ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] I'm Here! Always By Your Side [HunBaek,ChanBaek]

    ลำดับตอนที่ #4 : I'm Here - 3 -

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 57


    I’m Here - 3 -

     

     

    “ชานยอลอ่า สอนผมเล่นกีต้าร์เพลงเพราะๆบ้างสิ”

    “หืม...นายอยากเล่นเป็นหรอตัวเล็ก?”

    “ก็ใช่น่ะสิ เวลานายจับกีต้าร์แล้วก็ตั้งใจเล่นมันนะ นายดูหล่อมากเลย ผมก็อยากหล่อแบบนั้นบ้าง”

    “ฮ่าๆ แบคฮยอนนา นายนี่เด็กจริงๆเลย”

    “ย๊า! อย่ามาว่ากันสิ แล้วจะยอมสอนรึเปล่าเนี่ย นะๆ”

    “ไม่เอาหรอก วันหลังแล้วกันนะ”

    “ทำไมล่ะ?”

    “เดี๋ยวมือนายจะไม่สวย อีกอย่าง ตัวเล็กน่ะมีหน้าที่ฟังตัวโตเล่นก็พอแล้ว เดี๋ยวจะเล่นให้ฟังทุกวันเลย”

     

     

    “ฝากน้องแพคฮยอนด้วยนะครับพี่เซฮุน ดูแลน้องผมดีๆนะ”

    “วางใจได้เลยป๋ายเซียน”

    “พี่ป๋ายไม่ต้องห่วงน้องแพคหรอกครับ เดี๋ยวเรามาหากันบ่อยๆก็ได้ ผมจะมาหาพี่ป๋ายทุกวันเลย”

    “เจอกันที่มหาลัยทุกวันอยู่แล้วน่า”

    “พี่เป็นห่วงนายนะ ห้ามดื้อห้ามซนนะน้องรัก”

    พี่น้องฝาแฝดกอดกันแน่นล่ำลากันก่อนจะแยกจาก ป๋ายเซียนมองตามรถของเซฮุนไปจนลับตาก่อนจะเดินลากกระเป๋าเดินทางขึ้นคอนโดของชานยอลไป รู้สึกห่อเหี่ยวมากมายกับการต้องแยกจากน้องชายฝาแฝดที่รัก

    “นี่ ทำหน้าอย่างกับท้องผูก ไม่ได้อยู่กันคนละประเทศซะหน่อย” ชานยอลหันไปแซวคนตัวเล็กที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดตามหลังมาตลอดทาง ใช่ว่าคอนโดของเขากับเซฮุนมันจะไกลกันซะเมื่อไหร่ ถ้านั่งรถไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว คนตัวเล็กนี่ก็ทำท่าจะเป็นจะตายซะให้ได้

    “ก็ไม่เคยห่างจากแพคฮยอนซักวินาทีตั้งแต่เกิด ไม่ต้องมาแขวะเลย รีบๆกระเป๋ามันหนักจะตายอยู่แล้ว”

     

    อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่คลอด อยู่ๆจะให้มาแยกกันแบบนี้มันก็ยังไงๆอะนะ

     

    คนไม่เคยมีแฝดไม่มีทางเข้าใจหรอก ว่าการขาดคนสำคัญไปมันจะรู้สึกยังไง

     

    เห็นกันอยู่ทุกวัน จู่ๆมาหายไปแบบนี้จะให้รู้สึกไม่เป็นอะไรเลยมันเป็นไปไม่ได้

     

    ป๋ายเซียนจิ๊ปากอย่างเอาแต่ใจพลางเร่งให้คนตรงหน้ารีบไปที่ห้องซักที ไอ้จะให้มาทำดีเป็นคนเรียบร้อยเงียบๆซื่อๆก็ไม่ใช่เขาหรอกนะ เป็นพี่ชายฝาแฝดคนโตเลยมีนิสัยไม่ยอมใครมาตั้งแต่เด็ก ต้องทำตัวเข็มแข็งเลยกลายเป็นคนนิสัยห่ามๆชอบขู่ชาวบ้านเขาไปทั่ว ป๋ายเซียนถือคติ ถึงแม้ทำอะไรใครเขาไม่ได้ก็ขอขู่ไว้ลายซักหน่อยละกัน

     

    เวลาดูหนังแนวๆเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้มันฮึกเหิมดีนี่นา...

     

    ป๋ายเซียนอยากเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนอื่น คอยให้คนที่อ่อนแอกว่าอยู่ข้างหลัง ดูแลและปกป้องมากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกปกป้องซะเอง

     

    ชานยอลเดินเข้าไปในลิฟต์พลางกดเลขชั้นของตนเองอย่างไม่รีบร้อนอะไร สายตาก็เหลือบมองคนตัวเล็กอยู่เป็นระยะๆ รู้สึกขำในใจไม่น้อย คนอะไรอยู่เฉยๆก็ขู่เขาฟอดๆอย่างกับลูกแมว จะช่วยถือกระเป๋าเดินทางก็ไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าของแค่นี้ถือเองก็ได้ เห็นๆกันอยู่ว่าลากจะไม่ไหวอยู่แล้วก็ยังทำอวดเก่ง จะเก่งได้แค่ไหนกันนะตัวแค่เนี้ย

     

    ป๋ายเซียนก็เหลือบมองคนตัวสูงเป็นระยะเช่นกัน รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนๆนี้ตั้งแต่แรก ไม่รู้ทำไม...กับไอ้ท่าทางกวนๆไม่เหมือนกับเป็นผู้ใหญ่นั่น ใบหน้าหล่อคมที่ชอบยกยิ้มอารมณ์ดีบ่อยๆนั่นอีก มันทำให้ป๋ายเซียนคนนี้เดาไม่ถูกว่าพี่ชานยอลเป็นคนยังไง มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ที่สำคัญคือความรู้สึกของตัวเอง...รู้สึกว่าคนๆนี้แข็งแรงกว่า สามารถดูแลและปกป้องให้เขาได้พักพิงเนี่ยแหละที่ทำให้ป๋ายเซียนทำตัวไม่ถูก แค่คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายให้คนอื่นดูแลและปกป้องมันก็แปลกๆแล้ว แบบว่าวางตัวไม่ถูกเฉยๆน่ะ...

     

    แต่ว่านะ! มันก็รู้สึกเขม่นๆอยู่ดี

     
     

    ติ๊ง!

     

    เสียงเตือนดังขึ้นพร้อมกับประตูลิฟต์เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินลาดยาวไปจนสุดสายตา ชั้นข้างบนนี้มีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น ป๋ายเซียนเดินตามชานยอลไปคอก็ชะเง้อมองไปรอบๆอย่างอยากรู้ เดินตามคนตัวสูงมาเรื่อยๆมือก็ลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองมาด้วย หนักอะไรอย่างนี้นะ รู้แบบนี้ไม่น่าอวดเก่งบอกจะเอามาเองเลยใช้ให้พี่ชานยอลถือมาให้ก็ดี

     
     

    ตึก!

     

    ใบหน้าจิ้มลิ้มฝังเข้าไปกับแผ่นหลังของคนตรงหน้าเต็มรักเมื่ออยู่ๆชานยอลก็หยุดเดินไม่บอกไม่กล่าว ทำเอาป๋ายเซียนเดินชนชานยอลไปเต็มๆ คนตัวสูงหันกลับไปมองคนตัวเล็กยิ้มๆแถมยังขำในลำคออีกต่างหาก มือเรียวยกขึ้นมาลูบจมูกตัวเองสำรวจใบหน้าว่ายังอยู่ดีอยู่รึไม่ ปลายจมูกโด่งรั้นแดงเรื่อเนื่องจากเจ้าตัวบีบมันซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่าจะบรรเทาความเจ็บ ชวนให้น่ารักน่าเอ็นดูขึ้นอีกหลายเท่า

    “จะหยุดเดินทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะพี่ชานยอล -3-

    “ก็ไม่ถามพี่นี่ครับ...ฮ่ะๆ เจ็บมากมั๊ยเนี่ย”

    “ลองมาเดินชนแบบผมดูมั๊ย...ล...เล่า”

    ประโยคหลังถูกเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาขัดกับประโยคหน้าที่แทบจะตะโกนใส่ลิบลับมื่อมือหนาของชานยอลเอื้อมมาบีบจมูกรั้นของป๋ายเซียนอย่างแผ่วเบา แถมสายตาที่มองมายิ้มๆราวกับเอ็นดูนั่นอีกต่างหาก...ทำให้คำก่นด่าของป๋ายเซียนกลับเข้าลำคอไปแทบไม่ทัน

    “ขอโทษก็แล้วกัน ไปๆเข้าห้องกันเถอะ J

    “อ....อื้อ”

    อาจเป็นเพราะสายตาคมของอีกฝ่ายสะกดป๋ายเซียนให้กลายเป็นแมวน้อยแสนเชื่องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านาย ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนเลยยกขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ก้มหน้ามองกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วลากมันเข้าไปในห้องหรู ชานยอลเดินไปเปิดผ้าม่านเปิดแอร์ให้ห้องมีอากาศถ่ายเทสะดวกขึ้น ป๋ายเซียนเดินลากกระเป๋ามายืนอยู่ตรงกลางห้องพลางกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ชานยอลจึงบอกให้เอาของไปเก็บในห้องก่อน

    “ห้องมันรกหน่อยนะ พอดีพี่อยู่คนเดียวมันก็เลย...เอาเป็นว่าเอาเสื้อผ้าไปเก็บในตู้ก่อนนะ ห้องนอนอยู่ทางซ้าย ห้องน้ำอยู่ถัดไป นี่ก็ห้องนั่งเล่น อีกฝั่งเป็นห้องครัว จะกินอะไรก็หยิบมากินเลยก็ได้อยู่ในตู้เย็น J

     

    แต่ป๋ายเซียนก็ยังหันซ้ายหันขวาไม่ยอมไปไหนอยู่ดี

     

    “แล้วไหนอะห้องนอนของผม?”

     

    “ก็นอนด้วยกันไง เตียงออกจะกว้าง”

     

    “ห้ะ!! นอนกับพี่ชานยอลหรอ 0.0

    “ตกใจทำไม ผู้ชายเหมือนกันไม่เห็นจะต้องตกใจอะไรเลย ก็เหมือนกับนายนอนกับแพคฮยอนนั่นแหละ”

    ชานยอลยิ้มกริ่มมองป๋ายเซียนที่อ้าปากค้าง ก็ปกติห้องนี้ชานยอลก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว มีเตียงเดียวก็ไม่เห็นแปลก แน่นอนว่าระดับชานยอลทายาทเจ้าของธุรกิจเครือปาร์คกรุ๊ปเตียงต้องเป็นแบบคิงไซส์นอนได้มากกว่าสามคนอยู่แล้ว กะอีแค่เพิ่มคนตัวเล็กๆมาอีกคนไม่เห็นจะเป็นไรเลย

     

    มีคนนอนด้วยก็ดี จะได้รู้สึกว่าเตียงมันแคบลง...จะได้ไม่เหงาเหมือนทุกๆคืนที่นอนคนเดียว

    เวลาเตียงมันกว้าง...คนเราจะมีความรู้สึกว่ามันอ้างว้าง มันเหงา...

     

    ป๋ายเซียนรื้อกระเป๋าเดินทางหยิบชุดเสื้อผ้าไปจัดใส่ตู้อีกฝั่งของชานยอลอย่างเป็นระเบียบ พลางมองเลยไปยังฝั่งเสื้อผ้าอีกคนที่กองรวมกันแทบแยกไม่ออกว่าซักรีดแล้วหรือยัง นึกระเหี่ยใจเบาๆเลยอาสาจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าให้ซะใหม่ จนในที่สุดมันก็มีสภาพเหมือนตู้เสื้อผ้าทั่วไปซักที

     

    “คนอยู่คนเดียวนี่มันจะต้องทำตัวรกๆรึไง จัดข้าวของให้สะอาดเรียบร้อยบ้างสิ”

     

    บ่นกับตัวเองเบาๆพลางหยิบครีมต่างๆไปวางแยกไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจก แยกย้ายเอาของใช้ของตัวเองไปไว้ตามจุดต่างๆ ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน จนครบทั้งหมด เปิดประตูออกมาก็เจอกับชานยอลที่กำลังเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง ร่างเล็กเลยเดินเข้าไปช่วยเก็บด้วยอีกแรง

    “เห้ยป๋ายเซียนไม่ต้องๆ ไปนั่งดูทีวีเถอะเดี๋ยวพี่เก็บเอง”

    “ถ้าไม่ทำให้มันรกก็ไม่ต้องมาตามเก็บทีหลังป้ะ?” ป๋ายเซียนเงยหน้าขึ้นมองแล้วทำหน้าดุๆก่อนจะกลับไปตั้งใจเก็บของต่อ ปากเล็กคอยถามชานยอลเจื้อยแจ้วว่าของชิ้นนี้วางตรงไหน เก็บตรงไหน เอาไว้ตรงไหน

     

     

    “ถ้าชานยอลไม่ทำให้ห้องรกก็ไม่ต้องมาเก็บทีหลังหรอกนะ”

     

     

    ชานยอลได้แต่มองป๋ายเซียนนิ่งๆ เสียงของใครอีกคนในความคิดลอยเข้ามาดังก้องอยู่ภายในหัว ภาพซ้อนทับของคนในอดีตฉายขึ้นมาตรงหน้าราวกับว่าย้อนวันวานไปเมื่อก่อนอีกครั้ง

     

    ชานยอลเห็นตัวเองเมื่อก่อนกำลังเก็บกวาดห้องของเขาเองกับแบคฮยอนอยู่ที่บ้าน...

     

    เขายังจำได้ดี หลายปีก่อนที่เขายังเรียนมัธยม แบคฮยอนแอบมาเที่ยวที่บ้านเขาโดยที่ไม่ได้บอกไว้ก่อน พอเปิดประตูออกมาก็เจอแบคฮยอนยืนอยู่หน้าห้อง คนตัวเล็กบ่นใหญ่ว่าเขาชอบทำให้ห้องรก แต่ถึงจะบ่นก็ยอมช่วยเก็บแล้วก็จัดห้องให้เรียบร้อย โดยที่เขาก็เก็บกวาดอีกแรง เสียงบ่นผสมกับเสียงหัวเราะดังไปทั่วห้อง เป็นภาพที่เขาคิดถึงจริงๆ

     

    “เฮ้!!! พี่ชานยอล”

     

    มือเล็กเอื้อมมาแตะไหล่เรียกสติพี่ชายตัวสูงที่เหม่อตั้งแต่เมื่อกี๊ให้มีสติอีกครั้ง ชานยอลหันหน้ามามองป๋ายเซียนยิ้มๆพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นถามเชิงว่ามีอะไร สายตาก็เหลือบไปเห็นกีต้าร์สีขาวอยู่ในมือของป๋ายเซียน ฉับพลันคิ้วหนาขมวดเป็นปมทันที รีบคว้ากีต้าร์โปร่งมาไว้ในมืออย่างแรงจนแทบเรียกได้ว่ากระชาก

    “ไปเจอกีต้าร์ตัวนี้ที่ไหน?” ชานยอลถามคนตัวเล็กเสียงแข็ง

    “เจออยู่ข้างๆโซฟา กำลังจะถามว่าเอาเก็บไว้ที่ไหนเห็นเหม่อๆเลยเรียก อะไรของพี่เนี่ย ไม่อยากให้จับก็บอกดีๆดิไม่เห็นต้องกระชากไปคามือเลย นิสัยไม่ดี -*-

    เสียงใสบ่นอุบพลางเดินไปเก็บของชิ้นอื่นต่อ เกิดมาเกือบยี่สิบปีไม่เคยมีใครเอาของที่เขาถืออยู่ไปคามือแบบนี้เลยซักครั้ง แววตาโกรธๆนั่นมันอะไรกัน ป๋ายเซียนไม่ชอบมันเลย

     

    ชานยอลได้แต่มองตามคนตัวเล็กอย่างขอโทษที่ทำแบบนั้นลงไป ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะทำแบบนั้น มันเป็นเพราะความรู้สึกชั่ววูบ...ไม่อยากให้ใครแตะต้องของที่เป็นความทรงจำชิ้นสำคัญ กีต้าร์ตัวนี้เขาเคยใช้มันเล่นเพลงให้แบคฮยอนฟังมาตลอด มันเป็นสิ่งเดียวที่มองแล้วคิดถึงคนตัวเล็กข้างกายในอดีต มือหนาลูบมันอย่างแผ่วเบาราวอย่างหวงแหน ก่อนจะหยิบมันไปวางบนตู้แล้วกลับไปช่วยป๋ายเซียนเก็บกวาดห้องต่อ

     

    ของสำคัญของใครก็ไม่อยากให้คนอื่นมาแตะต้อง อยากถนอมมันเอาไว้...

     

    ยิ่งเป็นของที่มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับคนที่รักด้วยล่ะก็...

     

    ชานยอลก็อยากจะเก็บมันเอาไว้ข้างกายจนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ จนกว่าจะได้เจอกับใครอีกคนบนสวรรค์ อยากเก็บเอาไว้เล่นให้คนที่อยู่บนนั้นได้ฟัง จนกว่าจะได้อยู่ด้วยกันนิรันดร์

     

    ชานยอลก็แค่อยากอยู่กับแบคฮยอน...อีกซักครั้ง














     

    “อยากกินอะไรหยิบมาใส่รถเข็นได้เลยนะแพคฮยอน”

    เสียงทุ้มของเซฮุนบอกแพคฮยอนเบาๆก่อนที่คนตัวเล็กเป็นฝ่ายเดินไปหยิบโน่นหยิบนี่ใส่รถเข็นไม่หยุด วิ่งดุ๊กดิ๊กอ้อมไปอ้อมมาหาเสบียงมาอย่างสนุกสนาน หลังจากแยกกับป๋ายเซียนมาแพคฮยอนก็ทำหน้าหงอยเหมือนลูกหมาหาเจ้าของไม่เจอ ก้มหน้าก้มตาคุยแชทไลน์กับสมาร์ทโฟนของตัวเองไปเรื่อย นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นจนเซฮุนรู้สึกว่ามันเงียบจนน่าอึดอัด นึกได้ว่าคอนโดของตัวเองไม่มีอาหารอยู่เลยแวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆคอนโดเลือกซื้อไปซักหน่อย

     

    แต่คิดว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ ตอนนี้มันจะล้นรถเข็นแล้วเนี่ย...

     

    แพคฮยอนพอได้หยิบจับอาหารกับขนมก็เหมือนจะลืมความเศร้าก่อนหน้าไปสิ้น รอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนริมฝีปากเล็กรูปกระจับ แก้มขึ้นสีแดงเรื่อน้อยๆเนื่องจากเดินไปมาหาของกินไม่หยุดไม่หย่อน เดินเลือกโน่นเลือกนี่จนอ้อมแขนเล็กๆเต็มไปด้วยอาหารมากมายทั้งคาวทั้งหวาน ผักสด เนื้อ นม ไข่ ขนม และอีกต่างๆมากมายต่างถูกวางลงในรถเข็นครั้งแล้วครั้งเล่าจนแพคฮยอนวางของลงไปในนั้นอีกไม่ได้จึงหยุดเลือกของแล้วเดินตามเซฮุนไปจ่ายเงิน

     

    รอยยิ้มของแพคฮยอนสดใสเหมือนพระอาทิตย์เลย...แค่แอบมองก็ยังใจสั่น

     

    “อ่า...นี่ผมเลือกซื้อเยอะเกินไปรึเปล่าครับเนี่ย พี่เซฮุนไม่โกรธผมนะ?” ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยขึ้นถามอย่างกล้าๆกลัวๆ

    “เพิ่งรู้ตัวรึไงเรา....ฮ่าๆ พี่ล้อเล่น ซื้อไปเถอะพี่ไม่ได้ว่าอะไร”

    “คือผมจะซื้อไปทำกับข้าวเย็นนี้แล้วก็เผื่อมื้อเช้าวันพรุ่งนี้ด้วยน่ะครับเลยเลือกซื้อเยอะนิดนึง ไม่รู้ว่าพี่เซฮุนจะชอบมันรึเปล่า...”

    แพคฮยอนอธิบายไปก้มหน้าหลบสายตาคนตัวสูงไป ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่กล้าสบตาพี่เซฮุนเลย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ เหมือนเลือดลมจะเดินไม่ปกติ หายใจไม่ทั่วท้องเลย นี่เขากำลังจะไม่สบายรึเปล่านะ อีกอย่างแพคฮยอนชอบทำอาหารมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่ป๋ายเซียนก็ชมเขาแทบทุกครั้งที่ได้ชิมอาหารฝีมือเขา ไม่มั่นใจเลยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ทำให้คนอื่นนอกจากคนในครอบครัวทาน ไหนๆก็ได้มาอยู่กับพี่เซฮุนแล้วอย่างน้อยก็ขอใช้เสน่ห์ปลายจวักเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่เซฮุนให้สนิทกันมากยิ่งขึ้นดีกว่า


    “แล้วจะรอชิมนะ”

    ถึงวันนี้เซฮุนจะได้ชิมแค่อาหาร...แต่อีกไม่นานคาดว่าคงจะได้ชิมคนทำอาหารด้วยล่ะมั้ง

     

    อ่า ทำไมเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้เนี่ย

     

    รอยยิ้มถูกส่งไปยังคนตัวเล็กน้อยๆซึ่งอีกคนก็รีบพยักหน้าสัญญาอย่างขยันขันแข็ง ดวงตาเล็กหยีแทบจะปิดเมื่อรอยยิ้มสดใสถูกแต่งแต้มบนใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักอีกครั้ง เซฮุนมองอย่างหลงใหล...มองกี่ทีๆก็ไม่เคยจะเบื่อซักที ใบหน้าแบบนี้มันสะกดใจของเซฮุนเอาไว้ได้อยู่หมัดตั้งแต่ได้เห็นครั้งแรก...

     

    รถหรูขับเข้าไปจอดกลางลานจอดรถคอนโดใจกลางกรุงโซล ทั้งสองคนเดินลากกระเป๋าเดินทางและถุงต่างๆเข้าห้องอย่างทุลักทุเล เซฮุนถือถุงต่างๆเข้าไปเก็บในห้องครัวแล้วปล่อยให้แพคฮยอนจัดของวางไว้ในห้องตามจุดต่างๆ ไม่นานเสียงเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเซฮุนที่กำลังวุ่นหยิบของใส่ตู้เย็นอยู่

     

    “ให้ผมเริ่มทำอาหารเลยมั๊ยครับ?”

    “อืม พี่ก็หิวแล้วพอดี ให้พี่เป็นผู้ช่วยนะแพคฮยอน”

    “โอเคครับ ^^ มาทำอาหารด้วยกันเถอะ”

    หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะทำอะไรเป็นมื้อเย็นของวันนี้ เซฮุนก็เดินไปเปิดตู้ข้างบนหยิบเอาผ้ากันเปื้อนสีฟ้ากับสีชมพูออกมาสองผืนแล้วใส่ให้กับคนตัวเล็กหนึ่งผืน เซฮุนยืนอยู่ตรงหน้าแพคฮยอนเอื้อมมือหนาไปข้างหลังผูกผ้ากันเปื้อนให้ แพคฮยอนทำได้แต่ยืนเฉยๆไม่กล้าขยับตัวไปไหน ดวงตาเรียวกลอกลอกแลกไปมาอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไง ไอ้ท่าแบบนี้มันเหมือนกับพี่เซฮุนกำลังกอดเขาทางอ้อมเลยนี่นา -///-


    “ใส่ไว้ จะได้ไม่เปื้อน”

    “ข....ขอบคุณครับพี่เซฮุน” (  .  .)

     

    หัวใจบ้าเอ๊ย จะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้วเต้นเบาๆหน่อยก็ได้นะ...

     

    เซฮุนใส่ผ้ากันเปื้อนสีฟ้า แพคฮยอนใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพู ทั้งสองคนกำลังตั้งใจทำอาหารมื้อนี้อย่างสุดฝีมือ บอกเลยว่าไม่เคยที่เซฮุนจะเข้ามาทำอาหารเองในครัว ไอ้ผ้ากันเปื้อนนี่ก็ไม่เคยใช้เลยซักครั้ง กินข้าวจากข้างนอกตลอด ถึงเวลาก็กลับมานอนที่คอนโด ชีวิตหนุ่มโสดอย่างเขาก็ไม่มีอะไรมาก ทำงาน กิน ดื่ม เที่ยว ไม่เคยเลยที่จะมาทำอะไรแบบนี้มันก็เลยขัดๆทื่อๆเทอะทะไปหมด หยิบจับอะไรไม่เป็นเลยซักนิด

     

    “พี่เซฮุนหั่นมะเขือเทศให้หน่อยสิครับ”

     

    พ่อครัวหน้าเตาเอ่ยประโยคขอร้องแกมสั่งไปให้เซฮุนที่ตอนนี้กำลังล้างผักอยู่ ร่างสูงปิดก๊อกน้ำก่อนจะหยิบมะเขือเทศสองสามลูกไปหั่นตามคำสั่ง แต่มะเขือเทศเจ้ากรรมดันตกลงพื้นกลิ้งไปหาแพคฮยอนโน่นน่ะสิ

     

    ตุ้บ....

     

    พรึ่บ...

     

    เสี้ยววินาทีที่เซฮุนเอื้อมมือไปหยิบมะเขือเทศขึ้นมาจากพื้น มือเล็กๆของแพคฮยอนก็เอื้อมมาจับเอาไว้ซะก่อน มือสองมือประสานกุมกันไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ มือหนากระชับมือเล็กเอาไว้แน่นไม่ยอมคลาย ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยขึ้นมามองใบหน้าหล่อคมที่อยู่ใกล้เพียงเชือกเส้นบางๆกั้นก็ต้องตกใจพร้อมกับหน้าแดงอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้

     

    ใกล้เกินไป...ใกล้ไปแล้ว มองพี่เซฮุนในระยะประชิดแบบนี้ไม่ดีเลยต่อสุขภาพหัวใจ

     

    ได้โปรดหลบสายตาไปซักที ตอนนี้ตัวเขากำลังถูกสาปให้แข็งราวกับเป็นรูปปั้นหิน ละสายตาเองไม่ได้เลย

     

    จ้องตากันอยู่นานจนเซฮุนเป็นฝ่ายถอนมือออกไปแล้วยืนขึ้น แพคฮยอนจึงลุกขึ้นยืนตาม

     

    “อ...เอ่อ ผม...ผมเห็นว่ามะเขือมันกลิ้งมาทางนี้ก็เลยจะเก็บให้น่ะครับ -/-“

    “ขอบคุณนะ แล้วนี่แพคฮยอนกินมะเขือเทศมารึไง แก้มงี้แดงเชียว”

    “อ่า...ผมเปล่านะครับ ผม...ผมก็ไม่รู้”

     

    ฮือ...ถามแบบนี้น้องแพคจะตอบว่ายังไงล่ะ ยอมแพ้แล้ว T//////////T

     

    “ฮ่ะๆ กลับไปดูกระทะเร็วเดี๋ยวจะไหม้ พี่ไปล้างแล้วก็หั่นให้ รอแป้บนะครับพ่อครัวคนเก่ง”

     

    ต่างคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้เซฮุนล้างมะเขือเทศอย่างระมัดระวัง หยิบมันไปวางบนเขียงแล้วหั่นมันลวกๆชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่สม่ำเสมอกัน ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วเครียดอย่างเห็นได้ชัด ทำไมหั่นเองแล้วไม่เห็นจะเหมือนในรายการทีวีเลย เละยิ่งกว่าเอามะเขือเทศไปปั่น บางชิ้นก็ใหญ่ยิ่งกว่าอะไร ทำไมมันหั่นยากแบบนี้ -*-

     

    “พี่เซฮุน หั่นมะเขือเทศเสร็จรึยังครับ?”

    “เอ่อ...คือ...มัน”

    “ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะครับ...หั่นไม่เป็นก็ไม่บอก ง่ายนิดเดียวเองเดี๋ยวน้องแพคจะสอนให้”

    แพคฮยอนที่เดินมาเอามะเขือเทศถึงกับย่นคิ้วมองมะเขือเทศอย่างอนาถใจสุดจะทน ว่าแล้วเชียวคนตัวสูงนี่จะต้องไม่ค่อยเข้าครัวแน่ๆ ดูจากข้าวของแล้วก็ฝีมือการหั่นมันช่างเป็นฝีมือของมือสมัครเล่นจริงๆ

     

    มือเรียวหยิบมะเขือเทศลูกใหม่ขึ้นมา จับมือหนาของอีกคนที่ถือมีดเอาไว้แน่น ยืนซ้อนข้างหลังเซฮุนเอียงข้างออกมาหน่อยๆพอให้เห็น มือข้างหนึ่งจับมะเขือเอาไว้แน่น มืออีกข้างก็จับมือพี่ชายตัวโตหั่นมะเขือเทศช้าๆ ริมฝีปากบางก็เอ่ยเสียงใสเจื้อยแจ้วอธิบายไปด้วย สอนเซฮุนทำอาหารด้วยความตั้งใจ ไอ้ลูกมือก็ไม่ค่อยจะตั้งใจเท่าไหร่หรอก แอบลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังวุ่นอยู่ตลอด....

     

    มือนิ่มจัง...

     

    ตัวก็หอม...

     

    เสียงก็เพราะ...

     

    นางฟ้าชัดๆ นางฟ้าบยอนแพคฮยอน...

     

    “ต่อไปหั่นแบบนี้นะครับ มีดจะได้ไม่บาดมือด้วย โอเคมั๊ย?”

    “ห...หืม อะไรนะ?”

    “เฮ้...พี่เซฮุนฟังผมบ้างป้ะเนี่ย! -3-

    “ฟังๆ โอ๋ๆไม่งอนพี่นะหน้างองุ้มแก่ขึ้นเยอะเลยเนี่ย ฮ่าๆ”

    “พี่เซฮุนอ่า!

    เสียงทะเลาะง้องแง้งดังขึ้นเป็นระยะเนื่องจากเซฮุนหยอกแพคฮยอนเล่นไปมา ชอบจังเวลาน้องงอนแก้มป่องแล้วก็ยู่ปากน้อยๆมันทำให้ดูน่ารักขึ้นไปอีกแบบ ภายในเวลาไม่นานอาหารมื้อเอกก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย

     

    “หอมจัง...ใครทำเนี่ย พี่คนเดียวสินะ” เซฮุนพูดอวยตัวเองยิ้มๆ

     “อย่ามามั่วครับ ผมกับพี่ก็ทำอาหารด้วยกันนั่นแหละ ลองชิมดูสิครับว่าโอเคมั๊ย?”

    เซฮุนตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวช้าๆพยายามซึมซับและประเมินความอร่อยจากปลายลิ้น ขมวดคิ้วแน่นไม่พูดอะไรออกมานานสองนานจนคนข้างๆเริ่มลุ้นใจหาย ไม่อร่อยรึไงทำไมไม่พูดอะไรซักที



    “อร่อยมากเลย..” เซฮุนพูดจบแพคฮยอนก็ยิ้มแป้นทันที แน่ล่ะ...ชาติก่อนพี่แบคฮยอนทำอาหารอร่อยจะตายไป







     

    ***********************************






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×