คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6
Chapter 6
Luhan Said..
เช้าตรู่ของอีกวัน...
“คุณชายลู่หานเพคะ ได้เวลาตื่นมาเรียนการต่อสู้แล้วเจ้าค่ะ”
ก๊อกๆๆๆๆๆๆ
เสียงสาวใช้ดังขึ้นแต่เช้า แล้วก็มีทีท่าว่าจะดังเรื่อยๆอย่างไม่มีวันหยุดหากไม่ยอมลุกขึ้นไปเปิดประตูให้พวกหล่อน แต่..เตียงนอนอุ่นๆ ผ้าห่มผืนหนาๆ หมอนใบนุ่มๆ บรรยากาศเป็นใจให้นอนต่อแบบนี้ใครจะลุกไปเปิดประตูล่ะ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเคาะถี่ขึ้นเรื่อยๆอีกต่างหาก ลู่หานเลยหมดความอดทน...ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงแทน หนวกหูโว้ยยยยยยยย - -;
“เอายังไงดี คุณลู่หานไม่ตื่นซักที”
เสียงคุยซุบซิบดังอยู่หน้าประตู แต่ร่างบางก็ยังไม่สนใจ นอนห่มผ้าอย่างสบาย อ่า..สวรรค์ของแท้
โครม!!
“แว๊กกกกกกกกกกก!”
เสียงกระแทกหักโครมครามดังอยู่ไม่ไกลทำให้ลู่หานเผลอตกใจตื่นขึ้นมากรี๊ดลั่น มองไปยังต้นเหตุของเสียงก็พบว่าประตูที่เคยปิดสนิทดีถูกฝ่าเท้าของใครบางคนถีบมันจนเปิดออกกว้าง
“อึก..ประตูเป็นรูเลย =[]=!”
ซากประตู(?)ถูกเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย สาวใช้ทั้งสองคนเดินเข้ามาหาร่างบางอย่างปกติเหมือนเมื่อกี๊ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มต้อนรับวันใหม่ก่อนจะหิ้วปีกเขาไปอาบน้ำขัดผิว..เห็นตัวบางๆแบบนี้ถึกใช่ย่อยแฮะ ขัดใจพวกหล่อนบ่อยๆคงศพไม่สวยเข้าซักวัน
“ทุกคนอยู่ที่ลานฝึกเพคะ วันนี้จะมีครูฝึกมาสอนธนูให้พวกท่าน” สาวใช้บอกระหว่างที่กำลังแต่งตัวให้กับลู่หาน ชุดดูทะมัดทะแมงขึ้นเหมาะสำหรับการออกกำลัง ดูๆแล้วเหมือนชุดจอมยุทธ์ในหนังจีนกำลังภายในเลยนะเนี่ย =w=
“อืม..แล้วพวกเธอเคยฝึกมั๊ยล่ะ?” ลู่หานหันไปถามสาวใช้คนหนึ่งที่กำลังผูกเสื้อให้
“พวกเราผ่านการฝึกมาทั้งหมดก่อนจะเข้ามาเป็นข้ารับใช้แล้วเพคะ”
“ไม่ต้องพูดเพคะอะไรนั่นได้มั๊ย? ฟังแล้วมันแปลกๆอะ”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
“อืม แบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ^^”
ลู่หานเดินตามทางที่สาวใช้บอก เขามาอยู่ที่นี่ได้สองวันแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มฝึก พระราชวังนี้ก็ใหญ่โตจริงอะไรจริง เดินมาตั้งนานแล้วยังไม่ถึงเลย หรือว่าจะหลงทางนะ
ฟ้าว! ปั่ก!
ขาของเขามันย่อหลบอย่างอัตโนมัติ วัตถุบางอย่างลอยผ่านเหนือหัวของร่างบางไปอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน สุดท้ายมันก็ไปหยุดอยู่ที่กลางเป้าใบใหญ่ๆใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างหลังของลู่หาน
“ลู่หาน! ไปโผล่อะไรตรงสนามฝึกห้ะ! อยากกลายเป็นเป้าธนูรึไง?”
เสียงตาบ้าเซฮุนโวยวายออกมา ในมือถือคันธนูไว้แน่น แววตาของเขารู้สึกโกรธแค่ไหนที่ดันไปโผล่อยู่หน้าเป้าธนูของเขา อ้อ! ธนูดอกเมื่อกี๊ของนายสินะ!
“ก็ฉันหาสนามฝึกไม่เจอสักที เดินไปเดินมามันก็โผล่ตรงนี้แล้วอะ”
“เอาเถอะๆ ไหนๆลู่หานก็ไม่เป็นไร เรามาฝึกกันต่อเถอะ” จงอินรีบวิ่งเข้ามาห้ามทัพก่อนที่อะไรมันจะเละตุ้มเป๊ะ
ลู่หานเดินยักไหล่ผ่านเซฮุนไปแล้วเดินไปหยิบคันธนูขนาดเหมาะมือและสะพายซองลูกธนูไว้ข้างหลัง ยกธนูขึ้นมา เอาดอกธนูพาดไปกับคันธนูแล้วเล็งไปที่เป้าหมาย หวา..ธนูก็หนัก แถมยังเล็งได้ไม่ดี มือสั่นไปหมดแล้ว TT
ฟ้าว!
ลูกธนูดอกแรกของลู่หานพุ่งออกไปตามแรงเหนี่ยว ได้ผลดีทีเดียว..มันยิงโดนอากาศดังปังเลย - -^
“เล็งยุงรึไง ยิงไปทางไหนกันเนี่ย ไม่ต้องกลัวเป้าซ้อมชำรุดหรอกนะ” เซฮุนหันมาแขวะ
“เดี๋ยวจะยิงให้โดนกลางเป้าเลยคอยดู”
“โอเคจะรอดู หวังว่าไม่ใช่ปีหน้านะ”
“เปลี่ยนจากเป้านั่นเป็นเป้านี่ดีกว่านะ รับรองไม่พลาด” ร่างบางหันหัวธนูมาที่เป้าของเซฮุนแทน ตาตี๋ๆของหมอนั่นเหลือกขึ้นเป็นอีกเท่าตัวพลางหันหนีไปเลยทีเดียว หึหึ ก็กลัวเหมือนกันนี่หว่า - -*
ไม่นานแบคฮยอนกับคยองซูก็เดินเข้ามาฝึกซ้อมข้างๆลู่หาน ดูจากสภาพแล้วคงจะโดนปลุกให้ตื่นเหมือนกันล่ะสิท่า ฮ่าๆ แขนของแบคฮยอนมีผ้าพันแผลบางๆพันเอาไว้อยู่ทั้งสองข้าง ดูท่ารอยช้ำคงจะไม่หายง่ายๆสินะ เขารู้ว่าแบคฮยอนคงจะเจ็บมาก แต่คนอย่างหมอนั่นต่อให้บังคับก็ไม่มีทางบอกว่าตัวเองเจ็บหรอก - -
ฟิ้ว ฟ้าว เฟี้ยว!
“นี่ลู่หาน ยิงแบบนั้นเมื่อไหร่จะสอยได้สักคนล่ะเนี่ย เดี๋ยวจะสอนให้” เซฮุนดูเหมือนจะทนไม่ไหวในความห่วยขั้นเทพของเขาเลยเข้ามาสอนจับคันธนูซะใหม่ ร่างสูงเดินเข้ามาประกบลู่หานจากข้างหลังจนแนบชิดกันแบบไม่ทันตั้งตัว แถมยังจับมือไว้หลวมๆอีกต่างหาก มันไม่ต่างอะไรกับคำว่ากอดเลยซักนิดนี่นา -/-
“นี่นาย ไม่ต้องมาใกล้ขนาดนี้ก็ได้”
“อย่ามาดื้อน่า”
“ก็จะดื้อ”
จุ๊บ!
เป็นเพราะเขากับเซฮุนอยู่ใกล้กันเกินไป ลู่หานที่กำลังจะหันหน้าไปเถียงเซฮุน จมูกโด่งของร่างบางดันไปชนกับแก้มขาวๆของร่างสูงพอดี อีกทั้งริมฝีปากยังประทับลงไปด้วยอีกต่างหาก !
“บอกแล้วว่าอย่าเถียง หึหึ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูบางอย่างเยาะเย้ย ทั้งๆที่สายตาของเซฮุนก็กำลังมองเป้าในสนามฝึกอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังมองทุกๆอิริยาบถของลู่หานอยู่กันนะ?
“เล็งไปที่เป้าประมาณนี้ ยิงแรงขนาดนี้พอแล้ว มือนิ่ง จิตสงบ ตั้งสมาธิดีๆ แล้วปล่อยลูกธนู” เสียงของเซฮุนดังขึ้นมาไม่ขาด ซึ่งลู่หานก็ทำได้แค่พยายามจิตใจไม่วอกแวกเรื่องเมื่อกี๊ให้เสียการเสียงาน แต่ก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี
ฟ่าว! ปัก!
ลูกธนูพุ่งออกจากคันธนูไปด้วยองศาที่ดีกว่าเดิม มันพุ่งไปปักที่เป้าเป็นคันแรกที่ลู่หานฝึกยิงมา ถึงแม้มันจะไม่โดนกลางเป้าเป๊ะๆก็เถอะ แค่นี้ก็ดีใจมากมายแล้วล่ะ T^T
“ฉันยิงถูกเป้าแล้ว! เย้ๆ”
“เอาล่ะ ฝึกต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็พักแล้ว” เซฮุนเดินกลับไปซ้อมยิงธนูของตัวเองต่อ ซึ่งร่างบางก็สามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่ยิงถูกบ้างไม่ถูกบ้าง กลายเป็นยิงถูกเป้ามากขึ้น แถมบางดอกยังเข้าไปอยู่ในวงกลมสีแดงอีกต่างหาก
ไม่อยากจะโม้เลยว่าฝีมือของลู่หานก็เทพใช้ได้นะเนี่ย เหอๆๆ –w-
Kyungsoo Said…
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่แสนทรมาน ไม่ใช่ถูกทรมานแบบโหดๆเหมือนในหนังหรอก แต่ทรมานแบบไม่มีอิสระมากกว่า เขาและเพื่อนๆไม่ว่าจะทำอะไรจะถูกจับตามองอยู่ตลอดจากทุกคนในราชวัง เขาไม่ชอบให้ใครมาจ้องแบบนี้เลย - -;
“รัชทายาทนั่นสั่งคนมาเฝ้าพวกเราหรือว่าพวกเราคิดไปเองอะ -0-“ แบคฮยอนกระซิบคุยกับคยองซู
“คงจะอย่างหลังละมั้ง” ร่างเล็กตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางยิงธนูต่อไป
“โอ๊ย ฉันจะบ้าตาย แบบนี้มันเล่นสงครามประสาทกันชัดๆนี่นา” ลู่หานก็เข้ามาบ่นด้วยคน
“บ่นไปมันจะมีอะไรดีขึ้นมาล่ะพวกแก?” คยองซูหันไปมองเพื่อนรักทั้งสองอย่างหน่ายใจ ก็พวกนี้เล่นบ่นไม่หยุดเลยนี่
“ไม่บ่นก็ได้” แล้วทั้งสองคนก็เดินหน้ามุ่ยกลับไปซ้อมธนูต่อ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ทุกคนเริ่มอ่อนล้าหมดแรง ต่างก็หาข้ออ้างต่างๆนานาออกไปยืดเส้นยืดสาย ร่างเล็กก็เลยขอออกมาเข้าห้องน้ำบ้าง หลังจากเสร็จธุระก็เดินออกมา แต่พอถึงตรงทางโค้งจะกลับไปลานฝึกธนูเนี่ยแหละ เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังอยู่ข้างหน้า เสียงของจงอิน..เหมือนจะคุยกับใครอยู่
“เอ่อ พี่สาวครับทำแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ข้าทำไม่ดีตรงไหน หรือว่าเจ้าไม่อยากมีความสุขกับข้า?” เสียงหวานนุ่มเอ่ยขึ้น หล่อนเป็นใครเนี่ย!
“มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่ว่ายังไงมันก็ไม่เหมาะ”
“ข้าเข้าวังมาตั้งแต่ยังเด็ก ข้ามีหน้าที่ปรณนิบัติต่อพระราชา แต่พระองค์ไม่เคยมาหาข้าเลย ข้าทรมานจะแย่..”
“อ่า มันก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ”
“เจ้าไม่คิดจะ..ทำให้ข้าหายทรมานหน่อยรึพ่อหนุ่มน้อย?”
“แล้ว..เฮ้ย! พี่สาวทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
คยองซูทนฟังแค่เสียงสนทนาของทั้งคู่ไม่ได้ เลยตัดสินใจชะโงกหน้าไปดู แต่เขาก็คิดผิด เพราะภาพที่เห็นคือจงอินกำลังถูกโน้มคอลงมาจูบกับนางบำเรอคนหนึ่งหน้าตาสะสวยไร้ที่ติ ร่างสองร่างแนบชิดกันไร้ช่องว่าง มือเรียวขาวเลื่อนไปที่ท้ายทอยของจงอินแล้วกดลงมาปรับมุมองศาให้จูบในครั้งนี้ดูดูดดื่มเร่าร้อนมากขึ้น คงจะเป็นเพราะนางบำเรอคนนั้นคงจะมีชั้นเชิงที่เหนือกว่ามาก จงอินที่ดูขัดขืนในตอนแรกมีทีท่าว่าจะเคลิ้มตามซะด้วยสิ ความเอ๋อของนายคงจะไปเตะตาแม่นี่เข้าสินะ ตอนนี้ขอบตาคยองซูเริ่มร้อนผะผ่าว ไม่ใช่จะร้องไห้หรอกนะ..แค้นต่างหาก!
จูบที่ดูดดื่มดำเนินไปเนิ่นนานจนกว่านางบำเรอคนนั้นจะถอนจูบออก จงอินที่กำลังมึนๆกับรสจูบอยู่กำลังหน้าแดงปานสาวน้อยที่ไม่เคยจูบกับใคร ใบหน้าแบบนั้นเขาไม่อยากให้ใครเห็นเอาซะเลยให้ตาย ไม่นานเมื่อจงอินตั้งสติได้ก็วิ่งออกจากตรงนั้นไปทันที ก็ที่นี่มันตรงทางเดินนี่นา ใครเห็นเข้าคงจะไม่ดีแน่ๆ นางบำเรอคนนั้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง ยิ้มกริ่มให้กับตัวเองก่อนจะเดินเฉิดฉายมาทางที่เขายืนอยู่
หึหึ...เขาจะลงโทษหล่อน โทษฐานที่มาลวนลามจงอินของเขา(ในอนาคต)
หวืด..ตุ้บ!
“ว๊ายยย อะไรกันเนี่ย! เปลือกกล้วยมาหล่นอะไรตรงนี้!” ขาเรียวที่กำลังเดินอยู่ดีๆก็ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอย่างแรง ริมฝีปากแดงชาดร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ ในใจก็นึกสงสัยอยู่ไม่น้อย หล่อนลื่นล้มเพราะไปเหยียบเปลือกกล้วย
“อุ๊ย! คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?” เขา(ทำเนียน)หน้าซื่อเดินออกมาจากมุมของตำหนัก มือถือกิมจิที่ปรุงรสชาติเผ็ดแสบเข้มข้นอยู่หนึ่งถัง จะถามว่าเขาไปเอามาจากไหนน่ะหรอ ใกล้ๆนี่คือโรงครัวยังไงล่ะ เขาเลยไปขอมาถือเล่น(?) คยองซูเดินเข้าไปถามอาการอย่างหวังดีพลางยื่นมือไปให้จับแล้วดึงขึ้นมา แต่สงสัยแรงคงจะมีไม่พอ นางบำเรอคนนั้นเลยลอยหวือไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่เหมือนเดิม แถมมือข้างที่ถือถังกิมจิอยู่ก็ดันไม่แข็งแรง ปลิวไปครอบหัวของนางบำเรออย่างจัง กิมจิตกกระจายไปตามพื้นส่งกลิ่นโชยไปทั่วบริเวณ
“กรี๊ดดดดดดดดดดด นี่มันอะไรกัน!”
“อุ๊ย ขอโทษด้วยครับ พอดีมือลื่น -.,- “
“ข้าจะฟ้องรัชทายาท!! บังอาจมาทำกับสนมอย่างข้า”
“นางสนมหรอครับ นึกว่านางบำเรอ อ่อ ขอโทษด้วยครับ ต้องไปซ้อมยิงธนูต่อแล้ว ขอตัวนะครับ” ร่างเล็กเดินผ่านหล่อนด้วยสีหน้ายิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ นี่ไม่ใช่คนแรกหรอกนะที่เจอเหตุการณ์อันแสนจะบังเอิญแบบนี้ เพราะมันจะเกิดกับ”ทุกคน”ที่เข้ามาเกาะแกะจงอินยังไงล่ะ ^^ อ้อ! ถ้าคนอ่านรู้แล้วก็กรุณาเก็บไว้เป็นความลับด้วยนะครับ เดี๋ยวภาพพจน์แองเจิ้ลของคยองซูคนนี้จะเสียหายหมด
“เฮ้ หายไปไหนมาตั้งนานน่ะ” จงอินเอ่ยถามหลังจากที่เข้ามาในสนามซ้อม
“ไปเข้าห้องน้ำมาน่ะ ^^” คยองซูยิ้มตอบกลับไปแล้วเดินไปหยิบธนูขึ้นมาซ้อมต่อ
“อ่อๆ วันหลังถ้าจะไปห้องน้ำก็ให้เพื่อนๆไปด้วยนะ ฉันเป็นห่วง” จงอินเอื้อมมือมาขยี้ผมนุ่มอย่างเอ็นดู ยิ้มโชว์ฟันขาวๆนั่นซักพักก่อนจะกลับไปซ้อมธนูของตัวเองต่อ จะผิดมั๊ยถ้าเขาจะแปลความหมายของคำว่าเป็นห่วงของนายให้เป็นความเป็นห่วงของคนที่รักกัน ไม่ใช่ความเป็นห่วงของเพื่อน...
“ถ้างั้นฉันชวนนายไปห้องน้ำได้มั๊ยล่ะ? คิกๆ” เขาแหย่ถามออกไป ซึ่งเจ้าตัวก็หันมามองยิ้มๆ
“ไม่กลัวฉันแอบดูหรอ”
“ไม่กลัวหรอก เพราะจงอินจะไม่ทำแบบนั้นแน่ J”
“ฮ่าๆๆ โอเคๆ งั้นฉันจะไปส่งนายก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ต่างจดจ่อกับการซ้อม ร่างเล็กหันไปมองลู่หานที่ยิงธนูอย่างสะเปะสะปะแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลย ก็เพราะเขายิงเข้าเป้าเยอะกว่าน่ะสิ! โฮ๊ะๆๆ ^O^
ใครที่กำลังคิดภาพว่าคยองซูเป็นแองเจิ้ลอยู่รีบลบออกซะ..เพราะเขามันมารร้ายกว่าที่ทุกคนคิดไว้ หึหึ...
Baekhyun Said…
ฟ้าว...ปั่ก!!!
เสียงลูกธนูพุ่งเข้าเป้าดังขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างเล็กง้างธนูขึ้นในองศาที่เพาะเหมาะก่อนจะปล่อยออกไปให้มันโดนเป้า มือเรียวที่เคยนุ่มน่าทะนุถนอมกลับกลายมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเต็มฝ่ามือ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สนใจพุ่งสมาธิไปที่ลูกธนูจนมือเริ่มมีเลือดออกซิบๆ อย่าถามว่าเขาเอาแรงฮึดที่ไหนมามากมายขนาดนี้ เอาทักษะที่ไหนมามากมายถึงยิงเข้าเป้าเกือบทุกดอก ก็เพราะว่ามีเคล็ดลับยังไงล่ะ...
ตรงกลางเป้ามีแผ่นกระดาษบางๆแผ่นหนึ่งติดไว้ บนกระดาษมีรอยพรุนจากลูกธนูมากมาย อักษรบนกระดาษแผ่นนั้นแหละที่ทำให้เขามีแรงฮึดได้ขนาดนี้ อักษรที่เขียนไว้ว่า “ชานยอล”
ใบหน้าหล่อนิ่งๆแบบนั้นมันตามมาหลอกหลอนแบคฮยอนตลอดเวลาไม่เว้นตอนปวดอึเข้าห้องน้ำ หมอนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้อารมณ์เสียได้ขนาดนี้ ตอนเห็นก็อยากจะกระทืบ ตอนได้ยินก็อยากจะปิดหู เขาทำให้ความมั่นใจของเขาพังทลายไปหมด เพราะความแค้นนี้เลยต้องฝึกตัวเองให้เก่งขึ้นแล้วไปล้างอายกับชานยอลยังไงล่ะ ถึงจะเป็นเจ้าชายอะไรนั่นก็ไม่สนหรอก!
“ถ้าฉันเป็นชานยอลป่านนี้คงจะช้ำในตายไปแล้วล่ะ” เซฮุนเดินมามองผลงานของแบคฮยอนแล้วพูดแซว
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ฉันจะหัวเราะสะใจสามวันสามคืนเลยคอยดู” แบคฮยอนกัดฟันพูดด้วยความแค้น
“ถ้าเขาตายจริงๆพวกเราจะรับผิดชอบไหวหรอ?”จงอินตะโกนถาม
“ไม่เห็นต้องรับผิดชอบ เราก็รีบไปขโมยกล่องนั่นแล้วชิ่งกลับบ้านสิ” ลู่หานพูดขึ้นมาบ้าง
“พอๆ ดูมือเธอสิแบค ฝึกขนาดนี้มือเป็นแผลหมดแล้ว” คยองซูมองเห็นว่ามือของแบคฮยอนเริ่มสั่นผิดปกติเลยก้มไปมองชัดๆ รอยเลือดสดๆไหลลงมาเป็นทางยาวน่ากลัว บาดแผลใหญ่น้อยจากการถูกลูกธนูบาดมีให้เห็นเรื่อยๆทั่วฝ่ามือบาง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ร้องออกมาซักแอะ ไฟแค้นนี่มันน่ากลัวจริงๆเลยนะเนี่ย
ลู่หานวิ่งมาตะครุบคันธนูของแบคฮยอนเอาไว้ไม่ให้ฝึกอีก อะไรกันพวกนี้ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า แค่นี้มันยังไม่สะใจฉันเลย” แบคฮยอนฮึดฮัดออกมา
“ต่อให้สะใจเจ้าซักเท่าไหร่ ข้าก็ไม่ตายหรอก ตราบใดที่ลูกธนูของเจ้าไม่ปักโดนข้าจริงๆ” เสียงทุ้มเยือกเย็นดังขึ้นมาจากข้างหลัง ทุกคนหันไปมองถึงกับเสียวสันหลังวาบ อย่าบอกนะว่าได้ยินที่พวกเราพูดกันเมื่อกี๊..-0-
“นายอย่ามาพูดดี ฉันยิงนายแน่” เสียงหวานพูดขู่ออกไป
“สภาพมืออย่างนั้นน่ะรึ? ฝันอยู่สินะ” น้ำเสียงและใบหน้านิ่งราวกับภูเขาน้ำแข็งพูดออกมาเหมือนกำลังเยาะเย้ยกันอยู่ มือเรียวเผลอกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง ทุกคนรีบกระโดดออกห่างแบคฮยอนเป็นเมตร เพราะนี่คือสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังโกรธจัด ฟิวส์กำลังจะขาดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้หากยังได้ยินคำพูดไม่เข้าหูอยู่
“นายทำฉันโมโหอีกแล้วนะชานยอล!”
“หึ..”
ชานยอลแค่นยิ้มมองมาทางนี้ วินาทีนั้นแบคฮยอนไม่ทนอีกต่อไปแล้ว กำปั้นเล็กพุ่งเข้าหาคนตัวสูงทันที ใบหน้าหล่อเหลาไม่คิดแม้จะหลบ กำปั้นเล็กถูกหยุดไว้ด้วยมือซ้ายของชานยอลเพียงข้างเดียว เพียงแค่นั้นก็เหมือนว่าแบคฮยอนตกหลุมพรางที่เขาขุดขึ้นมา ร่างของแบคฮยอนลอยหวือขึ้นจากพื้น ตอนนี้เขากำลังถูกอุ้มพาดอยู่บนไหล่กว้างของชานยอล!
“อะ..อะไร! ปล่อยนะ ทุกคน! ช่วยด้วย” แบคฮยอนที่เพิ่งได้สติตะโกนเรียกให้เพื่อนๆมาช่วยแต่ก็ไร้ผล ทุกคนนิ่งค้างอยู่กับที่เหมือนถูกแช่แข็งไว้ไม่กล้าขยับเขยื้อนเนื่องจากเหตุการณ์นี้มันเกิดรวดเร็วเกินไป
“พวกเจ้าอยู่ซ้อมนี่ต่อสักพักแล้วค่อยหยุดไปพักผ่อนก็แล้วกัน” ชานยอลพูดทิ้งท้ายแล้วแบกแบคฮยอนเดินออกไปจากลานฝึกธนู เดินผ่านตำหนักด้วยสีหน้านิ่งตามปกติ สาวใช้และทหารที่เห็นต่างพูดคุยซุบซิบกันอย่างไม่เชื่อสายตา ตั้งแต่เข้ามาเป็นข้ารับใช้ที่นี่ทุกคนเพิ่งเคยเห็นองค์ชายชานยอลจอมเย็นชาแบกคนขึ้นหลังเป็นครั้งแรก!
“ปล่อยนะ! ทำแบบนี้ไม่อายเขารึไง ไอ้คนหน้าหนาเอ๊ย” แหกปากโวยวายพร้อมกับดิ้นสะบัดตัวไปมา
“ก็เพราะเจ้าพูดเสียงดังเขาก็เลยมองยังไงล่ะ ถ้ายังไม่เลิกดิ้นอีกข้าจะตีก้นเจ้า” ชานยอลพูดทำเอาฉันสะอึกไปเลย
“อะ...ไอ้คนบ้า!” แบคฮยอนทุบกลางหลังเขาอึกใหญ่ คาดว่าคงจะจุกไม่น้อยเพราะยืนนิ่งไปเลย ผู้คนเริ่มมุงดูมากขึ้น แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ก้นของเขาถูกตีด้วยแรงที่ไม่เบานักจากคนที่กำลังแบกอยู่
“เงียบเดี๋ยวนี้ อย่าขัดคำสั่งข้า ไม่อย่างนั้นจะไม่จบแค่ตีก้นเจ้าแน่” แบคฮยอนก็เลยต้องเงียบรูดซิปปาก สถานการณ์ตอนนี้เขายังตกเป็นรองชานยอลอยู่หลายขุม ขายาวก้าวเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นของชานยอล ภายในห้องเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะคิดออกว่าเป็นห้องของผู้ชายคนหนึ่ง ห้องของเขาคงจะรกกว่าอีกล่ะมั้ง แอบละอายจังเลย -/-
“ปล่อยฉันได้รึยัง เลือดจะลงหัวตายอยู่แล้วเนี่ย”
ตุ้บ! สิ้นเสียงของเขา ชานยอลก็ปล่อยฉันลงอย่าง(ไม่ค่อยจะ)ใยดี หมอนี่ก็เป็นอย่างนี้ทุกที ถนอมกันน่ะรู้จักมั๊ย!
“พาฉันมาที่นี่ทำไม” หลังจากที่ตั้งตัวได้ก็ถอยหนีไปติดมุมห้องเพื่อตั้งหลัก หมอนี่อาจจะกำลังวางแผนฆ่าตัดตอนเขาอยู่ก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้ความคิดของชานยอล ไม่มีใครเดาออกได้เลยว่าตาคู่นั้นกำลังสื่อความหมายอะไรและกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ดังนั้นป้องกันตัวก่อนแล้วค่อยเถียงจะดีกว่า -0-
“ทำแผล”
“ห้ะ อะไรนะ”
“มานี่ ข้าจะทำแผลให้” ชานยอลเรียกแบคฮยอนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงห้วนกว่าเดิมเมื่อร่างเล็กไม่เข้าไปหาเขาซักที ตอนนี้แบคฮยอนก็เหมือนหมูในอวย จะไม่ทำตามที่ชานยอลบอกก็ไม่ได้ เลยต้องจำใจเดินไปหา
“เบาๆสิ...โอ๊ย! นี่นายจะทำแผลให้ฉันหายหรือว่าจะทำให้แผลของฉันมันเป็นหนักกว่าเดิมกันแน่ มือหนักชะมัด”
นั่งเงียบให้อีกคนทำแผลได้ไม่นาน ร่างเล็กก็กรีดร้องโอดโอยออกมาด้วยความแสบ ยาสมุนไพรที่ชานยอลทำมาราดที่แผลของเขามันแสบจี๊ดขึ้นสมอง แถมตอนทายาหมอนี่ยังจะกดมือลงมาบนแผลอีก แกล้งกันชัดๆ!
“ถือว่าข้าเอาคืนก็แล้วกัน โทษฐานที่เจ้าเอาชื่อข้าเป็นเป้าซ้อมยิงธนู”
ใบหน้าหวานงองุ้มลงอย่างไม่ค่อยยอมรับผิด ความจริงโทษฐานมันหนักกว่านี้หลายเท่านักโทษฐานหมิ่นพระเกียรติราชวงศ์น่ะ มีโทษถึงตายเชียวแหละ แต่ไม่รู้ทำไมว่าชานยอลตัดสินใจลงโทษคนตรงหน้านี้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่เอาคืนมันก็ไม่ใช่เขาน่ะสิ เลยต้องทำโทษให้สำนึกซะหน่อย
ไม่นานมือของแบคฮยอนก็ถูกพยาบาลเสร็จเรียบร้อย ถึงแม้มันจะดูไม่เป็นระเบียบสวยงามนัก แต่ก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว
“อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรก็เรียกคนข้างนอก” ชานยอลพูดก่อนจะเดินออกไป ก่อนประตูจะปิดลง ปากเจ้ากรรมของเขาก็ดันขยับไปเอง
“เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไร?” ชานยอลถามออกมาทั้งๆที่กำลังหันหลังอยู่ ร่างโปร่งชะงักรอฟังเสียงของคนที่เรียกตนเองไว้
“ข..ขอบใจละกันสำหรับที่ทำแผลให้” เสียงหวานขาดๆหายๆเหมือนกำลังอายสุดขีดที่เอ่ยคำขอบคุณออกมา ถึงแม้มันจะเบาเท่าเสียงใบไม้หล่นก็เถอะ แต่ชานยอลก็ได้ยินมันครบทุกคำพูดเลยแหละ ชานยอลเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา หนอย..อีตานี่ ทำดีด้วยแล้วหยิ่งรึไง - -
โดยที่แบคฮยอนไม่มีวันรู้...คนที่ตัวเองกำลังนินทานี่แหละกำลังคลี่ยิ้มออกมาบางๆอย่างไม่รู้ตัว..
Lay Said…
ทำไมที่นี่ไม่มีอะไรเลยนะ...
ทำไม! ทำไม! ทำไม! ทำไม! ทำไม! ทำไม!
ไดร์เป่าผม โทรทัศน์ แอร์ ไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ค รถยนต์ ลิฟต์ เตารีด ตู้เย็น แม้แต่ไฟฟ้าก็ยังไม่มี! ของใช้เทคโนโลยีไม่เคยมีใครในที่แห่งนี้รู้จัก จะบ้าตายอยู่กันได้ยังไงเนี่ย
“เบื่อ เซ็ง เฮ้อ...”
“คุณไม่ออกไปฝึกกับเหล่าสหายของคุณล่ะเจ้าคะ?” สาวใช้ที่ถูก(ยัดเยียด)ให้มาดูแลรับใช้ถามเขาอย่างใคร่รู้
“เธอจะให้คุณหนูบอบบางร่างน้อยอย่างฉันไปทำอะไรแบบนั้นหรอ ฉันไม่ได้บ้าพลังเหมือนพวกนั้นนะ”
“หรือคุณจะออกไปชมสวนดอกไม้ล่ะดีมั๊ยเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินคำว่า”ออกไป”ทำเอาเขาหูผึ่งขึ้นมาทันที นั่นสิ ทำไมคุณหนูผู้รักสนุกอย่างอี้ชิงถึงนึกคำๆนี้ไม่ออกมาตั้งหลายวันนะ ถึงว่าล่ะรู้สึกขาดๆอะไรไปซักอย่าง ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
“นั่นสิ แล้วออกไปข้างนอกได้มั๊ยล่ะ?” อี้ชิงถามออกไปพลางเดินกึ่งวิ่งออกไปหยิบเสื้อคลุมอย่างอารมณ์ดี
“เอ่อ..คงจะไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ มีคำสั่งว่าคุณและสหายของคุณห้ามออกจากวังโดยไม่ได้รับอนุญาต” สาวใช้ก้มหน้างุดรายงาน มันทำให้รอยยิ้มของเขาชะงักค้างเลยทีเดียว
“แล้วทำไมฉันจะต้องขอล่ะ นี่มันชีวิตของฉัน ไม่มีใครมาบังคับฉันได้ทั้งนั้น”
“แต่ถ้าฝ่าฝืน คุณแล้วก็บ่าวจะถูกทำโทษนะเจ้าคะ L”
“ถ้ากลัวก็ไม่ต้องมากับฉัน อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน รับรองฉันไม่ทำให้เธอเดือดร้อนแน่”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คุณอยู่ที่ไหนบ่าวจะต้องอยู่ที่นั่น”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ ฉันเบื่อนะที่ต้องอยู่แต่ที่เดิมๆ ฉันอยากไปเที่ยว! ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงในกรงนะ”
“งั้นข้าจะพาเจ้าเที่ยวเอง” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากหน้าประตู ร่างสูงโปร่งยืนพิงประตูอยู่อย่างเงียบๆสังเกตดูปฏิกิริยาของคนขี้งอแงมาได้ซักพักแล้ว เห็นท่าจะโวยวายใส่คนรับใช้เลยต้องรีบยกข้อเสนอขัดจังหวะ
“อี้ฟาน! นายมาได้ยังไง ทำไมฉันไม่เห็นรู้ตัวเลย -0-“
“ก็เจ้ามัวแต่โมโหจนไม่ทันสังเกตเห็นข้าเอง ถ้าข้าเป็นโจรเจ้าคงจะถูกข้าปาดคอไปเรียบร้อยแล้ว”
“พูดแบบนี้จะหาเรื่องฉันใช่มะ - -^”
“ว่ายังไงล่ะ จะออกไปเที่ยวข้างนอกกับข้ารึเปล่า?”
“ไม่มีทางไปกับนายหรอก” อี้ชิงตอบปฏิเสธอี้ฟานแล้วหันไปดึงแขนสาวใช้ให้เดินออกไป แต่สาวใช้คนนั้นกลับนั่งอยู่กับที่นิ่งแถมยังก้มหน้างุดแทบจะติดพื้นอีก นี่เขากำลังถูกขัดใจอยู่ใช่มั๊ยเนี่ย!
“ถ้าเจ้าไม่ออกไปกับข้า เจ้าก็ไม่มีวันได้ออกไปไหนหรอก” อี้ฟานพูดอย่างเป็นต่อ เพราะเดี๋ยวคนๆนี้จะต้องออกไปกับเขาแน่นอน หึหึ..
“งั้นก็ได้ ไปเอารถมารับฉันที่หน้าตำหนักด้วย เร็วๆล่ะ” หลังจากที่ร่างเพรียวตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ อี้ฟานก็หัวเราะน้อยๆแล้วเดินออกไป คงจะไปหัวเราะข้างนอกสินะ - -*
“เธอล่ะจะไปกับฉันรึเปล่า?” อี้ชิงหันไปถามสาวใช้ที่ตอนนี้แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ คุณไปกับท่านแม่ทัพอี้ฟานข้าน้อยก็เบาใจ”
“หมายความว่าไง -*-“
“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ อ๊ะ!ท่านแม่ทัพอี้ฟานมาแล้ว เที่ยวให้สนุกนะเจ้าคะ” สาวใช้รีบเดินออกไปพร้อมกับอวยพรให้เขา คือสรุปว่าหมดภาระของตัวเองแล้วชิ่งหนีเลยใช่มั๊ยเนี่ยแม่คนนี้ -3-
“ไปกันได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวจะค่ำซะก่อน” อี้ชิงเดินตามหลังอี้ฟานออกไปนอกตำหนัก มองซ้ายก็ไม่เจอรถ มองขวาก็ไม่เห็นแววรถซักนิด นี่มันชักจะยังไงๆแล้วนะ
“ฉันบอกให้ไปเอารถมาไง”
“รถม้าน่ะรึ? จะไปเที่ยวทั้งทีนั่งรถม้ามันจะไปสนุกได้ยังไง ขี่ม้าเดินเที่ยวจะสนุกกว่านะ”
“ฉันไม่ต้องการความเห็นของนาย คราวก่อนก็เพราะม้ามันทำให้ดั้งของฉันเกือบจะหัก!”
“เพราะเจ้าทำตัวหวาดกลัวใส่มัน มันก็เลยไม่วางใจเจ้ายังไงล่ะ อย่ากลัวมัน ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
“ง..งั้นก็ได้” อี้ฟานอุ้มร่างเพรียวนั่งบนหลังม้าก่อนที่จะตามขึ้นไปนั่งข้างหลังแล้วคุมบังเหียนม้าไว้ กระตุกบังเหียนบังคับม้าเบาๆ ไม่นานอี้ชิงกับอี้ฟานก็ผ่านประตูวังออกไปข้างนอก ผู้คนมองมาที่เขากับอี้ฟานอย่างเปิดเผยพลางกระซิบกระซาบกันสนุกปาก
“ไม่ต้องสนใจหรอก เจ้าอยากจะไปเดินในตลาดมั๊ย?”
“อยากไปสิ”
อี้ชิงพยายามไม่สนใจอย่างที่อี้ฟานบอก ในตลาดมีคนพลุกพล่านอยู่มากมาย ร้านค้าต่างก็มีของมาวางขายเต็มไปหมด เขาค่อยๆลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปดูข้าวของอย่างสนใจ มีของหลายชิ้นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนนอกจากห้างสรรพสินค้าแล้วเขาก็ไม่เคยไปเที่ยวช็อปที่ไหน พอได้มาเปิดหูเปิดตาแบบนี้มันก็สนุกเหมือนกัน
“อ๊ะ นั่นอะไร สวยจังเลย” อี้ชิงหยิบปิ่นปักผมที่แกะสลักจากหยกประดับด้วยไข่มุกขึ้นมาดู ว้าว..สวยจังแฮะ
“คุณหนูตาถึงมาเลยขอรับ นี่เป็นปิ่นปักผมหยกล้ำค่าจากดินแดนต้าชิง หายากมากขอรับ” พ่อค้ารีบเข้ามาพูดหว่านล้อมให้สนใจ มันสวยมากจริงๆ..สวยจนละสายตาไปไหนไม่ได้เลยล่ะ
“อี้ฟาน ฉันอยากได้” อี้ชิงหยิบปิ่นปักผมอันนั้นชูให้เขาดู ก่อนที่จะแบมือขอเงินไปจ่ายให้กับพ่อค้า
“ขอบพระคุณที่อุดหนุนขอรับ” อี้ชิงเดินออกจากร้านมาพลางพยายามปักมันลงบนผมของตัวเอง ปรากฏว่ามันปักไม่ลงซักที ทำไมมันปักยากขนาดนี้นะ -3-
“มานี่ ปักแบบนั้นเมื่อไหร่จะปักเสร็จล่ะ” อี้ฟานดึงปิ่นปักผมออกจากมือของเขาไป บรรจงปักลงบนมวยผมของร่างเพรียวอย่างเบามือราวกับว่าเป็นมือของผู้หญิง แทบไม่รู้สึกเลยว่าปิ่นปักผมนั้นถูกปักลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“เสร็จแล้วล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะมองอย่างเต็มตา ปิ่นปักผมถูกปักลงไปบนมวยผมอย่างลงตัว ความงามของปิ่นเสริมให้ความงามของผู้ครอบครองดูสวยสง่าขึ้นเป็นเท่าตัว อี้ฟานถึงกับมองไม่วางตาเลยทีเดียว
“เฮ้! อี้ฟาน นายแน่ใจแล้วนะว่าปักมันดีแล้วน่ะ” อี้ชิงไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่เลยเอื้อมมือไปแตะๆสำรวจความเรียบร้อย
“ข้าปักมันดีแล้ว เอาล่ะไปเที่ยวต่อกันเถอะ” ร่างบางเดินนำหน้าคนตัวสูงไป อี้ชิงไม่มีทางรู้หรอกว่าตอนนี้หัวใจของอี้ฟานกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ..อย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครคนไหน
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงเวลาตอนเย็น ที่ตลาดกลับคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากมาย อี้ฟานเห็นว่าได้เวลากลับแล้วจึงหันไปชวนอี้ชิงให้กลับได้ซักที
“กลับกันได้แล้ว” ร่างบางทำหน้าไม่พอใจก่อนจะเดินกลับไปที่ม้าโดยดี ทั้งสองคนขึ้นขี่บนหลังม้าได้ไม่นาน อี้ชิงก็เผลอหลับคาอ้อมอกของอี้ฟานเพราะความเหนื่อยจากการวิ่งเล่นเดินเล่นมาทั้งวัน เมื่อมาถึงตำหนักของคนตัวเล็ก ร่างสูงก็อุ้มอีกคนลงมาจากหลังม้าอย่างเบามือ วางอีกคนลงบนเตียงอย่างช้าๆเพราะกลัวอีกคนจะตื่น ก่อนจะเดินออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง..
*************************************
เย้ๆ ลงอีกตอนแล้วนะ
ฝากติดตามด้วยค่ะสำหรับเรื่องนี้
<3
ความคิดเห็น