ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo It's You รักนายเจ้าชายอันตราย [chanbaek hunhan ft.exo]

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 57


     

    Chapter 6




           Luhan Said…

     

    เวลากลางคืนดึกสงัด เสียงลูกธนูยังดังแหวกอากาศไม่ขาดสาย เพราะเขาฝีมือห่วยที่สุดในกลุ่ม เลยต้องแยกออกมาฝึกซ้อมพิเศษ ไม่ใช่ว่าขยันอะไรหรอก ก็มันเสียหน้านี่นา ฝีมือห่วยแตกแบบนี้ถ้าออกไปสู้รบจริงๆคงได้ตายก่อนเป็นคนแรกกลางสนามอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    “สี่สิบดอก ยิงเข้าเป้าแค่สิบสามดอกเนี่ยนะ ห่วยไปแล้วลู่หานเอ๊ย” เสียงหวานสบถออกมาต่อว่าตัวเองอย่างหงุดหงิด ยิงเข้าเป้ามากกว่าตอนกลางวันแค่นิดเดียวเอง

     

    “นั่นสิ แต่ข้าว่าเจ้าพัฒนาฝีมือได้นะ” เสียงทุ้มไม่คุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลัง ร่างโปร่งของโยซอบเดินเข้ามาหาที่ลานซ้อมธนูอย่างไม่รีบร้อน คงจะเดินเที่ยวยามดึกล่ะมั้ง

    “คงไม่ได้หรอก ฝีมือฉันคงทำได้แค่นี้ล่ะ นายก็เห็นแล้วนี่ว่าฉันมันห่วยขนาดไหน”

    “เจ้าอย่างเพิ่งดูถูกตัวเองสิ เชื่อมั่นเข้าไว้ว่าจะต้องทำได้”

    “ก็อย่างที่เห็น ฉันพยายามจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ดีขึ้น แล้วฉันจะเอาอะไรมาเชื่อมั่นล่ะ”

    “งั้นข้าสอนให้เจ้าเอามั๊ย? เพียงแต่ว่าเจ้าจะทำมันได้รึเปล่านี่ก็อีกเรื่องนะ”

    “สอนอะไรล่ะ?”

     

    ลู่หานถามออกไปอย่างอยากรู้ โยซอบเดินยิ้มๆเข้ามาขอคันธนูจากมือเรียว เขาหยิบลูกธนูขึ้นมาห้าดอกแล้วนำไปพาดบนคันธนู ง้างออกเต็มเหนี่ยวแล้วปล่อยลูกธนูทั้งห้าออกไปพร้อมๆกัน ลูกธนูทั้งห้าดอกก็ปักลงบนเป้าอย่างแม่นยำทุกลูกอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนลู่หานได้แต่ยืนตาค้างปรบมือดังๆแล้วมองด้วยความอึ้ง =[]=

     

    “สอนให้เจ้ายิงธนูได้ทีละหลายๆดอกแล้วก็แม่นยำยังไงล่ะ ^^

    “งะ..งั้นสอนหน่อย ( . .)”

     

    เมื่อร่างบางตอบตกลง โยซอบก็เข้ามายืนซ้อนทับข้างหลังเหมือนตอนที่เซฮุนทำเมื่อตอนกลางวัน..แล้วนี่จะไปนึกถึงหมอนั่นทำไมล่ะเนี่ย ><

     

    ร่างโปร่งทาบทับลงมาชิดใกล้กับแผ่นหลัง มือใหญ่ที่กอบกุมมือเล็กเอาไว้ อีกทั้งลมหายใจอุ่นๆที่เหมือนมันจะรดต้นคอของเขาอยู่ ทั้งหมดมันทำให้เสียสมาธิไปมากเลยทีเดียว ท่าสอนธนูมันต้องใกล้ชิดกันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ

     

    “มือข้างนี้จับคันศรเอาไว้ให้แน่น นิ้วมือทั้งห้าอีกข้างสอดลูกธนูเข้าไป ออกแรงง้างคันธนูอีกนิด..นั่นแหละ เล็งเป้าหมายไว้ให้มั่น ไม่วอกแวก ตั้งใจไว้ว่าต้องยิงให้โดน เอาล่ะ..ยิง!

     

    หลังจากโยซอบพูดเสร็จ นิ้วทั้งห้าของลู่หานก็ปล่อยลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาจับจ้องไปตามลูกธนูที่ปล่อยออกไป ในที่สุดลูกธนูก็เข้าเป้าซ้อมถึงสองดอก!

     

    “เย้!! ยิงเข้าตั้งสองดอกแน่ะ ไม่น่าเชื่อเลย ขอบคุณนะที่ช่วยสอน>_<” เพราะว่าดีใจลู่หานเลยเผลอกระโดดกอดโยซอบโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตั้งตัวเช่นกันเลยเผลอเซถอยหลังไปหลายก้าว

     

     

    “โอ๊ะ!

    อยู่ๆโยซอบก็หงายหลังล้มตึงลงไป ทำให้ลู่หานที่กำลังกอดเขาอยู่ล้มลงไปด้วย ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วจนทำให้จามออกมา รู้ตัวอีกทีร่างบางก็นอนทับอยู่บนตัวโยซอบซะแล้ว

     

    “เอ่อ..ข้าขอโทษนะลู่หาน พอดีข้าสะดุดก้อนหินน่ะ” โยซอบพูดแก้ตัวด้วยอาการตะกุกตะกัก เขาจะไม่เป็นแบบนี้เลยถ้าลู่หานจะไม่นอนทับอยู่บนตัวเขา รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องยังไงก็ไม่รู้สิ

     

     

    “มะ..ไม่เป็นไร ผมเองก็ซุ่มซ่ามไม่ระวัง .////.”

    ใบหน้าของตัวเองกับโยซอบห่างกันเพียงแค่กระดาษบางๆกั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเวลามองใกล้ๆราวกับว่าเวลาถูกหยุดเอาไว้ ไม่อยากจะละสายตาเลยจริงๆ เหมือนกับมีมนตร์สะกด เมื่อรู้สึกตัวว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ลู่หานเลยรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นออกจากตัวของโยซอบทันที ถ้าใครมาเห็นเข้าคงจะเข้าใจผิดแน่ๆเลย ก็เล่นล้มทับกันซะท่าติดเรทขนาดนี้

     

    “นี่มันก็ดึกแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ค่อยๆฝึกไปก็ได้” โยซอบพูดขึ้นมาหลังจากที่ลุกขึ้นปัดฝุ่นออกหมดแล้ว

     

    “อื้ม งั้นผมไปก่อนนะ ฝันดี” ราวกับว่าคำพูดมันติดอยู่ที่ริมฝีปาก ปกติต้องพูดเยอะกว่านี้สิ! แต่นี่กลับก้มหน้างุดไม่มองหน้าเขาเลย หลังจากบอกฝันดีเสร็จก็เดินออกมาทิ้งให้โยซอบอยู่ที่นั่น เอาไว้วันหลังค่อยบอกขอโทษอีกทีก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ สมองมันทำงานตามไม่ทันความรู้สึกซะแล้ว T_T

     

     

    ถึงโยซอบจะเป็นองค์รัชทายาทสำหรับใครๆ แต่สำหรับลู่หาน..เขาก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

     

    ผู้ชายธรรมดา..ที่ไม่ธรรมดา

     

     

    “อ๊ะ..นาย”

    ระหว่างที่ร่างบางกำลังเดินก้มสำรวจฝุ่นอยู่นั้น มือใหญ่ของใครอีกคนก็คว้าเข้าที่แขนของเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน..เซฮุนนั่นเอง ใบหน้าเรียวจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาขุ่นเคือง หมอนี่ไปกินรังแตนที่ไหนมากันนะ

     

    “ไปทำอะไรมา ทำไมถึงยังไม่กลับเข้าห้องของตัวเอง?” เสียงทุ้มถามเรียบๆแต่แฝงความขุ่นเคืองเอาไว้

    “ซ้อมยิงธนูน่ะสิ ฝีมือฉันยังไม่ดีพอ”

    “หรอ ชั้นก็นึกว่าไปฝึกอย่างอื่นกับ..ไอ้โยซอบอะไรนั่น”

    “อย่าเรียกเขาว่าไอ้นะ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไร”

    “หรอ นอนทับกันขนาดนั้นถ้าไม่ได้ทำอะไรนี่คงจะตายด้านสุดๆ” น้ำเสียงดูถูกของเซฮุนถูกส่งออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันรู้สึกว่ามันแรงเกินไป..ไม่คิดจะฟังคำอธิบายเลยรึไง

    “ที่นายเห็นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ โยซอบเค้าแค่สะดุดก้อนหิน...”

    “สะดุดก้อนหินหรือสะดุดฝุ่นกันแน่ อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้าฉันไม่เผลอลืมของไว้ที่ลานฝึกล่ะก็คงจะไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่น่าเสียดายที่ฉันอยู่ดูไม่จบ เพราะว่าฉันทนเห็นไม่ได้ ทำอะไรก็ให้รักนวลสงวนตัวซะบ้าง ไม่ใช่ว่าเจอใครที่ไหนถูกใจเข้าหน่อยก็เข้าไปอ่อยให้ท่า นายเป็นลูกคนมีชาติตระกูลไม่ใช่รึไง น่าจะถูกอบรมบ่มนิสัยมาอย่างดีแล้วไม่ใช่หรอ รู้บ้างรึเปล่าว่าฉันเป็น..” ไม่ทันที่เซฮุนจะพูดจบประโยค ลู่หานที่ทนไม่ไหวแล้วก็พูดแทรกขึ้นมา ใจร้ายเกินไปแล้วนะ....

     

    “แล้วนายเป็นใครถึงมาพูดแบบนี้กับฉัน นายมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวแบบนี้! นี่มันเรื่องของฉันไม่ใช่รึไง เรื่องแบบนี้ฉันคิดว่าฉันสามารถแยกแยะเองได้ อีกอย่างนะ ความจริงฉันกับนายเราเป็นแค่คนสองคนที่เกลียดขี้หน้ากันจำไม่ได้รึไง อย่าลืมว่าฉันเตะรถนายด้วยความแค้น อย่าลืมว่านายทำกระเป๋าแบรนด์เนมฉันขาด แล้วฉันก็ไม่เคยลืมว่าฉันแข่งรถแพ้นาย อย่าลืมว่าเราเกี่ยวข้องกันแค่นี้ โอ เซฮุน”

     

    ถ้อยคำร้ายกาจถูกส่งออกไปทำร้ายจิตใจของเซฮุนมากมายอย่างที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ในตอนนี้ ใบหน้าของเซฮุนแย่ลงไปถนัดตา ความรู้สึกกดดันแผ่กระจายออกมาอย่างหนาแน่น ลู่หานเบือนหน้าหนีเขา แล้วเขาก็ไม่มองหน้าเช่นกัน เซฮุนช็อคไปไม่น้อยก่อนจะแค่นยิ้มออกมาแล้วตอบว่า

     

    “หึ นั่นสินะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ชั้นไม่น่าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนาย ฉันไม่น่าเป็นห่วงนายเลย”

     

    มือใหญ่ปล่อยแขนเล็กออกช้าๆก่อนจะเดินหันหลังกลับไปยังห้องของเขา ชั่ววินาทีความรู้สึกผิดที่พูดถ้อยคำรุนแรงออกไปมันกลับมาทำร้ายตัวเอง ตอนนี้ความรู้สึกผิดมันจุกอยู่ในอกไปหมด จนกระทั่งร่างของเซฮุนเดินหายไปจนลับตา

     

    ถ้อยคำร้ายกาจที่พูดออกไปแล้ว ต่อให้รู้สึกผิดแค่ไหนก็เรียกมันกลับมาไม่ได้..

    ถ้านายพูดคำว่าเป็นห่วงออกมาเร็วอีกสักนิด..บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ก็ได้ L

     

    Kyungsoo Said…

     

     

     

    เขาจะทำยังไงกับความว้าวุ่นใจนี่ดี...

     

     

    สารภาพรักกับจงอินดีรึเปล่านะ?

     

    “สารภาพ..ไม่สารภาพ..สารภาพ..ไม่สารภาพ...หรือจะสารภาพ..ไม่ดีกว่า โอยยยย กลุ้มๆ”

     

    กลีบดอกไม้นับร้อยถูกถอดดึงออกไปจากก้านเพื่อเสี่ยงทายเรื่องบางอย่าง ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งสำหรับชีวิตของคยองซูเลยทีเดียว เอายังไงดี..ถ้าไม่สารภาพออกไปมีหวังจงอินต้องเสร็จสาวๆทั้งหลายแน่ๆ แต่ถ้าสารภาพแล้วจงอินไม่ชอบเราล่ะ แล้วทีนี้จะทำยังไง T^T

     

     

    ลองสารภาพแล้วเขาไม่รักดีกว่าไม่สารภาพแล้วอึดอัดตาย เฮ้อ...

     

    “มานั่งทำอะไรตรงนี้อะคยองซู ท่าทางเครียดเชียว” เสียงแบคฮยอนดังขึ้นก่อนที่ร่างเล็กๆของเพื่อนรักจะเข้ามานั่งจมปุกอยู่ข้างๆพลางมองดูซากกลีบดอกไม้(?)นับร้อยนับพันที่เขาเด็ดมันออกจากก้านอย่างอนาถ

     

    “ฉัน..จะทำยังไงดีวะ ชั้นอึดอัดมากเลยที่เห็นจงอินใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่น อยากจะหวง อยากจะมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวของจงอิน แต่ฉันไม่กล้าที่จะบอก..”

     

    “กลัวอะไรวะแก ถ้าเขาตอบว่าไม่ อย่างมากก็กลับมาเป็นเพื่อน แต่ถ้าเขาตอบว่าใช่ แกก็แจ็คพอตได้เป็นแฟน”

    “แต่ถ้าจงอินไม่คุยกับฉันเหมือนเดิมล่ะ?”

    “ไม่หรอกน่า เอ๋อๆแบบนั้นไม่น่าจะทำตัวมีความคิดลึกซึ้งถึงขนาดหลบหน้าแกหรอก -0-

    “มันก็จริง..แต่แกหลอกด่าจงอินของฉันหรอห้ะ!

    “ให้มันน้อยๆหน่อย เขาเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่ เก็บนอหน่อยนะคุณเพื่อน มันเริ่มจะโจ่งแจ้งแล้ว ฮ่าๆ”

    “แกหาว่าฉันแรดหรอแบคฮยอน !

    “แกพูดเองนะฉันเปล่าพูด ไปล่ะ ฮ่าๆๆๆ” แบคฮยอนรีบโกยแนบไปก่อนที่จะโดนคยองซูกระทืบ เคยมีใครบอกไอ้นี่บ้างมั๊ยว่าปากจัดน่าเตะมากที่สุดที่เคยได้เห็นมาเลย

     

     

    ถ้าไม่เริ่ม..จุดเริ่มต้นก็ไม่มีซักทีสิ

    ไปหาจงอินดีกว่า..คิคิ

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก..

     

     

    “จงอิน อยู่รึเปล่า? นี่คยองซูนะ” ร่างเล็กตัดสินใจเดินมาที่ห้องของจงอินเพื่อจะมาสารภาพรักกับเขา หลังจากได้รับความกล้ามาจากแบคฮยอนบวกกับความหน้าด้านอีกนิดหน่อย ขอให้วันนี้เป็นอย่างที่เขาหวังด้วยเถอะ..

     

    “อยู่ๆ มีอะไรหรอครับคยองซู?” จงอินเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “เอ่อ คือว่าอยากมาเที่ยวหานายน่ะ อยู่ห้องคนเดียวมันเหงา ( _ _)”

    “งั้นก็เข้ามาสิ ห้องฉันรกหน่อยนะ ระวังงูล่ะ ฮ่าๆๆ”

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราช่วยเก็บก็ได้” คยองซูเดินเข้าไปในห้องของจงอินก็พบว่ามันไม่ได้รกอะไรมากมาย ข้าวของบางอย่างยังเก็บไว้เป็นระเบียบดี(เป็นระเบียบมากกว่าเขาด้วยซ้ำ) เอาแล้วไงล่ะคยองซู มาหาเขาแล้วจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ จับปล้ำก่อนแล้วค่อยสารภาพรักดีมั๊ยวะ? ไม่เอาๆมันโหดไป หรือว่าจะกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วสารภาพรักดังๆ? อันนี้ก็ไม่ดีมันนักเลงเกิน โอ๊ย..ปวดหัว

     

     

    “กินอะไรมั๊ย?เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ พอดีที่เก็บไว้ในห้องมันหมดน่ะ” จงอินถามร่างเล็กระหว่างที่กำลังเช็ดโต๊ะในห้องของเขา ซึ่งคยองซูก็ส่ายหัวปฏิเสธตามมารยาทพลางชวนเขาคุยสร้างบรรยากาศเป็นกันเองไปเรื่อยๆ

     

    “วันนี้ฝึกเป็นยังไงบ้างจงอิน เหนื่อยมั๊ย?” คยองซูถามออกไป

    “ก็ดีนะ รู้สึกคุ้นมากกว่าเมื่อวาน พอได้ฝึกหลายๆวันเข้าก็ชักจะชอบแล้วล่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปฝึกดาบอีก แล้วคยองซูล่ะ? เหนื่อยรึเปล่า”

    “อ่า..ก็ไม่เท่าไหร่หรอก >_<” แค่เห็นนายยิ้มก็มีพลังไปฝึกต่อแล้วแหละ..

    “จะต้องเก่งขึ้นให้ได้ เพื่อปกป้องทุกคน และเพื่อที่พวกเราจะได้กลับบ้าน ^^” จงอินยิ้มออกมา จะผิดมั๊ยถ้าเมื่อกี๊ที่นายพูดจะเหมาเอาว่านายจะปกป้องคยองซู.. อยากเป็นแค่คนๆเดียวคนนั้นของนายจังเลย

     

     

    มัวเพ้ออยู่แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะสมหวังล่ะเนี่ย! สารภาพสิสารภาพ

     

     

    “เอ่อ..จงอิน คือว่าเรามีเรื่องจะบอกนาย” จู่ๆบรรยากาศชักจะกดดันขึ้นมา คยองซูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไอ้ที่ท่องมาเพื่อสารภาพรักกับจงอินเมื่อกี๊มันหายไปหมดเลย โอยตื่นเต้น

     

    “หืม..มีอะไรหรอ?” จงอินมองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ ขอร้องล่ะอย่ามองเขาแบบนั้น จะฆ่ากันรึไงจงอินนา... โอ๊ยเพ้อออออ ความหล่อมันบาดตาบาดใจหนูคยอง T^T

     

    “เรา..คือว่าเรา..ช..ชะ ชอบ” จู่ๆคยองซูก็รู้สึกว่าเสียงของเขาหล่นหายไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ สายตาหลบไปมองนั่นโน่นนี่ไม่กล้าสบตาคนตัวสูงตรงๆ มือไม้รู้สึกว่ามันช่างเกะกะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ไหนดี

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

     

     

    “ท่านจงอินครับ ข้าแวะมาตรวจความเรียบร้อย ไม่ทราบว่าปกติดีรึไม่?”

     

    เสียงของทหารยามดังขึ้นอยู่หน้าห้องของจงอิน ร่างสูงเดินไปคุยกับทหารยามคนนั้นข้างนอกห้องซักพักก่อนจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับขนมถาดใหญ่ในมือ

     

    “กินขนมหน่อยมั๊ย เมื่อกี๊เขามาตรวจความเรียบร้อยกับเอาขนมมาฝากน่ะ” ขนมถาดใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ คนตัวเล็กเลยทำได้แต่หยิบขนมนั่นขึ้นมากินแก้เก้อหนึ่งชิ้นพร้อมกับเรียบเรียงคำพูดซะใหม่

     

    “จงอิน..คือ เรื่องเมื่อกี๊เราจะบอกนายว่า...เราน่ะชอบ...”

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

     

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่คยองซูจะสารภาพออกไป นี่มันอะไรกัน ทำไมมันถึงได้มีอุปสรรคเยอะมากมายขนาดนี้ เดี๋ยวแม่จับตบให้สลบไปสามวันเลยนี่

     

     

    “ใครหรอครับ?” จงอินตะโกนถามออกไป

     

    “ข้านำขนมมาให้ท่านจงอินตามที่ท่านบอกตอนเย็นแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของแม่ครัวที่ทำอาหารอยู่ในวังหลวงดังขึ้นพร้อมกับนำขนมอีกสองสามถาดมาวางไว้ในโต๊ะแล้วเดินออกไป ร่างสูงพูดขอบคุณก่อนจะปิดประตูลงแล้วเดินมาหาคยองซูอีกครั้ง

     

    “อ่า มีแต่ขนมที่ชอบทั้งนั้นเลยแฮะ ว่าแต่เมื่อกี๊คยองซูจะพูดว่าอะไรหรอ?”

    “เอ่อ...คือว่าเราจะบอกว่าเราชอบ...ชอบขนมนี่น่ะ มันอร่อยดี T^T” คยองซูหยิบขนมขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย(?)พลางกัดมันอย่างเคียดแค้น ทำไมมารผจญเยอะจัง!

     

     

    “อ่า แล้วก็ไม่บอก วันหลังฉันจะขอให้แม่ครัวเขาทำมาเผื่อนายด้วย” จงอินเออออห่อหมกตามที่คยองซูบอก แถมยังจะขอมาเผื่ออีกต่างหาก นายทำตัวเอ๋อน่ารักนี่เขาก็ชอบอยู่หรอก แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะจงอิน - -*

     

     

    “อ้อ...คือว่าเรามีอีกอย่างนึงที่ชอบ เราชอบนาย...”

     

     

    โผล๊ะ!

     

     

    เสียงประตูห้องของจงอินเปิดออกไร้เสียงเคาะอย่างที่เคยเป็น มันกลบเสียงพยางค์หลังของคยองซูซะมิด พร้อมกับการปรากฏตัวของแม่นางบำเรอ เอ๊ย! นางสนมคนนั้น..คนที่เขาเคยเอากิมจิราดไปเมื่อคราวก่อน

     

     

    “เอ่อ..มีอะไรหรอครับ?”

     

    “อุ๊ย! ขอโทษที พอดีข้าอยากจะมา..มาหาเจ้าหน่อยน่ะ ไม่นึกว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วย” น้ำเสียงหวานจงใจพูดเน้นคำว่าคนอื่นแล้วหันมามองหน้าคยองซู นี่จะประกาศศึกกันใช่มั๊ยหล่อน

     

    “ใครบอกว่าคนอื่นล่ะ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น ใช่มั๊ยจงอินนี่?” คยองซูเรียกชานยอลว่า “จงอินนี่” เพราะนอกจากคนที่สนิทเท่านั้นถึงจะเรียกเขาแบบนี้ได้ ซึ่งตอนนี้จงอินทำหน้าเอ๋อรับประทานไปเรียบร้อยแล้ว หวังว่านายจะไม่ขัดคำพูดขึ้นมาตอนนี้นะ

     

     

    “งั้นข้าไปก่อนล่ะ วันหลังข้าจะมาหาเจ้าใหม่นะพ่อหนุ่มน้อย”

     

    ร่างบางระหงส์พูดจีบปากจีบคออย่างจริตก่อนจะเดินออกห้องไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่น คิดหรอว่าเธอจะมีวันหลัง ไม่มีทางหรอก ชิ! แบร่ๆๆๆ

     

     

    จงอินมองตามผู้หญิงคนนั้นไปอย่างหนักใจ เพราะเขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอคนนั้นก็ตามมาป้วนเปี้ยนอยู่กับเขาไม่ห่าง จะปฏิเสธทีไรก็โดนลูกอ้อนจนใจอ่อนตลอด คนหล่อเครียดครับ!

     

    “จงอิน เราคิดว่าเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันหน่อยมั๊ย ดูท่าว่าในห้องนายจะไม่เป็นส่วนตัวเอาซะเลย”

     

    คยองซูชวนจงอินออกมาเดินเล่นแถวๆอุทยาน ตอนนี้ก็ค่ำแล้วแต่ก็ไม่ถือว่าดึกมาก ผู้คนเริ่มบางตาลงไปมากเหลือแต่ทหารยามที่เฝ้าประจำจุด ซึ่งพวกเราก็ได้ทำการตีสนิทเรียบร้อยแล้ว จึงเข้ามาเดินเล่นอยู่ในอุทยานแห่งนี้ได้สบาย ฃ

     

    “จงอิน เรามีเรื่องอยากจะบอกนาย ขอให้นายตั้งใจฟังด้วยนะ” คยองซูเดินมาหยุดอยู่หน้าดอกไม้ดอกหนึ่ง จงอินยืนนิ่งทำท่าตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ คราวนี้แหละเขาจะต้องได้สารภาพรักจงอินแบบไม่มีใครมาขัดซักที

     

    “อ่า เหมือนวันนี้นายจะบอกอะไรฉันสินะ แต่ก็มีเรื่องตลอดเลย ฮ่าๆ”

    “ฉันชอบนาย”

    “เอ๋..” เสียงหัวเราะของจงอินหายไป เหลือแต่ความสงสัยเข้ามาแทนที่กับคำสารภาพปุบปับของคยองซู เอาแล้วไงล่ะ เวลาระทึกมาถึงแล้วสิ

     

    “จงอินจะเป็นแฟนกับเราได้มั๊ย เราชอบจงอินมานานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าบอก ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ ไม่ชอบ ไม่พอใจที่ใครๆมาใกล้นาย ไม่ชอบที่นายยิ้มให้ใคร อยากให้นายยิ้มให้เราแค่คนเดียว ไม่ขอให้จงอินรักเราหรอก นายไม่อยากเป็นแฟนกับเราก็ไม่เป็นไร เรากลับไปเป็นเพื่อนกันก็ได้ถ้านายอึดอัด....”

    “นายคิดแบบนั้นกับฉันจริงๆหรอคยองซู..”

    “อื้ม ฉันชอบนายจริงๆจงอิน”

    “งั้นเราลองมาคบกันดูก็ได้” วินาทีที่จงอินพูดออกมา ร่างเล็กเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง นี่เขายอมเป็นแฟนกับเราแล้วใช่มั๊ย..?

     

    “เราดีใจที่สุดเลยจงอิน”

     

    “แต่ฉันไม่รู้ว่าฉันรักนายจริงๆรึเปล่า มันมากกว่าเพื่อน..แต่จะใช่แบบคนรักรึเปล่าฉันไม่แน่ใจ” จงอินบอกคยองซูด้วยแววตาสับสน แต่ใครจะสนล่ะ วินาทีนี้แค่เขาตอบรับก็ดีมากแล้ว

     

    “ไม่เป็นไร..จงอินยังไม่รักก็ไม่เป็นไร” ร่างเล็กโผเข้ากอดจงอินแน่นด้วยความดีใจ เรื่องราวทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้สวย ต้องขอบคุณแบคฮยอนแล้วล่ะที่ทำให้เขาตัดสินใจมาสารภาพรักกับจงอิน ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องทนอึดอัดต่อไป

     

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันมีความสุขที่สุดเลย J

     

     

     

    Baekhyun Said..

     

     

     

    เอิ่ม....ทำไมเขายังไม่นอนอีกนะ

     

     

    มันนอนไม่หลับ? มันกระสับกระส่าย มันนอนไม่ได้ หรือ..มีใครทำให้เขานอนไม่ลงกันแน่ล่ะเนี่ย

     

     

    แล้วทำไมเขาถึงนอนไม่ได้ล่ะ ใครกันที่มันกล้าทำให้แบคฮยอนคนนี้นอนไม่หลับ

     

     

    คิดเพียงแค่นี้ใบหน้าของชานยอลก็ลอยแว๊บเข้ามาในหัว ไม่นะไม่!! ทำไมจะต้องเป็นหมอนั่นล่ะ ร่างเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไปพลางเดินเล่นไปเรื่อยๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ ดาวเต็มท้องฟ้าท่ามกลางเดือนมืด ชวนให้น่ามองและจินตนาการ ดูแล้วก็ผ่อนคลายดีเหมือนกัน -..-

     

     

    รู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดอยู่ที่ตำหนักของใครบางคนซะแล้ว...

     

     

    รู้สึกสมองมันจะสั่งการขาตัวเองไม่ได้ซะแล้วแฮะ ชอบทำตามใจตัวเองอยู่เรื่อย

     

     

    “มาทำอะไรที่นี่” เสียงของเจ้าของตำหนักดังขึ้น แบคฮยอนหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ ทำไมหมอนี่ชอบมาเงียบๆข้างหลังกันซะจริง หรือจะเป็นพวกชอบเข้าข้างหลัง(?)

     

     

    “อ๋อ เอ่อ...มา เดินเล่น”  ตายล่ะ..ไม่นึกว่าจะเจอ เลยพูดอะไรตะกุกตะกักออกไปซะได้

    “เดินเล่นไกลจังนะ ตำหนักของข้ากับที่พักของเจ้ามันคนละทิศกันเลยนี่”

    “ก็..ขามันมาเอง” ตอบกลับไปเสียงแผ่ว เสียงมันหายไปไหนหมดเนี่ย เสียฟอร์มหมด

    “หึ...ว่าแต่ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่นอน”

    “ไม่รู้เหมือนกัน งั้นฉันไปล่ะ” เมื่อไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอยู่ต่อไปก็ตัดบทเดินออกมาซะอย่างนั้น แบคฮยอนกลับเข้าไปนอนในห้องอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

     

     

    เคยรึเปล่า ไม่ได้ชอบเขา ไม่ได้อยากเห็นหน้าเขาทุกวัน เพียงแต่ว่า..ถ้าไม่ได้เจอมันเหมือนจะขาดๆอะไรไปซักอย่างน่ะสิ ความรู้สึกที่มันไม่ชัดเจนแบบนี้อยากจะปามันทิ้งไปให้ไกลๆ แบคฮยอนหลับตาลงทั้งๆที่หัวใจกำลังเต้นแรง

     

     

    คงไม่ใช่อาการที่เรียกว่าชอบหรอกมั้ง...

     

     

     

    เช้าวันนี้ก็เป็นวันที่แสนสดใสอีกวันหนึ่ง แตกต่างกันออกไปตรงที่ว่าวันนี้ไม่ได้เข้าไปเรียนธนูเหมือนดังทุกวัน อ้อ เหมือนคยองซูจะบอกว่าพวกเราซ้อมธนูกันพอได้แล้ว วันนี้เลยให้พวกเรามาฝึกแม่ไม้มวยไทย(?) เอ๊ย ฝึกการต่อสู้ระยะประชิดแทน ของง่ายๆแบบนี้ทำได้สบายอยู่แล้ว

     

     

    “โอย..ทำไมมันยากแบบนี้ล่ะเนี่ย แถมยังเจ็บตัวด้วย” ลู่หานบ่นกระปอดกระแปด

    “ฉันไม่ถนัดเลยแบบนี้ ขอไปพักหน่อยได้มั๊ยล่ะเนี่ย” คยองซูก็บ่นกับเขาอีกคน

    “ฉันไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย พวกแกป๊อดไปรึเปล่า =____=” แบคฮยอนชักจะเริ่มทนไม่ได้ที่พวกนี้บ่น เสียงอย่างกับยุงตีกัน แบบนี้ใครจะไปมีสมาธิฝึกกันล่ะ

     

     

    “ก็แกมันถึกนี่นา” สองเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นประชดพร้อมกัน เขาก็แค่เรียนเรื่องแบบนี้มาก่อนพวกแกเลยมีความพร้อมมากกว่าแค่นั้นเอง เค้าเรียกสุขภาพดีต่างหากล่ะ

     

    “คุณหนูแบคฮยอนขอรับ องค์ชายชานยอลเรียกให้ไปเข้าเฝ้าด่วน” ทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาหาแบคฮยอนแล้วรายงานในสิ่งที่ตัวเองได้รับมอบหมายมา ร่างเล็กพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินไปที่ตำหนักเจ้าชายจอมยุ่งยากคนนั้น

     

    “เดี๋ยวฉันมานะ ฝึกๆไปก่อนละกัน อะไรนักหนาแค่นี้ก็เดินมาไม่ได้ ไอ้เจ้าชายเรื่องมาก” นายทหารคนนั้นหน้าซีดลงไปถนัดตาเมื่อได้ยินร่างเล็กนินทานายเหนือหัวของตนอย่างไม่เกรงใจ บนโลกนี้จะมีใครซักกี่คนกันที่กล้าพูดแบบนี้ ช่างไม่กลัวตายซะเลยรึไงกัน

     

     

     

    “มีอะไรว่ามา ฉันไม่ว่างนักหรอกนะ” แบคฮยอนพูดออกไปติดรำคาญนิดๆเมื่อเจอชานยอล

    “แผลที่มือหายรึยัง?” ชานยอลเดินเข้ามาหาพลางดึงมือเรียวเข้าไปดูอย่างถือวิสาสะ การกระทำแบบนี้ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จะมาไม้ไหนกันนะ...

     

    “กะ ก็เกือบจะหายแล้ว” ชั่วเวลาหนึ่งแบคฮยอนเหมือนจะเห็นแววตาอ่อนโยนของชานยอล แล้วแววตาแบบนั้นมันก็หายไปทันทีเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เหลือแต่แววตาเยือกเย็นเหมือนเดิม หมอนี่จะเป็นห่วงเรารึเปล่านะ?

     

     

    “ก็ดีแล้ว เดี๋ยวมือใช้การไม่ได้ขึ้นมาแล้วเจ้าจะไปปกป้องบ้านเมืองให้ข้าได้ยังไง”

    “นะ..นั่นสินะ” เหมือนกับโดนน้ำแข็งสาดเข้าที่หน้าอย่างจังเมื่อชานยอลพูดจบประโยค แบคฮยอนชักมือกลับทันทีเหมือนมือของชานยอลร้อนซะเต็มประดา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน..ไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวไปมากกว่านี้อีกแล้ว

     

    นี่แกกำลังหวังอะไรอยู่วะแบคฮยอน..เหตุผลที่เขาถามไถ่ก็เพียงเพราะว่าเรามีประโยชน์กับบ้านเมืองของเขา

     

    ไม่ได้ถามเพราะเขาเป็นห่วงเราซะหน่อย

     

    แล้วเขา..ก็ไม่ได้อยากให้คนแบบนี้มาเป็นห่วงเป็นใยเหมือนพระเอกในละครด้วย

     

    “ถ้าจะเรียกมาแค่นี้ล่ะก็ ฉันไปล่ะ” ร่างเล็กแค่นเสียงเหมือนรำคาญเขาแล้วหันหลังเดินออกไป แต่มือใหญ่กลับคว้าเข้าที่ข้อแขนของแบคฮยอนแล้วดึงไปแนบอกกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว กลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยออกมาจากตัวของชานยอลทำให้ร่างเล็กมึนงงชั่วขณะ จนกระทั่งเสียงทุ้มกระซิบข้างๆหูบางนี่แหละ ถึงได้สติกลับคืนมา

     

    “เรียกทุกคนมาพบข้าที่นี่ เราจะมาวางแผนรบกัน”

    “อืม บอกดีๆก็ได้นี่ไม่เห็นต้องบอกใกล้ขนาดนี้เลย” ขาของแบคฮยอนค่อยเดินออกมาจากตำหนัก จากเดินกลายเป็นวิ่ง ชนใครไปบ้างก็ไม่รู้ไม่ได้สนใจ

     

     

    เขาแค่หยอกเราเล่นเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจเรา เขา...ฮึก..ไม่ได้ชอบเราซะหน่อย

     

     

     

    Chanyeol Said..

     

     

     

    ร่างเล็กวิ่งหายไปจนลับตา เขามองตามไปด้วยความรู้สึกโหวงๆอย่างประหลาด เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น แต่ปากมันไปไวกว่าความคิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คำพูดที่ออกจากปากไปมันก็เลยทำให้คนตัวเล็กหน้าเจื่อนลงถนัดตา

     

     

    จะแอบดีใจได้รึเปล่าว่าคนตัวเล็กคาดหวังให้เขาพูดอะไร..

     

     

    แต่แบคฮยอนเองก็ไม่ได้แสดงออกแน่ชัด หากเขาผลีผลามทำอะไรออกไปกลัวว่าสุดท้ายจะเป็นเขาเองที่คิดไปคนเดียว

     

     

    และเขาเองก็มี...เฮ้อ ช่างมันเถอะ

     

     

     

    เพราะต่างคนต่างคิดแบบนี้ สิ่งที่เหมือนใกล้ กลับยิ่งดูไกลแสนไกลกว่าเดิม...

     

     

     

    “ยืนมองหาอะไรอยู่รึองค์ชาย ไม่เจอกันตั้งนานก็ยังชอบเหม่อเหมือนเดิมเลยนะ ฮ่าๆๆ”

     

     

    เสียงห้าวคุ้นหูดังขึ้น เขาหันไปมองก็พบว่าเป็นบุคคลที่ไม่ได้เจอกันนานร่วมเดือน เพื่อนสนิทอีกคนของเขา..

     

    “เจ้าก็ปากจัดเหมือนเดิมนะ ลี แทมิน”

     

     

    ชายที่ถูกเรียกซะเต็มยศยกยิ้มอย่างไม่หยี่ระ รูปร่างที่ดูบอบบางอ้อนแอ้นราวกับสตรี อีกทั้งใบหน้าที่แอบสวยนั่นอีก ทำให้ตอนแรกเขาคิดว่าผู้ชายคนนี้คือคุณหนูของตระกูลลีด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ติดว่านิสัยของคนๆนี้จะห้าวหาญตรงข้ามกับหน้าตาแล้วล่ะก็ เขาคงคิดว่าคนๆนี้ผิดเพศอย่างไม่ต้องสงสัย

     

     

    “ข้าเพิ่งกลับมาจากชายแดนทางทิศตะวันออกทั้งทีไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบกันเลยรึไง?”

     

    “นั่นสิ เป็นยังไงบ้างล่ะท่านแม่ทัพกองกำลังแห่งแสง หนึ่งในสิบสองกองทัพผู้เก่งกล้า”

     

    “อยู่กันสองคนยังจะต้องพูดยศพูดตำแหน่งอยู่อีกรึไง องค์ชายชานยอล” คิ้วเรียวขมวดเป็นปมเมื่อถูกเรียกด้วยสรรพนามอย่างเป็นทางการ ไม่ชอบเลยสิให้ตาย...

     

    “หึหึ ข้าล้อเล่น ว่าแต่มาได้จังหวะมากเลย นักรบทั้งห้ากำลังจะมาที่นี่ เจ้าก็รอพบพวกเขาเลยก็แล้วกัน”

     

     

    ไม่นานทั้งหมดก็ทยอยมากันครบ พี่โยซอบก็มาด้วย บรรยากาศค่อนข้างปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็จะมีแบคฮยอนนั่นแหละ นั่งอยู่หลังสุดขนาดนั้น แถมยังไม่พูดจาอะไรอีก เหมือนกำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่...

     

     

    “ก่อนที่ข้าจะบอกแผนรบที่ข้าคิดไว้คร่าวๆ...ข้าขอแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก นี่คือแม่ทัพแห่งแสง หนึ่งในสิบสองแม่ทัพของอาณาจักรโชซอน แม่ทัพลี แทมิน” พูดจบร่างผอมบางนั่นก็เดินออกมาแจกยิ้มให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง เขาไม่แปลกใจกับความเป็นกันเองของแทมิน เพราะคนๆนี้ชอบทำหน้ามึนไปตีสนิทกับคนอื่นไปทั่ว รวมทั้งเขาด้วย...

     

    “แล้วข้าก็เป็นเพื่อนกับชานยอลด้วย^^ ยินดีที่ได้รู้จักกับพวกท่านทุกคน”

     

    แทมินมองไปยังนักรบแห่งตำนานที่ว่า ทุกคนล้วนหน้าตาดีกันหมดทุกคน ว่าแต่ทำไมถึงตัวสูงกันทุกคนเลยว้า เขาไม่ชอบเลย - -^

     

    “อ๊ะ เจ้าคือคนที่วิ่งชนข้าเมื่อกี๊นี่นา” แทมินชี้ไปที่แบคฮยอนก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ส่วนแบคฮยอนก็หันมามองอย่างตกใจเหมือนกัน คงจะวิ่งหลับหูหลับตาไม่มองหน้าใครเลยสินะ ไม่ระวังตัวซะบ้างเลย..

     

     

    “อ่า...หรอ ขอโทษที” พูดขอโทษเสร็จก็ก้มหน้าหลบตาต่อ แทมินเดินเข้าไปหาแล้วกอดคอแบคฮยอนแน่น

    “เซฮุน เจ้าดูสิ ยังมีผู้ชายที่เตี้ยกว่าข้าด้วย ฮ่าๆๆ”

    “นี่นาย ถึงผมจะเตี้ยแต่ก็หน้าตาดีนะ -0-“แบคฮยอนพูดขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นอกจากจะดูเหมือนเกรียนแล้วยังจะมั่วนิ่มอีก

     

    “แล้วทำไมผมเจ้าสั้นล่ะ เจ้าไม่เสียดายผมหรือ?”

     

    “ก็ฉันอยากไว้สั้นๆนี่นา”

     

    “..ข้าล่ะเสียดายแทน” นิ้วเรียวจิ้มเข้าไปบนหน้าผากมนของแบคฮยอนอย่างหมันไส้ปนเอ็นดู ภาพนี้ต่างเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนที่พบเห็น แต่สำหรับเขาแล้วไม่อยากจะมองเลย

     

     

    “แล้วคนนี้ล่ะผู้หญิงรึเปล่า?” แทมินชี้ไปที่คยองซู

    “ผู้ชายต่างหาก - -*

    “อ้าวหรอ..ก็เห็นว่าเตี้ย เอ๊ย ตัวเล็ก แล้วก็น่ารักดีน่ะ ฮ่าๆๆ” แทมินหัวเราะกลบเกลื่อนความหน้าแตกของตัวเองก่อนจะเดินมาหาเขายิ้มๆ

     

    “ที่พูดมาน่ะแสดงว่านายไม่ได้ส่องกระจกก่อนออกจากบ้านสินะ ตัวเองสวยกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาอีก” ยังไม่วายโดนคยองซูบ่นตามหลังมาเป็นพรวน มันก็จริง หึหึ

     

    “เอาล่ะๆๆ ทักทายพอหอมปากหอมคอแล้วนะ ไหนเจ้าลองว่าแผนของเจ้ามาสิชานยอล” โยซอบที่นั่งหัวเราะอยู่นานเอ่ยห้ามศึกน้ำลายแล้วพูดเบี่ยงเบนประเด็นมาที่แผนรบแทน

     

    “ข้าคิดว่า ทุกคนมีความสามารถที่ไม่เหมือนกัน ดูจากสถานการณ์แล้วลู่หานน่าจะเก่งธนู คยองซูน่าจะเก่งเรื่องการวางแผน แบคฮยอนน่าจะเก่งการต่อสู้ระยะประชิด เซฮุนน่าจะเก่งเรื่องดาบ จงอินเหมือนจะได้ทุกประเภท ส่วนอี้ชิง..เอ่อ..น่าจะเก่ง..” เก่งอะไรล่ะ วันๆไม่เห็นจะฝึกอะไรเลย = =

     

    “เก่งแต่ปากน่ะ” อี้ฟานพูดขึ้นมาลอยๆแต่เหมือนจงใจกระทบอี้ชิงอย่างจัง ทำเอาคนขี้วีนปรี๊ดแตกเลยทีเดียว

     

    “นี่ก็ใกล้จะถึงสุริยุปราคาเข้ามาทุกทีแล้ว ข้าว่าแยกกันฝึกตามที่ตนเองถนัดแล้วมานัดแผนรบกันอีกทีดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา ข้าว่าน่าจะดี ตกลงตามนี้หรือไม่?” โยซอบสรุปให้ทุกคนฟังอีกครั้งก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย

     

    หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปฝึกซ้อมตามปกติ ร่างเล็กๆของแบคฮยอนเดินออกไปโดยไม่มองหน้าใครทั้งสิ้น ทิ้งให้สายตาของคนสองคนมองตามไปอย่างไม่ลดละ..สายตาของชานยอลและแทมิน

     

    “คนที่ชื่อแบคฮยอนน่ะ ข้าว่าน่ารักดีนะ เจ้าว่าไหม?” หลังจากที่อยู่กันสองคนอีกครั้ง แทมินเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน คำถามนี้ทำเอาชานยอลหันมองขวับอย่างไม่ได้ตั้งใจ

     

    “หรอ เจ้าชอบรึยังไง” เสียงเรียบตอบออกมาอย่างปกติ แต่แทมินรู้ดีว่าน้ำเสียงแบบนี้มันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ๆ หรือว่าเจ้าชายน้ำแข็งอย่างชานยอลกำลังตกหลุมรักคนๆนั้นอยู่กันนะ

     

    “ก็...ไม่รู้สิ” แทมินตอบพลางยักไหล่หน้าตายิ้มๆ

     

    บางทีเจ้าก็ไม่รู้ตัวหรอก เจ้าน่ะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเลยนะชานยอล

     

    ไม่สนใจที่จะมองใคร แต่ตอนนี้สายตาของเจ้ากลับจับจ้องไปที่แบคฮยอนแค่คนเดียวอย่างไม่รู้ตัว

     

    ไม่สนใจที่จะเป็นห่วงใคร แต่ที่ข้อมือของผู้ชายคนนั้นเจ้ากลับทำแผลให้ ทำไมถึงรู้น่ะหรอ? วิธีการพันแผลแบบนั้นมีแต่เจ้าที่ทำได้ยังไงล่ะชานยอล

     

    ผู้ชายคนนี้มีอะไรที่น่าสนใจกันนะ...

     

     

     

    Yixing Said…

     

     

     

    “นายมันคนนิสัยไม่ดี!

     

    “.....”

     

    “นายมันแย่มาก อี้ฟาน หาว่าฉันดีแต่ปาก”

     

    “ก็แล้วไม่จริงรึไง”

     

    “เงียบ! ฉันกำลังหงุดหงิด อย่ามาว่าฉันกลับสิ”

     

    ตลอดทางที่อี้ชิงกับอี้ฟานเดินผ่านมีแต่เสียงทะเลาะกันดังไปหมด บรรดานางกำนัลต่างวิ่งหลบกันจ้าละหวั่นเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง ถึงแม้จะเริ่มชินมาบ้างแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเจอเข้าไปเต็มๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน

     

    “ข้าก็กำลังหงุดหงิดเหมือนกัน หงุดหงิดเสียงเจ้านั่นแหละ เจี้ยวจ๊าวเสียงดังอยู่ได้”

     

    ทั่วทั้งบริเวณนั้นบัดนี้ต่างร้างผู้คน เพราะต่างรู้ดีว่าเวลานี้ทั้งสองคนพร้อมที่จะระเบิดลงได้ทุกเมื่อเพียงแค่ใครซักคนจุดชนวน ดังนั้นทุกคนจึงรีบเผ่นหนีไปกันหมด แม้แต่ทหารเฝ้าเวรยามก็ไม่กล้าจะอยู่ ไม่งั้นคงจะโดนลูกหลงแน่ๆ

     

    “ก็เพราะนายนั่นแหละ! ปล่อยแขนฉันเลยนะ”

     

    เหมือนเส้นความอดทนของอี้ฟานจะขาดลง ณ ตอนนั้น มือใหญ่ของเขาจับข้อมือเล็กของฉันแล้วบีบแน่น แต่ทิฐิมันมีมากเกินกว่าจะร้องออกมา ร่างเพรียวเลยทำได้แต่จ้องตาเขากลับไปเท่านั้น

     

    “ทำยังไงเจ้าถึงจะเงียบล่ะ หรือว่าจะให้ข้าปิดปากเจ้า?” อี้ฟานพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ไม่นานมานี้เขาเพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขอีกอย่างหนึ่งก็คือการแกล้งคนตัวเล็กตรงหน้านี่นั่นแหละ แต่สิ่งที่ตัวเล็กได้ยินมันกลับแปลไปได้อีกความหมายหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้อี้ชิงดิ้นยิ่งกว่าเดิม

     

    “นายจะฆ่าปิดปากฉันหรอ! เดี๋ยวนี้หัดทำร้ายคนไร้ทางสู้แล้วรึไง” สิ่งที่ร่างเพรียวเข้าใจมันทำให้อี้ฟานนิ่วหน้ากับการที่เข้าใจไม่ตรงกัน ให้มันได้อย่างนี้เถอะแม่คุณหนู - -*

     

    “คนล่ะอย่างกันแล้ว มั่วนิ่มจริงๆเลยเจ้า”

    “จะแบบไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่เอาปล่อย ใครก็ได้ช่วยด้วยอี้ฟานจะฆ่าช้านนนน...อื้อ!

     

    เมื่อเห็นว่าจะไม่ได้การแล้ว อี้ฟานมองว่าอี้ชิงคงจะสติแตกกับการถูกขัดใจ ขืนปล่อยให้ฉันตะโกนต่อไปแบบนี้มีหวังคนได้กรูเข้ามามุงดูเป็นแน่ ร่างสูงดึงร่างบางเข้ามาใกล้ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างถือวิสาสะ ริมฝีปากหนาไล่ขบเม้มริมฝีปากบางของฉันจนทั่วชวนให้สติหลุดหายไป มือเล็กของอี้ชิงรัวทุบที่อกแกร่งของเขาอย่างไม่กลัวว่ามันจะบอบช้ำ การขัดขืนนั่นไม่มีผลอะไรกับอี้ฟานเลย เขารวบมือบางไว้ทั้งสองข้างด้วยมือข้างเดียวของเขาก่อนที่จะเลื่อนมือข้างที่ว่างมากอดรัดเอวบางเอาไว้ป้องการการหลบหนี กลีบปากร้อนรุ่มของเขาบดลงมาอย่างหนักจนเผลอเปิดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย

     

     ทำให้อี้ฟานแทรกลิ้นเข้ามากวาดต้อนความหวานจากโพรงปากได้อย่างง่ายดาย ริ้นเรียวตวัดหยอกล้อลิ้นของอี้ชิงไปมาอย่างเหนือกว่า ชักจูงให้ฉันเคลิ้มหลงอย่างไม่รู้ตัว มือของร่างเพรียวเคลื่อนโอบรอบคอของเขาอย่างอัตโนมัติ จูบเนิ่นนานจนเริ่มหมดอากาศหายใจ

     

     

    “ดะ..เดี๋ยว อี้ฟาน หยุด...”

     

     

    เหมือนเสียงของอี้ชิงจะไม่เข้าไปในโสตประสาทของเขาเลยซักนิดเดียว เสี้ยววินาทีที่เขาปล่อยให้ร่างเพรียวกอบโกยอากาศเข้าสู่ปอด แล้วเขาก็กลับมาครอบครองริมฝีปากอิ่มไว้อีกครั้ง เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า มือน้อยๆเริ่มทำหน้าที่ประท้วงอีกครั้ง และคราวนี้เหมือนจะได้ผล อี้ฟานถอนจูบออกมามองหน้าอี้ชิงอย่างอ้อยอิ่ง

     

     

    “ข้าขอโทษ...ข้าลืมตัวไป ว่าข้ากับเจ้าอยู่ที่ทางเดิน”

     

    “จะ..แฮก..ที่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น!” อกเล็กกระเพื่อมขึ้นลงอย่างต้องการอากาศหายใจมากที่สุด ก็เล่นจูบมาราธอนขนาดนี้ใครจะไปทนไหวล่ะ...ถึงจะเคยจูบมาก่อนแล้วก็เถอะ แต่จูบแบบนี้อี้ชิงไม่เคยมาก่อน...จูบหวานๆจนลืมหายใจ

     

    “หึหึ วันหลังเจ้าก็อย่าพูดมากอีกล่ะ ไม่อย่างนั้น...ข้าจะลงโทษเจ้าแบบนี้แหละ” เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะที่สามารถปราบคนดื้อเอาแต่ใจได้ซะอยู่หมัด เจ็บใจชะมัด

     

    “นายมันเจ้าเล่ห์ ย่าห์! ฉันจะฆ่านาย” โดยที่อี้ฟานไม่ทันตั้งตัว อี้ชิงก็พุ่งไปที่เขาอย่างแรงพร้อมกับยกขาเตะเข้าไปที่จุดยุทธศาสตร์ของเขาอย่างจังจนคนตัวโตล้มลงนอนตัวงอ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร หึหึ!

     

    “โอ๊ย...เจ้า ยัยปีศาจ บังอาจมาทำร้ายน้องชายข้า” อี้ฟานกัดฟันกรอดพูดออกมาด้วยความจุก หน้าของเขาเริ่มที่จะแดงจนมันลามขึ้นมาที่ใบหู น้องรักของเขาจะคอเคล็ดมั๊ยนะ...ฮือ

     

    ฉันยืนมองผลงานอย่างภาคภูมิใจก่อนจะเดินออกมาซะดื้อๆ ปล่อยคนลามกไว้แบบนั้นแหละจะได้รู้สำนึก

     

    “เมี๊ยว...เมี๊ยว.....”

    “เอ๊ะ เสียงอะไร?”

     

    อี้ชิงมองหาซ้ายขวาและรอบๆตัวเหมือนกำลังสำรวจป่า เสียงมันดังมาจากหลังพุ่มไม้ ร่างเพรียวเดินเข้าไปดูก็พบว่ามีแมวสีขาวตัวหนึ่งกำลังนอนร้องโอดโอยอยู่ ที่ขาของมันมีบาดแผลเลือดซึมออกมา

     

    “อ่า..เจ้าแมวน้อยไปโดนอะไรมาล่ะเนี่ย”

     

    อี้ชิงก้มลงไปอุ้มเจ้าแมวน้อยขนปุยสีขาวที่ขนของมันตอนนี้ย้อมไปด้วยสีแดงของเลือดจากตัวมันเอง เจ้าแมวก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรยอมให้เขาอุ้มดีๆ แล้วเดินไปหาอี้ฟานที่กำลังลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

     

    “อี้ฟาน ฉันเลี้ยงมันได้มั๊ย?” อี้ชิงพูดอ้อนๆพลางลูบหัวของเจ้าแมวน่าสงสารไปมา

     

    “แต่มันเป็นแมวที่ไหนก็ไม่รู้ เจ้าไม่กลัวมันจะทำร้ายเจ้าหรอ” อี้ฟานมองแมวตัวนั้นอย่างไม่ค่อยวางใจ แต่คนตัวเล็กเหมือนจะโดนความขี้อ้อนของแมวตัวนี้เข้าไปเลยไม่สนใจคำคัดค้านของเขาเลย

     

    “ก็ฉันเหงานี่ อยู่แต่ในตำหนักคนเดียวมันเหงานะ ฉันอยากมีสัตว์เลี้ยง ฉันจะได้ไม่เหงา”

     

    “งั้น..ก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” เขาพยักหน้าอย่างยอมแพ้ เพราะตอนนี้เขาก็ไม่มีอารมณ์มาทะเลาะอะไรมาก กลัวคนตัวเล็กนี่จะเล่นงานน้องรักเขาอีกรอบเพราะไม่ยอมตามใจน่ะสิ

     

    รอให้หายก่อนเถอะ...ข้าจะเอาคืนทบต้นทบดอกเลย - -*

     

    อี้ชิงพาเจ้าแมวตัวนี้เดินเข้าไปในห้องทำแผลให้มันอย่างเบามือ ขาของเจ้าแมวเหมียวมีผ้าพันไว้อย่างประณีตแสดงถึงความใส่ใจของคนทำเป็นอย่างดี เจ้าแมวตัวนี้น่ารักมากเลย เห็นครั้งแรกเขาถึงกับตกหลุมรักมันโดยไม่รู้ตัว

     

    “หายไวๆล่ะเจ้าแมวเหมียว..อย่าซนนะรู้มั๊ย”

     

    ร่างเพรียวเล่นอยู่กับเจ้าแมวจนถึงดึก มันพยายามจะเข้ามานอนกับเขาบนเตียงแต่เขาก็จับมันไปนอนบนตะกร้าที่ปูผ้าไว้แล้วแทน จะให้มานอนบนเตียงกับเขามันก็ไม่ไหวหรอกนะ ไม่ชินกับการมีใครนอนด้วยน่ะ

     

    “ฝันดีเจ้าแมว จุ๊บ” อี้ชิงส่งจูบให้เจ้าแมวที่ทำหน้างงๆอย่างน่ารักก่อนที่จะปิดไฟนอน

     

     

    บางทีที่นี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ...



     

    ****************************


    ไม่มีอะไรจะบอกกล่าวมากค่ะ
    อัพช้าหน่อยนะเพราะว่าไรท์ทำงานพิเศษ แหะๆ

    เอนจอยรีดดิ้งค่ะทุกคน



     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×