คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บาดแผล
-5-
บาดแผล
เสียงกุกกักหน้าประตูห้องนอนตามมาด้วยเสียงเปิดประตูดังโครมและฝีเท้าของใครบางคนที่เดินตึงตังเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง
“ ซองกยู น้องอยู่ไหน!?! ” กอนัมฮยองผู้บุกรุกเข้ามาภายในห้องนอนของผมยามวิกาลโวยวายถามเสียงดังลั่นจนแทบกลายเป็นเสียงตวาด
“ น้องไหน? …อูฮยอนน่ะเหรอ ไม่รู้เหมือนกัน ” ผมสะลึมสะลือตอบออกไปด้วยความหงุดหงิดที่ถูกกวนเวลานอน
“ ลุกขึ้น แล้วไปกับฉันเดี๋ยวนี้ อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น ”
นรกอะไรก็ไม่ทราบ นอนฝันหวานอยู่ดีๆ จู่ๆก็โดนใส่อารมณ์ จู่ๆก็โดนลากออกจากเตียง แล้วจู่ๆก็โดนจับยัดเข้าไปตรงที่นั่งข้างคนขับแบบไม่ให้ถามสาเหตุ
“ อูฮยอนออกไปข้างนอก ถ้าให้เดาฉันว่าเขาไปตามที่ฝ่ายนั้นนัด…ยังไม่รู้สาเหตุ เพราะเดิมทีก็ตกลงกับฉันเรียบร้อยว่าจะอยู่ในห้องแล้วแท้ๆ…โรคจิตนั่นแม่งต้องข่มขู่อะไรมาอีกแน่ๆ ” กอนัมฮยองพูดสายอยู่กับใครบางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดฉุนเฉียว ท่าทางน่ากลัวต่างจากปกติลิบลับ เนื้อหาเกี่ยวกับนัมอูฮยอนที่ผมฟังไม่เข้าใจพรั่งพรูออกมาจากปากของเขาเรื่อยๆจนผมอดรู้สึกเครียดตามไม่ได้
ฝ่ายนั้น? โรคจิตหรือ แล้วข่มขู่อะไรกัน ทำไมมีแต่เรื่องให้ผมต้องตีความอยู่เต็มไปหมด
“ อยากรู้ใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น ” กอฮยองถาม ผมรีบพยักหน้า “ เตรียมใจไว้ได้เลยว่านายจะต้องเสียใจที่ได้ฟังแน่ ”
“ ฮยองบอกผมมาเถอะ ” สีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่หายตัวออกไปจากหอพักยามดึกขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน
“ มีผู้ไม่หวังดีส่งรูปถ่ายตอนอูฮยอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาให้ แรกสุดครอปส่งมาแค่เฉพาะแขนที่มีแต่รอยที่นายทำไว้ ผ่านทางเมนชั่น แต่หลังๆชักเหิมเกริม ส่งข้อความคุกคามทางเพศมาสารพัด ไม่ใช่น้อยๆนะ มันส่งมาให้ตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วล่ะ รวมได้เป็นร้อยๆข้อความ ทั้งคำพูดทั้งภาพส่อนิสัยวิตถารของฝ่ายนั้นได้ดีเลยล่ะ ”
ผมได้ยินแล้วถึงกับเบิกตาค้าง ที่ง่วงๆอยู่ก็หายโดยฉับพลัน ถึงอีกฝ่ายไม่เล่าเพิ่ม ผมก็เริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ลางๆแล้ว
“ ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อเย็นนี่ล่ะ อูฮยอนเดินหน้าซีดหน้าเซียวเข้ามาปรึกษา บอกว่าโรคจิตนั่นนัดเจอ ลงเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่เด็กอนุบาลยังเดาถูกเลยใช่มั้ยล่ะว่าอีกฝ่ายมันต้องการอะไรจากอูฮยอนกันแน่ ” เขาถามด้วยหางตา ผมพยักหน้าเห็นด้วย คนๆนั้นส่อเจตนาไม่บริสุทธิ์ผ่านทางข้อความถึงขนาดนี้แล้ว ที่นัดออกไปก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอย่างว่า
“ อีกฝ่ายนี่ ชายหรือหญิง? ”
“ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ เป็นเพราะนายข่มขืนอูฮยอนไม่ใช่หรือไง เขาถึงได้ตกเป็นเป้าให้คนอื่นข่มเหงอย่างนี้น่ะ ไอ้หมอนั่นมันก็แค่คิดจะทำแบบที่นายเคยทำกับอูฮยอนไง เพราะนอกจากมีรูปถ่ายแล้วมันยังรู้ดีซะด้วยนะว่าอูฮยอนโดนอะไรมา ไม่รู้ว่าไปได้หลักฐานมายังไงหรอก แต่เอามาใช้แบล็คเมล์ได้เหมาะเหม็งเชียวล่ะ ”
รู้สึกเหมือนกับโดนตบหน้าแรงๆด้วยคำพูด ขณะที่คนผิดอย่างผมยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในวงอย่างไม่เดือดร้อนอะไรเลยสักนิด แต่ความเลวระยำที่ผมกระทำไว้กลับส่งผลร้ายกับอีกชีวิตหนึ่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ปกติภาพลักษณ์หนุ่มน่ารักของอูฮยอนที่ถึงจะน่ารักแต่ก็ไม่ได้ดูบอบบางถึงขั้นเป็นเป้าให้พวกผู้ชาย แต่เป็นเพราะผม ถึงทำให้มีผู้ชายบางคนมองเห็นเขาในมุมน่าข่มเหงรังแก ผนวกเข้ากับความบังเอิญอันน่าบัดซบที่ผู้ชายบางคนที่ว่า ดันเข้าถึงตัวอูฮยอนถึงขนาดถ่ายรูปเก็บไว้หวังผลภายหลังได้ถึงขั้นนี้
“ แต่สบายใจได้ อูฮยอนย้ำนักย้ำหนาว่าจะกันนายออกจากเรื่องนี้ให้ได้ ถึงจะโดนไอ้บ้านั่นเอาเรื่องนี้ไปปูดกับพวกสื่อ ยังไงซะ ประวัติของนายที่เคยขาวสะอาดยังไงมันก็จะยังคงขาวสะอาดอยู่ยังงั้น ”
“ …………………. ”
“ นึกๆไปแล้วเหมือนจะตลกนะแต่จู่ๆท่อน ‘ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นขอทาน ’ ของอูฮยอนในเพลง BTD ก็ลอยเข้ามาในหัวเลยล่ะ ” เขาพูดพลางกลั้วหัวเราะ ทำเอาผมนึกเดาอารมณ์ไม่ถูกจนต้องส่งสัญญาณขอคำอธิบายเสริม
“ ก็หมอนั่นน่ะ ได้แต่รอความหวังจากนายด้วยท่าทางหงอยๆ ทั้งหวาดกลัว ทั้งกังวล แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปหา ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองโดนไอ้บ้านั่นครอบงำอยู่คนเดียวเงียบๆ ตอนเดินเข้ามาหาฉันก็ย่ำแย่เต็มทีเลยล่ะ ชนิดที่ว่าถ้าแหกปากร้องไห้โฮออกมาได้ก็คงทำไปแล้ว ”
สาเหตุที่ระยะหลังอูฮยอนดูไม่มีสมาธิทำงานก็คงเป็นเพราะอย่างนี้ เจ้าตัวไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่ช่วงนี้พอมีใครแหย่เล่นเข้านิดหน่อยก็ถึงกับหน้าเสีย ตัวสั่นไปเลยก็มี จนบางครั้งเมมเบอร์หรือทีมงานต้องรี่เข้าไปช่วยกันปลอบ
ทั้งที่อีกฝ่ายก็แปลกไปถึงขั้นนี้แล้วทำไมผมไม่เคยคิดจะไถ่ถามเขาสักคำ ถ้าผมรู้ตัวเร็วกว่านี้สักนิดก็คงดี
“ ทางเราก็เริ่มแกะรอยจากไอพีของเครื่องกับสัญญาณมือถือของฝ่ายนู้น กระทั่งส่งสายสืบลงพื้นที่ก็ทำไปแล้ว แต่ศัตรูมันก็กลบรอยเท้าจนเกลี้ยงเหมือนกัน แถมข้อจำกัดทางนี้ก็เยอะแยะ ” กอนัมฮยองบ่น ก่อนจะเหลือบตามองมาที่ผมอย่างจริงจัง “ ที่ๆเราไปอาจจะเจออูฮยอนหรือไม่ก็ได้ หรืออาจจะเจอแต่ไม่ทันก็ได้อีกเหมือนกัน ทางที่ดีก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆล่ะ ”
ลำคอผมแห้งผากเมื่อได้ยินประโยคนั้น นึกอยากโทษการทำงานของสายสืบที่ล่าช้าไม่ทันฝ่ายศัตรู หรือไม่ก็โทษพวกพี่ผู้จัดการที่ไม่ยอมบอกให้รู้ล่วงหน้า เผื่อจะได้รั้งอูฮยอนเอาไว้ไม่ให้ออกไปเจอเจ้าโรคจิตนั่นตามนัด แต่ก็ทำไม่ได้
…คงเพราะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง หากอูฮยอนต้องเป็นอะไรไป ผมคงไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้ว
---------------*---------------*---------------
เป็นที่ๆสี่ที่พวกเราไปแล้วไม่เจออูฮยอน ขณะที่เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ผมก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่ายังพอมีหวัง ตราบใดที่ยังไม่ยอมแพ้
ที่นี่เป็นโรงแรมลำดับที่ห้าในละแวกเดียวกัน ผมทิ้งให้กอนัมฮยองเดินเข้าไปสอบถามข้อมูลจากฝ่ายรีเซปชั่น ในขณะที่ตัวผมเลือกสืบจากพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจำที่อยู่ด้านนอกแทน
“ ผมนึกดีแล้วนะ แต่ไม่มีคนที่น่าจะเป็นเพื่อนคุณมาที่นี่จริงๆครับ ” คุณลุงหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดเมื่อผมเซ้าซี้ให้เขาช่วยนึกอย่างละเอียดเป็นรอบที่สาม
“ ขอบคุณมากครับ ” ผมเดินจากมาด้วยจิตใจที่อ่อนล้า พร้อมๆกับความหวังของผมที่เริ่มเลือนรางลงทุกที
ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงมาแล้วนับตั้งแต่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาอูฮยอน นานเกินพอที่จะทำให้ผมเริ่มหวั่นวิตกและอดคิดไปในแง่ร้ายไม่ได้
หากวินาทีที่ผมเงยหน้าขึ้นทอดมองไปยังถนนตรงหน้า ใครบางคนที่อยู่ในเสื้อฮู้ดสีเข้มกำลังเดินเอื่อยๆในสภาพเหมือนคนเหม่อลอยเข้ามาในกรอบสายตาของผม ลักษณะภายนอกและท่าทางการเดินที่ผมจำได้แม่นยำทำให้ผมไม่รอช้าที่จะวิ่งเข้าไปหาเขาในทันที
“ อูฮยอน!! ”
อีกฝ่ายผงะอย่างตื่นตระหนกเมื่อผมยื่นมือไปจับไหล่ของเขาเอาไว้ จนร่างบางๆเกือบโดนรถยนต์ที่แล่นมาตามทางเฉี่ยวเอา แต่โชคยังดีที่ผมคว้าเอวเขาเอาไว้ได้ทันถึงได้ปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่
“ ฮ.. ฮยอง ” น้ำเสียงของเขาเบาหวิวจนแทบจะกลืนหายไปกับเสียงของลมยามค่ำคืน
“ เป็นยังไงบ้าง มันไม่ได้ทำอะไรนายใช่มั้ย ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยืนได้ไม่มั่นคงดีนัก ผมถึงต้องคอยพยุงเอาไว้พลางสำรวจอาการของเขาไปพร้อมๆกัน
“ ฮยอง …ผม ..ฮึกๆ…ผม.. ” อูฮยอนพูดได้แค่นั้นก่อนจะวูบหมดสติไปในอ้อมแขนของผม
ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเซียวซ้ำยังเย็นเฉียบเสียจนผมตกใจ รอยช้ำบริเวณโหนกแก้มดูเด่นชัดจนสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายภายใต้แสงสลัวของไฟทาง พอครั้นไล่สายตาในระดับต่ำกว่านั้นก็ต้องพบเจอกับสิ่งที่ไม่อยากรับรู้มากที่สุด
กระดุมเสื้อที่หลุดลุ่ยเป็นเหตุผลให้อูฮยอนต้องเดินจับสาบเสื้อเอาไว้ตลอดเวลา แต่เมื่อยามเจ้าตัวหมดสติอย่างนี้ มือที่เคยจับเอาไว้ก็เลื่อนหลุด สาบเสื้อที่แยกออกจากกันก็เผยให้เห็นรอยแดงจ้ำมากมายที่กระจายอยู่ทั่วทั้งซอกคอและแผงอกแบนราบ
เท่านี้ผมก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองมาไม่ทัน แม้จะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ก็อดเสียใจมากไม่ได้อยู่ดี
---------------*---------------*---------------
กลิ่นคาวเลือดจากตัวเขายิ่งชัดเจนเมื่อปริมาตรอากาศถูกจำกัดไว้เพียงแค่ห้องๆหนึ่ง
ผมย้ายร่างไร้สติของอูฮยอนมาวางลงกับเตียงนอนอุ่นๆของห้องพักในโรงแรมแทนที่จะเป็นริมถนนอันหนาวเย็นนั่น
เพราะยังคิดอะไรกันไม่ออกและไม่รู้ว่าอูฮยอนเจอกับอะไรมาบ้าง กอนัมฮยองจึงตัดสินใจเปิดห้องในโรงแรมให้ผมพาเขาขึ้นมาดูแลอาการที่นี่ก่อนชั่วคราว ส่วนตัวเองจะรีบตามแกะรอยคนร้าย เพราะคิดว่าน่าจะยังหนีไปได้ไม่ไกลในระหว่างนี้
“ อึก... ” อูฮยอนส่งเสียงนำมาก่อนจะลืมตาขึ้นมองสภาพโดยรอบอย่างหวาดกลัว พอได้เห็นเต็มตาว่าเป็นที่ไหนก็รีบดิ้นหนีออกจากวงแขนผมแทบจะทันที “ ไม่!!! อย่าทำอะไรฉัน ”
“ อูฮยอนๆ นี่ฮยองเอง ใจเย็นๆ ” ผมโอบรัดร่างบอบบางของเขามากอดไว้แน่น ลูบหลังปลอบโยนพลางกระซิบข้างหูแผ่วเบา “ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว ”
“ ซองกยู...ฮยอง ฮยอง...ฮึก...ผม..ผ...ผม..ฮึกๆ... คน... ฮึก...ผม...ฮื่อ..คนตาย..ฮึกๆ..ผมฆ่าคนตาย ฮื่อๆๆ ” อูฮยอนฟูมฟายด้วยอาการตื่นตระหนกพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนเสียขวัญ จนผมแทบรับมือไม่ถูก
รู้สึกใจเสียที่ได้ยินประโยคนั้น จนได้แต่นึกปลอบตัวเองว่าอีกฝ่ายย่อมต้องมีเหตุผลสำหรับการกระทำแน่นอนอยู่แล้ว ผมไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ อย่างน้อยก็ต้องทำตัวให้เข้มแข็งเข้าไว้เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งพิงให้แก่เขา
“ ใจเย็นๆ อูฮยอน ดื่มน้ำก่อนนะ ” อีกฝ่ายหอบสะอื้นเสียตัวโยนจนผมเป็นกังวลว่าเขาจะหายใจไม่ทัน อย่างน้อยถ้ามีน้ำเย็นๆไหลผ่านลำคอลงไปบ้างน่าจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง อูฮยอนก็มีอาการสงบลงแต่ก็ดูอ่อนแรงลงมากเช่นกันจนผมต้องปล่อยเขาให้นอนราบไปกับพื้นเตียง ใบหน้าเผือดซีดและดวงตาหรี่ปรือจนดูน่าสงสารเกินไปหากผมจะคาดคั้นให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังในตอนนี้
“ คนๆนั้นขอมีอะไรกับผม...แลกกับความลับของเรา ” เป็นอูฮยอนที่คิดจะเล่ามันออกมาให้ผมฟังด้วยตัวเอง ประโยคสั้นๆแต่ผมรู้ดี เขาต้องกล้ำกลืนน้ำตามากมายแค่ไหนกว่าจะฝืนพูดมันออกมาได้
“ ผมพยายามหลอกให้เขาเชื่อว่าผมยินยอม ตะล่อมให้เขาแสดงตัวว่าตัวเองเป็นใคร เพื่ออัดเสียง เพราะอยากตลบหลังเขากลับบ้าง ...แต่เขาก็จับได้ เรายื้อแย่งเครื่อง MP3ที่ผมใช้อัดเสียงกันอยู่พักใหญ่ และสุดท้ายเขาก็ได้มันไป...” เสียงของอูฮยอนพึมพำคล้ายคนเพ้อไข้ ดวงตาเหม่อลอย หากเขายังคงมีสติครบถ้วนดีทุกประการ
“ เขาโมโหมากจนคลุ้มคลั่ง ผมโดนเขาจับกดลงกับเตียง โดนบีบคอจนหมดแรง แล้วเขาก็จับผมมัดมือทั้งสองข้างไว้ด้วยเข็มขัดของเขา... เหมือนวันนั้นเลย ผมได้แต่คิดในใจอย่างหดหู่ว่าตัวเองจะต้องโดนทำแบบนี้อีกแล้วเหรอ ” คำพูดของอีกฝ่ายกระแทกใจผมเข้าอย่างจัง เขา ในประโยคของอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรจากผมในวันนั้นเลยสักนิด
“ วินาทีนั้นผมได้แต่สงสัยว่าพระเจ้าท่านจงเกลียดจงชังอะไรผมนักหนา ถึงได้ให้ผมพบเจอแต่กับเรื่องอย่างนี้... แต่ผมก็ไม่ต้องการให้มันจบลงแบบนั้นอีกแล้ว ผมได้แต่คิดว่ายังไงก็จะต้องรอดให้ได้ ถึงได้ดิ้นรนสุดกำลัง... พอดีว่าก่อนหน้านั้นเขาสั่งเค้กมาฉลอง เลยมีมีดตัดเค้กวางอยู่ … ”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อนเต็มที นั่นคงเป็นไคลแมกซ์ของเรื่องที่แท้จริง อย่างน้อยผมก็ควรจะดีใจใช่มั้ย ที่อูฮยอนไม่ได้โดนข่มขืนอย่างที่กลัว
“ เราต่อสู้กันเพื่อให้ได้มันมา และสุดท้ายผมก็แทงที่หน้าอกเขา... ” ผมบีบมือส่งผ่านกำลังใจไปยังอีกฝ่าย นัยน์ตาของอูฮยอนดูอ่อนล้า ไร้ความหวัง ราวกับเจ้าตัวไม่ได้ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จนผมนึกกลัวใจเขา และรู้สึกหวั่นวิตกว่าหากเพียงละสายตา ร่างกายบอบบางนี้อาจจะสูญสลายไปต่อหน้าต่อตา
“ ไม่เป็นไร นายทำดีที่สุดแล้ว ” ผิวเผินฟังเหมือนแค่คำปลอบใจ แต่สำหรับผมมันดีที่สุดแล้วจริงๆที่อูฮยอนปลอดภัย
“ ผมเป็น…ฆาตกร ผมฆ่าคนตาย ” อูฮยอนพึมพำพร้อมกับหลับตาลงปล่อยน้ำใสๆให้ไหลออกจากหางตาเงียบๆ ไม่มีแม้เสียงสะอื้นให้ได้ยิน
“ ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะอยู่เคียงข้างนาย ” ผมบอกเขาพร้อมก้มลงจรดริมฝีปากลงบนขมับของอีกฝ่ายแผ่วเบาดั่งคำสัญญา
รู้ตัวดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับอูฮยอนเป็นความผิดของผมเอง ดังนั้นผมก็จะเป็นคนรับผิดชอบชีวิตของเขาจากนี้ไปด้วยตัวเองเช่นกัน
---------------*---------------*---------------
“ ค่อยๆเดินนะ อูฮยอน ตรงนี้มันชัน ” ผมร้องบอกก่อนปรี่เข้าไปช่วยพยุงร่างบางที่ยังเดินได้ไม่ถนัดนัก เนื่องจากบาดแผลที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ก่อนหน้ายังไม่หายสนิท
เป็นโชคดีของทั้งสองฝ่ายที่เจ้าโรคจิตใจทรามนั่นยังดวงไม่ถึงฆาต แค่อาการสาหัสเพราะเสียเลือดไปมาก แต่ที่รอดมาได้ อันที่จริงคงต้องขอบคุณสายสืบของทางเราที่แกะรอยจนเจอตัวและยังช่วยพาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลาอีกด้วย
ในเมื่อไม่มีใครตาย จึงถือว่าสองฝ่ายเสมอกัน แถมคลิปเสียงที่อูฮยอนอัดมาก็ดูจะใช้การได้ เพราะฝ่ายนั้นเป็นถึงลูกชาย ผอ. โรงพยาบาลที่อูฮยอนเคยรักษาตัวอยู่ แถมยังเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดที่ดูท่าทางจะมีอนาคตไกลอีก
พนันกันก็ได้ว่าอีกฝ่ายคงฉลาดพอที่จะไม่เอาประวัติตัวเองมาทำให้เสื่อมเสียด้วยเรื่องคาวโลกีย์แบบนี้แน่นอน
เป็นเพราะต่างคนต่างมีหลักฐานในการแฉอีกฝ่ายพอกัน ดังนั้นเรื่องราวจึงจบลงได้ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติอย่างที่ควรจะเป็น ยังคงไว้แต่แผลถูกแทงที่หัวไหล่กับต้นขา รวมถึงแผลทางใจที่คิดจะรักษาอย่างไรก็คงไม่หายขาดของนัมอูฮยอน
“ แหม ฮยองทำอย่างกับอูฮยอนฮยองเขาจะจำไม่ได้งั้นแหละว่าทางเข้าหน้าบ้านตัวเองมันชัน ” ลีโฮวอนที่เริ่มปากไม่อยู่สุขเอ่ยแซวขึ้น
“ ถ้าถึกๆอย่างนาย ฉันจะไม่ห่วงเลยซักนิด ” ผมแกล้งพูด
“ ก็ผมมันก็ไม่น่ารักน่าทะนุถนอมเหมือนอูฮยอนฮยองนี่เนอะ ” อีกฝ่ายแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดเสียจนผมรู้สึกคันปลายเท้าขึ้นมาตงิดๆ
ผมเลิกสนใจโฮวอนแล้วหันมาสังเกตอาการของอูฮยอนอย่างจริงจังๆสักที ความจริงร่างกายของเขาสมควรได้รับการพักฟื้นสักระยะ เพราะถึงแผลจะไม่ลึกเท่าไหร่ แต่หากมีการเคลื่อนไหวมากๆก็อาจทำให้อักเสบได้
แต่เป็นเพราะเจ้าตัวอ้างว่าอยู่เฉยๆแล้วกลัวว่าตัวเองจะฟุ้งซ่านจนเผลอทำอะไรแปลกๆลงไป ผมจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงทิ้งอูฮยอนไว้ที่หอคนเดียว เพราะเกรงว่าอะไรแปลกๆในความหมายของอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องอันตรายอย่างที่ใครคาดไม่ถึง
วินาทีนี้จะหน้าไหนก็ไม่มีใครสามารถเดาใจนัมอูฮยอนได้ ต้องยอมรับว่าลึกๆแล้วผมรู้สึกกลัวใจเขามากกว่าอะไรทั้งหมด จิตใจที่ถูกทำร้ายไม่ต่างอะไรกับแก้วใสเปราะบางที่ถูกทำให้มีรอยร้าวของอูฮยอน หากมีอะไรมากระทบกระทั่งอีกเพียงนิดก็อาจจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ
ตั้งแต่วันนั้น.. อาจจะหมายถึงวันที่ผมบอกให้เราเหมือนเดิมเป็นต้นมา ผมก็แทบจะไม่เห็นรอยยิ้มของอูฮยอนอีกเลย ยิ่งหลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาก็ยิ่งแย่ลง จากที่แทบไม่ยิ้มก็กลายเป็นเฉยเมย ไม่ยอมพูดจา บุคลิกเปลี่ยนจากที่เคยเป็นคนสดใสก็กลายเป็นนิ่งขรึม ไม่สนใจใคร เอาแต่ขลุกอยู่กับโลกส่วนตัวของตัวเองมากเสียยิ่งกว่ามยองซูซะอีก
“ นายจะไม่กินอะไรเลยไม่ได้นะ รู้มั้ย ” ผมพูดเตือนสติคนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงชั้นล่างที่ผมยกให้เขาใช้ชั่วคราวจนกว่าแผลจะหาย ก่อนทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างด้านข้าง
อูฮยอนลืมตาขึ้น ไร้แววสะลึมสะลือ ผมรู้ดีว่าเขาไม่ได้ง่วงจนถึงขนาดต้องเข้านอนในทันที แค่ต้องการปลีกตัวออกจากกลุ่ม เขาไม่ตอบรับ ไม่แม้แต่จะสบตากับผมด้วยซ้ำ
“ โอเค นายอาจจะเพลีย ฮยองจะปล่อยให้นอนพักก่อน แล้วดึกๆค่อยปลุกขึ้นมากินข้าวกินยาแล้วกัน ”
เหมือนเดิมอย่างที่เป็นมา เขาทำแค่หลับตาลง ไม่โต้ตอบกลับมาราวกับเห็นผมเป็นอากาศธาตุ รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนมีความอดทนมากมายอะไร แต่ที่ยอมอ่อนให้อีกฝ่ายถึงขนาดนี้ แม้แต่ตัวผมก็ยังรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่หาย
.
.
.
.
แต่ความอดทนของคนเราก็ย่อมมีลิมิตในตัวมันเอง เพียงแต่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าเวลาไหนที่ความอดทนของตัวเองจะสิ้นสุดลง
สำหรับผมคงเป็นตอนที่เห็นอูฮยอนปฏิเสธอาหารที่ผมนำมาส่งให้ถึงเตียงด้วยท่าทีเมินเฉย และคำพูดประโยคหนึ่งของเขาหลังจากนั้น
“ ฮยองอย่าทำแบบนี้เพราะสงสารผมเลย มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง ”
ทั้งที่ผมทำไปเพราะเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายกลับตีค่าความหวังดีของผมเป็นเพียงแค่การดูถูกดูแคลน มันจะไม่มากไปหน่อยหรือ?
“ เสียใจนะที่ได้ยินนายพูดแบบนี้ ”
“ .................... ”
“ แต่เอาเหอะ ถ้านายว่าอย่างนั้น ต่อไปก็จะไม่ยุ่งล่ะนะ ก็ดีเหมือนกัน จะได้หมดภาระฉันซักที ” ผมใช้ถ้อยคำร้ายๆกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียใจที่เอ่อล้นอยู่ในอก ก่อนจะยกถาดอาหารกลับออกไปด้วยท่าทางเย็นชา
นี่สินะสิ่งที่ผมควรทำ ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องเห็นใจ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ
Talk:
ข่าวดี!! ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วน้าาา ขอบคุณทุกท่านที่อยู่กับเรามาจนถึงตอนนี้นะคะ แล้วขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
◊ SQWEEZ
ความคิดเห็น