คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Alone
Vampire High School
- ตอนที่ 2 -
เช้านี้ชินอูฮยอนลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการเวียนศีรษะคล้ายคนเป็นโรคความดันโลหิตต่ำ เด็กหนุ่มหยัดตัวขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนล้า ประกอบกับสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ จนไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูจะกลายเป็นเรื่องยากไปหมดสำหรับเขาในเวลานี้
ไม่มีกำลังใจ ไม่อยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว
แต่จะเป็นไปได้หรือในเมื่อคลำหน้าอกด้านซ้ายยังคงเจอก้อนเนื้อที่เต้นเป็นจังหวะ เนื้อตัวก็ไม่ได้เย็นชืด เลือดในกายก็ยังสูบฉีดได้ดี อวัยวะทุกส่วนก็ยังคงทำงานได้ตามปกติ
ทั้งตัวเขาก็ยังคงหายใจได้อยู่ … ในโลกใบเดิม บนเตียงไม้หลังเก่า ด้วยชีวิตประจำวันแบบเดียวกับวันก่อน ที่ยังคงโดดเดี่ยวไม่ต่างจากเดิม
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ” ฮวังซองยอลส่งคำถามนำมาก่อนแทนที่จะเป็นคำทักทายด้วยน้ำเสียงโมโนโทนตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“ เดินป้วนเปี้ยนในบ้านคนอื่นอย่างกับเป็นบ้านตัวเองเลยนะ ” อูฮยอนแสร้งทำเมินคำถามเพื่อนสนิท เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง ก่อนจะส่งคำกระแนะกระแหนกลับไปแทนเพื่อหวังเปลี่ยนประเด็น
“ ฉันเป็นห่วง ไม่รู้เหรอ ” ซองยอลว่าอย่างไม่ยอมหลงกล พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเดียวกับอีกฝ่าย
“ เมื่อก่อนนายไม่เป็นแบบนี้นะ ” อูฮยอนกลั้นหัวเราะ เพราะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับฮวังซองยอลที่ดูอ่อนโยนและมีเมตตากับเขาขนาดนี้
“ ไม่รู้สิ ” บางทีซองยอลก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกไปเหมือนกัน ที่จู่ๆก็รู้สึกอยากปกป้องคนๆนี้ขึ้นมา “ คงเป็นเพราะความกากของนายนั่นแหละ ฉันถึงวางใจปล่อยให้คลาดสายตาไม่ลงสักที ”
“ ฮอล! ใครขอกัน ”
“ รีบอาบน้ำสิ ฉันเอาของโปรดนายมาด้วย อยู่ข้างล่างแน่ะ ”
“ ของที่แม่นายทำน่ะเหรอ ว้าว สุดยอด รักนายจังฮวังซองยอล ” อูฮยอนให้รางวัลคนทำดีด้วยการแตะจูบเบาๆที่แก้ม ก่อนคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปด้วยความดี๊ด๊า
ซองยอลส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาเพื่อนนิสัยเด็กของตัวเอง ตอนเขาเข้ามาทีแรกยังเห็นทำหน้าเหมือนน้องหมาถูกทิ้งอยู่แท้ๆ พอได้ยินเรื่องของกินเข้าหน่อย หน้าตูบๆนั่นก็กลับกลายเป็นยิ้มร่าขึ้นมาได้อย่างไรไม่ทราบ
แต่ก็ดีแล้ว …
ร่างสูงเพรียวอมยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเอง รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนฉ่าบนใบหน้า ยังดีที่อีกฝ่ายมุดหัวเข้าไปในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นต้องเห็นแน่ว่าหน้าของเขาแดงแค่ไหน
“ ทำไมหัวใจฉันถึงเต้นเร็วแบบนี้นะ ” เด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวพึมพำพลางยกสองมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเองด้วยความสับสน
‘ เป็นความผิดของฉันเองแหละ ซองยอล ’ เด็กสาวร่างเล็กหน้าตาสะสวยในชุดเดรสสีดำที่มีสมุดความลับแห่งสวรรค์เล่มเขื่องในอ้อมแขน เอ่ยตอบด้วยสุ้มเสียงที่มนุษย์โลกอย่างฮวังซองยอลไม่มีทางได้ยิน
‘ อย่าโทษตัวเอง อีซึลบี เธอทำดีที่สุดแล้ว ’ ชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านในชุดสีดำสนิทพูดขึ้น พร้อมกับสาวเท้าเข้ามายืนข้างกัน
‘ รุ่นพี่!! ’
‘ เธอจำเป็นต้องกลับคืนสู่สถานะนางฟ้า มนุษย์จะต้องไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับตัวเธอ นั่นก็ถูกต้องที่สุดแล้ว ’
‘ มันก็อาจจะถูกที่ฉันลบตัวตนของตัวเองที่อยู่ในความทรงจำของพวกเขาทิ้งไปทั้งหมด... ’
‘ อืมม แล้วยังไงล่ะ ’
‘ รุ่นพี่คิดดูว่าความทรงจำระหว่างพวกเขาในตอนนี้จะถูกบิดเบือนไปมากแค่ไหน อูฮยอนน่ะมักตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสมอ แล้วซองยอลก็มักจับพลัดจับพลูเข้าไปช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ นั่นก็เพราะมีฉันเป็นตัวกลาง… ’ อีซึลบีพยายามไล่เรียงเรื่องราวทั้งหมดให้เทวดารุ่นพี่ได้เข้าใจความคิดของเธอ
‘ …แต่พอเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับฉันแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าที่ผ่านมาซองยอลเต็มใจช่วยเหลืออูฮยอนด้วยความต้องการของตัวเองน่ะสิ... ฝ่ายหนึ่งคอยปกป้องกับอีกฝ่ายหนึ่งถูกปกป้อง... โอ๊ยยย ถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปจนกลายเป็นมากกว่าเพื่อน มันก็เป็นเพราะฉันแท้ๆเลย ฮื่อออ ’ นางฟ้าตัวน้อยกุมศีรษะพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยอาการคุ้มคลั่งอย่างรู้สึกรับไม่ได้
ทั้งตอนที่อูฮยอนจมน้ำแล้วซองยอลกระโดดลงไปช่วย ตอนหาสร้อยในสระน้ำ ตอนที่มีเรื่องกับนักเลงประจำห้อง และอีกหลายๆเหตุการณ์ ล้วนเป็นฉากชวนจิ้นที่สามารถพบเห็นได้ในการ์ตูนวายโดยทั้งสิ้น
ยิ่งเห็นท่าทีของซองยอลที่มีต่ออูฮยอนในวันนี้ อีซึลบีก็ยิ่งหวั่นใจ กลัวจะเกิดเรื่องโรแมนซ์ระหว่างเพื่อนชายทั้งสองคน เพราะความผิดพลาดของเธอเอง
‘ แต่อย่างน้อยอูฮยอนก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวในเวลาแบบนี้ นั่นก็เป็นข้อดีไม่ใช่เหรอ ’
‘ ก็ตราบเท่าที่พวกเขาไม่กลายเป็นคู่โฮโมกันไปซะก่อนล่ะนะ ’
…………………………………………………..…………..
ลึกลงไปภายใต้ผิวดินเย็นเฉียบ ที่ๆแสงตะวันและสายลมไม่มีวันย่างกราย ยังมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ซึ่งถูกออกแบบและวางแผนก่อสร้างด้วยความประณีตวิจิตรโดยสถาปนิกมีชื่อ จนกลายเป็นปราสาทใต้ดินสุดหรู
ที่เปิดต้อนรับเฉพาะแวมไพร์รัชทายาทกับเหล่าลูกสมุนเพียงเท่านั้น
... หากเป็นที่นี่แล้ว มั่นใจได้เลยว่าผิวหนังของพวกเขาจะปลอดภัยจากรังสียูวีแบบ 100% เต็ม
“ ต๊อก ต๊อก ต๊อก ” เสียงพิมพ์หน้าจอโทรศัพท์ที่ดังขึ้นต่อเนื่องนานนับนาที สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้แก่คิมซองกยู ผู้ตัดสินใจเข้านอนไปตั้งแต่เมื่อ 5 นาทีที่แล้วได้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร
“ ตะวันไล่แล้ว เจ้ายังไม่เข้านอนอีกหรือ ดงอู ” ผู้เป็นหัวหน้าอดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถามลูกน้องด้วยความข้องใจ
“ ข้ามีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับชินอูฮยอนจะมาอัพเดทให้ท่านฟัง ” แวมไพร์ลูกสมุนบอกอย่างไม่สนแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบ 7โมงเช้า ซึ่งเลยเวลาเข้านอนของเขามาร่วมชั่วโมงแล้วก็ตาม
“ งั้นว่ามา ”
“ เจ้าหนูใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่แยกทางกัน ตัวพ่ออยู่อเมริกา ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้ ส่วนทางแม่ก็ไม่เคยมีการติดต่อกลับมาอีกเลยตั้งแต่แยกทางกับพ่อ ตอนนี้คุณย่าเสียเข้าสัปดาห์ที่สองแล้ว แต่ก็ยังติดต่อทั้งคู่ไม่ได้ เรียกได้ว่าหัวเดียวกระเทียมลีบของแท้ ”
“ ทำไมเจ้าไม่รายงานให้เร็วกว่านี้ ถ้าได้รู้ก่อน ข้าคงไม่ปากมาก... ” ซองกยูว่าพลางนึกถึงประโยคที่เขาพูดกับชินอูฮยอนเมื่อคืนด้วยสีหน้าจืดเจื่อน
“ มีพ่อแม่คอยปกป้อง มีเงินมีทองให้ใช้ มีบ้านดีๆให้อยู่ มีอาหารอุ่นๆให้กิน แล้วยังไม่พอใจชีวิตอีกเหรอ มนุษย์อย่างเจ้านี่ช่างน่าสมเพชนัก ”
เขาไม่รู้อะไรเลยแท้ๆยังเที่ยวไปสั่งสอนคนอื่นปาวๆ ขายหน้าไม่เท่าไหร่ สำคัญที่ความรู้สึกของเจ้าเปี๊ยกนั่นมากกว่า ไม่รู้อีกฝ่ายจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่จู่ๆก็ต้องมาโดนคนแปลกหน้าวางท่าพูดจาค่อนขอดใส่เอาๆแบบนั้น
“ ทำไงได้ล่ะท่าน กว่าสายของข้าจะตีซี้กับอาแปะร้านขายของชำแถวๆนั้นได้สำเร็จ กว่าแกจะวางใจจนยอมเปิดปากเล่าเรื่องครอบครัวอื่นให้ฟังได้ มันก็ต้องอาศัยเวลาทั้งนั้น ” จางดงอูพูดอย่างขอความเห็นใจ
“ งั้นตอนนี้เจ้าเปี๊ยกก็ไม่มีใครเลยสินะ ” ว่าจบ แวมไพร์รัชทายาทก็ถอนหายใจยาวด้วยอารมณ์หดหู่กับชะตากรรมของเหยื่อตัวน้อย
ถ้าได้ยินคำว่าอยากตายจากปากชินอูฮยอนอีกที รอบนี้เขาจะไม่แปลกใจ แต่จะรีบโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่นๆให้จมอกตายสมใจอยากไปเลย (ถ้าการกอดแน่นๆมันสามารถทำให้มนุษย์ตายได้ละก็นะ…)
“ มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิท่านซองกยู ”
“ ……….. ”
“ พ่อของเจ้าหนูนั่นเอาบ้านของคุณย่าไปจำนองกับพวกออกเงินกู้นอกระบบ ตอนนี้เจ้าหนี้ก็ออกตามทวงยิกๆ ตัวพ่อก็หายไปไหนไม่รู้ ผลกรรมเลยตกลงที่ลูกชายคนเดียว ซึ่งก็คือเจ้าเปี๊ยกของท่านนั่นแหละที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะกำลังจะไม่มีที่ซุกหัวนอนอยู่รอมร่อ ”
“ ญาติล่ะ มีมั้ย ” ซองกยูพยายามหาทางออกสวยๆให้กับเรื่อง แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้ารัวๆจากคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง
“ สำหรับเด็กอายุเท่านี้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กรณีหาพ่อแม่ไม่พบและไม่มีผู้ดูแล เผลอๆอาจจะถูกส่งตัวไปสถานสงเคราะห์ ... ”
เป็นประโยคที่ทำเอาทั้งคนพูดและคนฟังรู้สึกจุกไปพร้อมๆกัน คำตอบสุดท้ายน่าเศร้าใจหาย ขนาดแวมไพร์ที่โชกโชนมาทั้งชีวิตอย่างพวกเขายังแทบไม่อยากนึกถึงสถานที่แบบนั้นเลย
แล้วเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ดูเปราะบางเสียเหลือเกินอย่างชินอูฮยอนจะทนรับไหวหรือ?
“ ข้ามีทางออกที่ดีกว่านั้น หากเรารู้จักพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสสักหน่อย ”
…………………………………………………..…………..
“ ดื้อ!! ” ฮวังซองยอลพูดคำเดิมด้วยความหงุดหงิดเป็นรอบที่ร้อย หลังจากผ่านความยากลำบากในการดูแลคนป่วยไม่เจียมสังขารอย่างชินอูฮยอนมาครึ่งค่อนวัน
เมื่อเช้าเห็นกระตือรือร้นจะไปเรียนหลังจากที่ไม่ได้ไปมาเป็นสัปดาห์ เขาก็อุตส่าห์ดีใจ คิดว่าไม่เสียทีที่มารับถึงบ้าน ที่ไหนได้ ไปเอาความรู้จากอาจารย์มาได้แค่คาบเดียว คาบที่เหลือคนเก่งทำได้แค่นอนแบ็บอยู่ในห้องพยาบาลจ้า
“ เงียบน่า ” อูฮยอนว่าหน้ามุ่ย
“ ไปตรวจที่คลินิกสักหน่อยเถอะ ถือว่าขอ ” รอบที่สิบกว่าๆสำหรับประโยคนี้ ซองยอลมองสีหน้าซูบซีดของเพื่อนตัวเองแล้วอดห่วงไม่ได้ คาบเช้าเป็นลมไปแล้วรอบหนึ่ง แถมระหว่างวันก็หน้ามืดมาเป็นระยะๆ ปล่อยให้เดินเองก็โงนเงนจนต้องคอยพยุง อาการโดยรวมจัดว่าแย่ แต่ยังรั้นไม่ยอมหาหมอ เอาแต่จะกลับบ้านอยู่ท่าเดียว
“ ถ้านายไม่เลิกพูด จะเลิกคบละนะ ” คนตัวเล็กขู่ พลางฉวยกระเป๋านักเรียนของตนจากมืออีกฝ่ายมาถือด้วยตัวเอง
อูฮยอนไม่อยากไปคลินิก ไม่ใช่เพราะดื้อดึง หากเขามีเหตุผลสำคัญอยู่สองข้อที่บอกซองยอลไม่ได้
ข้อแรก เขาจะให้ใครรู้เรื่องที่ตัวเองโดนแวมไพร์ดูดเลือดไม่ได้ พนันได้เลยว่าถ้าหมอตรวจร่างกายเขาแล้วต้องถามถึงรอยกัดตรงคอด้วยแน่ ดีไม่ดีอาจพยายามเชื่อมโยงมันเข้ากับอาการของเขา และไม่นานทุกคนรวมถึงซองยอลก็จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาในที่สุด
การลากเพื่อนสนิทมาเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดและอันตรายเช่นเดียวกับเขา เป็นสิ่งที่อูฮยอนต้องการหลีกเลี่ยง
อีกข้อคือจำนวนเงินในบัญชีของเขาตอนนี้มีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่การหาหมอย่อมต้องใช้เงินเป็นธรรมดา ซองยอลเองก็รู้ดีและต้องพยายามหาทางช่วยเขาแน่ แต่เขาไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณอีกฝ่ายไปมากกว่านี้แล้ว … เพราะไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องจากกันในเร็วๆนี้
ร่างบางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านด้วยอาการเหนื่อยหอบ รอยยิ้มน้อยๆจุดขึ้นที่มุมปากของเขาขณะแหงนหน้ามองป้าย ‘ร้านต๊อกโบกิของมิสกง’ ที่อยู่เหนือศีรษะด้วยแววตาแสนอาลัย ในเวลาเดียวกันมือเรียวก็ทำหน้าที่สอดลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจด้วยความเคยชิน
‘ เปิดไม่ออก!! ’ อูฮยอนหน้าเสียแต่ยังคงเก็บอาการ มั่นใจมากว่าลูกกุญแจที่อยู่ในมือเป็นดอกเดียวกับที่เขาใช้เปิดประตูเข้าออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงไม่มีทางที่จะผิดพลาดไปได้
ปัญหาเกิดขึ้นจากรูกุญแจต่างหากที่ไม่สอดรับกับลูกกุญแจ
หากปัญหาใหญ่กว่านั้นคือใครเป็นผู้มาเปลี่ยนมัน!?!
แต่ปัญหาร้ายแรงที่สุดคือด้วยสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองยังคงสถานะเจ้าของบ้านอยู่หรือไม่ … หากคิดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองก็น่าจะเป็นอย่างหลังนั่นล่ะ
บ้าน สิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ … ไม่มีแล้วสินะ
“ รีบเปิดสิ อากาศข้างนอกเริ่มเย็นแล้วนะ ” ซองยอลเอ่ยเร่ง ฤดูหนาวแบบนี้ แค่ 6 โมงเย็น อาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าแล้ว อุณหภูมิต่ำๆแบบนี้ไม่เหมาะกับคนป่วยเอาซะเลย
“ ฉันจะนั่งเล่นหน้าบ้านก่อน อยากสูดอากาศเย็นๆซักหน่อย นายกลับไปเลยก็ได้ ” คนตัวเล็กอ้าง พลางทรุดตัวลงนั่งข้างกระถางต้นไม้หน้าบ้านด้วยท่าทางเหมือนว่ากำลังรู้สึกสดชื่นสดใสเสียเต็มประดา ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกเลยสักนิด
“ งั้นอย่านั่งนานนักล่ะ พอใจแล้วก็รีบๆเข้าไป เดี๋ยวฉันถึงบ้านแล้วจะโทรหา ” เห็นว่าเพื่อนสนิทท่าทางอารมณ์ดีแล้ว ซองยอลจึงไม่อยากขัดใจ เขาทำแค่ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆทิ้งท้ายแทนคำพูดแสดงความห่วงใย ก่อนตัดใจเดินจากมาแต่โดยดี
อูฮยอนมองตามแผ่นหลังของซองยอลที่ค่อยๆไกลออกไปทุกขณะด้วยความรู้สึกหดหู่ ความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ มันอบอุ่นเสียจนทำให้ร่างบางอยากร้องไห้
เขาไม่มีครอบครัว บ้านก็โดนยึด เงินทองก็ร่อยหรอลงทุกที ไร้อนาคตและเป้าหมายในชีวิต … น่าอดสูเสียจนอยากรีบหายไปจากชีวิตแบบนี้เร็วๆ
“ ขอโทษที่ฉันไม่เข้มแข็งพอนะ ซองยอล ” เพราะรู้สึกละอายเกินกว่าจะพูดต่อหน้า ร่างบางจึงฝากข้อความผ่านทางสายลมให้ช่วยพัดพาถ้อยคำของเขาไปหาเพื่อนคนสำคัญแทน
ช่วงเวลาไพร์มไทม์ของหมู่บ้าน มีผู้คนจำนวนมากทั้งจากภายในและละแวกใกล้เคียงเดินสวนกันขวักไขว่บนถนน ด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลาย บ้างก็มาพักผ่อนหย่อนใจ บ้างจับจ่ายสินค้า หรือบ้างก็มาสรรหามื้อเย็นสำหรับตัวเองและคนในครอบครัว
ซุปเปอร์คาร์ตัวเลขราคาแปดหลักลักษณะไม่เข้ากับหมู่บ้านแล่นฉิวเข้าจอดเทียบท่า ‘ร้านต๊อกโบกิของมิสกง’ ครู่หนึ่งเครื่องยนต์ก็ดับลง พร้อมกับการปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผยของผู้เป็นเจ้าของรถ
“ ช่วงนี้ร้านเราหยุดบริการชั่วคราวนะครับคุณลูกค้า รบกวน… ” เสียงแจ้วๆของอูฮยอนชะงักลง เมื่อได้เห็นโฉมหน้าของผู้มาเยือนเต็มตา
เป็นแวมไพร์หน้าตาคุ้นเคยที่เดินลงจากรถหรูมายืนยิ้มร่าโชว์เขี้ยวหราให้เขาหน้าตาเฉย ร่างบางมองสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ตรงหน้าด้วยความงุนงงกับการมาในรูปแบบปกติเกินคาดสำหรับแวมไพร์ แต่กลับดูโอ่อ่าไปนิดสำหรับชาวบ้านในละแวกนี้ของอีกคน เอ้ย อีกตน
“ ร้านหยุดบริการชั่วคราว? ไม่ใช่ว่าถูกยึดหรือไง ” แวมไพร์รัชทายาทถามด้วยน้ำเสียงแกมหยอก
“ ทำไมคุณถึงรู้ ” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“ เพราะตอนนี้ข้ากลายเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่แล้วน่ะสิ ” ซองกยูตอบพร้อมชูโฉนดบ้านและที่ดินของคุณย่าที่เขาได้มาจากการชดใช้หนี้ของพ่อของอีกฝ่ายให้เจ้าตัวดูเต็มๆตา
“ อย่าบอกนะว่าคุณใช้หนี้ทั้งหมด!... ”
“ ใช่ ขอบคุณข้าซะสิ ตอนนี้พวกเจ้าหนี้ก็จะไม่มาระรานเจ้าแล้วไง ” รัชทายาทแวมไพร์ส่งยิ้มตอบอย่างภาคภูมิ
“ คุณดีกับผมเพื่ออะไร ทั้งที่หลังจากนี้พอคุณดูดเลือดผมจนหมดตัว ผมก็แค่แห้งตายไปเฉยๆ ไม่มีอะไรจะตอบแทนให้คุณหร… อื้อออ ” ประโยคขาดหายไปพร้อมกับลมหายใจของเจ้าของคำพูดที่โดนฉกชิงไปโดยริมฝีปากอุ่นๆของอีกคน
“ อย่าพูดอะไรน่าเศร้าอย่างนั้น ” แวมไพร์ผละออกจากริมฝีปากนุ่มนิ่มของเด็กหนุ่มพร้อมกล่าวอย่างคาดโทษ “ ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะโดนจูบอีก เข้าใจมั้ยเจ้าเปี๊ยก ”
“ ค…คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ ” อูฮยอนถาม เพราะอยากเข้าใจเจตนาและการกระทำของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
คำพูดคำจาก็ฟังดูอบอุ่นดีอยู่หรอก แต่พฤติกรรมมือไวใจเร็วแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย
“ ก็แค่อยากให้เจ้าเลิกดูถูกตัวเองซักที ‘พวกเหนือกฎ’ อย่างเจ้า มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเผ่าพันธุ์ของเรา ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เอาไว้ ”
“ ที่คุณพูดมา คิดว่าผมจะเข้าใจมั้ย ไอ้เหนือกฎอะไรนั่นน่ะ ”
“ ปกติคนที่โดนแวมไพร์กัดก็จะกลายเป็นแวมไพร์ ข้อนี้เจ้าคงพอรู้ ” ซองกยูอธิบายพลางยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นแตะพวงแก้มที่เย็นชืดเพราะอุณหภูมิอากาศที่ลดต่ำลงของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ … แต่ ‘พวกเหนือกฎ’ น่ะต่างออกไป “
“ คือผมจะไม่กลายเป็นแวมไพร์… ” อูฮยอนสรุปความด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับเขา
คนกำลังอยากตาย จะมามัวสนทำไมว่าตายแล้วไปไหน หรือจะไปงอกใหม่เป็นตัวอะไร แค่ได้หลุดพ้นจากสถานะที่เป็นอยู่ได้ก็พอใจแล้ว
“ ถูก!!! นอกเหนือจากนั้นยังสามารถตั้งท้องลูกของแวมไพร์ได้ด้วย เก๋มั้ยล่ะ!?! ”
ตัวละครรับเชิญพิเศษ
อีซึลบี รุ่นพี่
TALK:
ก่อนอื่นต้องขอโทษแฟนคลับอีซึลบีด้วยนะคะ
ด้วยทิศทางของเรื่องทำให้นางฟ้าน้อยต้องกลับสวรรค์ เลยมีบทแค่นิดเดียวเอง
ฟิคเรื่องนี้เสมือนทางแยกของ High School Love On ep.8
มันเริ่มจากการที่เราลองจินตนาการเล่นๆว่าถ้าซึลบีกลับสวรรค์ไปจริงๆตั้งแต่ตอนนั้น
ชีวิตที่เหลือของชินอูฮยอนจะเป็นยังไง
จากนั้นก็จับพระเอก(กว่า)ใส่เข้าไป(ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคิมซองกยูผู้นี้นี่เอง 55+)
จะให้พี่แกเป็นคนธรรมดาที่เข้าไปอยู่ในเรื่องก็ดูจะธรรมดาเกินไป
ไหนๆพี่กยูแกก็เล่นละครเวทีเรื่องแวมไพร์มา ก็เอาบทรัชทายาทแวมไพร์ไปนั่นแหละ ดูยิ่งใหญ่ดี 555
และทั้งหมดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฟิค Vampire High School ถือกำเนิดขึ้นมา โอ้ววววว
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และกำลังใจจากทุกท่านค่ะ
คอมเมนท์ติได้เต็มที่เลยนะคะ อย่าได้เกรงใจ 555 เพราะเราเองก็อยากปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นเหมือนกันค่า
ฝากฟิคแฟนตาซีติงต๊องเรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมใจทุกท่านด้วยน้าค้า
© HK FreeTheme;}
ความคิดเห็น