ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo It's You รักนายเจ้าชายอันตราย [chanbaek hunhan ft.exo]

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 57


     

    Chapter 11



    Kyungsoo Said…

     

    “อืม...อุปกรณ์ปรุงยาเปลี่ยนใจ หนอนชาเขียวสิบตัว แมงมุมสองตัว รากโสมพันปีหนึ่งต้น รากต้นสนสองราก...เขี้ยวหมูป่าสามซี่ น้ำบริสุทธิ์จากบ่อน้ำพุร้อนบนยอดเขา ลูกตาปลาสดๆหนึ่งโหล....นี่มันส่วนผสมอะไรเนี่ย น่าสะอิดสะเอียนไป อี๋ แหยะ... =_______=

     

    ผมทำท่าพะอืดพะอมหลังจากอ่านสูตรปรุงยาในตำราอยู่ตั้งนานสองนาน หลังจากที่ค้นพบว่าตัวเองคงไม่เก่งการรบอะไรแบบพวกนั้น...เลยเลือกที่จะเป็นกำลังเสริมให้กับพวกนั้นจะดีกว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของสงครามนี้ พวกบรรดายาพิษทั้งหลายแหล่หรือยาต่างๆนี่แหละที่เขาพอจะช่วยทำให้ได้บ้าง เพราะตอนที่อยู่โลกปัจจุบัน เขาเองก็เป็นพวกชอบทดลองนั่นโน่นนี่ จับนั่นมาผสม จับนี่มาตัดต่อกันจนได้เรื่อง(?)อยู่แล้ว...อีกทั้งอยู่ที่นี่ ที่ประเทศเกาหลีสมัยก่อน อาณาจักรโชซอนแห่งนี้ก็มีตำรามากมายให้เขาได้อ่านศึกษาค้นคว้า มันเป็นสิ่งที่ชอบมากๆเลย

     

    อีกทั้งหนังสือตำราเล่มที่เขากำลังอ่านอยู่นี่...มันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย

     

    มันน่าสนใจยังไงน่ะหรอ...ก็มันน่าแปลกมาก ที่ไม่มีใครอ่านมันออกเลยนอกจากเขา..

     

    เมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากที่เข้าไปค้นในคลังตำราแพทย์ศาสตร์ต่างๆในวังหลวง จู่ๆหนังสือเล่มนี้ก็หล่นปุลงมาต่อหน้าคนตัวเล็ก ผู้ดูแลรักษาคลังตำราแห่งนี้บอกว่าไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน...อีกทั้งลองเปิดอ่านดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่าผู้เขียนได้บันทึกอะไรไว้ ถามคนอื่นๆก็ไม่มีใครอ่านออก จนกระทั่งคยองซูหยิบมันไปส่องกับแสงเทียนนั่นแหละ...ถึงได้เข้าใจว่าหนังสือเล่มนี้มีความลับอะไรเก็บไว้...

     

    และมันน่าแปลกมาก ไม่ว่าคยองซูจะบอกให้ใครต่อใครลองเอาหนังสือไปส่องกับแสงเทียนดู ก็ไม่มีใครอ่านออกอยู่ดี

     

    มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อและไม่มีใครอยากเชื่อ....

     

    คยองซูคิดว่าหนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือเวทย์มนต์..และมันก็เลือกให้เขาเป็นผู้ที่สามารถใช้มันได้เพียงคนเดียว

     

     

    ร่างเล็กพยายามกลั้นใจก่อนจะโยนส่วนผสมทั้งหมดลงไปในหม้อต้มขนาดใหญ่แล้วค่อยๆคนไปเรื่อยๆจนครบสามชม.ตามที่หนังสือได้บอกไว้ ความจริงหม้อที่ใช้อยู่นี่ก็ไม่ได้วิเศษอะไรมาจากไหนหรอก มันคือหม้อที่เขาใช้ต้มยาขนานต่างๆธรรมดาแต่คยองซูได้แอบขโมยมันมาใช้ในห้องที่มืดๆไม่มีลมพัดผ่าน คิดว่ามันเป็นห้องที่ดีทีเดียว...ยิ่งห้องมิดเท่าไหร่โอกาสที่จะปรุงยาพลาดยิ่งมีน้อย มืดๆแบบนี้ก็ได้อารมณ์ดีเหมือนกันนะ -____-

     

     

    ความรู้สึกในตอนนี้มีอยู่สองอย่าง..อย่างแรกมันเหมือนเขากำลังเป็นแม่มดแก่ๆหน้าตาอัปลักษณ์กำลังปรุงยาไปให้เจ้าหญิงกินแล้วตายอย่างอนาถ... อย่างที่สองมันให้อารมณ์เหมือนกำลังอยู่ในหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยแฮะ....เป็นแม่มดน้อยกำลังฝึกฝนปรุงยา แอร๊ย >_<

     

    “สรรพคุณยาเปลี่ยนใจ ยานี้มีไว้เพื่อทำให้คนหรือสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนใจจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากมิตรกลายเป็นศัตรู จากศัตรูกลายเป็นมิตร จากรักกลายเป็นเกลียด จากไม่ถูกชะตายกลายเป็นเพื่อนรู้ใจ...ใช้กับคนหรือสิ่งของที่กำลังบ้าคลั่งให้สงบลงกลายเป็นสัตว์เชื่องได้...อันนี้น่าจะดีกว่าแฮะ...ถ้าเป็นไปได้ใช้แต่ยาชนิดนี้จะดีกว่านะ”

     

    คยองซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองหม้อยาอีกหม้อที่เพิ่งปรุงเสร็จไปเมื่อสองวันก่อน ความจริงไม่ได้มีความคิดจะใช้ยาหม้อนี้เลยจริงๆ...แต่ก็ปรุงไว้เผื่อต้องใช้ หม้อยาพิษขนานแรง...มันทำยากมากเพราะวัตถุดับแต่ละอย่างหายากทั้งนั้น อีกทั้งส่วนผสมมีตั้งเกือบห้าสิบอย่าง...เพียงแค่ยาพิษเพียงนิดเดียวแตะโดนบาดแผล มันจะแล่นเข้าสู่เส้นเลือดไปทำลายระบบประสาทและระบบการทำงานของหัวใจอย่างรวดเร็ว เห็นผลฉับพลัน...และตายในที่สุด

     

    ลองทดสอบประสิทธิภาพของยาหม้อนี้กับสัตว์ทดลองผู้น่าสงสารดูแล้ว..พบว่ามันได้ผลเกินคาด

     

    ร้อยทั้งร้อย....ตายเรียบไม่มีเหลือ

     

    ถึงมันจะดูโหดร้าย...แต่นี่ถ้าเพื่อการอยู่รอด...เราก็จำเป็นต้องทำใช่มั๊ยล่ะ..?

     

    หรือจะแบ่งเก็บเอาไว้ใช้จัดการกับคนที่มันมายุ่งกับของๆเขาดีนะ...จะได้กำจัดพวกน่ารำคาญไปในตัว

     

    “อืม...เอาไว้เคลือบกับดาบหรือลูกธนูน่าจะดี” คนตัวเล็กพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางปิดฝาหม้อยาพิษเอาไว้อย่างมิดชิดแล้วดันมันเก็บเข้าไปในชั้นวางยาต่างๆอย่างระมัดระวัง

     

     

    ก๊อกๆๆๆๆ!

    เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำเอาร่างเล็กต้องหันขวับไปมองด้วยความตกใจ ใบหน้าเรียวขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะก่นด่าคนเคาะประตูอยู่ในใจฐานที่มาทำลายสมาธิ สะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความคิดด้านมืดที่ช่วงนี้มันชอบจะครอบงำอยู่เสมอออกไป ขาเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งรีบไปเปิดประตูห้องกลัวคนข้างนอกจะรอนาน เมื่อประตูห้องเปิดออก ทหารสองนายที่ยืนรออยู่แล้วก็รีบก้มหัวทำความเคารพอย่างทันทีทันใดพร้อมกับรายงานว่า

     

    “ขณะนี้มีคำสั่งเร่งด่วนจากท่านนักบวชทั้งสิบสอง ให้มาเชิญท่านไปยังลานพิธีบูชาเทพในตำหนักฮวางซูในเวลานี้ด้วยขอรับ”

     

    “มีอะไรกันนะ...อืมๆรู้แล้วล่ะ รอผมแป๊บนะเดี๋ยวขอไปเก็บอุปกรณ์ในห้องก่อน”

     

    คยองซูพยักหน้ารับคำสั่งที่ได้รับฝากมาจากทหารทั้งสองก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องแล้วรีบเก็บกวาดข้าวของให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินตามหลังทหารทั้งสองนายไปยังตำหนักฮวางซูเงียบๆ

     

    หรือว่าจะใกล้เวลานั้นเข้ามาทุกทีแล้วกันนะ....

     

    คิดไปคิดมาก็ไม่อยากเลยที่จะออกไปรบบ้าบออะไรนั่น เวลาก็ผ่านมารวดเร็วจริงๆ ไม่ทันไรพวกเราก็มาอยู่ในที่แห่งนี้ได้สองเดือนกว่าๆแล้ว แต่ภายในเวลาสองเดือนกว่าๆก็มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายแทบจะนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน ทั้งดีทั้งร้ายปะปนกันไป มันทำให้ได้เห็นมุมมองอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น..และทำให้อดทนต่อสิ่งต่างๆได้มากขึ้น

     

    จากที่เก็บอารมณ์ไม่ค่อยเก่ง ตอนนี้กลายเป็นใส่หน้ากากเล่นละครได้อย่างแนบเนียน

     

    จากที่เป็นลูกคุณหนูทุกๆด้าน ตอนนี้กลับกลายเป็นต้องมาออกรบต่อสู้เหมือนในละคร

     

    จากที่เคยสบายกระดิกนิ้วสั่งได้ ตอนนี้กลับกลายต้องมาล้มลุกคลุกคลานอยู่ท่ามกลางภาวะสงคราม

     

    ชีวิตคนเรามันเปลี่ยนอะไรได้ง่ายเพียงแค่เข็มวินาทีเดินไปจริงๆล่ะนะ...

     

     

     

    “ถึงตำหนักฮวางซูแล้วขอรับ หมดหน้าที่พวกข้าแล้ว”

     

    “ขอบใจพวกนายมากนะ กลับไปทำหน้าที่ของพวกนายเถอะ”

     

    ทหารทั้งสองคนก้มทำความเคารพอีกครั้งพลางหันหลังกลับไปยังที่ของพวกเขา ใบหน้าเรียวแหงนหน้ามองสำรวจตำหนักฮวางซูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะพบว่ามันถูกออกแบบและตกแต่งได้งดงามมากไม่แพ้ตำหนักกลางเลยทีเดียว ภายในตำหนักสะอาดสะอ้านมาก แถมยังเงียบสงบร่มรื่นเพราะเป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการทำพิธีของนักบวชทั้งสิบสองคน นับได้ว่าตำหนักแห่งนี้คือที่พักของนักบวชทั้งสิบสองก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้มายังตำหนักแห่งนี้

     

    “โอ้...ท่านคยองซูมาถึงแล้ว..เชิญเข้ามานั่งตรงกลางพิธีกับสหายของพวกท่านเถิด”

    เสียงอันน่าเกรงขามของนักบวชตนหนึ่งดังขึ้นก่อนจะเรียกไปนั่งตรงกลางพิธีกับเพื่อนๆ มันน่าแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากจะมี เขา แบคฮยอน เซฮุน ลู่หาน จงอิน อี้ชิง  แล้วยังมี อี้ฟาน แทมิน พี่ยูริ ชานยอล โยซอบอยู่อีกด้วย

     

    “มีอะไรรึเปล่าครับ...เรียกมารวมกันครบองค์ประชุมเลย” ลู่หานยกมือถามนักบวชที่ไปรวมตัวกันอยู่ตรงหน้ารูปปั้นบูชายัญ คัมภีร์เก่าแก่ถูกกางออกไปยังหน้าสุดท้ายชวนให้บรรยากาศดูขลังมากขึ้น ไฟในคบเพลิงที่ติดตามเสาต้นต่างๆลุกไหม้ขึ้นพร้อมเพรียงกันโดยที่ไม่มีใครไปจุด เกิดความเงียบขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนที่นักบวชแห่งสายน้ำจะตอบว่า

     

    “มันถึงเวลาแล้วที่พวกท่านจะต้องมีสัตว์คู่กายเอาไว้ใช้ต่อสู้ในยามคับขัน ในวันนี้พวกข้า..เหล่านักบวชทั้งสิบสองจะวิงวอนต่อเทพเจ้าให้ประทานสัตว์ประจำกายไว้ให้พวกท่านทั้งสิบเอ็ดคน”

    “แล้วทำไมไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรกล่ะครับ?” จงอินถามขึ้นบ้าง นั่นสิ...ถ้าบอกตั้งแต่แรกพวกเราก็คงเครียดน้อยลงกว่านี้...หรือว่าจะเครียดกว่าเดิมก็ไม่รู้ - -

     

    “มันยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกพวกท่านตั้งแต่แรก...ลิขิตสวรรค์พวกข้าจะขัดไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอะไรโดยขัดต่อลิขิตแห่งสวรรค์เด็ดขาด แต่บัดนี้ มันถึงเวลาแล้วที่พวกข้าจะเป็นผู้ปลดปล่อยสัตว์แห่งสวรรค์ให้กับพวกท่าน และหัวหน้าแม่ทัพคนอื่นๆทั้งหมดสิบสองหน่วยทัพ”

     

    “ไม่เห็นจะมีใครมานอกจากเราเลยนี่ว่ามั๊ยเซฮุน แล้วสัตว์อะไรนั่นมันจะไปมีจริงได้ยังไง...”

     

    คำตอบของนักบวชทำเอาจงอินแอบจะบ่นอุบอิบเบาๆกับเซฮุนไม่ได้ คยองเห็นดังนั้นเลยเอื้อมมือไปตีแขนจงอินเบาๆเพื่อไม่ให้เสียมารยาทไปมากกว่านี้

     

    “แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาเล่า...พวกท่านรีบเริ่มพิธีจะดีกว่า” พี่ยูริที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น ก่อนที่เสียงสวดมนต์ภาษาโบราณจะดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน มันเป็นเสียงที่เพราะอย่างประหลาด...ราวกับว่ามันถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเทพยดาทั้งหลายบนฟากฟ้าอย่างนั้นล่ะ

     

    “แบคฮยอน แกจะยกมือไหว้ทำไม!? กำลังจะขอหวยอยู่รึไง” คยองซูหันไปมองแบคฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะแทบหลุดขำออกมา เพราะตอนนี้แบคฮยอนกำลังนั่งไหว้ปลกๆเหมือนกำลังจะขอหวยยังไงยังงั้น เลยอดแขวะไม่ไหว

     

    “ก็บรรยากาศมันขลังนี่นา...ฉันละขนลุกซู่ซ่าปาทังก้าปาทังกี้ไปหมดแล้ว >_<

     

    พูดเสร็จแบคฮยอนก็ยกมือขึ้นลูบแขนเบาๆก่อนจะลดมือลงแล้วนั่งอย่างสงบเหมือนคนอื่นๆในพิธี

     

    “ข้าแต่เทพทั้งหลายทั้งปวงที่ปกปักรักษาอาณาจักรโชซอนอันรุ่งเรือง โปรดจงดลบันดาลให้นักรบแห่งตำนานและเหล่าแม่ทัพทั้งสิบสองมีสัตว์คู่ใจ ใช้ต่อสู้ปัดเป่าภัยร้ายที่มาคุกคามให้สิ้น บัดนี้แผ่นดินลุกเป็นไฟ ขอเทพทั้งหลายเห็นใจช่วยบรรเทาทุกข์ของปวงประชา นำพาความร่มเย็นกลับสู่อาณาจักรแห่งนี้อีกครั้งเถิด...”

     

     

    เสียงสวดมนต์คาถาถูกเอื้อนเอ่ยออกมาคำแล้วคำเล่าจากนักบวชทั้งสิบสอง จู่ๆคนตัวเล็กก็กลับฟังบทสวดบทสุดท้ายออกราวกับว่ามันเป็นภาษาบ้านเกิด คยองซูหันซ้ายหันขวามองคนอื่นอย่างตกใจว่าจะมีใครฟังออกบ้าง แต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการอะไรออกมาราวกับว่ามันไม่เกิดอะไรขึ้น

     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่เนี่ย.....

     

    พรึ่บ!!!!

     

    “เฮ้ย! / ว้าก!

     

    จู่ๆก็มีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเราทั้งสิบเอ็ดคน บ้างก็เป็นลูกไฟ บ้างก็เป็นก้อนกลมๆสีขาวๆสว่างจ้า ทำเอาพวกเราที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับบทสวดภาวนาของนักบวชทั้งสิบสองคนถึงกับร้องตกใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เสียงบทสวดเบาลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็หยุดลงไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักอีกแล้ว เพราะสิ่งที่พวกเราทั้งหมดสนใจก็คือ ไอ้ก้อนกลมๆกับลูกไฟสีต่างๆที่ลอยอยู่ตรงหน้าพวกเราทั้งหมดนี่ต่างหาก!

     

    มันจะเป็นตัวอะไรกันล่ะเนี่ย...ลุ้นชะมัด

     

    ไม่กี่อึดใจ บรรดาสิ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆลดระดับลง แสงสว่างจ้าเมื่อกี๊ก็หรี่ลงเรื่อยๆจนเริ่มมองเห็นว่ามันเป็นอะไร

     

    คยองซูยื่นมือไปรับเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่กำลังนอนขดตัวหลับอุตุอย่างสบายไว้อย่างเบามือ เมื่อเพ่งมองให้ดีๆว่ามันเป็นตัวอะไร ก็เริ่มนึกออก....

     

     

    นี่มันลูกจิ้งจอกไฟ

     

    สัตว์ตัวน้อยขนสีน้ำตาลแดง ปลายหางมีไฟสีแดงเพลิงลุกไหม้ตลอดเวลา แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหรือรู้สึกร้อนกับไฟของมันแม้แต่สักนิดเดียว มันกำลังนอนขดตัวหลับสบายภายในอุ้งมือของเขา เรียวปากบางหยักยกยิ้มขึ้นมาอย่างน่ารักเมื่อมองดูอากัปกิริยาของสัตว์ตัวจ้อย ช่างน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ...

     

    จิ้งจอก มันคือสัญลักษณ์แห่งการใช้ปัญญาอันฉลาดหลักแหลมในทางที่ไม่ค่อยดี เจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการ จอมหลอกลวง..ไว้ใจไม่ได้ นี่แหละคือคำจำกัดความของจิ้งจอกที่ผู้คนต่างมองมันในแง่ลบ

     

    จะว่าไปเทพเจ้าก็เข้าใจเลือกสัตว์ประจำตัวให้เขานะ..ราวกับว่าดูนิสัยของเขาออกทะลุปรุโปร่ง

     

    ตัวเขาน่ะ...บางทีมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับจิ้งจอกเท่าไหร่..วางแผนทุกอย่าง ทำทุกหนทางเพื่อความสุขของตัวเอง

     

     

     

    “ว้าว ลูกจิ้งจอกใช่มั๊ยเนี่ย มันน่ารักชะมัดเลยอะคยอง!

     

    เสียงของลู่หานที่ดังขึ้นทำเอาคยองซูต้องเรียกสติที่เริ่มจะหลุดลอยกลับเข้ามาโดยด่วน สะบัดหน้าสองสามทีเพื่อไล่ความคิดในด้านลบออกไปจากหัวสมองก่อนจะหันมามองสัตว์ประจำตัวของลู่หานและคนอื่นๆบ้าง

     

    “อื้อ มันน่ารักมากเลย ฉันชอบมันมาก ฮ่ะๆๆๆ แล้วของแกล่ะ...”

     

    ดวงตาโตพยายามเพ่งมองสัตว์ตัวน้อยในอ้อมกอดของลู่หาน เอ๋....นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย คุ้นๆนะ

     

    “ลูกโลมาสีชมพูล่ะ! มันน่ารักมากเลย” ลู่หานพูดจบก็ก้มหน้าลงไปเอาแก้มไปถูๆไถๆกับโลมาสีชมพูตัวน้อยๆอย่างเอ็นดู(?) แต่เหมือนจะเอ็นดูรุนแรงไปหน่อย เจ้าโลมาน้อยเลยร้องโอดโอยเข้าให้

     

    “พอๆเดี๋ยวลูกโลมาก็ช้ำในตายกันพอดี แล้วสัตว์ของคนอื่นๆล่ะ?” คยองซูพูดพลางเดินไปหาคนอื่นๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น เสียงโหวกเหวกโวยวายปนตื่นเต้นดังขึ้นเต็มตำหนักของนักบวช ซึ่งตอนนี้คาดว่าคงจะกลายเป็นสวนสัตว์เปิดไปเรียบร้อยแล้ว - -; แค่คนก็ปวดหัวจะแย่ ไหนจะสัตว์อีก วุ่นวายไปกันใหญ่

     

    “จงอินอ่า...สัตว์ประจำตัวของนายคืออะไรหรอ?” คนตัวเล็กเดินตรงลิ่วมาหาแฟนสุดที่รักที่ยืนอยู่ไม่ไกล จงอินหันมามองแล้วยิ้มให้ก่อนจะชูเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆในอุ้งมือใหญ่ของเขาให้ดูด้วยความตื่นเต้น

     

    “ม้าล่ะ! ดูสิ มันเท่ห์ชะมัด สัตว์ในฝันของฉันเลยนะเนี่ย นายว่ามันเข้ากับฉันมั๊ยอะคยองซู?”

    “อื้ม...เหมาะกับนายมากเลย ม้ากับนาย..มันเป็นอะไรที่เหมาะสมกันมาก”

     

    สง่างาม สูงส่ง ไกลเกินกว่าเอื้อมถึง ความมุ่งมั่นในตัวของนายกำลังแผดเผาคยองซูให้ตายทั้งเป็น...จงอินคือคนที่สามารถทำให้เขาอยากจะมีชีวิตรอด...อยากจะอยู่กับเขาให้นานๆ จงอินเปรียบเสมือนเป็นไฟในตัวของเขา สัตว์ประจำตัวของเขาเป็นม้านั่นก็ไม่แปลกเท่าไหร่..เพราะเขาเหมาะแล้วที่จะมีม้าเป็นสัตว์ประจำตัว

    “พูดแบบนี้ผมรักคยองซูตายเลย...” มือใหญ่ยื่นมายีผมของคนตัวเล็กจนยุ่งไม่เป็นทรงด้วยความเอ็นดู คำพูดของเขาทำเอาใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเลยให้ตาย -/-

     

    “บ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้อะจงอิน ฉันไปหาคนอื่นต่อดีกว่า” เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันชวนหัวใจวาย เลยรีบวิ่งออกมาก่อนจะเดินไปหาเซฮุนที่อยู่ใกล้ๆกับจงอิน

     

    “เซฮุน! สัตว์ของนายคืออะไร?”

    “อ่า...ลูกหมีล่ะ” เซฮุนพูดก่อนจะประคองกอดลูกหมีตัวอ้วนที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมกอดของเขา ตาคมๆของเซฮุนกำลังก้มลงสำรวจลูกหมีตุ้ยนุ้ยอย่างสนอกสนใจ

     

    “อ้ะ!นั่นอี้ฟานนี่นา ฉันไปหาเขาก่อนนะ” คยองซูบอกเซฮุนก่อนจะวิ่งไปหาอี้ฟานที่ตอนนี้เขากำลังยืนหันหลังให้อยู่ ยิ่งเข้าไปใกล้ๆเขายิ่งรู้สึกถึงความเตี้ยของตัวเอง คนบ้าอะไรสูงชะมัด!

     

    แต่แล้วสองขาของคยองซูก็ต้องหยุดชะงักลงไปโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นแสงสีทองเรืองรองออกมาจากอี้ฟาน

     

     

    “นี่มัน...ไม่น่าเชื่อ 0.0

     

    ขยี้ตาตัวเองอีกทีเผื่อว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ แต่จะขยี้กี่ทีๆผลมันก็เหมือนเดิม นี่มันมังกร! มังกรแถบเอเชียในตำนานของประเทศจีนอะไรประมาณนั้น อี้ฟานกับมังกร...มันช่างเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้อี้ฟานคนนี้มีราศีจับดูดีขึ้นเป็นร้อยเท่า!

     

    โอ้มายก็อดพระเจ้าช่วยกล้วยทอด ยอมแพ้แล้วกับความดูดีอันไร้ที่ติของผู้ชายคนนี้ -.,-

     

    “มองอี้ฟานแล้วน้ำลายแกไหลนี่คืออะไรห้ะคยองซู! ระวังเถอะฉันจะฟ้องจงอิน 5555” เสียงล้อเลียนคุ้นหูดังขึ้นทำเอาฉันหลุดออกจากภวังค์ความหล่อของอี้ฟาน แบคฮยอนนั่นเองที่มาพูดแซว คยองซูยู่ปากน้อยๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

     

    “ไร้สาระน่าแก แล้วสัตว์ประจำตัวของแกเป็นอะไรล่ะเนี่ย..ลูกบอลหรอ?”

     

    คยองซูก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือของแบคฮยอน มันเป็นก้อนกลมๆเหมือนตอนแรกที่มันลอยๆอยู่ แบคฮยอนส่ายหน้าพร้อมกับพูดว่า

     

    “ก็ไม่รู้เหมือนกันอะ ไม่เห็นจะเป็นเหมือนพวกแกเลย ดูสิ ของเซฮุนเป็นหมีงี้ ของแกเป็นจิ้งจอกไฟงี้ แต่ของฉันทำไมมันกลับกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ก้อนกลมๆ -3-

     

    “เอาน่า สัตว์ของแกมันอาจจะอยู่ในนี้ก็ได้ ฉันไปดูคนอื่นต่อก่อนนะ” มือเล็กตบบ่าให้กำลังใจแบคฮยอนที่กำลังถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยวแล้วเดินไปหาพี่ยูริกับแทมิน

     

    “มีซัมติงอะไรกันรึเปล่าเนี่ยคู่นี้ แอบมานั่งหลบมุมอยู่แค่สองคน”

     

    เสียงหวานพูดทักออกไปทำเอาแทมินดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอย่างประหลาด ส่วนพี่ยูริกลับยิ้มนิ่งๆปกติเหมือนคนไม่ได้มีความลับอะไรเลย แบบนี้ยิ่งอยากรู้นะเนี่ย!

     

    “ไม่มีอะไรหรอก ข้ากับพี่ยูริแค่คุยกันเฉยๆน่ะ” แทมินตอบพลางหลบสายตาของคยองซู แลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความประหม่าเคอะเขิน

     

    “ใช่ ข้ากับแทมินคุยกันเฉยๆ” พี่ยูริก็ออกโรงสมทบด้วยอีกคน แววตาของคนเป็นพี่กลับจ้องไปยังแทมินยิ้มๆปนเอ็นดู นี่มันชักจะยังไงๆกันแล้วนะเนี่ย คิกๆ

     

    “แล้ว..สัตว์ประจำตัวของทั้งสองคนล่ะครับ เป็นอะไร ผมอยากรู้มากๆเลย” คยองซูถามพลางชะโงกมอง ก็พบว่าสัตว์ในอ้อมแขนของแทมินเป็นลูกหมาพันธุ์ไซบีเรียนขนปุยตัวเล็กน่ารักกำลังหลับสบายอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของ ส่วนของพี่ยูริน่าจะเป็นลูกแมวขนสีขาว

     

    “ของข้าเป็นลูกแมว ส่วนของแทมินเป็นลูกหมาน่ะ สงสัยจะกัดกันทุกวันซะละมั้งเจ้าสัตว์สองตัวนี้ ฮ่ะๆ”

    “ของผมก็เป็นจิ้งจอกไฟครับ ลูกแมวน่ารักจังเลย ว่างๆผมมาเล่นกับมันได้มั๊ย?”

     

    มือเล็กเอื้อมมือไปลูบขนน้องแมวในอ้อมกอดของพี่ยูริเบาๆอย่างเอ็นดู คยองซูชอบแมวมากๆเลยล่ะ ที่บ้านของเขาก็เลี้ยงแมวนะ พูดไปพูดมาอยากจะกลับไปเล่นกับเจ้าเหมียวที่บ้านซะแล้วสิ..เฮ้อ

     

    “ได้เสมอเลย ข้ากับแทมินขอตัวก่อนล่ะ” พี่ยูริพูดจบก็ดึงแขนแทมินให้เดินออกไปจากตำหนักของท่านนักบวช สงสัยไปเคลียร์กันต่อละมั้งเนี่ย ดวงตากลมโตเหลียวซ้ายมองขวาสำรวจต่อ ก็เห็นว่าสัตว์ของชานยอลเป็นฟินิกซ์..ของโยซอบเป็นสิงโต ของอี้ชิงเป็นหงส์ สัตว์ของแต่ละคนถูกเลือกมาราวกับว่าสัตว์เหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงนิสัยลักษณะของเจ้าของยังไงอย่างนั้นล่ะ...ช่างเลือกซะจริงๆเลยนะท่านเทพเจ้า

     

    หลังจากเสร็จพิธีในตำหนักของท่านนักบวช พวกเราทั้งหมดต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ คนตัวเล็กอุ้มเจ้าลูกจิ้งจอกไฟเดินไปยังห้องปรุงยาเงียบๆเพราะไม่อยากรบกวนเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้ตื่นขึ้นมาซะก่อน

     

    กุก...กักๆ...

     

     

    เสียงข้าวของกระทบกันเหมือนมีใครกำลังอยู่ในห้องปรุงยา คนตัวเล็กค่อยๆย่องเข้าไปฟังจนแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงหมาเสียงแมวที่ไหน จะมีใครกล้าเข้าไปในห้องนั้นได้ยังไงในเมื่อเขาสั่งทหารยามเอาไว้แล้วว่านอกจากเขา ใครก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งวุ่นวายทั้งนั้น!

     

     

    แอ๊ด...

     

    คยองซูเปิดประตูเข้าไปช้าๆอย่างไม่เร่งรีบ เพราะยังไงๆทางเข้าทางออกก็มีเพียงประตูนี้เพียงบานเดียวเท่านั้น อย่างดีก็กระโดดออกทางหน้าต่างบานเล็กๆที่อยู่สูงแทบจะติดเพดานนั่น บุคคลปริศนาหันหลังกลับมามองอย่างรวดเร็วเพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับมารวดเร็วขนาดนี้ ทันทีที่ได้เห็นคนที่กล้าบุกเข้ามาในห้องปรุงยาของเขาถึงกับเลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธอย่างปิดไม่มิดเลยทีเดียว

     

    นางข้าหลวงที่คยองซูแกล้งเหยียบขนมไปวันนั้น....

     

    “เข้ามาในห้องนี้ทำไม.....” คยองซูถามเค้นถามเสียงเย็นพลางกำหมัดแน่นข่มอารมณ์เอาไว้

     

    “อะ..เอ่อ...ข้า ข้าแค่...ข้าไม่ได้จะมา.....”

     

    “ฉันถามว่าเข้ามาในที่ของฉันทำไม! ฉันไม่ได้อยากจะมาฟังคำแก้ตัว” ร่างบางตวาดออกไปเสียงดังอย่างไม่กลัวจิ้งจอกไฟตัวน้อยในอ้อมกอดตกใจตื่นขึ้นมา เสียงหวานเลี่ยนที่กำลังจะหาคำแก้ตัวหยุดชะงักก่อนที่ใบหน้าของหล่อนจะซีดเผือดลงไปเกือบเท่าตัว

     

    “หึ....พูดไม่เพราะเลยนะเจ้าคะ เป็นถึงนักรบในตำนานแท้ๆ ควรจะสำรวมวาจากายเสียบ้าง” เสียงติดจะสั่นในตอนแรก ตอนนี้กลับฟังดูแข็งกร้าวขึ้น ใบหน้าที่ดูใสซื่อกลับดูร้ายกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างเพรียวอรชรของนางข้าหลวงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะมองมาทางเขาด้วยท่าทางเหยียดๆ

     

    “ตัวเธอเองก็เป็นเพียงแค่นางข้าหลวง...อ้อ ไม่ใช่สิ เป็นแค่คนใช้ หัดหยิ่งผยองเหยียดชูคอลบหลู่คนที่มีศักดิ์สูงกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันถามว่าเธอเข้ามาที่นี่ทำไม จะเข้ามาขโมยยาใช่มั๊ย!

     

    “ท่านเองก็ฉลาดไม่น้อย...ใช่แล้วล่ะ ข้าเข้ามาที่นี่เพื่อจะมาขโมยยา ได้ยินว่าท่านปรุงยาเปลี่ยนใจเอาไว้สำเร็จ ข้าต้องการมันไปใช้กับท่านจงอิน แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาเร็วเกิดคาดแบบนี้”

     

    “หัวขโมย! หน้าไหว้หลังหลอก เอายาอะไรไป! เอาคืนมานะ”

     

    “หน้าไหว้หลังหลอก...คำๆนี้ท่านไม่ควรจะด่าข้าเลยนะเจ้าคะ ดูเหมือนมันจะย้อนกลับเข้าไปหาท่านไม่น้อยเลยทีเดียว J

     

    คำพูดของนางข้าหลวงทำเอาเขาสะอึกไปไม่น้อยเลย นั่นสินะ...หน้าไหว้หลังหลอกที่เขาทำไว้กับจงอินและกับคนอื่นๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนๆนี้เลย

     

     

    “เอายาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ! ยานั่นอาจไม่ใช่ยาเปลี่ยนใจ มันอาจจะเป็นยาพิษ!

     

    คยองซูวางจิ้งจอกไฟไว้ก่อนจะรีบวิ่งไปแย่งเอายาที่ถูกบรรจุไว้ในขวดใบเล็กๆ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเพราะนางกำนัลถือเอาไว้แน่น ยื้อกันไปยื้อกันมาจนข้าวของตกหล่นกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง คนตัวโตกว่าผลักนางกำนัลล้มลงไปแล้วขึ้นไปนั่งกดเอาไว้สุดแรง มือเรียวเล็กของเขาพยายามเอื้อมไปคว้าขวดยาในมือของนางกำนัลอย่างสุดกำลัง

     

    “ข้าไม่มีวันยอมคืนให้ท่านหรอก!

     

    เข่าแหลมเล็กของนางกำนัลกระทุ้งเข้ามาเต็มรักกลางท้องของคยองซูทำเอาจุกไปหมด กลายเป็นเขาที่ล้มกลิ้งลงไปนอนบนพื้นแทนก่อนนางกำนัลจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมานั่งกดทับไว้ มือเรียวข้างที่ว่างของนางกำนัลถูกเงื้อขึ้นและตบลงมาฟาดแก้มของเขาอย่างแรงจนขึ้นเป็นรอยมือแดงเป็นปื้นอย่างสะใจ กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งอยู่ในปากเป็นสัญญาณบอกว่าถูกตบจนเลือดกบปาก

     

    “กล้าดียังไงมาตบฉัน นังคนใช้!” คยองซูมองคนที่ตบหน้าด้วยแววตาโกรธเคืองจนถึงขีดสุด ก่อนจะเอื้อมมือไปจิกกลุ่มผมอีกคนแน่นแล้วดึงลงมาจนอีกคนเสียการทรงตัวลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ก้าวขึ้นไปคร่อมอีกคนไว้อีกครั้ง ตอนนี้เป็นฝ่ายคุมเกมละเลงฝ่ามือตบอีกคนไม่ยั้ง แถมยังจิกเล็บมือเข้ากับหัวไหล่และตามคออีกคนจนเป็นรอยเลือดซิบๆอีกต่างหาก เรียวปากอีกคนร้องโอดโอยออกมาเป็นระยะอย่างน่าสงสาร

     

    “โอ๊ย..ปล่อยข้าไปเถอะ อย่าทำข้าเลยนะเจ้าคะ ฮึก...ฮืออ..”

     

    “หึ...ทีตอนนี้ล่ะมาทำเป็นขอร้อง เมื่อกี๊ยังปากดีอยู่เลยไม่ใช่หรอห้ะ!

     

     

    เพี้ยะ!

     

    “ข้า..ฮือ..ข้าขอโทษ ปล่อยข้าเถอะนะ”

     

    เพี้ยะ!

    เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเสียงขอร้องอ้อนวอนดังมากเท่าไหร่ยิ่งละเลงฝ่ามือลงไปมากเท่านั้น ตอนนี้เขาสามารถเอายาคืนมาได้แล้วก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างมิดชิดป้องกันไม่ให้คนตรงหน้าขโมยมันกลับไปได้อีก

     

    “ขอโทษอีกสิ...เอาเยอะๆ เอาให้มันดูน่าสงสารๆหน่อย แค่นี้ฉันยังไม่ใจอ่อนหรอกนะ J

     

    เพี้ยะ!

     

    มีเพียงน้ำตาเป็นสายยาวที่ไหลลงมาอาบแก้มขาวๆที่บัดนี้แดงเป็นปื้นๆด้วยฝีมือของเขาเท่านั้น ไร้เสียงอ้อนวอนใดๆดังเล็ดลอดออกมาอย่างที่ควรจะเป็น นัยน์ตาของนางกำนัลสั่นระริกราวกับยอมแพ้ทุกอย่าง ร่างกายบอบบางของหล่อนหยุดการต่อต้านใดๆทั้งสิ้น คยองซูยกมือขึ้นเหนือหัวเตรียมฟาดลงไปอีกครั้งหวังปิดเกมส์ แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องชะงัก..

     

     

    เมื่อมีมือแกร่งที่แสนคุ้นเคยจับมือเล็กไว้อย่างแรง....

     

    “จ...จงอิน......”

     

    สายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆของจงอินถูกส่งไปให้ร่างบางที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นกลัว นางกำนัลผู้โชคร้ายจึงผลักคยองซูออกแล้วรีบลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ส่งสายตาอ้อนวอนไปขอร้องให้จงอินช่วย บรรยากาศในตอนนี้อึดอัดไปหมดแทบจะหายใจไม่ออก

     

    ทั้งๆที่จงอินยืนอยู่ตรงหน้าแค่นี้ทำไมรู้สึกเหมือนช่างอยู่ไกลแสนไกลเหลือเกิน....

     

    “มะ..ไม่ใช่นะจงอิน มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายเห็นนะ” คยองซูทะล่ำทะลักพูดออกมาติดๆขัดๆเหมือนยังเรียบเรียงคำพูดไม่ได้

     

    “ก็เห็นๆกันอยู่...พอเถอะนะคยอง” เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างเย็นชา

     

    “ฟังฉันหน่อยนะจงอิน...ฟังฉันนะเรื่องในวันนี้น่ะมัน..”

     

    “ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรู้ ฉันเห็นทุกอย่างแหละคยอง..เห็นนายทำอะไรกับใครไว้บ้าง เห็นคยองทำร้ายใครๆ เห็นนายพูดประชดเสียดสีใคร แต่ฉันก็พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น..ทำเป็นไม่รู้เรื่องว่านายทำอะไรไว้ ก็เพราะหวังว่าคยองจะปรับตัวสำนึกผิดและไม่ทำมันซ้ำอีก แต่นานวันไปนายกลับทำมันมากขึ้นทุกที ฉันทนมองเฉยๆไม่ไหวแล้วล่ะ”

     

    “แต่ฉันรักนายนะจงอิน! เพราะฉันรักนาย  ฉันถึงไม่อยากให้ใครมาใกล้ๆนาย เพราะทุกคนที่เข้ามาหานายก็เพื่อมาอ่อยนายทั้งนั้น! ฉันรักนายนะ...ฮึก..”

     

    เสียงหวานตะโกนลั่นพร้อมกับน้ำตาใสรื้นเต็มขอบดวงตา ก่อนที่มันจะไหลลงมาอย่างเก็บไม่อยู่ ร่างเล็กของคยองซูสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด ทำเอาจงอินต้องเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้

     

    จงอินแพ้น้ำตา...ยิ่งเป็นน้ำตาของคนที่ตัวเองรักแล้วก็ยิ่งเจ็บปวด

     

    เจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเพราะมันเป็นเขาเองที่ทำให้ใบหน้าน่ารักนั่นต้องมีน้ำตาและความเสียใจ

     

    “แต่ถ้าความรักของคยองมันทำให้คยองทำร้ายคนอื่นเพราะรักฉัน มันก็เท่ากับว่าฉันคือตัวต้นเหตุ...ฉันไม่อยากเห็นนายทำร้ายใครไปมากกว่านี้นะคยองซู ทำไมนายต้องระแวงขนาดนั้น แสดงว่านายไม่ไว้ใจฉันอย่างนั้นหรอ”

     

    “ฉันไว้ใจนายเสมอจงอิน แต่ฉันไม่ไว้ใจนังพวกนี้!! พวกมันกล้าเข้าใกล้ของของฉัน ถูกลงโทษแบบนี้ก็สาสมแล้วล่ะ“

     

    “มันไม่เกี่ยวหรอกนะคยอง..มันเกี่ยวที่ใจนายต่างหาก ว่าหนักแน่นกับความรักแค่ไหน...เรื่องแค่นี้ยังไม่ไว้ใจฉัน แล้วถ้าเรื่องที่มันหนักกว่านี้ล่ะ เราจะไปด้วยกันตลอดรอดฝั่งได้ยังไง”

     

    ยิ่งพูดยิ่งกรีดกลางใจของคนฟัง ร่างบางยิ่งฟังยิ่งรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก เสียงของจงอินถึงแม้จะแผ่วเบาก็จริง แต่กลับฟังแล้วทะลุลงไปกลางใจจนเจ็บฝังลึก สายตาที่จงอินมองมายังคยองซูช่างเย็นชาและว่างเปล่าเสียเหลือเกินจะหวั่น ไม่รู้ว่าร่างสูงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่...

     

    “ฉันรักนายนะ...นายก็รักฉัน..ใช่มั๊ย? ฮึก..ใช่มั๊ยจงอิน” เสียงหวานถามออกไปอย่างตัดพ้อและเริ่มหมดหวัง

    “ฉันรักคยองซู....” สิ้นเสียงทุ้มเอ่ยจบทำเอาคยองซูยิ้มกว้าง แต่ประโยคถัดมาของจงอินนั้นทำเอาใจคนฟังแทบสลายกลายเป็นเศษฝุ่นเลยทีเดียว

     

    “คยองซูคนที่ฉันรัก คือคนก่อน เขาคือคนที่ใจดี มองโลกในแง่ดี ไม่เคยคิดร้ายกับใครจนน่าตกใจเหมือนตอนนี้ คยองซูคนก่อนคือคนที่ทำให้ฉันตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ใช่นายในตอนนี้ นายคือคนที่ใจร้ายมาก นายเปลี่ยนไปมากเลยนะ...อะไรกันที่ทำให้เปลี่ยนไปกันแน่ ฉันหวังว่าคยองจะกลับไปคิดให้ดีๆ...”

     

    จงอินพูดจบก็เข้ามาช่วยพยุงนางกำนัลคนนั้นเดินออกไปจากห้องปรุงยาอย่างนุ่มนวล แขนขาวพาดผ่านคอของจงอินหลวมๆแล้วค่อยๆเดินเตาะแตะออกไป ภาพที่เห็นเพียงแค่นี้ทำเอาคยองซูกำหมัดแน่นอีกครั้งด้วยความโกรธที่จงอินเมิน ทำเป็นไม่สนใจ เหมือนเขาเป็นคนผิดเสียเต็มประดา...

     

    เพียงแค่เห็นแผ่นหลังกว้างเดินออกไปทีละนิดๆพลันร่างกายของเขาก็แทบจะทรุดหมดแรงลงไปอย่างง่ายดาย

     

    เพียงแค่วาดภาพในจินตนาการถึงการจากไปของคนรัก แค่นี้ก็แทบจะไร้พลังในการอยู่ต่อไป

     

    ไม่มีจงอิน...คยองซูอยู่ไม่ได้

     

    “ไม่นะ! จงอินอย่าไป จงอินอย่าไปนะ นายต้องอยู่กับฉันนะ! ฮึก...จงอินต้องรักฉันนะ!!!

     

    ขาเรียววิ่งไปกอดจงอินแน่นพลางดึงตัวร่างสูงให้ออกห่างจากนางกำนัลอย่างแรง คยองซูปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย ทั้งตีทั้งทึ้งคนทั้งคู่ให้แยกออกจากกันแต่ก็ไม่สามารถทำได้

     

    ยิ่งทำก็ยิ่งเจ็บ...เจ็บที่เห็นคนที่ตัวเองรักปกป้องคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง

     

    “อย่าทำแบบนี้คยองซู!เข้าใจอะไรซะบ้างสิ” เสียงทุ้มตวาดลั่น ส่งผลให้ร่างเล็กของคยองซูที่กำลังดื้อดึงอยู่ต้องหยุดการกระทำลงพร้อมกับเปลี่ยนไปคุกเข่ากอดเอวของจงอินไว้หลวมๆแทน

     

    “ข้าเจ็บ...ท่านจงอินช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ...ฮือ...” เสียงหวานของนางกำนัลร้องโอดโอยเมื่อตัวเองโดนหยิกและข่วนเพิ่มอีกหลายแผล

     

    “จงอินอย่าไปนะ...อย่าทิ้งเราไปนะ...ฮือ...”

     

    ณ เวลานี้คนกลางอย่างจงอินไม่รู้จะแก้สถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี ก็ได้แต่ปล่อยให้หญิงสาวและคนรักร้องไห้อยู่แบบนี้ ก่อนที่ร่างสูงจะตัดสินใจแกะมือของคยองซูที่กอดรวบเอวของเขาเอาไว้ออกไปเบาๆ

     

    “ขอโทษนะคยอง แต่ฉันต้องพานางกำนัลคนนี้ไปทำแผล”

     

    ตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้นแล้วรีบประคองนางกำนัลออกมาให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ไม่เสียใจที่พูดแบบนั้นออกไป และก็รู้ด้วยว่าคนฟังคงจะเสียใจมากจนแทบช็อค จงอินไม่เคยขัดใจคยองซูเลย ตลอดเวลาที่คุยกันเขาจะยอมให้ตลอด แต่ครั้งนี้มันยอมไม่ได้จริงๆ อาการของนางกำนัลดูเหมือนจะหนักมาก เดาไม่ออกเลยเหมือนกันว่าถ้าเขาไม่ผ่านไปเห็นเข้า เรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป...

     

    ปล่อยให้คยองซูไปคิดทบทวนให้ดีซะก่อน อะไรๆคงจะดีขึ้นกว่านี้ล่ะมั้ง...

     

     

    เมื่อร่างของทั้งสองคนหายลับออกจากห้องไป ร่างกายอันสั่นเทาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง หมดแล้วสำหรับเสียงเรียกให้กลับมา หมดแล้วสำหรับสายตาที่พยายามอ้อนวอนให้อีกคนเห็นใจ แทบจะไม่เหลือแล้วสำหรับสิ่งที่เรียกว่าเยื่อใย การกระทำต่างๆของจงอินมันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าตอนนี้ร่างสูงนั้นเลือกใคร คยองซูนั่งปล่อยให้น้ำตาไหลตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างๆเงียบๆ ชันเข้าขึ้นแล้วซบหน้าลงไป กอดเข่านั่งร้องไห้อย่างไม่อายอะไรทั้งสิ้น

     

    นายจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจงอิน..นายคือของของฉัน นายคือสมบัติที่มีค่าของฉัน

     

    ต่อให้ผิดบาปก็จะทำ ต่อให้ถูกมองว่าไม่ดี ก็จะทำ....

     

    “นายไม่มีวันที่จะหนีฉันไปไหนพ้น คิมจงอิน จะต้องเป็นของฉันแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น..และตลอดไป!


     

    ****************************************************



    ขออภัยสำหรับการห่างหายอัพฟิคเรื่องนี้ไปนานเจ้าค่ะ

    กลับมาอัพแล้วนะ อย่าหายไปไหนนะทุกคน

    เอนจอยรีดดิ้งงงง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×