คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Vampire Gang
Vampire High School
- ตอนที่ 1 -
ทัศนียภาพรอบหมู่บ้านยังคงแจ่มชัดแม้เวลากลางคืนจากแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ สายลมเสียดสีกับอากาศแห้งในฤดูหนาวดังหวีดหวิว คลอเสียงสุนัขเห่าหอนชวนขนลุกอย่างประหลาด
เข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้า คือวิถีชีวิตของชาวบ้านในละแวกนี้ เพราะส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย ต้องเปิดร้านตั้งแต่เช้าตรู่ แถมตอนนี้ก็เที่ยงคืนเข้าไปแล้ว การที่หมู่บ้านจะร้างผู้คนสักหน่อยก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ด้วยเวลาและบรรยากาศที่เงียบสงัดเข้าขั้นวังเวงแบบนี้ ก็คงจะมีแต่สิ่งไม่ใช่คนเท่านั้นล่ะที่กล้าออกมาเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกบ้าน
“ คนนี้ไม่ผิดแน่ใช่มั้ย ดงอู ” คิมซองกยู แวมไพร์พันธุ์แท้ผู้สืบเชื้อสายมาจากราชาแวมไพร์คนปัจจุบันโดยตรง รัชทายาทแวมไพร์เดนตายหนึ่งเดียวที่เอาชีวิตรอดจากคมลิ่มและห่ากระสุนเงินมาตั้งแต่ยุคไล่ล่าแวมไพร์ กระซิบถามลูกสมุนของตัวเองด้วยความใคร่รู้
“ เชื่อใจหน่วยสอดแนมที่เก่งกาจและแม่นยำที่สุดในเกาหลีใต้อย่างข้าเถอะ ท่านซองกยู ” จางดงอู แวมไพร์หัวทองลักษณะคล้ายแยงกี้ในหนังการ์ตูนอวดสรรพคุณพลางตบหน้าอกตัวเองดังพั่บๆอย่างมั่นอกมั่นใจ
สองแวมไพร์นายบ่าวลอบสังเกตการณ์เหยื่อในระยะเกือบประชิดผ่านบานหน้าต่างทำจากกระจกใสที่ปิดสนิท ร่างของเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่ขดตัวนอนหลับสนิทอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาปรากฏชัดในสายตาสีมืดของทั้งคู่
“ อายุ 18 ส่วนสูง 170 น้ำหนัก 52 ตัวเล็กจัง ” แวมไพร์รัชทายาทไล่สายตาอ่านประวัติของเด็กหนุ่มจากหน้าจอไอแพดที่ลูกน้องส่งให้ ก่อนพึมพำกับตัวเองอย่างแปลกใจกับข้อมูลชุดใหม่ที่เพิ่งไหลผ่านสมองเข้ามาสดๆร้อนๆ
สมัยนี้ อายุ 18 ปี โตได้แค่นี้เองเรอะ!?!
“ เห็นว่าเพิ่งสูญเสียย่าที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กไป น่าสงสาร แต่ก็เหมาะเจาะเลยนะท่าน ” ดงอูให้ข้อมูลเพิ่มพลางกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ ยังไงก็ต้องหาทางเจรจาก่อน หากผลีผลามจู่โจมเข้าไปคงไม่ดีนัก ” ซองกยูมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กหนุ่มด้วยความเห็นใจ
ใครมันจะไปกล้าใจร้ายกับคนที่แม้แต่หลับ ยังร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัวได้ลงคอ
“ ท่านพูดอย่างกับเราจะจู่โจม ‘พวกเหนือกฎ’ ได้งั้นแหละ ” แวมไพร์สอดแนมยอกย้อน
“ เจ้านี่สามหาวขึ้นทุกวัน!! ตั้งแต่มีแอคเคาท์ทวิตเตอร์เป็นของตัวเอง ” ร่างสูงเอ็ดตะโรอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์แวมไพร์รัชทายาท เหตุโดนลูกน้องขัดใจ
ปัดโธ่ เห็นว่าเขาไม่เป็นเทคโนโลยี เลยมีแต่ต้องพึ่งพามันเข้าหน่อยแค่นี้ ทำมาเป็นถือดี
“ สมัยนี้ ใครได้ครอบครองข้อมูล ก็เหมือนได้อำนาจมาไว้ในมือแหละท่าน ” จางดงอูว่าพลางยกไอแพดขึ้นเปิดเว็บเช็คราคาทองคำประจำวันหน้าตาเฉย
“ ไหน งั้นลองสมัครให้ข้าบ้างซิ ” ซองกยูเอ่ย พอได้ยินคำว่าอำนาจแล้วชักรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ ไว้ท่านกดปุ่มพาวเวอร์ได้ถูกปุ่มเมื่อไหร่ ข้าจะสมัครให้ละกันนะ ” ดงอูแค่พูดความจริง เขาไม่ได้ดูถูกดูถุยลูกพี่ตัวเองเลยสักนิด สาบาน
“ ไอ้นี่!! ”
” แกรกกกกก ” เสียงเลื่อนบานหน้าต่างดังขึ้นขัดสงครามน้ำลายนายบ่าวให้หยุดลงได้ชะงัด สองแวมไพร์พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่ยังนอนอยู่บนเตียง แต่บัดนี้กลับมายืนแลกสายตากับพวกเขาผ่านกรอบหน้าต่างบานน้อยอย่างไม่กลัวเกรง
“ พวกคุณเป็นใคร มาทำลับๆล่อๆอะไรบนระเบียงบ้านคนอื่นเขา ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ เป็นแวมไพร์ มาหาเหยื่อแถวนี้แหละ ” แวมไพร์แยงกี้ตอบทีเล่นทีจริงเป็นเชิงเย้าแหย่ กะให้เด็กหนุ่มเสียขวัญ ร้องขอชีวิตกับเขาดูสักทีจะได้สมใจ
เวลาเจอพวกทำตัวห้าวหาญไม่สมกับหน้าตาทีไร เป็นต้องรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาทุกทีไม่รู้เป็นไง หน้าตาน่ารักไร้เดียงสาขนาดนั้น เวลาร้องไห้คงน่าดูมากแน่ๆ
“ เลือดน่ะเหรอ ผมให้เอามั้ย ”
ผิดคาดจางดงอูไปมาก เพราะนอกจากหนุ่มน้อยจะไม่คร้ามเกรงแล้วยังทำใจดีสู้เสือ เสนอเลือดตัวเองให้อีก
“ เฮ่ๆ อย่ามาทำเป็นล้อเล่นน่าเจ้าหนู นี่แวมไพร์ตัวจริงเสียงจริงนะเฟ้ย ”
“ ผมไม่ได้ล้อเล่น พวกคุณเอาชีวิตผมไปเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ” เด็กหนุ่มบอกด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
“ เอาให้เหมาะ ชีวิตของเจ้าก็มีแค่ชีวิตเดียว จะมายกให้คนอื่นง่ายๆได้ยังไงกัน ” รัชทายาทแวมไพร์ยืนฟังอยู่นานชักทนไม่ไหว เพราะยิ่งทีประโยคก็ยิ่งฟังไม่เข้าหูจนอดแทรกไม่ได้
“ ไม่รู้ ผมแค่ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ” เด็กน้อยก้มหน้าก้มตาตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“ ไม่นึกถึงพ่อแม่บ้างเรอะ ถ้าเจ้าตายไป พวกท่านจะเสียใจมากแค่ไหน ”
“ คนพวกนั้นเขาไม่สนใจผมหรอก ” ปลายเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเล็กน้อยเมื่อเขาเอ่ยถึงประโยคนี้
“ แค่อยากฆ่าตัวตายเรียกร้องความสนใจ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องยืมมือแวมไพร์เลยนี่ อยากตายก็ตายเอาเองเถอะ ” ซองกยูยิ่งฟังยิ่งรู้สึกหงุดหงิดกับความโง่เขลาของเด็กน้อยที่เอาแต่คิดอะไรตื้นๆ
“ ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากใคร ผมแค่อยากตายจริงๆ ”
“ มีพ่อแม่คอยปกป้อง มีเงินมีทองให้ใช้ มีบ้านดีๆให้อยู่ มีอาหารอุ่นๆให้กิน แล้วยังไม่พอใจชีวิตอีกเหรอ มนุษย์อย่างเจ้านี่ช่างน่าสมเพชนัก ” ซองกยูไล่สายตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา
หน้าตาผิวพรรณที่ดูอิ่มเอิบสุขภาพดี เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ห้องนอนที่เต็มไปด้วยโมเดล ของสะสมจากภาพยนตร์และการ์ตูนที่เจ้าตัวโปรดปราน ทุกอย่างล้วนแสดงถึงความรักและการเอาใจใส่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกชายทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง
“ คุณไม่รู้อะไรก็อย่าพูดดีกว่า ”
“ แล้วจะเอายังไงล่ะฮึ ไอ้เด็กนี่ ” ซองกยูสะบัดเสียงถามอย่างโมโหเจ้าเปี๊ยกที่ยืนทำหน้างอง้ำจนนึกอยากซัดซักป้าบ
สงสัยปกติจะโดนสปอยล์จนเคยตัว
“ ช่วยทำให้ผมตายที ” เด็กหนุ่มขอร้องด้วยใบหน้าแสนเศร้า
“ เอะอะก็จะตาย จะบ้าหรือไง! ”
“ ก็ไม่อยากอยู่แล้วนี่!! ”
“ ก็ได้ๆ งั้นข้าจะช่วยให้เจ้าได้สัมผัสกับวินาทีแห่งความตายสมใจอยาก ” ซองกยูตกปากรับคำไป เพราะเบื่อจะเถียงกับเด็กเมื่อวานซืนเต็มแก่
“ ท่านซองกยูโปรดอย่าให้ความโกรธมาบดบังจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของพวกเรา เราต้องการได้ ‘พวกเหนือกฎ’ มาอยู่ในครอบครอง ไม่ใช่มาเพื่อฆ่านะท่าน ” จางดงอูกระซิบเตือน
“ ข้ารู้ ”
…………………………………………………..…………..
ร่างกายเบาหวิวของเหยื่อตัวน้อยถูกดันจนชิดกับผนังห้องด้วยฝีมือของแวมไพร์หนุ่ม ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะตามเข้าไปทาบทับพร้อมกับใช้ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบรัดเอวคอดเอาไว้แน่นหนาชนิดดิ้นหนีอย่างไรก็ไม่มีวันหลุด
“ พร้อมจะตายแล้วใช่มั้ย ” แลกสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายแวมไพร์ก็เอ่ยถาม
“ อือ พร้อม ” เด็กหนุ่มตอบสั้นห้วน ชัดถ้อยชัดคำ หากยังมีแวววูบไหวปรากฏขึ้นในดวงตา
“ นับว่าเตรียมใจมาได้ดี ” ร่างสูงเอ่ยชม ก่อนทาบปลายเขี้ยวเย็นลงบนลำคอเรียวของอีกฝ่าย เริ่มจากออกแรงกดเพียงแผ่วเบาอย่างค่อยเป็นค่อยไปกระทั่งฝังลึกจนสุดปลายเขี้ยว
ไม่หลงเหลือโอกาสให้เหยื่อตัวน้อยได้เปลี่ยนใจอีกเป็นครั้งที่สอง
“ อ...ฮือออ ”
ซองกยูกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมแขนเริ่มแสดงอาการหวาดผวาด้วยการส่งเสียงคราง พร้อมกับกางเล็บจิกทึ้งปลายเสื้อนอนของตัวเองเสียจนยับยู่ยี่ แล้วยังหลับตาปี๋จนคล้ายกับว่ามีใครเผลอทำสระอิหล่นไว้ใต้คิ้วทั้งสอง ดูน่าตลกจนแวมไพร์รัชทายาทเกือบหลุดขำ
“ อั่ก … อ้า ”
ของเหลวเหนียวข้นสีแดงสดไหลซึมออกมาตามรอยเขี้ยว ซองกยูสูดกลิ่นคาวที่แสนโหยหาลงปอดจนฉ่ำชุ่ม ก่อนละเลียดปลายลิ้นชิมรสด้วยความรู้สึกปริ่มเปรมกับความหอมหวาน ยิ่งเมื่อได้มองสีหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดทรมานของเหยื่อด้วยแล้ว รสชาติของโลหิตก็ยิ่งกลมกล่อมขึ้นเป็นเท่าทวี
“ ฮ … แฮ่ก แฮ่กก ฮ … แฮ่กๆๆ ”
เสียงหอบถี่กระชั้นขึ้นตรงข้ามกับปริมาณเลือดในกายของเด็กหนุ่มที่ร่อยหรอลงทุกขณะ แวมไพร์ร่างสูงเหลือบมองสีหน้าซีดเซียวของคนตัวเล็กพลางกระตุกยิ้มด้วยความชอบใจที่อีกฝ่ายไม่เหลือคราบเจ้าเปี๊ยกอวดเก่งอย่างก่อนหน้าเลยสักนิด
“ … เฮือก… ”
ร่างกายขาวซีดจากการเสียเลือดของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน สลับกับอาการกระตุกเกร็งเป็นพักๆจนเริ่มเสียการทรงตัว ลมหายใจค่อยเบาลงทุกขณะก่อนจะขาดห้วง จนหมดสติลงในที่สุด
“ เหวออออ .... เซฟ!! ... ฟู่ววววววววววววววว ” แวมไพร์รัชทายาทอุทานลั่น ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกสุดชีวิต เมื่อเขาสามารถรั้งร่างเด็กหนุ่มให้กลับคืนสู่อ้อมกอด ก่อนที่กระหม่อมบางๆนั่นจะโหม่งพื้นได้อย่างฉิวเฉียด
“ ทำไมท่านใจร้ายกับเขาอย่างนี้ ” จางดงอูท้วงติง ก่อนปรี่เข้ามาจับตัวร่างบางพลิกซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจดูความเสียหายที่เกิดขึ้น
“ ไม่! ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ข้าว่าข้าก็คำนวณปริมาณเลือดในกายเจ้าเด็กน้อยนี่ดีแล้วนะ ”
“ ท่านคำนวณผิดรึเปล่า ” แวมไพร์ลูกสมุนซักไซ้
“ ไม่ผิดแน่ น้ำหนัก 52 เสียเลือดได้ไม่เกิน 1,387 ซีซี ก็ถูกต้องแล้วนี่นา ” เขาอาจไม่ถนัดเรื่องเทคโนโลยีก็จริง แต่เรื่องคิดเลขเร็วนี่ขอให้บอก ซองกยูแม่นนัก
ปกติร่างกายคนเราประกอบด้วยเลือดประมาณ 80 ซีซี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เด็กหนุ่มคนนี้หนัก 52 กิโลกรัม จึงมีปริมาณเลือดในร่างกายอยู่ประมาณ 52 x 80 = 4,160 ซีซี
ตามหลักแล้วหากมนุษย์สูญเสียเลือดประมาณ 1 ใน 3 ของร่างกาย ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นหมอนี่จึงเสียเลือดได้อย่างมากที่สุดไม่เกิน 4,160 /3 = 1,387 ซีซี
บอกไม่ให้เกิน เขาก็ดูดเลือดด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิน 1,387 ซีซี ตามสูตรว่ามาแบบเป๊ะๆแล้วไงล่ะ … แล้วทำไม!?!
“ 52 กิโลกรัมตามประวัติ เพิ่งถูกบันทึกเอาไว้เมื่อเดือนที่แล้วเองนี่นา หรือบางทีช่วงที่เพิ่งเสียคุณย่าไป เจ้าหนูนี่คงตรอมใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับจนน้ำหนักลดเสียกระมัง เลือดในกายถึงได้น้อยนัก ” ดงอูพึมพำอย่างใจคอไม่ดี ขณะสไลด์นิ้วมือไปมาบนหน้าจอไอแพด
“ เจ้ารีบไปตามแอลมา ดงอู ” แวมไพร์ลูกพี่สั่งการด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบอก ก่อนจะวางลงบนเตียงอย่างเบามือ
“ ครับ ” แวมไพร์ลูกน้องรับคำ แต่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ ” ซองกยูเบนสายตาจากใบหน้าซีดเซียวของเด็กหนุ่มไปยังสมุนของตนพลางเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“ ข้าไลน์บอกเรียบร้อยแล้วท่าน / ตึ๊งตึ่ง ” จางดงอูรายงานจบ เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมไลน์ก็ดังตามมาแทบจะทันที
“ หมอนั่นว่าไง ”
“ ‘กำลังไป ปฐมพยาบาลรอก่อน’ ” ดงอูอ่านข้อความล่าสุดจากพลพรรคให้ท่านหัวหน้าฟัง
“ ปฐมพยาบาลยังไง ” เมื่อลูกพี่ขอคำตอบ ลูกน้องจึงพิมพ์คำถามกลับไปอย่างไม่รอช้า
“ ‘ห้ามเลือด ให้นอนราบ ไม่ต้องหนุนหมอน ยกขาสูง ให้ความอบอุ่น คอยปลอบโยนด้วยความรัก’ เอ๊ะ อันหลังมันชักยังไงๆอยู่เนอะท่าน ”
“ อืม ” ซองกยูได้แต่เออออห่อหมกไปอย่างนั้น เพราะใจกำลังจดจ่ออยู่กับการปฐมพยาบาลเด็กหนุ่ม
เขาทำทุกขั้นตอนด้วยความรัดกุม ตั้งแต่ใช้ผ้าสะอาดกดปากแผลเพื่อห้ามเลือด จัดแจงท่าทางการนอนให้เหมาะสม จับหมอนข้างรองไว้ใต้เรียวขา ห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเสร็จสรรพ ก่อนเงยหน้าถามหาขั้นตอนที่เหลือจากแวมไพร์ลูกสมุนที่ได้แต่ยืนมองลูกพี่ที่ยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองลงมาปรนนิบัติพัดวีให้เหยื่อตัวกระจ้อยตาปริบๆ
“ ‘คอยปลอบโยนด้วยความรัก’ ” จางดงอูพูดย้ำพลางลอบมองปฏิกิริยาของผู้เป็นหัวหน้าด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
แวมไพร์รัชทายาททรุดตัวลงนั่งข้างเตียง เขาช้อนข้อมือผอมซูบของเด็กหนุ่มขึ้น ก่อนใช้ฝ่ามือของตัวเองประสานเข้ากับฝ่ามือของอีกฝ่าย พลางพูดปลอบประโลมอย่างแผ่วเบา
“ อย่าเป็นอะไรเลยนะ เจ้าเปี๊ยกชินอูฮยอน ”
TALK:
นี่เป็นฟิคเรื่องแรกของอินฟินิทที่แต่งแบบไม่อิงวงล่ะ อิอิ
ส่วนเหตุผลที่แต่งเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยค่ะ
เพราะละครเวทีของซองกยู กับบทชินอูฮยอน ใน Hi School Love On ของน้วงนัมนั่นแหละค่ะ ใครๆก็เดาได้ใช่มั้ยล่า โฮะๆ
ก็เพราะมิสกงเสียชีวิตนั่นแหละ TT เราทนสงสารชินอูฮยอนไม่ไหว เลยจับส่งแวมไพร์กยูไปอยู่เป็นเครื่องป้องกันความโดดเดี่ยวน่อ
ปกติไม่เคยแต่งแนวแฟนตาซีเลย ผิดพลาดบ้างต้องขออภัย + ขอคำแนะนำด้วยค่า *โค้ง*
มีปมมีปูมงงๆบ้างอะไรบ้าง ก็จะค่อยๆทยอยเฉลยไปเรื่อยๆระหว่างทางเน่อ
ความคิดเห็น