คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3
Chapter 3
อาณาจักรโชซอน 500 ปีก่อน...
Yi Fan (Kris) Said…
รอบๆสุสานของตระกูลอู๋ ได้ปรากฏบุคคลกลุ่มหนึ่งกำลังยืนไว้อาลัยให้กับหลุมศพหลุมหนึ่งอย่างเศร้าโศก คนในหลุมศพนี้คือพี่สาวของแม่ทัพอี้ฟาน...พี่เจี้ยนหลัว นางเป็นพี่สาวที่น่ารักที่สุดในชีวิตของเขา เมื่อก่อนอี้ฟานกับเจี้ยนหลัวสนิทกันมาก ครอบครัวของชายหนุ่มย้ายจากประเทศจีนมาตั้งแต่เจี้ยนหลัวยังเล็ก ส่วนเขาถือกำเนิดในแผ่นดินโชซอนแห่งนี้ นางจะคอยปกป้องอี้ฟานเสมอ ถึงแม้จะตัวเล็กกว่าน้องชายมากก็ตาม แต่สายตาที่เด็ดเดี่ยวของพี่เจี้ยนหลัว มันทำให้อี้ฟานรู้สึกชื่นชมมาก พี่เจี้ยนหลัวเสียชีวิตไปตั้งแต่สองปีก่อนด้วยโรคประจำตัว แต่ถึงอย่างนั้น วาระสุดท้ายที่เขาได้อยู่กับพี่ พี่เจี้ยนหลัวก็ยังยิ้มให้เขา ปลอบประโลมเด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้อย่างหนักว่า
“ตอนนี้ข้าง่วงเหลือเกินอี้ฟาน ระหว่างที่ข้าหลับไป ฝากเจ้าดูและท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย อย่าทำให้ท่านเสียใจ”
“ฮึก...ข้ารับปาก ท่านพี่”
“อย่างอแงสิ เจ้าเองก็โตแล้ว ยังจะทำตัวเหมือนเด็ก...แค่ก..”
“ข้ายังคงเป็นเด็กในสายตาของพี่เสมอ...”
“ข้าจะนอนแล้ว..เจ้าก็ออกไปได้แล้วอี้ฟาน”
“พี่ต้องตื่นขึ้นมานะ สัญญากับข้าก่อน” เจี้ยนหลัวเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้อี้ฟานอย่างอ่อนแรง ก่อนที่จะตอบกลับไปยิ้มๆ
“ได้สิ ข้าสัญญา แต่ข้าอาจจะหลับไปนานหน่อย สักสองสามปี เจ้าจะรอข้ามั๊ยล่ะ?”
“ข้าจะรอพี่เจี้ยนหลัว”
หลังจากปิดประตูห้องของพี่เจี้ยนหลัวลงแล้ว นางก็หลับไปจริงๆ พี่เจี้ยนหลัวนอนหลับในหลุมนี้มานานถึงสองปี จนถึงวันนี้ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนตายจะฟื้นคืนเหมือนตื่นนอน แต่ก็ยังอดที่จะมาหานางในวันนี้ไม่ได้
“ท่านแม่ทัพขอรับ จวนจะได้เวลาประชุมแล้ว กลับกันเถอะขอรับ”
ทหารคนสนิทก้าวเข้ามารายงานแม่ทัพอี้ฟานตามหน้าที่ ตอนนี้เขาเป็นถึงหนึ่งในสิบสองแม่ทัพของอาณาจักรโชซอน แม่ทัพกองเวหา คงเป็นเพราะหลังจากที่พี่เจี้ยนหลัวตาย อี้ฟานก็ฝึกฝนวิชาอย่างหนักมาตลอดเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สาว จนความสามารถของเขาไปสะดุดตาองค์รัชทายาทและองค์ชายเข้า เลยชักชวนให้ไปเป็นแม่ทัพอยู่คู่ราชบัลลังก์ ตอนแรกเขาก็ไม่อยากจะไปยุ่งด้วยหรอก แต่เป็นเพราะทั้งองค์รัชทายาทและองค์ชายทรงทำให้ชายหนุ่มยอมรับในตัวของพวกเขาได้ จึงสมัครใจเข้าร่วมเป็นหนึ่งในแม่ทัพสุดแข็งแกร่งให้กับราชวงศ์โชซอนแห่งนี้
“ก็ได้”
ชายหนุ่มรับคำเนือยๆก่อนที่จะมองหลุมศพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป ใบหน้าเงียบขรึมสามารถปิดบังอารมณ์ได้อย่างมิดชิด เขาไม่อยากให้ใครเห็นว่าเขาอ่อนแอ...
สุดท้ายพี่ก็ไม่ตื่นขึ้นมา...
เขาคิดในใจพลางเดินต่อไปอย่างสุขุม บรรดาลูกน้องในกองก็เดินเข้าประจำที่ เตรียมตัวกลับพระราชวัง
ปึก! ปึก! ปึง!
“เสียงอะไรน่ะ” แม่ทัพอี้ฟานหันกลับมามองต้นเสียงที่อยู่ด้านหลังของเขา เสียงคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมาจากบริเวณหลุมศพ!
“เหวอ...”
บรรดาลูกน้องต่างพากันก้าวขาไปข้างหลังอย่างระแวดระวัง บางทีอาจจะเป็นศัตรูหรือพวกโจรก็ได้ ทุกคนต่างหยิบอาวุธออกมาป้องกันตัวเองและป้องกันแม่ทัพที่ตนเคารพไว้โดยไร้ช่องโหว่ เสียงดังขึ้นเป็นระยะๆ ทุกคนต่างวิตกเสียงที่เกิดขึ้นนั้นโดยไร้ที่มา ชายหนุ่มก้าวลงจากหลังมาแล้วเดินกลับไปที่หลุมศพอีกครั้งด้วยใจที่เต้นรัว
อยากรู้จริงๆว่าพี่เจี้ยนหลัวจะฟื้นขึ้นมาจริงหรือเปล่า
“ทหาร ใครก็ได้ขุดหลุมศพนี้หน่อย ด่วนเลย!”
บรรดาลูกน้องเมื่อเจอสายตาอันคมกริบของเจ้านายจับจ้องต่างก็รีบกุลีกุจอไปหาจอบหาเสียมมาขุดหลุมศพทันที เนื่องจากไม่อยากขัดเจ้านายของตนเอง
ลองขัดดูสิ ดีไม่ดีตัวเองอาจจะได้ลงไปนอนเล่นในโลงด้วยอีกคนก็ได้!
ยิ่งขุดไปลึกมากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเต้นรัวมากเท่านั้น ในเวลาไม่นานก็เห็นฝาหลุมศพ เสียงทุบหลุมศพยิ่งดังขึ้นอีก ทำให้แน่ใจว่าข้างในนั้นต้องมีอะไรซักอย่างอยู่เป็นแน่แท้...
“พวกเจ้าหลีกไปให้ห่าง...ข้าจะเปิดฝาโลงเอง”
เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเกรงขามพลางเป็นห่วงลูกน้องไปในตัว หากเป็นสิ่งร้ายกาจ พวกลูกน้องในสังกัดจะได้ไม่เป็นอันตรายมากนัก มือแกร่งเอื้อมไปเปิดฝาโลงช้าๆ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าด้วยความตื่นเต้น บรรดานายทหารที่อยู่ข้างหลังผู้บัญชาการก็ลุ้นไม่แพ้กัน..
ผลั่ว!!
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าแม่ทัพอี้ฟานและนายทหารอีกนับร้อย สิ่งนั้นมันทำให้ทุกคนตกตะลึง คือสตรีผู้หนึ่งผุดลุกขึ้นมานั่งหน้าตาตื่น บนใบหน้าของนางถูกปกคลุมด้วยของเหลวสีขาวๆ หากมองครั้งแรกคงนึกว่าผีได้ไม่ยากนัก
แต่ที่แน่ๆ นางไม่ใช่พี่เจี้ยนหลัว!!
แล้วนางเป็นใคร!!?
อี้ฟานผงะตกใจเล็กน้อยก่อนจะกระโดดออกไปตั้งหลัก บุคคลปริศนาก็ลุกขึ้นยืนจ้องทุกๆคนที่อยู่บริเวณนี้เขม็ง คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยราวกับจะประมวลเหตุการณ์ ทุกคนเริ่มจะได้สติก็ตะโกนออกมาพร้อมกับหญิงสาวปริศนาว่า
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผีหลอก!!!!!!!!!!!!!”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พวกแกเป็นใคร!!!!!!!!!!!!!”
Luhan Said..
บรรยากาศสบายๆเหมาะแก่การนอนเล่นบนโซฟานุ่มๆ...
โลเคชั่นเหมาะๆ ควรที่จะเสียบหูฟังเพลงในไอแพดแล้วเดินเล่นไปอย่างช้าๆ....
เมฆบนท้องฟ้าลอยเอื่อยๆเป็นรูปต่างๆ ชวนให้แหงนมองแล้วถ่ายรูปไปอัพเดทลงอินสตาแกรม...
แต่นั่น!! มันก็เป็นเพียงแค่ ‘สิ่งที่เคยทำ’
แล้วตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ล่ะ!!?
“ชักช้า เร็วๆหน่อยสิครับผู้เฒ่าเต่า”
“ถ้ามันช้านัก นายก็มาทำเองสิ!” -*-
“เรื่องอะไรชั้นจะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองเหนื่อยเพิ่มด้วยล่ะ”
“งั้นก็อย่าบ่น!”
ตอนนี้ลู่หานกำลังตักน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำที่แสนจะมีน้ำอยู่น้อยนิด ทุกเช้าและเย็นลู่หานกับเซฮุนจะต้องไปตักน้ำและตัดฟืนมาให้เจ้ามาที่เลี้ยงอยู่ในคอก ส่วนตอนนี้เซฮุนกำลังตัดกิ่งไม้แห้งแล้วรวบรวมไว้เป็นมัดๆอยู่ ใบหน้าและร่างกายของร่างบางเลอะเทอะเขรอะเต็มไปด้วยดินและฝุ่น บางครั้งลู่หานก็ทำน้ำหกใส่ตัวเองบ้างหรือทำหกตามพื้นบ้าง จนกระทั่งตอนนี้เขายังตักได้ไม่ถึงครึ่งถังไม้เลย ลู่หานไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตคุณหนูอย่างเขาจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่สำหรับเขาเลยเหอะ
“ถ้ามีน้ำประปา ฉันก็คงไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้” ลู่หานเอ่ยขึ้นมาอย่างฉุนๆ
“ก็ถือซะว่าฟ้าลงโทษก็แล้วกันที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้น่ะ”
“อยากจะให้ลงโทษนายคนเดียวมากกว่านะ”
“ได้ไงล่ะ ทำร้ายคนหล่อคนเดียวแบบนี้ฟ้าคงทำไม่ลงหรอก”
“หล่อมากเลยล่ะนาย แหวะ! ได้ทีคุยใหญ่เลยนะนายเนี่ย”
“อย่าพูดมากเลย เดี๋ยวกลับไปช้า ม้าทั้งคอกคงจะรุมกระทืบเราสองคนพอดี”
“ย๊ากกกก เอาความสะดวกสบายคืนมา~” T^T
ร่างบางตะโกนเสียงดังด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ตักน้ำของตัวเองต่อ เซฮุนคงจะทนเห็นลู่หานในสภาพทุลักทุเลไม่ไหว เลยเข้ามาช่วยตักน้ำจนมันเสร็จเต็มถังไม้
“ทำตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแบบนั้นเมื่อไหร่จะตักเสร็จล่ะครับแม่คุณหนู”
“อย่ามาว่าฉันแบบนี้นะ”
“หรือไม่จริง? ทำตัวอวดเก่ง ปากก็เก่งไปวันๆ แต่ไม่เห็นจะเก่งอย่างปาก”
“ก็...ก็ฉันอยากทำให้นายดูว่าฉันไม่ได้อ่อนแอนี่นา”
“ดูมือของนายสิ...เป็นรอยถลอกไปหมดแล้ว เมื่อก่อนเคยอยู่อย่างสบายๆแต่ต้องมาแบกน้ำตัดฟืน ร่างกายนายคงจะต่อต้านน่าดูสินะ ไม่ไหวก็บอก...”
เซฮุนพูดจบก็คว้ามือของลู่หานไปดูใกล้ๆ เขาเองก็เพิ่งจะสังเกตเหมือนกันว่ามือของตัวเองมีแต่รอยช้ำและรอยถลอกไปหมด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจับเสียมจับจอบนี่นา พอมาทำเองถึงได้รู้ว่ามันลำบากสุดๆ จากมือที่นุ่มนิ่มก็แทบจะกลายเป็นหยาบกระด้าง ทำให้ร่างบางอดที่จะสงสารมือตัวเองไม่ได้
จะว่าไปมือของเขามันเล็กไปหรือว่ามืออีกฝ่ายใหญ่เกินกันแน่นะ...มือของเซฮุนกุมมือของผมซะมิดเลย
“ฉันไม่เป็นไรหรอก นายไม่ต้องมาเป็นห่วงมากมาย ฉันก็ผู้ชายเหมือนนายนั่นแหละ แค่นี้สบายมาก”
“หรอ...ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกว่าสบายมาก แต่ไอ้ที่บ่นตลอดทางนี่คืออะไรครับท่านลู่หานคนแมน”
หนอย...พูดดูถูกผมแบบนี้ผมทนไม่ได้หรอกนะ ไอ้เราก็นึกว่าจะมาช่วยเฉยๆ แต่ดันปล่อยน้องหมาในสังกัดมาเพ่นพ่านกัดผมซะได้นี่ มันน่าจะจับไปทำหมันทั้งคอกซะจริงเลย
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องทำเป็นอวดเก่ง นึกว่าฉันจะดูแลนายไม่ได้รึไง”
“กะ..ก็ ถึงงั้นก็เถอะ ฉันก็ดูแลตัวเองได้น่า นาย..จะดูแลฉันได้รึไง -////-“
“ไม่มีอะไรที่โอ เซฮุนคนนี้ทำไม่ได้หรอกน่า นายคอยดูก็แล้วกัน ยัยคุณหนูเอ๊ย”
จู่ๆเซฮุนก็พูดโพล่งออกมา น้ำเสียงจริงจังพอควร ทำเอาร่างบางพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ เซฮุนหันหน้ามามองลู่หานประมาณว่า เป็นอะไรไป แต่ร่างบางก็ชิงหลบสายตาไปชมนกชมไม้ซะก่อน...
ก่อนที่เซฮุนจะรู้ว่าหัวใจของลู่หานมันสั่นแปลกๆ...
“รีบกลับกันเถอะ คุณตาคุณยายคงรอนานแล้ว”
ร่างบางเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตักน้ำจนเต็มหาบแล้ว ส่วนเซฮุนก็เดินไปเก็บกองฟืนไปแบกไว้บนหลัง ไม่น่าเชื่อว่าคนตัวผอมๆอย่างเซฮุนจะสามารถแบกของที่มีน้ำหนักมากขนาดนี้ได้ ต้องมองเขาใหม่แล้วนะนี่ แต่ถึงยังไง คนปากเสียก็ยังปากเสียวันยังค่ำ ส่วนร่างบางก็ทำหน้าที่หาบถังน้ำกลับตามไป ตลอดทางยังไม่วายพูดยั่วโมโหให้อารมณ์เสียได้ตลอด
“นายหนักรึเปล่า? แบกฟืนเยอะขนาดนั้น” ร่างบางชวนเขาพูดขึ้นระหว่างทาง
“หนักสิ ไม่รู้กลับบ้านพักไปจะเจ็บหลังรึเปล่า แต่แค่นี้สบายมาก”
“ระวังหน่อยแล้วกัน เจ็บขึ้นมาฉันจะซ้ำเติมนายให้เจ็บกว่าเดิมเลย”
“รู้สึกช่วงนี้นายพูดดีขึ้นนะ” เซฮุนเหลือบมองลู่หานแล้วเลิกคิ้วถาม นั่นมันก็ทำให้ร่างบางไม่รู้จะตอบยังไงดี...
“ก็ฉันไม่ใช่คนปากจัดปากร้ายอะไรนี่นา หรือว่านายชอบให้ฉันด่าให้ฉันทะเลาะด้วยล่ะ”
“เปล่า ก็แค่รู้สึกแปลกๆ”
“ยังไงล่ะ?” คราวนี้เป็นฝ่ายร่างบางถามกลับบ้าง อีกฝ่ายทำท่าคิดหนักก่อนที่จะตอบออกมาว่า
“รู้สึกว่านายเป็นคนที่ดีขึ้น ก็แค่นั้นล่ะ โอ๊ย!”
เพราะคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของเซฮุนนั้น ทำให้ตลอดระยะทางที่กลับบ้านเต็มไปด้วยเสียงก่นด่าของลู่หานและการทำร้ายร่างกายของเขาอีกนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว...-*-
จะให้ผมญาติดีกับเขามันเร็วไปอีกร้อยปี!
“กลับมาแล้วหรอหลานๆ... เหนื่อยกันรึเปล่า เอาน้ำกับฟืนไปเก็บก่อนแล้วมากินข้าวกินปลาเร็ว”
“ครับบบบ”
คุณยายที่กำลังกวาดลานบ้านอยู่หันมาเรียกลู่หานกับเซฮุนด้วยน้ำเสียงห่วงใย ท่านทั้งสองปฏิบัติราวกับว่าผมกับเขาเป็นหลานจริงๆของทั้งสองก็ไม่ปาน คุณตาคุณยายเล่าให้ฟังว่า คุณตาคุณยายมีลูกชายอยู่สองคน แต่ก็ต้องเข้าวังไปรับราชการเป็นทหาร ปีนึงจะกลับมาหาที ทำให้ทั้งสองคนเหงาเป็นอย่างมาก และเมื่อผมกับเซฮุนเข้ามา ก็ทำให้คุณตาคุณยายมีความสุขขึ้น ซึ่งผมเองก็มีความสุขที่ได้เห็นคุณตากับคุณยายยิ้มแบบนี้
สิ่งที่ทำให้ผมกับเซฮุนหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง คงจะเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นนี่ล่ะมั้ง... J
Kyungsoo Said…
“เจ้าเอาผ้าไปซักให้ข้าหน่อยสิ”
“เจ้าเอาถ้วยไปล้างหน่อยสิ”
“เจ้าเอาผ้ามาเช็ดห้องนี้ที”
“เจ้าไปล้างห้องน้ำด้วย เหม็นจะตายอยู่แล้ว”
“เจ้าไปรดน้ำต้นไม้ที ดูสิมันจะเฉาตายอยู่รอมร่อ”
“เจ้าๆๆๆๆๆๆ บลาๆๆๆ”
สารพัดคำสั่งที่พวกนางบำเรอที่หอนางโลมนี้จะสรรหามาให้คยองซูทำสารพัดตั้งแต่เหลาไม้จิ้มฟันยันตอกตะปูเรือไททานิค วันทั้งวันคยองซูก็เอาแต่อยู่บริเวณหลังหอนางโลมไม่ได้ไปไหน มันเป็นสิ่งที่ยากมากหากจะปรับตัวอยู่ที่นี่ เพราะต้องทนทั้งแรงดูถูกและทนการเรียกไปทำงานบ้านต่างๆนานา จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่านางพวกนี้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันรึไงถึงต้องตามมาเล่นงานร่างเล็กคนเดียวแบบนี้
ไม่ผิดหรอก แค่เขาคนเดียว...
ส่วนอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี(หลอกๆแบบจำเป็นและจำใจ)ของผมน่ะ แม่นางบำเรอทั้งหลายต่างพากันเอาอกเอาใจกันไม่เว้นวัน ราวกับว่าจงอินคือเทพเจ้ารูปงามลงมาจุติ จนบางทีหากเขาเป็นแขกที่เข้ามาที่นี่คงจะสำลักความสุขตายแหงๆ ก็ดูแม่นางพวกนั้นทำเข้าสิ แทบจะเข้าไปนั่งเกยตักจงอินเลยทีเดียว
คนนี้น่ะของผมนะ ของผมคนเดียว L
“จงอินจ๊ะ ลองกินขนมนี่ดูสิ”
“กินน้ำหน่อยมั๊ย เดี๋ยวข้าป้อน”
“ร้อนรึเปล่า เดี๋ยวข้าพัดให้”
“เอ่อ..ขอบคุณครับพี่สาวคนสวยทั้งหลาย ^^”
ร่างเล็กมองภาพเหล่านั้นด้วยความคับแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าหากแทรกเข้าไปหาล่ะก็ พวกเธอเหล่านั้นก็จะจัดการหางานประเคนมาให้ทำอีกไม่หวาดไม่ไหว ร่างบางจึงต้องทนระบายอารมณ์หึงโหดลงไปกับกองเสื้อผ้าที่กำลังซักบ้าง ตอนล้างแก้วบ้าง หรือแม้แต่ตอนอื่นๆที่ไม่มีใครเห็น ยกเว้นต่อหน้าเพื่อนสนิทของผมสองคนเท่านั้นน่ะนะ
ใช่แล้วล่ะ เฉพาะตอนที่ไม่มีใครเห็น..
เพราะต่อหน้าผู้คน คยองซูคือนายเอกไงล่ะ! หึหึ...
ส่วนเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นตัวอิจฉาน่ะหรอ..ตอนนี้กำลังนั่งทำหน้าเอ๋อให้นางงามกลางเมืองพวกนั้นเอาอกเอาใจอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะสิ ตัวเองฮอตจะตายอยู่แล้วยังจะไม่รู้ตัวเลย หรือจะต้องให้ผมเข้าไปบอกนะว่าแม่พวกนั้นจ้องจะงาบนายอยู่ทุกวินาทีน่ะจงอิน!!! T^T
“อ๊ะ!! โอย...แสบตาจัง >_<”
คงเป็นเพราะผมแค้นแม่พวกนั้นมากไปหน่อย เลยส่งผลให้ซักผ้าแรงไปแน่ๆเลย น้ำเลยกระเด็นเข้าตาจนมันแสบไปหมด ร่างเล็กหยุดซักผ้าแล้วเดินสะเปะสะปะไปหาผ้ามาเช็ดน้ำที่เข้าตา แต่คงเพราะมองเห็นทางไม่ถนัดเลยเดินไปชนใครบางคนเข้าอย่างจังจนร่างเล็กเซถลาแทบจะไปจูบกับพื้น ถ้าไม่ติดว่ามีคนดึงไว้ไม่ให้ล้มซะก่อนน่ะนะ
“ขอโทษครับ..พอดีว่าข้ามองไม่เห็นทางเลยเดินชน...”
“เป็นอะไรรึเปล่าน่ะคยองซู อะไรเข้าตาหรอ?”
เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบถามร่างเล็กที่กำลังหลับตาอยู่ เสียงแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้แน่นอนนอกจากเสียงของจงอิน เสี้ยววินาทีมันทำให้คยองซูดีใจอยู่ลึกๆแล้วก็โล่งใจไม่น้อยที่ไม่ไปเดินชนคนอื่นเข้าจนมันเกิดเรื่องราวใหญ่โต น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถามร่างเล็กอย่างห่วงใยไม่น้อย และนั่นมันทำให้เขาอ่อนระทวยเหมือนไอติมตอนละลายไปเลย
“เอ่อ..พอดีเราซักผ้าอยู่แล้วน้ำกระเด็นเข้าตา เลยจะไปหาผ้ามาเช็ด แต่ว่าดันมาเดินชนนายเข้า..” ( _ _)
“คราวหลังระวังด้วยนะคยองซู มาๆ อยู่นิ่งๆเดี๋ยวชั้นจะซับให้”
คยองซูพยักหน้าเบาๆก่อนจะรู้สึกถึงมือใหญ่ของจงอินเชยคางของผมขึ้นช้าๆ ณ ตอนนี้ผมหลับตาอยู่ เลยไม่รู้ว่าจงอินก้มลงมาใกล้เท่าไหร่..ร่างเล็กรู้สึกถึงลมหายใจอ่อนๆที่กำลังรดลงมาที่ปลายจมูก แค่นั้นมันกำทำให้ร่างเล็กคิดไปไกลว่าใบหน้าหล่อๆของเขาคงจะห่างจากใบหน้าของตัวเองไม่ถึงคืบแน่ๆ จงอินเช็ดน้ำที่กระเด็นเข้าตาของร่างเล็กและหยดน้ำที่ติดอยู่ตามใบหน้าให้อย่างตั้งใจและแผ่วเบาจนกระทั่งมันหมดไปในที่สุด แถมท้ายด้วยการเป่าเปลือกตาร่างเล็กเบาๆอีกสองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่ามันแห้งแล้ว ถึงแบบนั้นคยองซูก็ยังไม่อยากลืมตาอยู่ดี ไม่ใช่เพราะกลัวแสบตา..แต่เป็นเพราะกลัวระยะห่างของตัวเองกับชานยอลต่างหาก ที่มันอาจจะทำให้หัวใจของเขาทำงานหนักเกินความจำเป็นก็ได้
“ไหนลองลืมตาดูสิคยองซู ยังเคืองตาอยู่รึเปล่า?” ผมจะไม่กล้าลืมตาก็เพราะนายนั่นแหละ -///-
“กลัวมันเคืองตาอ่าจงอิน....” และผมก็ยังแอ๊บเนียนกลัวต่อไป -..-
“ไม่ลองแล้วจะรู้หรอ ลืมตาหน่อยนะ” เสียงกระซิบก็ยังอยู่ข้างหูร่างเล็กเหมือนเดิม และดูมันจะใกล้กว่าเดิมด้วย
“อือ...”
คยองซูค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วกระพริบตาหลายๆทีก็พบว่าอาการแสบตาและเคืองตาค่อยๆหายไปแล้ว กระพริบอยู่หลายๆทีก็เห็นจงอินยื่นหน้าเข้ามามองใกล้ๆอยู่เหมือนเดิม เหมือนตอนที่กำลังเช็ดตาให้เขาอยู่แบบนั้นจนเขาทนไม่ได้(ในความหล่อ)ต้องถอยออกไปตั้งหลักซักสองสามก้าว
“ขอบใจนะจงอิน ถ้าไม่ได้นายเราคงแย่แน่เลย”
“อือ อย่าขอบใจเลยน่า ต่อไประวังๆด้วยนะ ชั้นเป็นห่วง”
จงอินยืนยิ้มโชว์ฟันขาวๆให้คยองซูก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ส่วนร่างเล็กก็เดินกลับไปซักผ้าต่อจนเสร็จ เรื่องราวชวนใจเต้นเมื่อกี๊ทำเอาร่างเล็กยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว ถ้าจงอินทำแบบนี้ให้เขาตลอดไปก็ดีน่ะสิ >_<
แต่ติดตรงที่ว่าเจ้าตัวจะคิดอะไรกับผมรึเปล่า...ก็ยังไม่รู้เลย
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ซักวันผมจะทำให้จงอินชอบผมให้ได้ ไฟติ้ง!! ^^
BaekhyunS Said..
บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งกลางป่าลึก ผลไม้นานาชนิดได้ออกผลอยู่บนนั้น แบคฮยอนกำลังปีนต้นไม้เก็บผลไม้อย่างชำนาญใส่ในกระเป๋าเสื้อจนเต็มแล้วค่อยๆปีนลงมาเอาผลไม้กองไว้ใต้ต้น แล้วขึ้นไปเก็บผลไม้อีกจนคิดว่าเพียงพอในอาหารมื้อนี้ ร่างเล็กลงไปนั่งที่โคนต้นไม้พลางกัดกินผลไม้ประหลาดนั่นอย่างเอร็ดอร่อย มันเป็นผลไม้อะไรเขาก็ไม่รู้หรอก เพียงแต่มันมีกลิ่นที่หอมมาก อีกทั้งลูกก็ใหญ่ด้วย แรกๆแบคฮยอนก็ยังไม่กล้ากิน แต่พอเห็นพวกแมลงพวกนกหรือพวกสัตว์เล็กที่กินผลไม้เป็นอาหารต่างพากันมากินเจ้าผลไม้ชนิดนี้ก็เลยลองเก็บมากินบ้าง ปรากฏว่ามันอร่อยสุดยอดเลย *O*
วันนี้เจ้าลูกเสือพี่น้องนั่นไม่ได้ออกมาเล่นกับแบคฮยอน ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสไปเที่ยวในป่าที่ไกลกว่าเดิมอีกสักหน่อย ตลอดทางที่เดินผ่าน เขาได้เห็นสัตว์ต่างๆมากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่านี่เป็นโลกแห่งความฝัน แล้วแบคฮยอนก็เป็นทาร์ซานตัวน้อยที่หลงเข้ามาผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ (นั่นมันอลิซฯไม่ใช่รึ แกมั่วแล้ว! :ไรเตอร์)
“เฮ้ย...ดอกไม้อะไรน่ะ สวยจัง”
เดินมาไม่ไกล แบคฮยอนก็มาเจอดอกไม้อยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนไม่รู้จักหรอก มันมีสีสันสวยงามประหลาดตามาก มองๆแล้วคล้ายกับดอกทิวลิปดอกใหญ่ๆประมาณโอ่งมังกรเลยก็ว่าได้ ตามลำต้นและใบของมันมีหนามแหลมคมเต็มไปหมด ร่างเล็กเดินเข้าไปหามันช้าๆอย่างสนใจ ถ้าเอากลับไปที่โลกปัจจุบันได้ดอกนี่คงจะเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกแหงๆ แล้วเขาก็จะขายมัน ราคาคงจะซักสองสามล้านได้ล่ะมั้ง ไม่สิ สิบล้านเลยแล้วกัน หุหุ กำไรมหาศาล -..-
ทันใดนั้นก็มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งวิ่งหนีงูเหลือมตัวขนาดเท่าแขนมาอย่างรวดเร็วผ่านเจ้าดอกไม้ประหลาด แบคฮยอนเห็นแบบนั้นเข้า วิญญาณนายเอกที่มีอยู่ในก้นบึ้งส่วนลึกก็ออกมาทันที ร่างเล็กจึงวิ่งเข้าไปช่วยเจ้ากระต่ายขนฟู แต่วิ่งไปได้แค่สองสามก้าวเท่านั้นแหละ ดอกไม้งามที่ว่าก่อนหน้านี้กลับโน้มดอกของมันลงมาครุบเจ้างูจอมวายร้ายนั้นไว้แล้วหุบดอกปิดลงอย่างแน่นหนา ส่วนกระต่ายน้อยรอดหวุดหวิด ดอกไม้ดอกนั้นสั่นอยู่สักพักจนมันแน่นิ่งไปในที่สุด เป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเป็นอาหารไปเรียบร้อยแล้ว แบคฮยอนได้แต่ทำตาค้างมองอย่างตะลึงๆ
“ไอ้หย๋า...สวยซ่อนพิษนี่นา =[]=!”
ขาที่กำลังจะก้าวไปช่วยกระต่ายในตอนแรกนั้น บัดนี้กลับโกยอ้าวหนีออกจากแห่งนั้นอย่างรวดเร็วไม่คิดชีวิตและไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปมองอีกเด็ดขาด แทนที่จะได้เงินสิบล้านคงจะต้องลงไปนอนเป็นอาหารอยู่ในดอกของมันก่อนละมั้งเนี่ย ป่านี้ใช่ว่าจะมีแต่สิ่งดีๆเสมอไป อาเมน...
สวบ...! ควับ!
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น แบคฮยอนหันไปมองตามเสียงแล้วระวังตัวเต็มที่เผื่อจะมีอะไรแปลกๆโผล่ออกมาอีก แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ดอกไม้แสนสวยหรือผลไม้ประหลาดอะไร แต่เป็นกวางตัวผู้ตัวหนึ่งที่กำลังมองมาทางเขา
“กวางนี่นา...กวางตัวนี้มีเขาสีทองด้วย 0.0”
เมื่อจ้องตากันซักพักมันก็เดินหนีไป แต่มีหรือที่คนอย่างแบคฮยอนจะยอม ร่างเล็กเลยเดินตามกวางเขาสีทองนั้นไปเรื่อยๆ กวางตัวนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ละสายตาไปไม่ได้เลย..
“อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี๊ยังเห็นแว๊บๆ” ( - -) (- - ) ( - -) (- - ) ( - -)
ร่างเล็กกวาดสายตามองไปทั่วป่า จู่ๆกวางก็หายไปซะงั้น ทั้งๆที่เขาก็ตามไม่ได้คลาดสายตาเลยแท้ๆ
“เอ๊ะ มีกวางตัวเมียอยู่ด้วยหรอเนี่ย บาดเจ็บด้วยสิ”
แบคฮยอนเหลือบไปเห็นกวางตัวเมียตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้ากำลังนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บอยู่ สงสัยคงจะเดินไปตกหลุมมาแน่ๆเลย มันไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย เขาเลยเดินเข้าไปใกล้กวางตัวเมียแล้วลูบหัวมันอย่างเอ็นดู พิจาณาแผลแล้วแค่ถลอกนิดหน่อย
“อยู่ตรงนี้นิ่งๆอย่าไปไหนนะเจ้ากวาง เดี๋ยวจะไปหายามาให้ รอแป๊บๆ”
แบคฮยอนพูดกับกวางตัวนั้นราวกับว่ามันเข้าใจภาษาของคนอย่างนั้นล่ะ ร่างเล็กออกไปหาสมุนไพรแถวๆนั้นมาบดแล้วแปะไว้ที่แผลของกวางตัวนั้นแล้วดึงชายเสื้อของตัวเองพันไว้ให้มันอีกทีก่อนจะเดินออกมาจนหายลับตาไปในที่สุด
ในพุ่มไม้ไม่ไกลจากที่กวางตัวเมียนอนอยู่ ปรากฏร่างของกวางตัวผู้เขาสีทองขึ้น มันเดินมาใกล้กวางตัวเมียเรื่อยๆอย่างสง่า ฉับพลันกวางตัวผู้ตัวนั้นกลับกลายร่างเป็นชายรูปงามแทน ส่วนกวางตัวเมียก็กลายเป็นผู้หญิงรูปร่างงดงามเช่นกัน
“เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะพี่กีกวัง ต้องขอบใจมนุษย์คนนั้นที่ช่วยหายามาให้”
“พักผ่อนเยอะๆนะ” มนุษย์กวางกีกวังมองตามแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นไปจนลับตา ตั้งแต่เขาเกิดมาแล้วบำเพ็ญตบะนับพันปีจนได้เป็นกวางที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้นี่ เขายังไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนใจดีกับสัตว์ขนาดนี้มาก่อน ยังไงซะเขาก็เป็นหนี้บุญคุณคนๆนั้นที่ช่วยทำแผลให้กับน้องสาวของเขา แต่การจะปรากฏตัวออกไปขอบคุณคนนั้นเลยมันก็ยังไงๆอยู่นะ...กลัวจะตกใจน่ะสิ
“หวังว่าซักวันข้าจะได้ตอบแทนบุญคุณเจ้านะ เจ้ามนุษย์ตัวจิ๋ว” กีกวังยิ้มบางๆก่อนจะคอยคิดถึงมนุษย์คนนั้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน....
Lay Said…
ทำไมเขาต้องมาโผล่ในที่แบบนี้ด้วยนะ
ไรเตอร์บ้า! แกทำให้เขาต้องลำบากขนาดไหนรู้มั๊ยห้ะ! (ฉันไม่เอานายไปโผล่ในท่อประปาก็ดีแล้วนะยะ! :ไรเตอร์)
หลังจากหายตะลึงและสอบถามกันจนรู้ว่าเขาเป็นคนแล้วคนพวกนั้นก็เป็นคนแล้ว ร่างเพรียวก็เกิดอาการวางมาดคุณหนูอย่างที่เคยทำเป็นประจำใส่เจ้าคนหน้าตาดีคนนั้นทันที
“ฉันจะกลับบ้าน!”
“แล้วบ้านเจ้าอยู่ไหนล่ะ?” เขาถามเหมือนกับว่าคนตรงหน้าเป็นเด็กแล้วกลับบ้านไม่ถูกแบบนั้นล่ะ - -
“บ้านฉันก็อยู่ที่โซลน่ะสิ ย่านคังนัมน่ะรู้จักไหม”
“โซลหรอ...ข้าจำไม่ได้ว่าแถวนี้มีหมู่บ้านคังนัมด้วย”
-0-; นี่มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้วนะ คนบ้าอะไรไม่รู้จักโซล นี่เขาหลงมาอยู่ที่ยุคโกกุรยอรึยังไงเนี่ย!!
“นายมาจากที่ไหนถึงไม่รู้จักโซลน่ะห้ะ!”
อี้ชิงวีนใส่พวกคนประหลาดจนบางคนเดินหนีออกไปหลบอยู่แถวหลังๆกับเพื่อนก็มี ส่วนอีตาสูงๆนี่กลับทำหน้านิ่งเฉยใส่เหมือนกับว่าคำที่เขาพูดประชดไปเมื่อกี๊ไม่มีผลอะไรแม้แต่นิดเดียว
“ข้าว่าเจ้าไปที่จวนของข้าก่อนดีกว่า เรื่องของเจ้าน่ะ ข้าว่าคงจะต้องสอบสวนอีกนาน”
“แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่านายจะไม่เอาฉันไปทิ้งๆขว้างๆไว้กลางทางน่ะ”
“ข้าเป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรโชซอน หากข้าทำแบบนั้นกับผู้ที่อ่อนแอกว่า ตระกูลข้าคงจะเสื่อมชื่อเสียง”
“ให้มันจริงเถอะ! ให้ตาย ยุคนี้ยังจะมีแม่ทัพอะไรอยู่อีกหรอเนี่ย”
“รีบตามข้ามาเร็วเข้า ข้ามีเวลาไม่มาก”
ว่าแล้วอีตาขี้ตู่ที่บอกว่าตัวเองเป็นแม่ทัพก็ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง เดินอย่างสง่าไปที่ม้าสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่งทันที อี้ชิงเดินตามแทบจะไม่ทันเลยทีเดียว
ว่าแต่ทำไมหมอนี่ถึงตัวสูงนักนะ กินนมวันละโอ่งรึไงถึงได้สูงเหมือนเสาไฟฟ้าเพียงนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองเตี้ยติดดินไปเลยทีเดียวเมื่อไปเดินอยู่ข้างๆเขา
“ท่านแม่ทัพอี้ฟานขอรับ จะให้ข้าล่วงหน้าไปรายงานทางราชสำนักก่อนหรือไม่ว่าท่านติดธุระ...”
ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งร่างเพรียวคาดว่าคงจะเป็นลูกน้องของเขาเดินเข้ามารายงาน สายตาคมของเขาเหลือบไปมองก่อนที่จะเอ่ยออกไปว่า
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าเอาคนนี้ไปส่งที่บ้านข้าก่อน แล้วข้าจะรีบไป” อี้ฟานหันมามองอี้ชิงที่ยังยืนโอ้เอ้อยู่ ซึ่งอี้ชิงก็มองกลับไปอย่างเชิดๆพร้อมกับทำท่าเอามือกอดอกเอาไว้
“รีบขึ้นม้าสิ”
“ห้ะ! อย่าบอกนะว่านายจะให้ขี่ม้าไป”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ไม่เอา! อย่างฉันต้องนั่งรถเท่านั้น ใครจะไปกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงแบบนี้กัน ถ้าหากฉันตกลงมาล่ะนายจะทำยังไงห้ะ!”
อิ้ชิงตะโกนแว้ดๆก่อนที่จะชี้นิ้วไปยังเจ้าม้าสีขาวตัวนั้นอย่างดูถูก และเหมือนว่าเจ้าม้าตัวนั้นจะฟังภาษาของอี้ชิงออก มันเลยแก้แค้นร่างเพรียวด้วยการเตะโคลนที่อยู่แถวนั้นใส่จนเปื้อนไปหมด =[]=!
ฮี่ๆๆๆ~ โผละ!
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกก! ชุดนอนของฉัน T^T”
“หึหึ...ช่วยไม่ได้ เจ้าดันไปว่าเจ้าสีหมอกเองนี่ มันก็เลยลงโทษเข้าให้”
อี้ฟานหัวเราะอี้ชิง ในลำคอเบาๆก่อนจะเดินไปลูบแผงคอเจ้าม้าสีหมอกให้มันสงบลง เขามองมันอย่างกล้าๆกลัวแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
“จะขึ้นม้าได้รึยัง ข้ายังมีงานต้องทำนะ” อี้ฟานส่งสายตาจิกใส่
“ก็..ก็ชั้นไม่เคยขี่ม้านี่”
“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”
อี้ฟานเดินตรงมาหาก่อนจะอุ้มอี้ชิงขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อนข้างหลังทันที แถมยังใช้มือข้างหนึ่งจับเอวของเขาไว้ด้วย
“จะทำอะไร! ปล่อยมือเลยนะคนลามก”
“เดี๋ยวเจ้าก็ตกลงไปน่ะสิ อยู่เงียบๆได้แล้วน่า”
“ไม่มีทาง...ว๊ากกก!”
อยู่ๆม้าก็ขยับ ทำให้ร่างเพรียวเป็นฝ่ายหันไปเกาะอี้ฟานแทนตามสัญชาติญาณ เสียงโห่แซวดังขึ้นเป็นระลอกเมื่อได้เห็นเขากับอี้ฟานกอดกันกลมอยู่บนหลังม้า เป็นอะไรที่น่าอายที่สุดเลย -/-
“หึหึ..ข้าบอกแต่แรกแล้วก็ไม่เชื่อ”
“ละ...แล้วจะไปได้รึยังเล่า” เขินนะตาบ้าอี้ฟาน ( .///.)
เมื่อเห็นว่าคนดื้อยอมสงบแล้ว อี้ฟานก็ใช้มือข้างซ้ายบังคับม้า ส่วนมือข้างขวาก็ยังคอยกอดเอวอี้ชิงไว้ และดูเหมือนว่าจะกอดเอวเขาแน่นขึ้นไปอีกเมื่อคนในอ้อมกอดทำท่าจะวีนแตกใส่เขา มันทำให้ทำตัวสงบเสงี่ยมมากกว่าเคย
ตอนนี้หัวใจของอี้ชิงคนนี้มันบ้าไปแล้ว เต้นรัวแบบนี้ก็แย่สิ! -////-
ณ ห้องอักษร ในตำหนักมยองกุน พระราชวังเคียงบก
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง ท่านอำมาตย์”
องค์รัชทายาทโยซอบเดินเข้ามาถามอำมาตย์ประจำราชสำนักอย่างร้อนใจ นี่ก็หลายวันเข้ามาแล้ว เวลาก็เหลือน้อยลงทุกทีๆ นักรบทั้งห้าที่ท่านนักบวชทำนายก็ยังไม่มีข่าวคราว ทำให้องค์รัชทายาทกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
“ได้ข่าวมาว่าทางหอนางโลมในเมืองกุกซาน มีบุรุษสองคนอยู่ที่นั่นอย่างน่าสงสัยพะยะค่ะ กระหม่อมได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว คาดว่าคงจะได้ข่าวมาในเร็ววันนี้พะยะค่ะ”
“ดีมากท่านอำมาตย์ เร่งดำเนินการโดยด่วน”
“น้อมรับพระบัญชาพะยะค่ะ”
อำมาตย์ค้อมหัวเคารพรัชทายาทก่อนจะถอยตัวเดินออกไป บรรยากาศภายใจห้องอักษรกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ท้องฟ้ากำลังดำมืดขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม นั่นมันกำลังบ่งบอกว่า แม่มดร้ายกำลังมีอำนาจมากขึ้นขนาดไหน
แอ๊ด...
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ ตอนนี้ทราบข่าวของผู้ที่คาดว่าจะเป็นนักรบทางทิศตะวันออกอีกสองคนพักอยู่ที่ลานเลี้ยงม้าพะยะค่ะ” นายทหารคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมรายงานเสียงดังจนรัชทายาทโยซอบหันมามอง
“สั่งการลงไป ให้ไปนำตัวทั้งสองคนมาที่นี่โดยด่วน”
“น้อมรับบัญชาพะยะค่ะ”
แววตาสิ้นหวังของรัชทายาทโยซอบกลับมามีความหวังอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ รอยยิ้มเริ่มผุดออกมาจากมุมปาก
“ข้าจะไม่รออีกแล้วเสด็จพ่อเสด็จแม่..ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นไปด้วยดี”
วิหารร้างในป่า
ความมืดอันหนาวเย็น ทั่วบริเวณล้วนปกคลุมไปด้วยความสิ้นหวัง บนแท่นบูชายัญกลางวิหารร้างขนาดใหญ่ มีเด็กผู้หญิงผู้โชคร้ายคนหนึ่งกำลังดิ้นกรีดร้องทุรนทุรายไปมาราวกับคนเสียสติ นางแม่มดทำร่ายคาถาทำพิธีอยู่สักพักก่อนจะเดินถือกริชสีดำที่ลงอาคมลงมายังแท่นบูชายัญกลางวิหาร เด็กหญิงคนนั้นได้แต่อ้อนวอน แม้รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตามที
“ปล่อยข้าไปเถอะ..ข้ากลัวแล้ว ฮึก...”
“เจ้าจงภูมิใจเสียเถอะแม่หนูน้อย ที่ข้าเลือกเจ้ามาทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้”
“ไม่นะ ไม่!! กรี๊ดดดดดด...”
ฉึก!
เสียงกรีดร้องทุรนทุรายของเด็กหญิงผู้โชคร้ายสงบลงทันทีที่กริชสีดำในมือของนางแม่มดปักลงกลางหัวใจ เลือดสีสดไหลลงมาเป็นทางอย่างน่าหวาดกลัว กริชสีดำเล่มงามถูกดึงออก ร่างเล็กกระตุกสองสามทีก่อนจะแน่นิ่งไปอีกครั้ง นางแม่มดตวัดปลายลิ้นชิมเลือดที่ปลายของกริชอย่างกระหาย ฉับพลันร่างกายของนางก็กลับอ่อนวัยขึ้นมาอีกสี่ห้าปีอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮ่าๆๆๆๆ ร่างกายของข้า..ความงามของข้า จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!!”
หลังจากที่แม่มดทำพิธีกรรมเสร็จสิ้นแล้ว ร่างทีไร้วิญญาณของเด็กผู้น่าสงสารกลับผอมแห้งซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับถูกสูบพลังชีวิตออกไปจนหมดสิ้น เมื่อนางแม่มดหัวเราะจนพอใจแล้วจึงเรียกทาสรับใช้คนสนิทเข้ามาหา
“เจี้ยนหลัว..เจ้าจงนำร่างของเด็กคนนี้ไปเก็บไว้ให้ดีๆ..ข้าจะทำให้นางกลายเป็นทาสรับใช้ของข้า”
“เจ้าค่ะ”
เจี้ยนหลัวตอบรับคำสั่งด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะพยุงร่างที่ไร้วิญญาณของเด็กคนนั้นไปเก็บไว้ในห้องลับรอการปลุกให้ตื่นมาเป็นทาสรับใช้ที่ไร้วิญญาณต่อไป
“อ๋อ เจี้ยนหลัว สั่งการลงไปยังทหารกองทัพกระดูก ให้พวกมันไปขุดศพขึ้นมาเยอะๆด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากเจี้ยนหลัวเดินออกไปพร้อมกับศพไม่นาน จู่ๆนางแม่มดกลับรู้สึกมีแรงกดดันมหาศาลเกิดขึ้น นางเริ่มกระวนกระวาย จึงเดินไปดูยังลูกแก้ววิเศษของนาง หลับตาพึมพำคาถาซักพัก คำทำนายในลูกแก้วของนางก็ปรากฏอักษรออกมา สิ่งนั้นมันทำให้นางหน้าซีดเผือดไปเลยทีเดียว
“จะมีนักรบมาจัดการข้างั้นรึ...ไม่ได้การ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียแล้ว ฮึ่ม!”
พรึ่บ!!!
ฉับพลันก็มีสัตว์ดุร้ายมาอยู่กลางวิหารอย่างน่าอัศจรรย์ นกยักษ์สามสี่ตัวก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับหมาป่าขนสีดำมะเมื่อมฝูงใหญ่ ทั้งหมดอยู่ในความสงบรอฟังคำสั่งจากนางแม่มด
“พวกเจ้า..จงแยกย้ายกันไปจัดการนักรบบ้าบออะไรนั่นให้สิ้นซากซะ จงทำลายความหวังของอาณาจักรโชซอนให้หมดสิ้นไป!!”
สิ้นคำสั่ง บรรดาสัตว์อสูรทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย นางเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย ทำให้ใบหน้าที่ดูงดงามราวกับนางพญาในตอนแรก บัดนี้ดูบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัว
“จะให้ใครมาขวางไม่ได้ แผนการของข้าจะต้องสำเร็จ อาณาจักรนี้จะต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียว!”
เปรี้ยง!!
สายฟ้าผ่าลงมาอย่างน่ากลัวหลังจากสิ้นเสียงที่เกรี้ยวกราดของนาง ทำให้ทั่วทั้งป่าสะเทือนเลือนลั่น สัตว์เล็กสัตว์น้อยพากันตกใจบินหนีวิ่งหนีกันวุ่นวายไปหมด
ใครกล้ามาขวาง..มันผู้นั้นจะต้องเจอกับจุดจบที่ไม่มีใครอยากเจอ!
**********************
เค้าขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ค่อยได้อัพเรื่องนี้เลย
อีกเรื่องพลอตมันกำลังวิ่งอะค่ะ
ใครที่ติดตามเรื่องนี้รอกันหน่อยเน๊อะ
รักทุกคนเลยนะจุ๊บ <3
ความคิดเห็น