก็เถอะ สุดท้ายแล้วมินโฮก็พาตัวเองมาจบลงตรงห้างอยู่ดี แม้จะไม่ได้มีใครเดินเคียงข้างด้วยก็ตาม
" …ไข่ไก่ นมสด อืม...แล้วก็อะไรว้า " มินโฮพึมพำขณะมองตะกร้าใส่สินค้าในอ้อมแขน สาเหตุที่เขาต้องซื้อของพวกนี้ก็เพราะเมื่อช่วงสายขณะที่นอนว่างๆอยู่ เขาบังเอิญเปิดไปเจอรายการทีวีที่สอนทำพุดดิ้งผลไม้เข้าแล้วเห็นว่ามันดูน่าสนใจดี เลยตัดสินใจว่าจะลองทำให้แทฮยอนทานดูสักครั้ง
ช่วงนี้แทฮยอนยังคงมีอาการคลื่นไส้ และเบื่ออาหาร ถึงขนาดว่าวันทั้งวันไม่ยอมทานอะไรเลยก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง อย่างน้อยพุดดิ้งมันก็ดูน่าทานกว่าพวกอาหารมื้อหลัก แถมส่วนผสมจำพวกพวกนม ไข่ กับผลไม้ก็ดีต่อคนท้องอีกด้วย
ที่สำคัญมันทำง่ายมาก เหมาะกับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้ห้องครัวเลยสักครั้งอย่างมินโฮเป็นที่สุด
“ อ้า เกือบลืมวิปครีม ” มินโฮร้องออกมาพลางใช้มือข้างที่ว่างตบศีรษะตัวเองเบาๆสองสามทีฐานความจำไม่ดี ก่อนเดินไปอีกมุมเพื่อตามหาส่วนผสมของเจ้าพุดดิ้งอย่างสุดท้ายที่ว่ามานั่น
มือใหญ่เอื้อมคว้ากล่องเจลาตินแบบแผ่นที่อยู่ชั้นเกือบบนสุดของเชลฟ์ ในขณะที่สายตาคมบังเอิญจับการเคลื่อนไหวของใครบางคนได้จากทางหางตาผ่านบานกระจกใสที่กั้นรอบอาณาเขตของซุปเปอร์มาเก็ตได้อย่างพอดิบพอดี
ร่างบางของใครบางคนที่เขาคุ้นตาเอามากๆกำลังเดินออกมาจากร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับซุปเปอร์มาเก็ตที่เขายืนอยู่ พร้อมกับผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่เดินประคองกันออกมาอย่างไม่คิดอายสายตาใครเลยสักนิด
แทฮยอนกับเจบีเป็นแค่เพื่อนบ้านที่สนิทกันมานานมากแล้ว แทฮยอนเป็นพวกบอบบาง ส่วนเจบีก็เป็นคนชอบเทคแคร์ แต่สองคนนี้ยังคงเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น มินโฮแน่ใจว่าจีวอนเพื่อนของเขาไม่ได้โกหก
แต่ไม่รู้ทำไมสิ่งที่เขาเห็นกับตาตัวเองมันถึงไม่เหมือนกับที่จีวอนบอกเลยสักนิด แบบนี้มันเจ็บปวดเกินไปไหม?
น่าเจ็บใจที่เขาเป็นได้แค่คนที่คอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่แทฮยอนอ่อนแอ คอยดูแลประคบประหงมเวลาร่างบางเจ็บป่วย แต่ทำไมไม่เป็นเขาที่ได้อยู่ด้วยกันในเวลาที่เจ้าตัวหายดี
ตอนอยู่ที่ห้องกับมินโฮ แทฮยอนมักทำหน้าเหมือนกับเวลาที่เรากำลังเหม็นเบื่อใครสักคน แต่เจ้าตัวกลับมีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆตลอดเวลาที่อยู่กับเจบี
เจบีที่แสนดี กับ มินโฮที่เคยขืนใจแทฮยอน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าร่างบางพอใจที่จะอยู่ใกล้ใครมากกว่ากัน
มินโฮแสร้งทำเป็นไม่สนใจภาพตรงหน้า เขาหยิบของที่ต้องการแล้วนำมันทั้งหมดไปคิดเงินที่แคชเชียร์ ก่อนจะเดินดุ่มๆออกมาอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นวิถีการมองเห็นของสองคนนั้นอยู่ดี
“ อ๊ะ มินโฮ ” แทฮยอนทักอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญได้พบกับอีกฝ่ายที่นี่
“ น...นาย....มากับเจบีเหรอ ” มินโฮถามคำถามด้วยแววตาตัดพ้อ ขอบตาเขาร้อนผ่าวเมื่อเห็นแขนขาวๆของแทฮยอนโอบรอบเอวของเจบีไว้ทั้งสองข้าง เหมือนๆกับแขนของเจบีที่โอบเอวแทฮยอนเอาไว้อย่างแนบแน่นเช่นเดียวกัน
“ เอ่อ มินโฮ... มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ เราไม่ได้มาด้วยกัน เพียงแต่...เพิ่งมาเจอกันที่นี่ แล้วก็พอดีว่ามีปัญหานิดหน่อย ....ทำให้เราต้องเดินกันด้วยท่าทางแบบนี้ ” เป็นเพราะเขาเคยย้ำนักย้ำหนากับมินโฮว่า ตัวเขากับเจบีเป็นแค่เพื่อนกัน เขาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาโกหก ประกอบกับแววความเจ็บช้ำจากดวงตาคู่คมที่เขาสัมผัสได้นั่นก็ยิ่งทำให้แทฮยอนไม่ต้องการให้ร่างสูงเข้าใจผิด และผิดหวังในตัวเขา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่เขาเริ่มเป็นห่วงความรู้สึกของมินโฮมากมายขนาดนี้
“ นายไม่ต้องพยายามอธิบายให้ฉันฟังก็ได้ เพราะยังไงฉันก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรนายอยู่แล้วนี่นะ ” มินโฮยิ้มขื่นก่อนหันหลังเดินจากทั้งสองไปโดยไม่มีแม้คำร่ำลาสักคำ
“ มินโฮ ” แทฮยอนเรียก แต่ก็ช้าไปสำหรับขายาวๆของอีกฝ่ายที่แป๊บเดียวก็พาเจ้าตัวเดินหายไปจากสายตาเขาเสียแล้ว “ เฮ้อออ ” แทฮยอนพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนที่วันนี้อะไรๆไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยสักอย่าง
ตั้งแต่หกล้มจนต้องเดินขากะเผลก แต่ก็โชคดีที่บังเอิญเจอกับเจบี ทำให้อย่างน้อยเขาก็มีคนช่วยทำแผลและคอยพยุงให้เขามีกำลังเดินช็อปปิ้งหาของขวัญเพื่อไปทำเซอร์ไพรส์ให้มินโฮ
แต่โชคไม่ดีเอาซะเลยที่เจ้าของวันเกิดดันเดินมาเจอเขาเข้าด้วยสภาพแบบนี้!!!
“ นี่แหละ เสน่ห์ของการเซอร์ไพรส์วันเกิดของจริง ทำให้รู้สึกน้อยใจนิดๆ แล้วค่อยตบท้ายด้วยของขวัญ มินโฮต้องดีใจแน่ๆ เชื่อฉันสิ ” เจบีพูดปลอบพลางตบหลังเพื่อนรักอย่างให้กำลังใจ ทำให้แทฮยอนได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแกนๆอย่างรู้สึกไม่วางใจเท่าไรนัก
เพราะกว่าจะได้ทำเซอร์ไพรส์ เจ้านั่นจะคิดมากไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
มินโฮนั่งมองผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยสายตาภาคภูมิใจนิดๆ น้องพุดดิ้งผลไม้รวมที่เขาทำเองกับมือเป็นครั้งแรกในชีวิตมีสีหวานๆดูน่ารักน่ากินเป็นบ้า
เนื้อพุดดิ้งหยุ่นๆเด้งดิ๋งกำลังดี สตรอเบอร์รี่ก็ทั้งสดและลูกโตใช้ได้ กีวีนั่นก็ถูกฝานเป็นชิ้นบางๆตามต้นแบบเป๊ะๆ ส่วนส้มก็ถูกแกะออกมาเป็นชิ้นๆพอดีคำ ทุกอย่างรวมตัวกันอย่างสุดแสนจะเฟอร์เพค ขาดก็แต่คนที่จะได้ลิ้มลองรสชาติของมันเป็นคนแรกเท่านั้น
ค่ำแล้ว แทฮยอนยังกลับมาไม่ถึงห้องอีก
มินโฮแหงนหน้ามองนาฬิการอบแล้วรอบเล่า เข็มสั้นจวนจะเดินไปถึงเลขแปดเต็มทีแล้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมัวไปเถลไถลไกลถึงไหน ถึงได้กลับช้าขนาดนี้
กี่ชั่วโมงแล้วไม่รู้ที่เขาเอาแต่หมกมุ่นกับความคิดตัวเองโดยมีเพียงความเงียบคอยอยู่เป็นเพื่อน มินโฮรู้ดีว่าเขาไม่ควรคาดหวังมากเกินไป เขารู้ดีว่าแทฮยอนย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเอง รู้ดีว่าตัวเขาไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวร่างบาง ไม่สามารถไปบังคับสายตาอีกฝ่ายให้มองเขาเพียงคนเดียวได้ ทั้งที่รู้อย่างนั้นแต่ก็ยังแอบวาดฝันไว้ว่าเขาจะมีเวลาดีๆร่วมกันกับแทฮยอนแบบคู่อื่นๆบ้างในสักวัน
แต่ภาพที่เห็นในวันนี้มันก็ช่างบั่นทอนจิตใจเขาเสียเหลือเกิน แทฮยอนกับเจบีสนิทสนมกันจนขนาดไม่เหลือที่ว่างพอให้เขาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ของสองคนนี้เลยสักนิด
แทฮยอนไม่ชวนเขาไปเที่ยวด้วยซักคำแต่กลับหนีไปเดินควงคู่กับคนอื่นเสียดื้อๆ นั่นไม่ได้แปลว่าแทฮยอนใจร้ายหรอก ร่างบางทำถูกแล้วต่างหากที่รู้จักเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้กับชีวิต
เพราะอย่างไรเสีย พระเอกมันก็ต้องดีกว่าผู้ร้ายอยู่วันยังค่ำ
แล้วผู้ร้ายอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากนั่งจ้องเจ้าพุดดิ้งนี่เขม็งพร้อมความหวังลมๆแล้งๆว่านางเอกจะกลับมาทานมัน แต่นั่นก็คงต้องหลังเสร็จจากไปดินเนอร์กับพระเอกกลับมาเรียบร้อยแล้วล่ะนะ
“ ฮ่าๆๆๆ ” มินโฮหัวเราะกับความคิดขบขันของตัวเอง แต่กลับเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่นเต็มที
“ แกร๊ก ” เสียงของลูกบิดประตูดังขึ้นฝ่าความเงียบ เป็นสัญญาณบอกกล่าวคนในห้องให้ได้รู้ว่าผู้ร่วมห้องอีกคนกำลังจะกลับเข้ามาแล้ว
มินโฮเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่อย่างทันทีทันใด หัวใจแห้งเหี่ยวมีชีวิตชีวาขึ้นในฉับพลันที่ได้ยินเสียงนั้น ริมฝีปากของเขาวาดรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆเมื่อคิดว่าในไม่ช้านี้เขาก็จะได้เห็นหน้าของคนที่เขาได้แต่รอคอยมาครึ่งค่อนวันแล้ว
“ ส่งแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ขอบใจมากนะเจบี ดีนะที่ได้นาย ไม่งั้นล่ะแย่เลย ” เสียงเจื้อยแจ้วของแทฮยอนกับใครอีกคนที่ดังมาจากทางหน้าประตู ส่งผลให้รอยยิ้มน้อยๆของมินโฮนั้นต้องมลายหายกลับกลายมาเป็นริมฝีปากที่เม้มสนิทจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรงแทน
แทฮยอนใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเจบีทั้งวันจนถึงตอนนี้ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้ว...
ร่างบางใช้ไหล่ดันประตูให้ปิดสนิทก่อนจะค่อยๆก้าวขาทีละข้างเดินเข้าไปยังด้านในด้วยความทุลักทุเล เพราะตอนนี้นอกจากแผลที่หัวเข่าจะอักเสบจนทำให้ยืดหรืองอไม่ได้ง่ายๆแล้ว มือป่วยๆทั้งสองข้างยังต้องรับภาระหิ้วถุงของขวัญไปให้มินโฮด้วยเสียอีก
“ หื้อ นายอยู่นี่เองเหรอ ” แทฮยอนอุทานอย่างแปลกใจที่เห็นมินโฮนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแทนที่จะเป็นโซฟาหน้าทีวีในห้องนั่งเล่นอย่างที่ควรจะเป็น
“ อืม ” มินโฮตอบกลับเสียงเนือยๆ
“ เอ๊ะ พุดดิ้ง? ” แทฮยอนทักขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นของว่างหน้าตาน่ารักไม่เข้ากับหน้าเจ้าของห้องที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ
“ ฉันทำเอง รสชาติแค่พอกินได้ ถ้ายังไม่ได้กินอะไรมา ก็เอาสิ ” มินโฮอธิบายพลางค่อยๆเลื่อนจานพุดดิ้งไปไว้ตรงหน้าแทฮยอน
“ ไม่เอาอะ ไม่อยากแย่งนายกิน ” แทฮยอนปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ ไม่หรอก นี่น่ะ ฉันตั้งใจทำให้นาย เพราะเห็นว่าช่วงนี้นายกินอะไรไม่ค่อยลง แล้วพุดดิ้งนี่ก็ดูกินง่ายดีน่ะ ฉันเลยลองทำให้นายกิน ”
“ โห งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ ไม่อยากจะบอกว่าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าเลยเหอะ ” แทฮยอนบอก มือเรียวจัดการหยิบช้อนขึ้นมาถือเอาไว้เสร็จสรรพ
“ แล้วที่เห็นเดินออกมาจากร้านอาหารกับ...เจบีนั่นล่ะ ” แม้ไม่อยากพูดถึง แต่มินโฮก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ
“ โถ ร้านนั่นน่ะ แค่ได้กลิ่นเลี่ยนๆ ฉันก็รู้สึกพะอืดพะอมแย่แล้ว สุดท้ายเลยได้ดื่มแต่น้ำเปล่าน่ะสิ ... ว่าแต่พุดดิ้งที่นายทำนี่ใช้ได้เลยนะ ” แทฮยอนอธิบายและไม่ลืมที่จะออกปากชมฝีมือของอีกฝ่ายในท้ายประโยค
“ ถ้านายไปกับฉัน นายคงไม่ต้องดื่มแค่น้ำเปล่า เพราะฉันรู้ดีว่านายกำลังแพ้ท้องอย่างหนัก แล้วฉันก็รู้ว่าอะไรเหมาะกับสภาพร่างกายของนายในตอนนี้ ฉันรู้ว่าฉันควรจะพานายเข้าร้านแบบไหน ...ฉันรู้ดีกว่าหมอนั่น ”
ดูเผินๆเหมือนมินโฮไม่ได้ใส่ใจ แต่ใครจะรู้ว่าเขาต้องพยายามศึกษา ค้นคว้าและทำความเข้าใจกับอาการแพ้ท้องของแทฮยอนมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นทางคู่มือที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นิยมอ่านกันหรือจะเป็นทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลทุกอย่างล้วนผ่านสายตาเขามาหมดแล้วทั้งนั้น
นอกจากนี้ มินโฮยังกระตุ้นตัวเองให้ตื่นเช้าอยู่เสมอ เพื่อคอยรับมือกับอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงในยามเช้าของร่างบาง เขามักจะจัดเตรียมของว่างเล็กๆน้อยๆระหว่างวันเป็นต้นว่าของจำพวกบิสกิต ผลไม้ หรือของว่างที่ไม่ทำให้คนท้องรู้สึกคลื่นไส้ให้แทฮยอน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายท้องว่างจนเกินไป มินโฮคอยทำทุกๆอย่างที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับแทฮยอน
“ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น... แต่นายก็ไม่เลือกฉัน ” ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆที่มินโฮจะเลือกใช้น้ำเสียงตัดพ้อแบบนี้กับใครสักคน
“ ห๊ะ!! หมายถึงเลือกให้นายไปด้วยกันกับฉันวันนี้น่ะเหรอ ”
มินโฮทำแค่พยักหน้ากลับมาให้เป็นคำตอบด้วยอารมณ์หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ทำเอาแทฮยอนถึงกับหน้าเสีย เห็นทีถ้าไม่รีบเฉลยเสียตอนนี้ พนันได้เลยว่าอีกฝ่ายจะต้องหม่นหมองเข้าขั้นเสียจริตแน่ๆ
แทฮยอนก็ไม่ได้เข้าข้างตัวเองอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แค่ระยะนี้เขาแอบรู้สึกว่าตัวเองมีอิทธิพลกับมินโฮเล็กๆ ...เอิ่ม ไม่สิ ก็ไม่เล็กนักหรอก เอาเป็นว่ามีอิทธิพลประมาณนึงล่ะกัน …อืม นั่นแหละ
“ ฉันไม่ได้ไม่เลือกนายหรอก แต่ฉันเลือกนายไม่ได้ต่างหาก ” แทฮยอนเกริ่น
“ ทำไมกันแทฮยอน ” มินโฮครางเสียงสั่นพร่าเหมือนคนใกล้ร้องไห้ เพราะได้แต่คาดเดาเหตุผลไปเองต่างๆนานา ทำเอาแทฮยอนนึกสงสารขึ้นมาติดหมัด
“ ก็วันนี้น่ะ ฉันไปซื้อของขวัญวันเกิดเพื่อกะมาทำเซอร์ไพรส์ให้นาย แล้วจะให้ฉันเอาเจ้าของเกิดไปด้วยเนี่ยนะ ” แทฮยอนพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“ …ห...หา....นายว่าอะไรนะ ”
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ มินโฮ ดูเหมือนนายจะจำวันเกิดตัวเองไม่ได้นะ ” แทฮยอนบอกพลางยกมือข้ามจานพุดดิ้งว่างเปล่าไปขยี้ผมอีกฝ่ายเล่น ก่อนจะยิ้มออกมาอีกรอบ
“ ที่นายออกไปวันนี้...ก็เพื่อซื้อของขวัญวันเกิดให้ฉันอย่างนั้นเหรอ? ” มินโฮถึงกับทำหน้าเหรอหราอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ อือ นี่ของขวัญ ” แทฮยอนก้มลงหยิบถุงสินค้าทั้งหมดขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเลือกเฉพาะถุงของขวัญส่งให้กับร่างสูง “ แล้วจะบอกอะไรให้ วันนี้ฉันไปคนเดียว แต่ที่เห็นเดินกับเจบีน่ะ เพราะบังเอิญเจอกันต่างหาก ”
“ จริงเหรอ ขอบคุณมาก แทฮยอน ฉันดีใจสุดๆไปเลย ” มินโฮยิ้มรับอย่างอารมณ์ดีขึ้น 120% ไอ้อาการน้อยอกน้อยใจเรื่องอีกฝ่ายไม่ชวนเขาออกไปข้างนอกด้วยเมื่อครู่ ให้ถือเป็นโมฆะไปได้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย
หลายวันมานี้เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับแทฮยอนที่ห้อง จนแทบไม่ได้ออกไปเจอหน้าคนอื่นๆเลย มือถือก็เอาไปโยนทิ้งเอาไว้ในลิ้นชักเสียจนลืมเรื่องชาร์ทแบตมาหลายวันแล้ว เรียกได้ว่าขาดการติดต่อจากโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง ถ้าเขาจะลืมวันเกิดตัวเองไปบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วล่ะ ณ จุดๆนี้
“ อ่า จุดเทียนเสร็จแล้ว ” แทฮยอนร้องบอกหลังจากปักเทียนเล่มเล็กๆลงบนหน้าเค้กไอศกรีมที่เขาตั้งใจซื้อมาฉลองวันเกิดให้มินโฮเสร็จเรียบร้อย “ ต่อไปก็ปิดไฟสินะ ”
“ ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันไปปิดเองดีกว่า เกิดนายมองทางไม่เห็นแล้วเดินสะดุดล้มไปล่ะแย่เลย ” ถึงจะแปลกๆไปสักหน่อยที่เจ้าของวันเกิดดันเป็นคนเดินไปดับไฟด้วยตัวเองก็เถอะ แต่มันก็คงดีกว่าให้คนท้องมาลำบากล่ะนะ
“ อืม นั่นสินะ ” เนื่องจากวันนี้ล้มไปหนหนึ่งแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่คนหัวแข็งอย่างแทฮยอนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคของร่างสูงในทันที เพราะใจจริงแทฮยอนเองก็เป็นห่วงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องไม่ได้น้อยไปกว่ามินโฮเท่าไหร่นักหรอก
การฉลองเล็กๆเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย องค์ประกอบมีเพียงเสียงเพลง Happy Birthday ของคนสองคนที่ร้องคลอกันไปท่ามกลางแสงเทียนยี่สิบกว่าเล่ม ขนมเค้กเนื้อไอศกรีมหน้าตาน่ารับประทาน และปิดท้ายด้วยการเป่าเค้กที่มาพร้อมคำอธิษฐาน
“ ผมขอให้แทฮยอนกับเด็กในท้องแข็งแรง ขอให้แทฮยอนคลอดอย่างปลอดภัย แล้วก็ขอให้แทฮยอนอยู่กับผมตลอดไป ” มินโฮประสานมือไว้ที่หน้าอกแล้วพูดพึมพำต่อหน้าก้อนเค้กไอศกรีมของเขา
“ เฮ่ๆๆ คำขอนาย ฟังดูแปลกๆนะนั่น ” แทฮยอนได้ยินแล้วชักเหงื่อตกที่คำอธิษฐานของอีกฝ่ายที่มีแต่ชื่อของเขาอยู่เต็มไปหมด
“ ทำไม? แปลกตรงไหนเหรอ ” มินโฮลุกขึ้นไปกดเปิดสวิตซ์ไฟพร้อมกับถามกลับมาด้วยใบหน้าอินโนเซ้นท์จัด
“ มัน…. เออ ช่างเถอะ ถ้านายว่าปกติก็คือปกติแล้วกัน เรารีบกินกันเถอะ เดี๋ยวละลายหมด ” แทฮยอนตอบปัด ก่อนคว้ามีดพลาสติกส่งให้ร่างสูงตัดเค้ก
มินโฮรับมีดมาทำหน้าที่อย่างว่าง่าย เขาบริการตักชิ้นเค้กวางบนจานใบเล็กที่เตรียมไว้ แล้วเสิร์ฟมันให้กับผู้อวยพรวันเกิดหนึ่งเดียวที่แสนน่ารักของเขาคนนี้ให้ได้ชิมก่อนเป็นคนแรก
“ อร่อยป่ะ ” มินโฮถามขณะที่เขากำลังตักส่วนของตัวเองวางไว้บนจานก่อนปิดฝาครอบพลาสติกให้กับเค้กส่วนที่เหลือเพื่อกันอากาศเข้า
“ ลองชิมดูดิ ” แทฮยอนตัดแบ่งเค้กเป็นชิ้นพอดีคำพลางยื่นช้อนมาตรงหน้าคนถาม
“ หือ ” มินโฮเบิกตากว้างอย่างคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบคำถามเขากลับมาด้วยวิธีนี้ ก่อนจะรับเค้กไอศกรีมนั่นเข้าปากไปด้วยความถูกอกถูกใจ “ อืม อร่อยมากเลย ” เนื้อไอศกรีมหวานๆเย็นๆ รสกลมกล่อมกำลังดี เข้ากับรสชาติของครีมบนหน้าเค้กได้อย่างพอเหมาะ ที่สำคัญหลังมือของคนป้อนก็ขาวเนียนน่าประทับรอยมากๆเหอะ!!
บทสนทนาสบายๆกับเสียงหัวเราะที่ฟังดูมีชีวิตชีวาดังสลับกับเสียงช้อนกระทบจานที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ หัวข้อแล้วหัวข้อเล่าถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันด้วยความตลกขบขัน
“ ครั้งแรกที่เห็นหน้านายฉันก็ไม่ถูกชะตาด้วยแล้ว รู้มั้ยทำไม ” แทฮยอนถามพร้อมกับเอาช้อนชี้หน้ามินโฮ
“ ทำไมล่ะ ” มินโฮนึกย้อน เขาจำได้แม่นเลยว่าตอนแรกที่จีวอนพาเข้ามาในกลุ่ม แทฮยอนก็มีทีท่าว่าจะเหม็นขี้หน้าเขาซะแล้ว ทั้งที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด
“ ก็นายน่ะ จู่ๆก็เดินเข้ามาทักฉันว่า ‘ นายน่ารักจัง ’ แล้วสักพักพอมีรุ่นพี่ผู้หญิงสวยๆกลุ่มนึงเดินผ่านมา นายก็เดินหายไปกับพวกเธอเฉยเลย ฉันเลยรู้สึกว่าตัวเองหน้าโง่มากที่เผลอดีใจไปกับลมปากของนายตอนนั้น เพราะหลังจากนั้นฉันก็ได้รู้ว่านายแทบจะชมผู้หญิงทุกคนที่เดินผ่านเลยด้วยซ้ำ นิสัย!!! ” แทฮยอนเล่าเรื่องตอนปีหนึ่งพร้อมกับทำสีหน้าหงุดหงิดประกอบไปด้วย ทำเอามินโฮถึงกับหลุดขำก๊าก
“ โอ๋ๆ ขอโทษๆ งั้นต่อไปนี้ฉันจะชมนายคนเดียว โอเคมั้ย ” มินโฮถามพลางฉวยมือเรียวของอีกคนมากุมเอาไว้
“ บ..บ้าเหรอ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย ฉันแค่อยากให้นายเลิกนิสัยเจ้าชู้ไปเรื่อยต่างหาก เห็นแล้วมันหมั่นไส้ว่ะ ”
“ หมั่นไส้ หรือ หึง กันแน่ ”
“ อ๋อ ถ้านายจะเรียกอาการอยากเอาฝ่าเท้านาบหน้าคนว่าหึงอ่ะนะ มันก็คงแปลว่าฉันหึงนายล่ะ ” แทฮยอนถลึงตาใส่
“ ว้าว อย่างนี้เขาเรียกว่าหึงโหดนะรู้เปล่า ” มินโฮตอบกลับพร้อมรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม
“ ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดนายนะ ฉันจะขอลองหึงโหดกับนายดูซักที ” แทฮยอนยิ้มกลับอย่างไม่ได้นึกถือสากับคำกล่าวหาของอีกฝ่าย
“ แทฮยอน ” จู่ๆมินโฮก็เรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาแทฮยอนถึงกับวางช้อนลงแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างตั้งใจรับฟังเต็มที่ “ ฉันชอบรอยยิ้มของนายจัง ขอให้ฉันเห็นมันไปตลอดชีวิตเลยได้มั้ย ”
“ อา ใช่!! เนื่องจากวันนี้วันเกิดนาย งั้นฉันจะเป็นคนเสียสละล้างจานให้ก็แล้วกัน ส่วนนายก็แกะของขวัญดูซะสิ ” แทฮยอนเฉไฉไม่ยอมตอบ ก่อนลุกขึ้นเดินขากะเผลกไปยังอ่างล้างจาน
“ ฉันซีเรียสนะแทฮยอน!! ” มินโฮรีบเดินไปดักทางด้านหน้าพลางใช้มือใหญ่กระชับต้นแขนทั้งสองข้างของร่างบางเอาไว้แน่น
“ ให้ฉันล้างจานก่อนดิ วางไว้นานเดี๋ยวมดขึ้นนะเฟ้ย ” ร่างบางพยายามสะบัดตัวหนีจากการเกาะกุมของอีกคน
“ นายอย่าคอยแต่จะเปลี่ยนเรื่องได้มั้ย ขอร้องล่ะ ” มินโฮส่งเสียงอ้อนวอนกลับไป
ทั้งสองแลกสายตากันอยู่พักใหญ่ แววตาแน่วแน่ของมินโฮทำเอาแทฮยอนถึงกับพูดไม่ออก คนตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนกับซงมินโฮที่เขาเคยรู้จัก ไม่หลงเหลือคราบของคนเจ้าชู้อย่างที่เขาเคยเห็นเป็นประจำอีกต่อไป
‘ ถ้าเป็นซงมินโฮคนนี้ เขาจะฝากชีวิตเอาไว้ได้หรือเปล่านะ? ’
เฮ้ย ความคิดด้านบนนั่นมันของใครฟะ นัมแทฮยอนไม่ใช่ผู้หญิงนะเว้ยที่จะต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับใคร แมนๆอย่างเขาต้องยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองเซ่!!!!
“ เออ จะคุยก็คุยได้ แต่ปล่อยให้ฉันกลับไปนั่งเก้าอี้ก่อนได้ป่ะล่ะ ยืนนานแล้วมันเจ็บขานะเฟ้ย ” แทฮยอนโวยวายเสียงแหวพลางปัดมือใหญ่ที่เกาะบนต้นแขนตัวเองออก ก่อนพยุงสังขารอันอ่อนล้าให้กลับไปนั่งจุ้มปุ๊กลงบนเก้าอี้เหมือนเดิม
“ ทำไมนายเดินกะเผลกแบบนั้นล่ะแทฮยอน ” มินโฮถามอย่างตระหนกหลังจากเห็นท่าทางอันไม่สู้ดีของอีกฝ่าย
“ พอดีเมื่อเช้าหกล้มน่ะ หน้าห้างเลยเหอะ อายเป็นบ้า ” เมื่อเห็นว่าประเด็นสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแล้ว แทฮยอนก็เต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจที่จะปัดหัวข้อเดิมให้กระเด็นหายไปในอากาศแทบจะทันที
“ ห๊ะ แล้วลูกเราจะเป็นไงมั่งเนี่ย คนท้องเขายิ่งห้ามล้มอยู่ด้วยนะแทฮยอน ” มินโฮพูดเป็นเชิงต่อว่า ก่อนปรี่เข้าไปสำรวจหาบาดแผลบนตัวร่างบางเป็นพัลวัน จับทั้งแขนและขาพลิกซ้ายทีขวาทีเป็นการใหญ่
“ ลูก? เรา? ” แทฮยอนทวนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดไปหรือเปล่า
“ เอ่อ.. วันนี้วันเกิดฉัน ..ฉันขอเรียกอย่างนี้ซักวันแล้วกัน อย่าว่าฉันเลยนะ ” มินโฮพูดเสียงพึมพำก่อนก้มหน้าลงอย่างเขินๆ
“ ก็แล้วแต่ดิ จะเรียกแบบนี้ก็ได้นี่ มันก็ไม่ได้ผิดอะไรซักหน่อย ” แทฮยอนบอกอย่างไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
“ หืม นายอนุญาตให้ฉันเรียกเด็กในท้องว่าลูกเราได้งั้นเหรอ ” มินโฮทวนคำอย่างไม่เชื่อหู
“ ทำไมล่ะ ก็เด็กในท้องเป็นลูกเรา 5 คนอยู่แล้วนี่นา ” แทฮยอนบอกหน้าซื่อ
“ ได้ไงล่ะ ตอนทำเราก็ทำอยู่กันสองคนเองนะ เขาก็ต้องเป็นลูกของเราสองคนสิ จะเอาคนอื่นมานับรวมด้วยได้ไง ” มินโฮเรียกร้องสิทธิ์ของความเป็นพ่อด้วยใบหน้าขึงขัง
“ อ่าว อย่างนี้ก็ไม่แฟร์กับคนอื่นๆในกลุ่มสิ เด็กคนนี้น่ะ เกิดจากความร่วมมือของทุกคนนะ นายคิดดูถ้าไม่มีจินอู จะมีใครคิดโครงการขึ้นมา ถ้าไม่มีจีวอน ใครจะเป็นคนเตรียมการทดลอง ถ้าไม่มีฮันบิน ใครจะหาข้าวให้พวกนายกินตอนกำลังวิจัยงานไม่ทราบ ” แทฮยอนพูดพลางใช้มือลูบหน้าท้องป่องๆของตัวเองประกอบคำพูดไปด้วย
“ แต่ว่าฉันเป็นพ่อ แล้วนายก็เป็นแม่ของเด็กคนนี้นะแทฮยอน ” มินโฮจ้องใบหน้าหวานด้วยสายตาผิดหวังที่อีกฝ่ายมองเห็น ลูกของพวกเขาสองคน เป็นแค่ผลงานวิจัย
“ จะบ้าเหรอ เอาที่ไหนมาพูด ฉันเป็นผู้ชายนะ จะเป็นแม่ใครได้ไง แล้วฉันก็ไม่อยากเล่นพ่อแม่ลูกกับนายด้วย ” แทฮยอนปฏิเสธ เพราะเดิมที เขากับมินโฮก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว ที่พวกเขาสองคนต้องมามีอะไรกัน สาเหตุก็มาจากเรื่องงานเพียงเท่านั้น ที่สำคัญเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวในตอนนี้ด้วย และคิดว่ามินโฮเองก็คงเช่นกัน
“ นายใจร้ายมากรู้มั้ย แทฮยอน ที่พูดกับฉันแบบนี้ ” มินโฮตัดพ้อด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ ………………… ”
“ ทั้งๆที่ฉัน...ทั้งๆที่ฉัน... ” มินโฮอ้ำอึ้ง “ ทั้งๆที่ฉัน..ย...อยากเป็นพ่อของเด็กในท้องนายขนาดนี้ ” ร่างสูงว่าก่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วโถมตัวเข้ากอดเอวร่างบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไว้แน่น
“ ปล่อยฉันเลยนะเว้ย นายจะเป็นพ่อหรือเป็นแม่ก็เป็นไปดิ ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเรา 5 คนน่ะ ” แทฮยอนพูดพลางดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่กลับไม่สำเร็จ
“ ต้องให้ฉันพูดตรงๆใช่มั้ยนายถึงจะเข้าใจ ” มินโฮถามพลางออกแรงรัดคนในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก
“ เฮ้ย ปล่อยดิวะ ” แทฮยอนไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้รู้อย่างเดียวว่าเขากำลังอึดอัดจนแทบบ้า จนอาการชาช่วงล่างเริ่มเข้ามาแทนที่
“ ฉันรักนายแทฮยอน ฉันอยากได้นายมาเป็นภรรยาหรือพูดอีกนัยนึงคือแม่ของลูกฉัน ” มินโฮโพล่งออกมาเสียงดัง ก่อนจะหลับตาปี๋รอรับคำด่าของอีกฝ่าย
“ ………………… ” แทฮยอนได้แต่นิ่งอึ้งกับคำสารภาพรักแบบสายฟ้าแลบของมินโฮ จู่ๆก็รู้สึกหมดแรงดิ้นไปเสียเฉยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้คนตรงหน้านี่มันรัดแน่นจนกล้ามเนื้อเขาหมดแรง หรือ เพราะคำสารภาพรักชนิดหมดเปลือกของร่างสูงกันแน่
“ แทฮยอนจะรักฉันได้มั้ย ” มินโฮเห็นแทฮยอนนิ่งไปจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ ฉ....ฉัน....จ..เจ็บ...แผล อ้ากกกกกกก ” แทฮยอนร้องลั่น ในจังหวะที่มินโฮยกตัวขึ้น ทำให้เขาหายจากอาการชาที่ขาและเริ่มรับรู้ว่าหัวเข่าตัวเองกำลังร้าวระบมจากแผลอักเสบ
“ เฮ้ย แทฮยอน ฉันขอโทษ ฮือ หัวเข่านายมีเลือดซึมออกมาเต็มเลยอะ ทำไงดี ” มินโฮตกใจที่เห็นเลือดของแทฮยอนซึมเปรอะออกมานอกกางเกงจนได้แต่วิ่งพล่านไปทั่วห้องอย่างคนครองสติไม่อยู่
“ ไอ้มินโฮบ้า...ใครมันใจร้ายกันแน่วะ ไม่ใช่แกรึไงที่ชอบทำร้ายร่างกายฉันอยู่เรื่อยน่ะ โอ๊ย แล้วนี่แกจะวิ่งทำม้ายยย หาอะไรมาทำแผลให้ฉันซักทีสิโว้ย ” แทฮยอนแหวลั่น ขณะที่ใช้มือกุมหัวเข่าของตัวเองไว้แน่นอย่างเจ็บปวด
“ โอเคๆ ฉันต้องทำแผลให้นายสินะ ” สักพักหลังจากเรียกสติกลับคืนมาได้นิดหน่อย มินโฮก็เดินเข้าไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลจากห้องนอนออกมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนคนไม่ค่อยเต็มเต็ง ทำลายภาพลักษณ์เดือนนิเทศสุดหล่ออลังให้พังครืนไปในชั่วพริบตา
“ โอยยย ซี๊ด ” แทฮยอนครางด้วยความเจ็บแสบเมื่อมินโฮค่อยๆดึงผ้าก๊อซปิดแผลอันเดิมทิ้งไป
“ นายเจ็บขนาดนี้ มีแรงเดินซื้อของขวัญให้ฉันได้ไง ” มินโฮจัดให้เท้าของแทฮยอนเหยียบอยู่บนตักของตัวเองเพื่อที่เขาจะได้จัดการกับแผลตรงหัวเข่าของอีกฝ่ายได้ถนัดยิ่งขึ้น
“ ก็ฉันอยากขอบคุณนายจริงๆนี่ เลยต้องใช้ความพยายามมากหน่อย ช่วงนี้นายทำอะไรเพื่อฉันตั้งหลายอย่าง ขอบคุณนะ ” แทฮยอนถือโอกาสพูดขอบคุณอีกฝ่ายอย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้
“ แล้วนายรู้สึกรักฉันบ้างรึยังล่ะ ” มินโฮถามหาคำตอบจริงจัง
“ น้อยๆหน่อยเถอะ นายมีจีอึนอยู่แล้วนะ อย่าเที่ยวมาจีบคนอื่นมั่วซั่ว ” แทฮยอนว่าอย่างหงุดหงิด
“ คร้าบๆ ” มินโฮรับคำแล้วได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ร่างบางต่อไปเงียบๆ ไม่อยากปริปากบ่นหรือซักไซ้อะไรแทฮยอนอีกต่อไป เพราะกลัวว่าอีกคนจะรำคาญเขาไปมากกว่านี้
ณ ตอนนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีใครน่าสงสารไปกว่าซงมินโฮคนนี้อีกแล้วล่ะ ที่บทจะมีภรรยาทั้งที สาวเจ้าเขาก็เอาแต่ปฏิเสธ บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมรับท่าเดียว พอบทจะมีลูก ก็ดันต้องเอาสิทธิ์ความเป็นพ่อไปหารห้า เผื่อแผ่ให้ชาวบ้านเขาอีก
นี่มันเวรกรรมอะไรของมินโฮวะครับเนี่ย?
TBC
ประกาศเล็กๆ
เนื่องจากตอนนี้เป็นตอนล่าสุดที่มีอยู่ในสต๊อกแล้ว #นัมแทท้อง ตอนต่อไปจะมาช้าหน่อย-ช้ามากนะคะ ได้โปรดให้อภัยคนแต่ง และใจร่มๆกันนะคะทุกคน TT
TALK: ความสัมพันธ์นัมซงคืบหน้าไปเยอะแล้วเนอะ ชายซงทำตัวน่ารักเว่อร์ ถ้าเราเป็นแทฮยอนเราจะใจอ่อนภายในสามวิ โง้ยยยย แต่หนูนัมก็ยังคงคีพคาแรกเตอร์ได้ดีเจรงๆ บื้อๆแบ๊วๆต่อไป ให้มิโนได้ใช้ความพยายามในการจีบเยอะๆ ถือว่าให้คนเจ้าชู้ชดใช้กรรมละกันเนาะ อิอิ
น้องบินเป็นสิ่งมีชีวิตที่เจิดจ้าของเรื่อง น้องน่ารักจนอยากสิงเพ่จีวอน ฮรื่อออ ทำไงดีล่ะแม่จ๋า แต่งเองยังอยากได้เองเลย ฮื่อ อะไรจะนางฟ้าขนาดเน้ ส่วนพี่จีวอนก็ทำดีค่ะ เป็นคนดีต่อไป พระเจ้าต้องอยู่ข้างพี่แน่นอน!!
ส่วนคู่ท็อปจินูนี่ บรรยากาศเหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามัน คือถ้าได้กัน ลูกคงหัวปีท้ายปีแน่ๆเลอออ 55555
◊
ความคิดเห็น