ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo It's You รักนายเจ้าชายอันตราย [chanbaek hunhan ft.exo]

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 57



     

    Chapter 9



    Yixing Said…

     

    “อ้าว กลับมาแล้วหรอตัวเล็ก”

     

    ขนฟูๆสีขาวๆของเจ้าแมวที่อี้ชิงเก็บมาเลี้ยงบัดนี้มันเต็มไปด้วยรอยฝุ่นโคลน แสดงว่าต้องไปเล่นซนที่ไหนมาแน่ๆเลย คงต้องอาบน้ำซะแล้วล่ะ

     

    “เอ๋  กลิ่นอะไรน่ะ” มือเรียวที่กำลังอุ้มเจ้าตัวเล็กอยู่ชะงักไปเมื่อได้กลิ่นสาบคาวเลือดลอยโชยมา ดมไปดมมาต้นตอของกลิ่นไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล เจ้าตัวเล็กหรอ...

     

    “คงจะไปจับหนูกินล่ะสิท่า เหม็นสาบหมดเลยนะแก ไปๆ วันนี้แกจะต้องอาบน้ำนะ” ร่างเพรียวบ่นพลางดึงหูมันเบาๆเป็นการลงโทษให้หลาบจำ ถึงแม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าทั้งวันเจ้าแมวตัวนี้มันไปทำอะไรมา แต่มันก็คงจะไปเล่นซนตามประสาแมวนั่นแหละนะ ยังไงมันก็คือสัตว์นี่นา ไม่เห็นจะแปลกเน๊อะ(?)

     

     

     

     

     

    Yifan Said…

     

    “ท่านแม่ทัพอี้ฟาน ตอนนี้ในวังมีเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น ทหารสามคนถูกฆ่าตายที่ตำหนักเล็กโดยไม่ทราบสาเหตุ การตายยังเป็นปริศนาพะยะค่ะ”

    “นำทางไป”

     

     

    ทหารวิ่งเข้ามารายงานหน้าตาตื่นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อี้ฟานที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องถึงกับลุกพรวดขึ้นทันที เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในวังได้ยังไงกัน อันตรายใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสินะ ขายาวก้าวอย่างเร่งรีบตามทหารนายนั้นไปยังสถานที่เกิดเหตุอย่างเป็นกังวล บรรดาข้าหลวงนางกำนัลตลอดจนขุนนางบางคนต่างก็เข้ามาดูจนแน่นขนัด

     

     

     

    “เรื่องนี้เป็นอย่างไร เจ้าช่วยเล่า....” จู่ๆน้ำเสียงของเขากลับขาดช่วงลงไปกะทันหัน เพราะเมื่อกี๊ที่เขากำลังจะถามเหตุการณ์จากทหารคนนี้ สายตาดันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้าไปยังตำหนักใน ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาแค่ชั่วครู่เดียวก็ตาม แต่เขาก็ยังจำได้..ใบหน้าที่เขาไม่เคยลืมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่เจี้ยนหลัว....

     

     

    “เป็นไปได้อย่างไรกัน..” ร่างสูงขยี้ตาตัวเองพร้อมกับพึมพำเบาๆ หรือเพราะเมื่อกี๊เขารีบมากเลยตาฝาดไป ขายาววิ่งออกนอกเส้นทางไปยังที่ๆเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินอยู่เมื่อกี๊ เมื่อวิ่งไปถึง ตลอดทางเดินกลับว่างเปล่าไร้แววผู้คนสัญจรผ่าน ใบหน้าหล่อคมหันซ้ายและขวาสำรวจอยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่าไม่มีใคร คงจะตาฝาดไปเอง

     

    “มีอะไรรึขอรับ” นายทหารวิ่งตามเขามาอย่างกระหืดกระหอบ เขาส่ายหน้ากลับไปแล้วเดินกลับไปยังเส้นทางเดิม สะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป นั่นสินะ พี่เจี้ยนหลัวตายไปแล้ว เขาเองก็รู้ดี ทุกคนเองก็รู้ดี ศพคงจะมาเดินเล่นอยู่ในวังได้หรอกนะ

     

    “ที่นี่แหละขอรับ” นายทหารกล่าวก่อนจะเดินถอยออกไป ที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้และรอยเลือดชวนให้ผู้พบเห็นหวาดผวายิ่งนัก เขาสั่งให้ทหารกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปให้หมดก่อนจะเริ่มเดินสำรวจสถานที่ ทหารทั้งสามคนตายอย่างอนาถ ตามตัวมีรอยแผลฉกรรจ์มากมาย คนร้ายใช้อาวุธก็ไม่น่าจะใช่ เหมือนมันจะเป็นรอยเล็บของสัตว์ใหญ่มากกว่า แถมยังมีรอยกัดนั่นอีกทำให้เขามั่นใจเข้าไปใหญ่...

     

    “มีใครเห็นเหตุการณ์บ้างรึไม่?”

     

    “เรียนท่านแม่ทัพ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลย นางกำนัลคนหนึ่งมาพบพวกเขาเข้าก็ตอนที่ทั้งสามกลายเป็นศพไปแล้วขอรับ บริเวณรอบๆนอกจากนี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ตอนนี้กำลังค้นหาคนร้ายอยู่ขอรับ”

     

    “ระวังตัวไว้ก็ดี ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของคนหรอก ดูจากรอยแผลและรอยกัด คงจะเป็นสัตว์ร้ายซะมากกว่า”

     

     

    คำพูดที่อี้ฟานพูดออกมาทำให้ทหารทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้นเกิดอาการขนลุกเกรียวกราวขึ้นมาทันที หมายความว่ายังไงว่าเป็นสัตว์ร้าย สัตว์ที่ไหนมันจะหลุดเข้ามาในวังหลวงแล้วหายไปในพริบตากันล่ะ...

     

     

    มีอยู่อย่างเดียว ฝีมือนางแม่มดชั่วร้ายนั่นแน่ๆ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันอยู่รอดได้แน่นอน...

     

     

     

     

    Luhan Said…

     

     

     

    ข่าวลือเรื่องทหารถูกสิ่งมีชีวิตปริศนาแพร่ไปทั่ววังหลวงในเวลารวดเร็ว

     

    ยิ่งนานวันมันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทหารในวังหลวงต่างถูกฆ่าตายวันต่อวัน

     

    บางครั้งก็ยังมีนางกำนัลถูกสังเวยชีวิตด้วย

     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ....

     

     

    ลู่หานนั่งทำหน้าเครียดอยู่ในห้องฝึกยิงธนู ตอนนี้ทุกคนในวังต่างก็เกิดอาการจิตตกกันไปหมด เขาซึ่งเป็นคนอารมณ์ดีกลับต้องหุบยิ้มไปโดยปริยายเมื่อสภาพไม่อำนวย ทำเอาเซ็งไปตามๆกัน

     

    “เฮ้อ....”

     

    “ถอนหายใจอะไรนักหนาคนลามก” เสียงทุ้มเอ่ยแซวลู่หาน คนหน้าสวยทำหน้าเบ้อย่างหมันไส้ก่อนจะตอบกลับไปว่า

     

    “ช่วงนี้มันเซ็ง ถามทำไมหนอนฮุน?” โดนลู่หานตอกกลับไปอย่างนี้ร่างสูงถึงกับหน้าถอดสีไปเลยทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นมาลู่หานก็ไม่เคยเรียกคนตัวสูงว่าเซฮุนเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเรียกเขาว่าหนอนฮุน! สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ร่างบางรู้สึกเหมือนกับว่าเขากับเซฮุนกำลังใกล้ชิดกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้นยังไงอย่างงั้นล่ะ...

     

    “คำก็หนอนสองคำก็หนอน –*-

     

    “ไม่เรียกหนอนฮุนก็ได้ งั้นจะเรียกนายว่าชานมละกัน คนอะไรขาวยิ่งกว่าอาบกลูต้าร้อยปี วันนี้ขอโดดก็แล้วกัน ไม่มีอารมณ์ฝึกธนู ถ้าแบคฮยอนกับคยองซูถามหาก็บอกพวกนั้นว่าฉันไปทดลองสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่สระน้ำก็แล้วกัน -*-

    ลู่หานพูดตัดบทก่อนจะเดินออกมาจากสถานฝึกธนู ขาเรียวเดินทอดน่องไปเรื่อยๆยังสระน้ำ เรียวปากหยักยกยิ้มเล็กน้อย มองผลงานของตัวเองที่ลอยอยู่กลางผืนน้ำอย่างภูมิใจ

     

    “เรืออเนกประสงค์นัมเบอร์วัน!ฮ่าๆๆ” ร่างบางหัวเราะให้กับตัวเอง(?)ที่เก่งกล้าเหลือเกิน สามารถคิดค้นสิ่งประดิษฐ์อันแสนจะเลิศหรูออกมาได้ ความจริงเขามันเป็นพวกความคิดไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง ชอบประดิษฐ์นั่นโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า..สิ่งที่เขาประดิษฐ์มันมีโอกาสล้มเหลวตั้ง 95% น่ะ แบคฮยอนกับคยองซูโวยวายกันยกใหญ่เมื่อเขานำผลงานที่ประดิษฐ์มาให้พวกนั้นทดลองใช้ ซึ่งผลออกมาทุกทีคือพวกนั้นสะบักสะบอมไม่เป็นท่า (  _ _)

     

    เรือที่ลู่หานว่าน่ะ ความจริงมันก็ไม่ได้เลิศหรูอะไรหรอกนะ แค่นำแผ่นไม้มาต่อๆกันจนเกิดรูปร่างเป็นเรือ นำเสากระโดงมาผูกๆเหมือนในหนังที่เขาได้ดูมา เอิ่ม..เรื่องอะไรนะ โจรสลัดผักอะไรเนี่ยแหละ แถมที่ท้ายเรือยังมีหางเสืออีกต่างหาก ช่วยให้การเดินเรือสะดวกยิ่งขึ้น หากวันไหนที่ลมแรง เขาก็มีกังหันติดไว้ให้ จะได้ไม่ต้องเปลืองแรง ท้องเรือมีอาหารยังชีพมากมายหากเกิดเหตุการณ์อยู่กลางเรือลอยเคว้งกลางน้ำจะได้ไม่ลำบาก นี่ถ้าไม่เรียกอัจฉริยะแล้วจะเรียกอะไรได้อีกล่ะ โฮ๊ะๆๆๆๆ

     

     

    อย่าถามว่าเขาสามารถสร้างเรือลำใหญ่ๆนี่คนเดียวได้ยังไง...ก็นี่มันนิยายนี่นา -.- อะไรก็เกิดขึ้นได้

     

    ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณพ่อด้วย ก็พ่อของลู่หานเป็นนักประดิษฐ์ ก็เลยเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแบบนี้ไง แต่ไหง...ความสามารถต่างกันลิบลับ

     

    “ทุกอย่างเพอร์เฟกต์ เหลือก็แต่ทดลองใช้....” ลู่หานพูดออกมาอย่างมุ่งมั่นพลางสอดส่ายสายตาไปมา หวังว่าจะมีใครซักคนผ่านมาเป็นหนูทดลองให้กับงานประดิษฐ์อันแสนยิ่งใหญ่ของเขา แต่เปล่าเลย...เงียบฉี่ ไม่มีใครผ่านมา

     

     

    เอาวะ...ทำเองก็ต้องทดลองเองสิ ร่างบางคิดในใจพลางก้าวขาซ้ายลงบนเรืออย่างมาดมั่น ตามด้วยขาขวา มือจับไม้พายไว้แน่นกันพลาด เรือยุบลงบนผิวน้ำเล็กน้อยตามน้ำหนักตัว เรือลำน้อยค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากฝั่งเรื่อยๆ ค่อยๆจุ่มไม้พายลงในน้ำพลางโยกไปมาช้าๆ เรือลำน้อยเคลื่อนที่โดยสวัสดิภาพ แสดงว่างานประดิษฐ์ของเขาสำเร็จ!!

     

     

    “เย้ๆๆๆ เหวอ...!!” เป็นเพราะดีใจมากเกินไปเลยเผลอพายเรือเร็วไปหน่อย จนเรือเสียการทรงตัวพลิกคว่ำลงกลางสระน้ำ ลู่หานตะเกียกตะกายพยายามว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำให้ได้เหมือนทุกครั้งที่การทดลองผิดพลาด แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่..เป็นเพราะชุดที่ใส่มันอุ้มน้ำได้มากเลยทำให้หนัก ว่ายน้ำไม่สะดวก แถมยังรู้สึกเหมือนจะเป็นตะคริวอีกต่างหาก

     

    จะมาตายตอนนี้เนี่ยนะ...ไม่ได้ ไม่เอานะไม่เอา

     

    “อึก..” ลู่หานเผลอกลืนน้ำในสระเข้าไปหลายอึกใหญ่จนรู้สึกเหมือนจะเต็มท้อง อากาศหายใจเริ่มหมดลงทีละน้อยทีละน้อย ร่างของเขาเริ่มจมลงไปลึกเรื่อยๆ

     

    ภายในหัวของลู่หานเริ่มมีภาพต่างๆแล่นเข้ามาไม่ขาดสายราวกับว่ามันจะฉายให้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งเรื่องสมัยเด็ก เรื่องราวของตัวเองกับเพื่อนๆ กับครอบครัว และ...กับเซฮุน ทำไมจะต้องนึกถึงนายด้วยนะ

     

    ร่างกายเหมือนจะเริ่มขยับไม่ไหวทีละน้อยๆแถมยังปวดหัวแทบจะระเบิดเนื่องมาจากแรงดันของน้ำ ตอนนี้มองเห็นผิวน้ำข้างบนช่างไกลเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว...ลาก่อนนะทุกคน L

     

     

    หวืด...!

     

    จู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีมือของใครซักคนมาดึงแขนไว้แล้วพาขึ้นไปข้างบนผิวน้ำ มือคู่นี้..มือคู่ที่เขาคุ้นเคย มือของเซฮุนรึเปล่านะ...เซฮุนมาหาเขาใช่มั๊ย เซฮุนมาช่วยเขาใช่มั๊ย

     

     

    แต่แล้วเหมือนกับว่าแรงของคนๆนั้นเริ่มจะหมดลงเนื่องจากดำน้ำลงมาลึกเกินไป ร่างของเซฮุนคิดตัดสินใจอย่างแน่วแน่ก่อนจะคว้าตัวของลู่หานไปใกล้ๆแล้วประกบจูบลงมาอย่างรวดเร็ว...อากาศกลับเข้ามาสู่ปอดของลู่หานอีกครั้งทำให้มีแรงฮึดขึ้นมาอีก อากาศที่เซฮุนส่งต่อมาให้แบบปากต่อปาก ร่างสูงส่งอากาศเข้ามาให้คนตัวเล็กให้ได้มากที่สุดเพื่อยื้อลมหายใจของลู่หานเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นเซฮุนเองที่หมดอากาศหายใจ

     

     

    “มะ...ไม่นะ” ลู่หานเบิกตากว้างพูดไร้เสียง เมื่อเห็นร่างของเซฮุนจมลงไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆที่เขาเองกำลังยิ้มอยู่  ไม่ยอม..ลู่หานไม่ยอมเสียเซฮุนไปแน่ๆ! เซฮุนจะมาตายแบบนี้ไม่ได้ ลู่หานใช้แรงฮึดเฮือกสุดท้ายดึงมือเซฮุนเอาไว้แล้วว่ายขึ้นบนผิวน้ำได้สำเร็จ คนตัวบางสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อยๆว่ายน้ำพยุงเซฮุนขึ้นฝั่ง

     

     

    “ตื่น..ไอ้บ้าเซฮุน ตื่นมาเดี๋ยวนี้! ฉันบอกให้ตื่น” ลู่หานลากดีโอขึ้นมาแล้วพยายามเขย่าตัวเขาแรงๆ สักพักลู่หานก็สำลักน้ำออกมาแต่ก็ยังไม่ฟื้นอยู่ดี...นี่จะแกล้งทดสอบความอดทนกับเขาใช่มั๊ย

     

    “ลืมตาสิ ฮึก..ฉันบอกให้ลืมตา ฟื้นสิฟื้น!” ก้อนสะอึกขึ้นมาจุกลำคออย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าดวงตาทั้งสองข้างของลู่หานแดงก่ำตั้งแต่เมื่อไหร่ แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรียกชื่อเซฮุนไปกี่ครั้งแล้ว...แต่เขาก็ยังคงนิ่ง พระเจ้า..อย่าพรากเขาไปนะ

     

     

    ลู่หานพยายามปั๊มหัวใจเซฮุนหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ได้ผล ก็คงต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้ว..คนตัวบางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะมองหน้าเซฮุนนิ่ง ไม่ลังเลใจเลยที่จะประกบปากอีกฝ่ายก่อนจะเป่าลมหายใจเข้าไป วิธีปฐมพยาบาลคนจมน้ำเบสิกๆที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าทำเพราะอาย แต่ตอนนี้เขากลับไม่อายเลยที่จะทำ ริมฝีปากแนบชิด ถ่ายทอดความเป็นห่วง ความกระวนกระวาย อารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย ส่งผ่านไปหวังให้อีกคนตื่นขึ้นมารับรู้มันซักที...ได้โปรด

     

    “แค่กๆๆๆๆ...แฮ่กๆ..” ร่างสูงลุกพรวดขึ้นมานั่งสำลักน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายพลางรีบสูดหายใจเข้าไปในปอด

     

    “นายฟื้นแล้ว เซฮุนนายฟื้นแล้ว !J” ลู่หานยิ้มออกมาอย่างดีใจ น้ำตาที่กักเก็บมาต่างเอ่อล้นออกมาด้วยความยินดี ร่างสูงหันมามองคนตัวบางช้าๆก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

     

    “ปลอดภัยใช่มั๊ย...เราไม่ตายใช่รึเปล่า?”

     

    “ฉันจะตายได้ยังไงล่ะ ก็เห็นๆกันอยู่ ฮึก...”

     

    “ดีแล้วล่ะ นายรอดก็ดีแล้ว”

     

     

    เพี้ยะ!!!

     

     

    ฝ่ามือน้อยๆของลู่หานตวัดไปกระทบบนหน้าใสๆของเซฮุนอย่างแรงจนคนถูกตบหน้าหัน เซฮุนหันมามองด้วยแววตาสงสัย ลู่หานเลยตวาดกลับเขาไปด้วยอารมณ์โมโหว่า

     

    “อย่ามาทำตัวเป็นพระเอกหน่อยเลย ขอแค่ฉันรอดแล้วนายจะตายก็ได้อย่างนั้นรึไง! นายทำอะไรคิดซะบ้างสิ ตอนอยู่ในน้ำก็เหมือนกัน ทำไมต้องเอาออกซิเจนให้ฉันหมดด้วย บ้าบิ่น ไร้หัวคิด ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ หัดคิดถึงผลที่ตามมาด้วยสิคนบ้า!

     

    ถ้าเซฮุนเป็นอะไรเพราะเขา..เขาคงจะไม่ให้อภัยตัวเอง มันเป็นเพราะความประมาทของตัวเองล้วนๆและเรื่องนี้มันไม่ควรจะมีใครเป็นอะไร โดยเฉพาะนาย..เซฮุน ทำไมนายถึงได้มีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้ด้วยนะ

     

     

    “นายเป็นห่วงฉัน J

     

    “นี่อย่ามาเนียน ฉันกำลังด่านายอยู่นะ”

     

    “ก็เพราะว่าเธอเป็นห่วงฉันยังไงล่ะ ถึงได้ด่า ใช่มั๊ยล่ะ?”

     

    “นี่นายขาดออกซิเจนนานเกินไปใช่มั๊ยถึงได้บ้าบอแบบนี้ - -

     

    “ตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะตายกลายเป็นผีเฝ้าสระแล้วซะอีก ไม่นึกว่าเธอจะช่วยฉันไว้ ขอบคุณนะ”

     

    “นี่สรุปนายไปช่วยฉันหรือฉันไปช่วยนายกันแน่เนี่ย -0-

     

    “ฮ่าๆๆๆ ไม่รู้เหมือนกัน”

     

     

    ลู่หานหยิกแขนเซฮุนอย่างหมันไส้พลางลุกเดินออกไป เซฮุนเลยลุกขึ้นมาแล้วเดินตามลู่หานต้อยๆ

     

    “จะไปไหนน่ะ?” ตาคมๆของเขาเหลือกมองลู่หานด้วยความสงสัย

     

    “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เปียกแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เป็นปอดบวมไม่สบายกันพอดี นายก็รีบไปเปลี่ยนชุดซะ”

     

    “ฮ่าๆ นั่นสิ ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินออกไป แก้มของลู่หานก็รู้สึกร้อนๆขึ้นมาอย่างผิดปกติ เรื่องราววันนี้มันทำให้ลู่หานรู้ว่าเซฮุนคือคนที่ไม่ทิ้งเขา...ตอนนี้ความรู้สึกของเขามันเริ่มที่จะชัดเจนแล้ว..ว่าเซฮุนสามารถปกป้องได้ในยามที่เขาลำบาก เพราะทุกครั้งเซฮุนจะเข้ามาช่วยเสมอ คนที่ลู่หานไว้ใจ..คนที่พิเศษพอๆกับแบคฮยอนคยองซู

     

     “ดะ..เดี๋ยว! ขอบใจนะที่นายช่วยฉันไว้” ลู่หานตะโกนออกไป

     

    “ไหนพูดหวานๆให้ฉันฟังใหม่อีกทีสิ J” รอยยิ้มปรากฏอยู่บนหน้าของคนขี้แกล้ง

     

    “พูดเป็นที่ไหนล่ะ ฉันมันคนนิสัยห่ามๆเหมือนมะนาวไม่มีน้ำอยู่แล้วนี่ อย่าหวังเลย -3-

     

    “งั้นเมื่อกี๊คำที่นายพูดว่าขอบใจ ฉันคงจะหูฝาดไป” หนอย..ทำเป็นบีบเสียงเศร้า คิดหรอว่าจะใจอ่อนน่ะ!

     

    “เซฮุน..ถ้าไม่มีนายมาช่วยฉันไว้ ป่านนี้ไม่รู้ว่าฉันจะเป็นยังไง ขอบคุณที่มาช่วยนะครับ..” พูดออกไปจนได้ - -

     

     

     

    Kyungsoo Said…

     

     

     

    ร่างเล็กมองเพื่อนตัวดีที่ตอนนี้กำลังเช็ดผมตัวเองอยู่ด้วยความเป็นห่วงปนเหนื่อยหน่ายใจ...

     

    “แกไปทำอิท่าไหนเนี่ยถึงได้ตกน้ำตกท่าแบบนี้”

     

    “ก็ทดสอบสิ่งที่ฉันประดิษฐ์น่ะ แต่คราวนี้มันผิดพลาดไปหน่อย แหะๆ”

     

    “งานของแกมันก็ผิดพลาดทุกชิ้นนั่นแหละ - -*

     

    “คยองซูอ้ะ มาว่าผลงานอันสุดแสนจะเพอร์เฟกต์ของฉันได้ยังไง”

     

    ลู่หานมองคยองซูที่ตอนนี้กำลังนั่งอมลมพองแก้มป่องขัดใจอยู่ ก็ผลงานที่ลู่หานมันผลิตออกมาแต่ละชิ้นใช้ได้ซะที่ไหน ถ้าไม่เละกลางคันก็เป็นอันต้องพังตอนที่กำลังทดลองเนี่ยแหละ แล้วทุกทีที่เพื่อนตัวดีทดลองก็จะต้องมีพวกเขาอยู่ด้วยทุกครั้งเผื่อจะมีอะไรเกิดขึ้น โชคดีที่คราวนี้เซฮุนช่วยไว้ทัน ไม่งั้นล่ะก็ไม่อยากจะคิดเล้ยยยยยย -3-

     

     

    “นอนไปเลยไป ตกน้ำตกท่าแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดพอดี ถ้าแบคฮยอนรู้เรื่องแกได้ฟังมันบ่นยาวแน่ๆ”

     

    คยองซูพูดพลางดันลู่หานให้นอนลงก่อนจะห่มผ้าให้ แต่แล้วมือของมันกลับคว้าเข้ามาที่ข้อมือพลางจ้องหน้าเขานิ่ง นี่จู่ๆจะมาทำหน้าเครียดทำไมล่ะเนี่ย

     

    “แก เลิกเถอะ อย่าทำตัวแบบนี้เลย ฉันว่ามันไม่ใช่แกเลยนะ” จู่ๆลู่หานก็พูดขึ้นมาเสียงเครียด

    “ละ..เลิกอะไร จะบอกให้ฉันเลิกกับชานจงอินหรอ ไม่ขำนะแก”

    “เปล่า..ที่บอกให้เลิกน่ะ หมายถึงว่าแกเลิกทำตัวหวงจงอินเกินเหตุแบบนี้ได้แล้ว”

    “แกรู้...” ร่างเล็กเริ่มหายใจติดขัดเมื่อเพื่อนรักพูดแบบนี้ออกมา ไม่อยากให้พวกนี้รู้เลย...

    “ฉันเป็นเพื่อนแกมากี่ปีแล้ว แบคฮยอนก็รู้ แต่แค่ไม่บอกแกเท่านั้นเอง ฉันอยากจะให้แกเลิกทำตัวแบบนี้นะ มันเหมือนไม่ใช่แกคนเดิม แกไม่เคยเป็นแบบนี้นะนก...”

    “แต่ฉันจำเป็น! แกไม่ใช่ฉันแกไม่รู้หรอก” คยองซูเผลอตะคอกใส่ลู่หานอย่างลืมตัว

    “ความรักมันไม่ได้เป็นแบบนี้ ความรักของแกคือการคอยเฝ้าระวังจงอินทุกฝีก้าวงั้นหรอ? ตั้งแต่แกคบกับจงอินมามา ฉันยอมรับว่าเห็นแกมีความสุขก็จริง แต่ลับหลังล่ะ ฉันถามจริงๆเถอะ แกเคยสบายใจสักครั้งมั๊ย ทำไมแกไม่เชื่อใจจงอินล่ะว่าเขาจะมั่นคงแค่แก ถ้าเขารักแกจริงแกจะไปกลัวอะไรวะ”

    “แต่ถ้าอีนังพวกนั้นมันอ่อยล่ะ จงอินจะรอดพวกนั้นงั้นหรอ ฉันเคยเห็นจงอินถูกคนพวกนั้นจูบต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นแกจะทนได้รึเปล่า? แกจะยังใจเย็นเป็นแม่พระอยู่ได้งั้นหรอ? เพราะจงอินเค้ามองโลกแง่ดีเกินไป ฉันถึงต้องคอยเป็นแบบนี้ไง ของๆใครก็หวง ฉันไม่อยากเสียจงอินไป”

    “แกให้โอกาสจงอินเขาพิสูจน์สิ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่างรึไง จงอินเค้าจะรู้สึกยังไงเมื่อรู้ว่าแกเป็นแบบนี้เพราะว่าหวงเค้า รักเค้าจนเกินไปน่ะ ฉันไม่สนับสนุนเลยนะ”

    “แต่ฉันว่ามันไม่จำเป็น..เราคงจะอยู่ที่นี่อีกไม่นาน เดี๋ยวเราก็คงจะกลับไปที่ของเราได้”

    “แล้วถ้าเกิดมันได้อยู่ที่นี่นานล่ะ...แกแค้นพวกหล่อนได้ ทำไมพวกหล่อนจะแค้นแกตอบไม่ได้ ทำแบบนี้มันสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นนะ แกช่วยตาสว่างซักที! อย่าทำเหมือนจงอินเป็นแค่ตุ๊กตาที่แกหวงเวลามีคนมาแย่ง”

    “ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น”

    “แต่ที่แกกำลังทำอยู่นี่มันเรียกว่าหวงของชัดๆ จงอินเค้าก็มีหัวใจนะ เค้าก็มีสังคมของเขา บางสิ่งแกก็ต้องทำใจและยอมรับมัน จะให้เป็นอย่างใจแกทั้งหมดไม่ได้หรอกนก”

    “แต่...แต่ฉันรักจงอิน! ฉันฝันมาตลอดว่าวันนึงเค้าจะมองฉัน ในวันนี้มันเป็นความจริงแล้ว ถ้าหากจงอินหลุดมือฉันไป ฉันคงทนไม่ได้..ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีจงอิน! แกเข้าใจมั๊ยลู่หาน”

    บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นมาเรื่อยๆ คยองซูกับลู่หานจ้องตากันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ความรักของตัวเอง..จะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาแย่งไปง่ายๆ ถึงแม้จะรู้สึกผิดที่พูดแบบนี้กับเพื่อนไป แต่สำหรับเขา..จงอินคือคนที่พิเศษที่สุดสำหรับคยองซู มือเรียวของลู่หานปล่อยออกจากแขนเล็กอย่างง่ายดายราวกับว่ายอมแพ้ ใบหน้าเนียนหันหลบไปอีกทางก่อนจะพูดกับคยองซูว่า

    “งั้นก็ตามใจแก แต่ถ้าวันนึงสิ่งที่ฉันพูดมันเป็นจริงขึ้นมา แกก็อย่ามาว่าฉันก็แล้วกัน เพราะฉันเตือนแกแล้ว แต่ก็อยากจะให้แกกลับไปคิดให้ดี คำพูดของฉันในวันนี้ออกมาจากใจจริง ไม่ได้มีเจตนาจะกีดกันแกแต่อย่างใด แต่ถ้าหากมันทำให้แกไม่มีความสุขล่ะก็ ฉันจะไม่มาก้าวก่ายเรื่องของแกอีก”

    “ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้นกับแกนะ..แต่แกต้องเข้าใจฉันด้วย เพราะฉันเสียจงอินไม่ได้จริงๆ..”

    สิ้นเสียง น้ำตาของคยองซูก็ไหลเอ่อออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขากับลู่หานทะเลาะกัน..และเขาก็ไม่สามารถทำตามคำแนะนำของลู่หานได้ เพราะว่าจงอินอยู่เหนือเหตุผลทุกอย่าง ไม่มีเหตุผลที่คยองซูจะต้องทำตัวเป็นคนดีเวลาที่จะมีใครมาแย่งจงอินจากเขาไป เพราะเขาจะต้องทำทุกทางเพื่อให้จงอินได้อยู่กับเขา!

    “ไม่เป็นไร..คนเราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางของความรักของตัวเอง ฉันเข้าใจแก” ลู่หานพูดพลางยิ้มให้คยองซู ร่างเล็กจึงยิ้มกลับไปอ่อยๆพร้อมกับเดินออกจากห้องเพราะไม่อยากรบกวนลู่หานไปมากกว่านี้ ดวงตากลมของคยองซูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ตั้งเค้าเป็นสีส้มกลายๆ เย็นแล้วหรอเนี่ย..ต้องไปหาจงอินที่สนามฝึกนี่นา

    “จงอิน! นายอยู่ไหนอ่า..”

    เมื่อเดินมาถึงสนามฝึกก็พบแต่ความว่างเปล่า หรือว่าจงอินจะเลิกฝึกซ้อมก่อนเวลาแล้วไปหาเซฮุนกันนะ? คยองซูหันซ้ายมองขวาสำรวจให้ละเอียดก่อนจะเดินไปรอบๆ

    “เอ...ของๆจงอินก็วางอยู่ตรงนี้นี่นา แล้วเจ้าของหายไปไหนนะ”

    คนตัวเล็กมองข้าวของของจงอินวางไว้ตรงใต้ต้นไม้ หรือว่ากำลังจะไปฉี่ -/- นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย!! ไม่ได้ๆๆ ล้มเลิกความคิดด่วน อกุศลไปกันใหญ่แล้วเรา เสียงของคนคุยกันอยู่อีกทางเดินหนึ่ง หรือว่าจงอินกำลังคุยกับครูฝึกอยู่กันนะ เดินไปดูดีกว่า

    “อร่อยมั๊ยเจ้าคะคุณจงอิน ^^

    “อร่อยมากเลยครับ! เอ่อ เรียกผมว่าจงอินเฉยๆดีกว่านะ ไม่ต้องมีคงมีคุณหรอกครับ ผมไม่ค่อยชินน่ะ” ร่างสูงคุ้นตากำลังพูดเจื้อยแจ้วโชว์ฟันครบสามสิบสองซี่ให้กับนางกำนัลหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ใบหน้าเนียนของผู้หญิงคนนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อราวกับว่าเขินเสียเต็มประดา ทำให้คยองซูเกิดอาการปรี๊ดแตกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

    หึ...ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถแย่งจงอินไปจากเขาได้

    “จงอิน! มาอยู่ตรงนี้นี่เอง ฉันตามหาตั้งนาน ^^” คยองซูเดินเข้าไปเกาะแขนจงอินพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้คนตัวสูงแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ซึ่งจงอินก็ยิ้มตอบกลับมาให้เป็นอย่างดี ส่วนนางกำนัลคนนั้นกำลังทำหน้าอึกอักอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ก็ชื่อเสียงของเขาน่ะดังน้อยซะเมื่อไหร่..หึหึ

    “อื้อ พอดีว่าฉันเดินเล่นแก้เมื่อยแล้วมาเจอเค้าคนนี้เข้าน่ะ เลยขอชิมขนมดู อร่อยมากๆเลยนะ” จงอินพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คยองซูยิ้มตามจงอินพลางแลตามองผู้หญิงคนนั้นอย่างอาฆาต หึ..มาอ่อยสินะ

     

     

    “ผมก็อยากลองชิมบ้าง จงอินป้อนหน่อยๆ” คยองซูเร่งเร้าชานยอล คนตัวสูงทำหน้าเขินอายอยู่นิดๆก่อนจะหยิบขนมบนตะกร้าของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาแล้วยื่นมาให้คนตัวเล็ก แต่แล้วคยองซูกลับพลาด...ขนมชิ้นนั้นตกลงบนพื้นอย่างน่าเสียดาย ชั่ววูบหนึ่งคยองซูเหลือบสายตาไปมองผู้หญิงคนนั้นอย่างเหยียดๆ แววตาที่มองมาทางจงอินราวกับตัดพ้อ..แค่นี้มันยังไม่สะใจหรอกนะ! ของจริงน่ะมันต่อจากนี้ต่างหาก

    “อ้ะ! ผมขอโทษนะ งั้นผมขอใหม่ละกัน” คยองซูพูดพลางเบะปากนิดๆราวกับว่ากำลังสำนึกผิดอย่างเต็มที่ คราวนี้มือเล็กเอื้อมมือออกไปหยิบขนมในตะกร้าด้วยตัวเอง แต่แล้ว..เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

    “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีผมเห็นมดมันอยู่ในขนม ผมกลัวมดน่ะเลยเผลอ..ปัดตะกร้าเธอกระเด็น ผมขอโทษนะ L

    ชั่ววินาทีที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบขนมแสนอร่อยในตะกร้า มือของคยองซูก็ปัดมันออกจากมือเล็กๆนั่นเต็มแรงจนขนมกระจัดกระจายตกหล่นลงบนพื้นอย่างน่าเสียดาย คยองซูยืนเอ่ยตะกุกตะกักอยู่ซักพักพลางลนลานเก็บขนมที่เปื้อนฝุ่นมาใส่ตะกร้าตามเดิม จงอินก็เข้ามาช่วยคนตัวเล็กเก็บด้วย แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า

    “มะ...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขนมมันเปื้อนหมดแล้ว เก็บไปก็คงกินไม่ได้อยู่ดี ถ้ายังไงข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งปิดหน้าวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว คยองซูจึงได้แค่ทำหน้ารู้สึกผิดแล้วโผเข้ากอดจงอินพลางเบ้ปากรู้สึกผิด

    “จงอิน..ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ผู้หญิงคนนั้นคงจะโกรธผมไปแล้ว แต่ผมกลัวมดจริงๆนะจงอิน”

    “อ่า..ไม่เป็นไรนะ มันเป็นอุบัติเหตุนี่ นายไม่ได้ตั้งใจซะหน่อยคยองซู” มือใหญ่ลูบผมของคยองซูอย่างต้องการจะปลอบให้เลิกโทษตัวเอง ความอบอุ่นนี้ทำให้คยองซูเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะว่าเขาคุ้นเคยกับอ้อมกอดนี้ คุ้นเคยกับเสียงนุ่มทุ้มนี้ คุ้นเคยทุกๆอย่างที่เป็นจงอิน...จนขาดมันไม่ได้

    “อื้อ...” คยองซูยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองหวังจะให้น้ำตาที่มันหน่วงๆอยู่แถวๆขอบตานั้นหายไป มือใหญ่ของจงอินยกขึ้นมาเช็ดให้อย่างแผ่วเบา คยองซูยิ้มให้กับจงอินก่อนจะจับมือเขากลับไปที่ห้องตามปกติ

    ความอ่อนโยนของจงอิน...คยองซูจะต้องได้รับมันเพียงแค่คนเดียว!

     

     

     

     

    Baekhyun Said…

     

     

     

    “คนนั้นน่ะรึแทมินที่ชื่อแบคฮยอน”

    เสียงหวานดังขึ้นจากหน้าลานฝึกการต่อสู้บวกกับชื่อที่คุ้นหูถูกเอ่ยออกมาทำให้แบคฮยอนกับเพื่อนๆต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ อ่า..ใครกันน่ะ นางฟ้ารึไงทำไมสวยอย่างนี้นะ *0*

    “เอ้า!มองข้าเสียน้ำลายยืดหมดแล้วพ่อหนุ่ม คิกๆ”

    เสียงหวานดังขึ้นอีกคราวพร้อมกับดึงสติที่หลุดลอยออกจากตัวให้กลับเข้ามา แบคฮยอนยกมือเช็ดน้ำลายของตัวเองลวกๆก่อนจะทำหน้าตาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาท ทำเอาแทมินกับผู้มาเยือนคนใหม่หัวเราะกันครื้นเครงเป็นแถวๆ แบคฮยอนซึ่งทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปให้แทมินก็เท่านั้น

    “แทมินนา~ นายหัวเราะผมทำไมเล่า เดี๋ยวเถอะโดนดีแน่ๆ” ไม่ไหวซะเลยแทมิน เสียแรงที่เขายกตำแหน่งให้เป็นลูกน้องเบอร์หนึ่งของท่านแบคฮยอนคนนี้ ชิๆ -3-

    “เอาเถอะน่า จะไปลงโทษกันยังไงค่อยว่ากันภายหลัง อ้อ! ข้าชื่อยูริ เพิ่งกลับมาจากแถวๆชานเมืองเมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง ได้ยินชานยอลกับแทมินพูดถึงเจ้าบ่อยๆข้าก็เลยอยากมาเจอเจ้าน่ะ”

    รอยยิ้มสวยถูกส่งมาให้กับแบคฮยอน ชั่ววินาทีแรกทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขากับเธอคนนี้รู้จักกันมานานแสนนาน แบคฮยอนเลยส่งยิ้มเป็นมิตรกลับไปพร้อมกับสะกิดเจ้าเพื่อนตัวดีทั้งสองคนของตัวเองทำความรู้จักไปด้วย

    “ผมชื่อแบคฮยอนครับ นี่คยองซู แล้วนั่นก็ลู่หาน ฝากตัวด้วยนะครับ”

    “หึหึ ฝากแค่ตัวอย่างเดียวรึ? ไม่คิดอยากจะฝากเป็นน้องสะใภ้ด้วยรึไง?”

    “อะ...เอ๋! น้องสะใภ้อะไรครับ 0.0” แบคฮยอนมองยูริตาโตก่อนจะเบนสายตาไปมองแทมินอย่างไม่เข้าใจ แทมินส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะเอ่ยห้ามปรามไม่ให้ยูริแหย่แบคฮยอนเล่นไปมากกว่านี้

    “พี่ยูริ หยุดหยอกเล่นได้แล้วน่า เจอคนถูกใจเข้าหน่อยเป็นไม่ได้เชียว” พี่ยูริงั้นหรอ งั้นก็ต้องอายุมากกว่าเขาด้วยน่ะสิ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย หน้าเด็กยิ่งกว่าอะไร -0-

    “เจ้านี่นะ เดี๋ยวนี้กล้าขัดข้าลงเชียวรึเจ้าหัวเห็ด” ยูริหันไปค้อนแทมินก่อนจะมองกลับมาหาแบคฮยอนอีกที

    “ฮ่าๆ” แบคฮยอนกับคยองซูแล้วก็ลู่หานหัวเราะกับฉายาของแทมินกันเป็นแถว

     

    “เจ้าน่ะ..ได้ยินว่าเก่งเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดจริงรึไม่ ข้าอยากจะลองทดสอบดู” พี่ยูริเอ่ยขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้แบคฮยอน แปลว่าพี่ยูริจะทดสอบเขารึไง?

    “ไม่อยากทำร้ายคนสวยอย่างพี่เลยครับพี่ยูริ พี่เป็นผู้หญิงนะ” แบคฮยอนเลิกคิ้วตอบคำถามกวนๆก่อนจะก้าวเข้าไปหาพี่ยูริ ซึ่งรายนั้นก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ

    “บางทีเจ้าอาจจะคิดผิดว่าคนอย่างข้าเป็นผู้หญิงที่สวยนะ ถึงข้าจะสวยจริงแต่ข้าไม่เคยปราณีใคร และข้าคิดว่าเจ้าคงจะเป็นคู่แข่งของข้าเสียกระมัง”

    “ไม่กล้าหรอกครับ เริ่มกันเลยมั๊ยครับพี่ยูริคนสวย J

     

    ทุกคนถอยห่างออกไปจากกลางลานฝึก การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น แบคฮยอนกับพี่ยูริผลัดกันรับผลัดกันรุกอยู่นาน นับว่าพี่ยูริมีฝีมืออยู่มากทีเดียว แถมหมัดหนักอย่าบอกใคร จังหวะหนึ่งที่หมัดลุ่นๆของพี่ยูริเฉียดเข้ามาแบคฮยอนถึงกับจุกไปอยู่ไม่น้อย นี่ถ้าโดนเต็มๆคงได้ล้มลงไปเซย์ฮัลโหลกับไส้เดือนในดินแน่ๆ แบคฮยอนก็ไม่ยอมแพ้หาโอกาสเข้าโจมตีอยู่ตลอด จนในที่สุดพี่ยูริก็ยกมือหยุดการต่อสู้ลงแล้วเอ่ยชมแบคฮยอนไม่ขาดปาก

    “เจ้าน่าจะเกิดเป็นน้องข้านะ นิสัยเหมือนข้าขนาดนี้คงจะคุยกันถูกคอ ทั้งความมั่นใจ วาจาคมคาย แววตาเด็ดเดี่ยว มิน่าล่ะเจ้าชานยอลมันถึงได้....อุ๊บ”

    ไม่ทันที่พี่ยูริจะพูดจบ แทมินก็เอามือปิดปากพี่ยูริก่อนจะลากออกไปเสียดื้อๆทำเอาทุกคนงงเป็นอย่างมาก อะไรของสองคนนี้นะ จะมาก็มา จะไปก็ไป

    “จะว่าไปแกกับพี่ยูรินิสัยเหมือนกันเลยนะ...เหมือนอย่างกับแกะ” คยองซูพูดขึ้น

    “อืม..ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ก็ดีแล้วนี่ นิสัยเหมือนกัน เข้ากันได้ง่ายออก แกอย่าสงสัยให้มาก ไปฝึกวิทยายุทธ์ปรุงยามหาเสน่ห์อะไรของแกต่อเลยปะ”

    “เค้าเรียกยุทธศาสตร์ปรุงยาพิษให้สยบแทบเท้าด้วยความรักต่างหาก” คยองซูฟังแล้วก็เออออห่อหมกไปกับแบคฮยอน หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายไปซ้อมกันต่อ ชักจะติ๊งต๊องไปกันใหญ่แล้วเจ้าเพื่อนพวกนี้  - -

     

     

     

    ยิ่งนานวัน ข่าวการถูกฆ่าอย่างทารุณในวังหลวงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น...

     

    ด้วยฝีมือของใครหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ในวังหลวงทวีความหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ

     

    ทุกคนบอกว่าพวกเขาคือความหวังของทุกคน..ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้เชื่อพวกเขานัก ทั้งๆที่เขากับเพื่อนๆก็เป็นแค่คนธรรมดา =______=

    ยิ่งใกล้วันสุริยุปราคามากขึ้น การฝึกฝนต่างๆก็ยิ่งมากขึ้นไปด้วย ถึงแม้จะเหนื่อย แต่ก็ต้องทำเพื่อชีวิตของผู้คนอีกมากมาย เอ่อ..แล้วก็เพื่อชีวิตของตัวเองด้วยล่ะนะ อีกอย่าง...ช่วงนี้มักจะมีเรื่องที่ทำให้ใจเต้นอยู่เรื่อยเลย

    อะไรนะ? ถามว่าใครที่ทำให้แบคฮยอนใจเต้นงั้นหรอ? จะใครซะอีกล่ะ...ตาบ้าหน้านิ่งชานยอลผู้เป็นที่รักของชาวประชาไง

    “คิดอะไรอยู่งั้นรึ?”

    จู่ๆเสียงทุ้มของคนที่แบคฮยอนกำลังนินทาในใจก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงของคนตัวสูงทำให้แบคฮยอนสะดุ้งไม่น้อย สัญชาติญาณการป้องกันตัวทำให้หมัดขวาปล่อยฮุคเข้าไปหาชานยอลอย่างไม่ตั้งใจ ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยก่อนจะจับข้อแขนเล็กไว้อย่างง่ายดายแล้วดึงแบคฮยอนเข้าไปปะทะอกแกร่งนั่นเต็มๆ

    “ชานยอลบ้า หัดมาข้างหน้าอย่างคนปกติเขามั่งสิ โผล่มาข้างหลังแบบนี้ตกใจหมด ถ้าฉันชกนายจนสลบไปล่ะจะทำยังไงห้ะ”

    “ก็รับผิดชอบข้าซะสิ”

    “นี่!พูดอะไรให้มันเคลียร์ๆหน่อย รับผิดชอบอะไร พูดอย่างกับฉันไปปล้ำนายแล้วปัดความรับผิดชอบอย่างนั้นล่ะ”

    “แล้วถ้าเจ้าไปปล้ำข้าจริงๆล่ะ เจ้าจะรับผิดชอบรึไม่?”

    “เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอกสาบานได้เลย ปล่อยได้แล้วน่า -____-

    แบคฮยอนทำหน้าเอือมๆใส่หมอนั่นก่อนจะขืนตัวออกมาได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าช่วงนี้หมอนี่เป็นอะไร ชอบพูดอะไรแนวนี้ตลอด จนบางทีเขาก็เผลอแอบคิดไม่ได้...ว่าชานยอลอาจจะกำลังชอบเขาอยู่

    บางทีถ้าคิดเข้าข้างตัวเอง..อยากจะให้ชานยอลคนก่อนเป็นแค่ความฝัน อยากให้ชานยอลคนนี้เป็นความจริงจะได้มั๊ย?

    “วันนี้ข้าให้เจ้าพักซ้อมวันนึง ถือซะว่าเป็นการผ่อนคลาย..ดังนั้นเจ้าต้องไปเดินเล่นกับข้าแทน” ชานยอลสั่งเสียงเรียบ

    “ไม่ไป พักผ่อนบ้าอะไรทำไมต้องไปกับนายด้วยไม่ทราบ -____-

    ถึงแม้แบคฮยอนจะปฏิเสธเสียงเรียบหรือต่อต้านเพียงใด สุดท้ายก็สู้แรงควายๆของชานยอลไม่ได้ซักที ดังนั้นคนตัวเล็กเลยโดนลาก (ย้ำว่าลาก) ไปตามทางเดินที่ถูกประดับประดาตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาพรรณอย่างสวยงาม เมื่อตกอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้สวยงาม ทำเอาแบคฮยอนที่กำลังดิ้นงอแงต้องหยุดชะงักลง ชานยอลยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนข้างกายก่อนจะปล่อยให้เดินตามมาดีๆ

    “โห...สวยจัง *O*

    นิ้วเรียวชี้ไปที่ดอกกล้วยไม้บนต้นไม้ต้นสูงใหญ่ต้นหนึ่ง มันกำลังเบ่งบานรับแสงอาทิตย์อย่างสวยงาม มองแล้วชวนให้หลงใหลอย่างไม่รู้ตัว ชานยอลคงจะสงสัยที่แบคฮยอนจ้องมันอยู่นานเลยเดินเข้ามาถามใกล้ๆ

    “มองอะไรอยู่รึ?”

    “อ้อ...เปล่าๆ ฉันก็มองทั่วๆไปนั่นแหละ ไปๆเดินไปได้แล้ว” แบคฮยอนเบือนสายตาจากดอกกล้วยไม้ดอกนั้นแล้วดันหลังให้ชานยอลเดินต่อไป แต่สายตาของคนตัวเล็กก็ยังเหลือบๆมองดอกกล้วยไม้ดอกนั้นเป็นระยะๆจนมันลับสายตา

    “เจ้ารอข้าซักครู่ เดี๋ยวข้ามา” ชานยอลเอ่ยเสียงเรียบแล้วเดินออกไปเงียบๆทำเอาแบคฮยอนงงไม่น้อย อะไรกันล่ะเนี่ย?

    “ไปไหน?” แบคฮยอนเดินตามไปติดๆก่อนจะถามออกไปด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่ว่าหมดอารมณ์เดินเล่นแล้วเลยอยากจะกลับไปนอนเล่นอยู่ในตำหนักของตัวเองหรอกนะ

    “ข้าปวดฉี่ เจ้าจะตามไปดูข้ารึไง” ชานยอลหันกลับมาตอบหน้าเรียบ ทำเอาแก้มของตัวเองร้อนฉ่าออกมาอย่างห้ามไม่อยู่พลางหันหลังให้ชานยอลอย่างอัตโนมัติ -/////-

    “คนบ้า! แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” ว่าแล้วก็วิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที ชานยอลยิ้มบางๆก่อนจะเดินออกไป

    “เฮ้อ...เมื่อไหร่จะมาเนี่ยชานยอล มัวไปติดต่อยานแม่อยู่รึไง” แบคฮยอนบ่นกระปอดกระแปดหลังจากนั่งๆยืนๆรอคนที่บอกว่าจะไปยิงกระต่ายมาพักนึงแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่หัวออกมา

    “นี่ถ้าเป็นโลกของฉันนะ ป่านนี้ฉันคงคิดว่านายตกส้วมตายไปแล้วนะเนี่ย โอ๊ะ!! 0.0 นี่นาย..”

    ดอกกล้วยไม้ดอกที่เขาเคยจ้องไม่วางตาบัดนี้มันได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ชานยอลยื่นมันมาให้แล้วบังคับให้คนตัวเล็กรับมันไป ซึ่งแบคฮยอนก็ทำตามอย่างงงๆ

    “เห็นเจ้าจับจ้องดอกกล้วยไม้นี้ตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากจะได้ พอดีผ่านไปแถวนั้นเลยเอื้อมเก็บมาให้เจ้า รับเอาไว้แล้วรักษามันให้ดีๆ ปกป้องมันด้วยเกียรติของเจ้าซะด้วยล่ะ”

    แบคฮยอนเงยหน้ามองชานยอลอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นั่นเป็นประโยคที่เขาพูดยาวที่สุดเท่าที่เขาได้ยินมา! พระเจ้า ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยให้ตาย อีกอย่างดอกกล้วยไม้ดอกนี้มันอยู่บนต้นไม้สูงซะด้วย กว่าจะปีนขึ้นไปเก็บมันได้ต้องพยายามอย่างมากเลยทีเดียว เห็นชานยอลกำลังเขินด้วยล่ะ..แก้มขาวๆของชานยอลกำลังขึ้นสีชมพูระเรื่อ... -/-

    “ขะ...ขอบใจ ฉันจะดูแลมันให้ดีๆ นายก็ทำตัวน่ารักๆเป็นเหมือนกันนะเนี่ย..” ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดีเพราะว่าตอนนี้สมองของเขากำลังรวนอย่างหนัก หัวใจของแบคฮยอนพองโตขึ้นมาอย่างดีใจ เพราะชานยอลกำลังใส่ใจแบคฮยอนใช่มั๊ยเนี่ย..

     หลังจากนั้นแบคฮยอนกับชานยอลก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก พากันก้มหน้าก้มตาเดินมองดอกไม้ไปเรื่อยๆจนแบคฮยอนเดินชนแผ่นหลังของคนตัวสูงอย่างจังเพราะชานยอลหยุดเดินไปดื้อๆ

    “โอ๊ะ อะไรของนายเนี่ย หยุดเดินทำไม”

    “เปล่า..ข้ากำลังคิดว่า ข้าอยากจะติดต่อเจ้าได้ทั้งๆที่อยู่ไกลกัน”

    “ห้ะ..หา นายจะอยากทำแบบนั้นทำไม?” นี่นายคิดจะทำอะไรกันแน่ชานยอล..จะ..ติดต่อกับเขางั้นหรอ

    “ข้า...ก็เผื่อข้าจะได้เรียกเจ้ามาฝึกได้ทุกเวลายังไงล่ะ เผื่อเจ้าคิดจะอู้ไม่มาฝึกซ้อม”

    แบคฮยอนอมยิ้มหัวเราะคิกกับคำอธิบายข้างๆคูๆของชานยอล คิดมาได้นะนาย อืม...มีวิธีไหนบ้างล่ะเนี่ย

    อ๊ะ! โทรศัพท์กระดาษดีมั๊ยนะ *0* #แล้วก็ดันบ้าจี้ตามซะงั้น!

    “ฉันคิดออกแล้ว! รอแป๊บละกัน เดี๋ยวฉันจะทำมาให้”

    แบคฮยอนยิ้มร่าก่อนจะวิ่งแยกออกจากชานยอลแล้วตรงมาที่ตำหนักของจิตรกรเพื่อขอกระดาษแข็ง กรรไกร ด้ายยาวๆ(ซึ่งเขาให้ด้ายสีแดงมา) กาวที่ทำจากยางไม้ หลังจากนั้นก็รีบวิ่งตรงมาที่ห้องของตัวเองทันที

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากกองกระดาษแล้วเดินไปที่ประตูด้วยความสงสัย หวังว่าคงจะไม่ใช่ชานยอลหรอกนะ ยังทำไม่เสร็จเลย...ถ้าเห็นก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ

    “อ้าว นายเองหรออี้ชิง เข้ามาก่อนสิ”

    อี้ชิงเข้ามาในห้องของแบคฮยอนอย่างเงียบๆก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้อย่างไม่ต้องรอให้เชิญนั่ง แบคฮยอนปิดประตูห้องเบาๆแล้วเดินเข้าไปนั่งประจำที่เดิม ก่อนจะเริ่มลงมือทำโทรศัพท์กระดาษต่อ

    “นี่นายกำลังทำอะไรน่ะ”

    “มองไม่ออกหรอ โทรศัพท์กระดาษไง ชานยอลเค้าจะเอาไว้เรียกฉันออกไปซ้อมเผื่อเวลาฉันอยากจะอู้น่ะ”

    “ไม่ได้นะ!! นายอย่าไปยุ่งกับชานยอล” เสียงหวานตะหวาดกร้าวทำเอาเขาสะดุ้งตกใจเผลอทำกาวหล่นไปเลยทีเดียว อะไรของตานี่กันล่ะเนี่ย จู่ๆมาบอกไม่ให้เจอชานยอล มันจะไปทำได้ยังไงกันเล่า ก็ชานยอลเป็นคนฝึกซ้อมให้นี่นา

    หรือว่าหัวใจของเขาเองนะที่อยากจะไปเจอชานยอลทุกๆวัน....

    “ทำไมล่ะ มีเหตุผลอะไร?” แบคฮยอนหรี่ตามองอี้ชิงอย่างจับผิด ไม่ใช่จู่ๆจะมาหาเรื่องกันหรอกนะ

    “อะ..เอ่อ อย่าไปยุ่งกับคนๆนั้นเลย แทมินด้วย คนที่ชื่อยูรินั่นก็ด้วย คนพวกนั้นอันตราย พวกนั้นจะทำให้นายเจ็บปวด พวกเขาไม่ได้หวังดีกับนาย”

    “ทำไม? บอกเหตุผลที่คนพวกนั้นจะทำร้ายฉันให้ฟังหน่อยสิ”

    “ฉันบอกไม่ได้ ถ้านายจะไม่เชื่อฉันก็ตามใจ แต่ฉันหวังดีกับนาย” อี้ชิงพยายามพูดให้แบคฮยอนฟัง

    “ไร้สาระน่า ไม่มีอะไรจะแกล้งกันแล้วใช่มั๊ย ฉันรู้ว่านายเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ แต่ยังไงซะฉันกับชานยอลก็ต้องได้เจอกันอยู่ดีเพราะเขาเป็นครูฝึกการต่อสู้ให้ฉัน มันเลี่ยงกันไม่ได้หรอก”

    อี้ชิงชักสีหน้าผิดหวังก่อนจะเดินออกไป ไม่วายยังจะหันหลังมาพูดกับแบคฮยอนประมาณว่า “ฉันเตือนแล้วนะ”

     

     

    ไม่นานโทรศัพท์กระดาษที่มีด้ายสีแดงเส้นยาวๆเชื่อมกันอยู่ก็เสร็จสมบูรณ์ ปลายโทรศัพท์ข้างหนึ่งวาดรูปเด็กผู้ชายที่ทำหน้าตานิ่งๆเอาไว้พร้อมกับเขียนชื่อติดบ่งบอกเจ้าของว่า “ชานยอล” ส่วนอีกปลายข้างหนึ่งก็วาดรูปเด็กผู้ชายชูสองนิ้วพร้อมกับยิ้มโชว์ฟัน 32 ซี่พร้อมกับเขียนชื่อติดไว้เช่นกันว่า “แบคฮยอน” คนตัวเล็กหัวเราะคิกมองผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองยิ้มๆ คนหล่อทำอะไรก็ดูดีแหละนะ...กร๊ากกกกก

    ตาบ้าชานยอลจะทำหน้ายังไงบ้างนะเมื่อเห็นไอ้นี่ คงจะตกใจหลุดมาดนิ่งไปเลยล่ะมั้ง ^^

    แบคฮยอนสะบัดหัวไล่ความคิดติ๊งต๊องออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์กระดาษเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ก้าวออกจากห้องของตัวเองตรงดิ่งไปที่ตำหนักของชานยอล เดินผ่านทหารยามประจำจุดมากมายก็ค้อมหัวให้อย่างอารมณ์ดีไม่ถือยศถือศักดิ์ ระยะทางระหว่างห้องของเขากับตำหนักของชานยอลลดน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ถึงมากเท่าไหร่หัวใจยิ่งเต้นรัว..

    ชานยอลเขาจะชอบมั๊ย...เขาจะดีใจมั๊ยนะ?

    เพราะอยากทำให้คนที่ตัวเองชอบมีความสุข ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของคนยิ้มยากอย่างเขา

    แต่แล้วเสียงของคนสองคนที่กำลังคุยกันทำให้ต้องชะลอฝีเท้าลง เสียงของแทมินกับชานยอล...

    “ชานยอล ถึงไหนแล้วล่ะ?”

    “หึ..อีกไม่นานหรอก หมอนั่นก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ”

    “ข้าว่าเจ้าเลิกล้มเสียตอนนี้ไม่ดีหรือ ล้อเล่นกับใจคนมันไม่ดีเลยนะชานยอล”

    “ข้าล้มเลิกไม่ได้หรอก ข้าไม่อยากทำให้พี่ยูริผิดหวังในตัวข้า ไม่ดีแค่ไหนข้าก็จะทำมันแทมิน”

    ทำ...ทำอะไรกันนะ ทำไมชานยอลถึงอยากจะทำให้มันสำเร็จขนาดนั้นด้วย?

    “เจ้าไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นเลยรึ? มันก็แค่เกมไร้สาระที่พี่ยูริพูดขึ้นเล่นๆเอง ทำไมต้องจริงจังให้มากมาย”

    “จะต้องคิดอะไร อีกไม่นานก็ต้องจาก ก็แค่หลอกให้แบคฮยอนมาหลงรักข้าแล้วบอกเลิกเสีย

    ราวกับว่ามีก้อนอะไรมาจุกอยู่ในอกจนแทบหายใจต่อไปไม่ไหว แบคฮยอนได้แต่ยืนตัวสั่นรับฟังความจริงที่แสนโหดร้ายต่อไป ถ้อยคำที่เหมือนมีดกรีดแทงหัวใจให้ยับเยินไม่มีชิ้นดี ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของชานยอล...

    “แล้วเจ้า...เจ้าไม่คิดจะหลงรักแบคฮยอนขึ้นมาบ้างรึชานยอล” แทมินลองถามออกไป

    “ข้า...ข้ารักแต่พี่ยูริเพียงผู้เดียว” เสียงของชานยอลแผ่วเบาราวกับสายลมพัด แต่ถึงอย่างนั้นคนฟังทั้งสองคนกลับได้ยินมันอย่างชัดถ้อยชัดคำ คนหนึ่งฟังแล้วรู้สึกใจหาย...อีกคนฟังแล้วรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำหัวใจจนแหลกเหลว

    แทมินได้แต่ก้มหน้านิ่งฟังเพื่อนรักอย่างชานยอลสารภาพออกมา ปากก็บอกว่ารักแต่พี่ยูริ แล้วไฉนแววตาของเจ้าถึงได้วูบไหวเช่นนั้นกัน ช่างไม่รู้ใจตัวเองเสียจริงเลย ฉลาดแต่เรื่องรบ แต่ไหนได้กลับมาโง่งมในเรื่องรัก แถมยังมาบอกว่ายังชอบพี่ยูริอีก แทมินก็ทนฟังไม่ค่อยจะได้เหมือนกัน เพราะเขาก็แอบชอบพี่ยูริไม่ต่างอะไรกับชานยอลเลย

    ลองได้มาเป็นลีแทมินตอนนี้ที่ได้ฟังคนอื่นบอกรักพี่ยูริที่ตัวเองชอบดูสิ มันช่างทรมานยิ่งกว่าอะไร...

    “ข้าก็หวังว่าเจ้าจะชอบแบคฮยอนขึ้นมาบ้าง เพราะเขาเองก็เหมือนพี่ยูริไม่น้อย ทั้งนิสัย ท่าทาง ความมั่นใจและอีกหลายสิ่งหลายอย่าง จนบางครั้งข้าก็เคยมองนางเป็นพี่ยูริ” แทมินพูดโน้มน้าวใจ

    มะ...เหมือนพี่ยูริงั้นหรอ งั้นที่ผ่านมา ทุกคนก็มองเขาเป็นแค่ตัวแทนของพี่ยูริอย่างนั้นสินะ

    ทำแบบนี้ได้ยังไง...

    ที่ผ่านมา ความรักของเขาคือการล้อเล่นกับหัวใจ ไม่ได้คิดจริงจัง แต่ตัวเองกลับรักเขาไปแล้วอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

    ความปรารถนาดีของเขาถูกปั้นขึ้นมาเพื่อเสแสร้งให้ตายใจ ส่วนตัวเองก็ตอบรับความปรารถนาดีหลอกๆของเขามาโดยไม่ตะขิดตะควงใจเลยสักนิด เผลอยินดีกับสิ่งๆนั้นจนมัวเมาจนสุดท้ายกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

    ไม่คิดว่าจะเจ็บขนาดนี้ ความรัก...ไม่คิดว่าจะทำให้เจ็บได้ขนาดนี้

    สองเท้ารีบเดินจ้ำอ้าวออกไปจากที่ตรงนี้อย่างเร็วที่สุด เสียงของคนสองคนเลือนหายไปจากการได้ยินตามระยะทางที่ถอยห่างออกมา ไม่อยากอยู่ตรงนั้นอีก ไม่อยากฟังความจริงจากปากคนๆนั้นอีกว่าวางแผนอะไรไว้ทำร้ายตัวเองอีกบ้าง คนที่เราไว้ใจกลับกลายเป็นคนที่ทำร้ายเราอย่างเจ็บปวด ตอนนี้ฉันรู้สึกแย่ รู้สึกแย่มากๆถึงมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตากลับไม่ไหลออกมาสักหยด ราวกับว่าสิ่งที่ได้รับรู้มันเจ็บเกินกว่าจะร้องไห้หรือเสียใจ สิ่งที่แสดงออกได้ในตอนนี้คือปั้นหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ มือทั้งสองข้างด้านช้าไร้ความรู้สึกใด หูตาเริ่มพร่ามัวปิดกั้นข่าวสาร ราวกับว่าร่างกายนี้กำลังปกป้องตัวมันเองไม่ให้รับรู้อะไรที่โหดร้ายไปกว่านี้อีก

    นายรักผมบ้างมั๊ย...คำถามนี้คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว

    ชานยอลชอบพี่ยูริ......

    เคยอยู่ในสายตาของนายบ้างมั๊ย...ก็คงจะไม่ เพราะเขาคงจะมองเป็นแค่ของเล่นแก้เบื่อชิ้นหนึ่ง

    มีค่ากับนายบ้างมั๊ย...คำตอบเดียวคือไม่มี

    แบคฮยอนคนนี้..ก็แค่ของเลียนแบบคนที่นายรักก็เท่านั้น ไม่มีความหวังที่จะกลายเป็นตัวจริงของนาย

    ไม่มีวัน... แบคฮยอนคนนี้ไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจของชานยอลเลย

     

    ขาเรียวเดินอย่างเหม่อลอยกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ใจหนึ่งอยากจะไปหาลู่หานกับคยองซูเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นนี้ให้เพื่อนรักทั้งสองฟัง เพื่อน..ที่ไม่มีวันทิ้งเราให้ล้มอยู่เพียงคนเดียว ติดแต่เพียงว่าตอนนี้เขามันอ่อนแอเกินไป อยู่คนเดียวในห้องคิดทบทวนเรื่องต่างๆคงจะดีที่สุด ขาเล็กเดินอย่างหมดแรงไปยังเก้าอี้ไม้ที่อยู่มุมห้อง วางโทรศัพท์กระดาษลงบนโต๊ะแล้วนอนฟุบลงไปข้างๆ มองด้ายสีแดงที่เป็นตัวเชื่อมโทรศัพท์กระดาษอย่างเลื่อนลอย ใครๆเขาก็บอกว่าด้ายสีแดงจะนำพาโชคลาภมาให้ แต่ทำไมมันถึงได้พาความเจ็บปวดมาให้กันล่ะ

    นึกอยากสมน้ำหน้าตัวเองนัก...ทั้งๆที่อี้ชิงก็เตือนแล้วแท้ๆ ยังจะดันทุรังหลับหูหลับตาไม่ฟัง

    สุดท้ายก็เจ็บเสียจนมันด้านชาไม่รู้สึกอะไร

     

     

    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

    “เจ้าอยู่ข้างในรึไม่ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”

    เสียงทุ้มของคนใจร้ายดังขึ้นอยู่หน้าประตู ทำยังไงดีล่ะ..ไม่อยากเจอหน้าเขา แต่สุดท้ายก็ต้องเดินไปเปิดประตูให้กับชานยอลอยู่ดี ร่างโปร่งเดินเข้ามาในห้องพลางมองไปยังโทรศัพท์กระดาษที่อยู่บนโต๊ะอย่างพิจารณา

    “นั่นน่ะรึที่เจ้าว่าจะใช้ติดต่อกับข้า” ชานยอลชี้ไปที่โทรศัพท์กระดาษ

    “อะ...อื้อ ฉันเพิ่งทำเสร็จพอดี กะว่าจะเอาไปให้นายอยู่แล้วเชียว” น้ำเสียงปกติที่ไม่เศร้าเกินไปไม่ร่าเริงเกินไปถูกส่งไปให้ชานยอล หวังว่าเขาจะไม่จับได้นะว่าคนๆนี้กำลังเจ็บขนาดไหน ความคิดในหัวมันกำลังตีกันวุ่นวายไปหมด...

     

    โวยวายออกไปเลยสิ! จะทนให้เขาหลอกอยู่ทำไม

    ถ้าความแตกไปแล้วชานยอลจะมาทำดีกับเราต่อรึไง..

    ขอทำร้ายตัวเองต่อไปเพื่อแลกกับความสุขจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นมาจะได้ไหม?

    เพราะตอนนี้เขารู้ตัวเองแล้วว่าขาดชานยอลไม่ได้จริงๆ...

    แบคฮยอนตกหลุมรักคนใจร้ายคนนี้ไปหมดทั้งใจแล้ว

     

    “แล้วเจ้าสิ่งนี้มันใช้ยังไงรึ?” ชานยอลยังสงสัยไม่เลิก

    “เลิกถามแล้วทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ไม่ยากหรอก J” แบคฮยอนส่งยิ้มบางๆไปให้ชานยอล ปลายข้างหนึ่งแบคฮยอนพันไว้กับหัวเตียงก่อนที่จะยื่นปลายอีกข้างให้ชานยอลถือไว้ ถือม้วนเชือกสีแดงเดินออกไปพลางรั้งแขนชานยอลให้เดินออกไปด้วย เดินช้าๆเอื่อยๆอยู่ข้างๆคนตัวสูง มือเรียวปล่อยด้ายแดงไปตามกิ่งไม้ที่โน้มลงมาจะได้ไม่เกะกะ แบคฮยอนไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้ม ชานยอลเองก็ปรายตามองเป็นระยะๆเพราะสงสัยว่าคนพูดมากอย่างเขาทำไมถึงได้เงียบงันผิดปกติ ด้ายแดงในมือสั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเราทั้งสองก็เดินเข้ามาในห้องของชานยอล

    “นายถือไว้นะ แล้วเอาปากกระบอกเนี่ยแนบหูเอาไว้...ฉันจะกลับไปที่ห้องของฉัน รอฟังให้ดีล่ะ”

    แบคฮยอนหยิบปลายกระบอกโทรศัพท์กระดาษแนบหูชานยอลไว้แผ่วเบาก่อนจะวิ่งกลับไปยังห้องของตัวเอง ยกปลายอีกข้างขึ้นมาแล้วตะโกนใส่กระบอกโทรศัพท์ดังๆ

    “ชานยอลอา~ นายได้ยินมั๊ย? ตอบกลับด้วย”

    รอฟังอยู่นานหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก จนร่างเล็กคิดจะถอดใจแล้วเดินไปหาชานยอลที่ตำหนัก แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแว่วๆมาตามสายว่า

    “ข้าได้ยินแล้ว...”

    “กว่าจะตอบนะ...ดีแล้วที่มันใช้ได้ ต่อไปถ้านายจะเรียกฉันก็ตะโกนมาตามนี้แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะฉันเหนื่อย..”

    ไม่รอช้าก็วางปลายกระบอกให้ห่างจากตัวมากที่สุด ฝืนพาตัวเองมานอนบนเตียงนุ่ม ราวกับปลดสิ่งที่หนักอึ้งในใจออกไป น้ำตาใสไหลรื้นออกมาอย่างกับเขื่อนแตก เสียงสะอื้นดังออกมาดังไปทั่วห้อง ร่างเล็กนอนขดตัวกอดตัวเองอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร น้ำหูน้ำตาไหลปนกันจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร มือขวาของแบคฮยอนเลื่อนมือไปบีบตรงตำแหน่งหัวใจไว้แน่นราวกับว่ามันกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส กี่ครั้งกี่หนแล้วที่หัวใจดวงนี้ถูกทำร้าย ราวกับว่าหัวใจดวงนี้คือลูกโป่งที่แสนบอบบางลอยปลิวไปยังดงหนามแหลม เมื่อใดที่มันขยายตัวก็จะถูกหนามทิ่มแทงจนแตกสลายไม่มีชิ้นดี การกระทำที่แสนดีเหล่านั้นที่ชานยอลมอบให้ก็เหมือนขนมหวานอาบยาพิษดีๆนี่เอง ยอมกินทั้งๆที่รู้ว่ามันทรมาน...

    “ฮึก..ไอ้หัวใจบ้า หยุดรักชานยอลซักที เจ็บ... พอได้แล้ว..ฉันไม่อยากรักนายอีกแล้ว ฮือ...”

     

     

     

    Yixing Said…

     

     

     

    “ฉันเตือนแล้วนะ”

    อี้ชิงเดินออกมาจากห้องของแบคฮยอน ไปเตือนด้วยความปรารถนาดี ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดูท่าแบคฮยอนคงจะไม่เชื่อเขาง่ายๆ ความจริงอยากจะแฉวีรกรรมของคนพวกนั้นให้หมดเปลือกอยู่หรอก ถ้าคนพวกนั้นจะไม่มายุ่งกับเขา..และก็คงจะยอมไม่ได้ที่เขาจะต้องเสียความสุขของตัวเองไป

    แล้วอะไรคือความสุขของเขากันล่ะ?

     

    นายไง อู๋อี้ฟาน

     

    ทำไมคนๆนี้ถึงต้องเป็นความสุขของเขา คำตอบนี้ก็ไม่รู้

    เพียงแต่ว่า คนๆนี้สามารถทำให้ยิ้มได้

    ทำให้หายเหงาได้

    ทำให้หายหงุดหงิดเวลาเบื่อๆ

    ทำให้คนๆนึงซึ่งไม่เคยรู้สึกว่ามีคนอยู่เคียงข้าง...มีความรู้สึกอยากให้อยู่ใกล้ๆ

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อี้ฟานเข้ามาอยู่ในสายตาของตัวเองทีละนิดๆจนในที่สุด อี้ชิงก็ไม่สามารถมองใครได้อีกต่อไปนอกจากคนๆนี้ คุณหนูแสนเอาแต่ใจอย่างอี้ชิงจะมีใครบ้างที่ทนนิสัยเจ้าอารมณ์ได้ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นของเทพบุตรอย่างอี้ฟาน ใบหน้านิ่งๆ สายตาราวกับมีมนตร์สะกดนั่น...ทำให้เขาต้องมองแค่อี้ฟานเท่านั้น

    ถ้าใครจะมาทำให้เขาแยกออกจากอี้ฟาน คงจะต้องทำทุกวิธีไม่ให้นายจากไป

     

     

    เฮ้อ..ก็เตือนนายได้แค่นี้ล่ะนะแบคฮยอน ที่เหลือก็แล้วแต่นายแล้วกัน

    รู้ตัวตอนนี้ก็ดีกว่ารู้ตัวเมื่อรักคนแบบนั้นไปหมดแล้วทั้งใจ คงจะเจ็บน้อยกว่าล่ะมั้ง...

     

    “ตอนนี้นายอยู่ไหนเนี่ยอี้ฟาน รีบๆมาพาฉันไปเที่ยวได้แล้ว กล้าปล่อยให้คุณหนูอย่างฉันเหงาได้ยังไง -3-

    อี้ชิงพูดออกมาลอยๆก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ระหว่างทางกลับ สายตาเหลือบไปเห็นเจ้าสิ่งๆหนึ่งพิงอยู่ข้างกำแพงห้องๆหนึ่งเข้า เอ๋..มันมีรูปร่างคล้ายจักรยาน? มันไม่เชิงว่าเป็นจักรยานที่คนในสมัยของเขารู้จักหรอกนะ ส่วนประกอบของมันล้วนเป็นเนื้อไม้ชั้นดี แถมล้อของมันก็เป็นไม้ ไม่ได้เป็นยางรถจักรยานทั่วไป ไม่มีความยืดหยุ่นอะไรเลย ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ายุคนี้เหล็กมันหายาก เจ็บก้นน่าดูเลยถ้าไปตกหลุมตกบ่ออะไรเข้า - -; แล้วคนสมัยนี้เค้ารู้จักจักรยานกันแล้วหรอเนี่ย

    แลซ้าย..มองขวา ไม่มีใคร

    เหลียวมองรอบๆตัวอีกที...ก็ไม่เจอคน

    อืม...ห้องเขาก็อยู่ไกลซะด้วยสิ ถ้ามีรถจักรยานนี่ขี่ไปก็คงจะสะดวกขึ้นล่ะมั้ง(?) ( - -)...

    ถึงแม้จะไม่ค่อยมั่นใจในประสิทธิภาพของมันเท่าไหร่ แต่พอนึกถึงความสะดวกสบายและความรวดเร็วแล้วล่ะก็แทบจะไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเลย ไม่รอช้า อี้ชิงรีบวิ่งไปฉกจักรยานคันนั้นมาแล้วปั่นไปทันที

    ฮี่ๆๆๆ ขอยืมไปขี่เล่นหน่อยนะ เบื่อแล้วจะเอามาคืน ^[+++++]^

     

     

     

    30 นาทีต่อมา....

    “เอ...ฉันจำได้นะว่าพิงจักรยานเอาไว้ตรงผนังห้องนี่อะ แล้วมันหายไปไหนแล้วเนี่ย -*-“ ลู่หานบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดปนประหลาดใจ ใครเอาสิ่งประดิษฐ์สุดเลิศเลอเพอร์เฟกต์ของเขาไปกันนะ?

    “ลืมทิ้งไว้ที่อื่นรึเปล่า -0-“ เซฮุนเอ่ยแสดงความเห็นออกมาหลังจากที่เดินมาส่งลู่หานกลับห้อง

    “มันจะใช่ได้ยังไงล่ะ ฉันเอาไว้ตรงนี้จริงๆนะ”

    “คงมีคนคิดว่ามันพังแล้วเลยเอาไปทิ้งล่ะมั้ง ฮ่าๆ” เซฮุนหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้างองุ้มของลู่หาน

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ถ้ามีคนเอาไปขี่ล่ะ”

    “ทำไมล่ะ? มันยังไม่เสร็จหรอ -0-

    “อื้อ ก็ฉันยังไม่ได้ใส่น็อตเชื่อมตรงล้อหลังน่ะสิ ถ้าใครเอาไปขี่เล่น ล้อหลังมันต้องหลุดออกมาแน่ๆเลยอะ”

    “ชิบหายล่ะ 0.0” เซฮุนสบถออกมาเบาๆพร้อมกับทำตาเหลือกขึ้นมากกว่าเดิม

    ขออย่าให้ใครเอามันไปทดลองขี่เลยเถอะ ลู่หานคนนี้ไม่อยากจะรับผิดชอบความผิดใหญ่หลวงที่จะตามมานะ L

     

     

     

    “แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!! ทุกคนหลบไปให้หมด 0.o!!

    เสียงโหวกเหวกโวยวายของขาประจำจอมวุ่นวายดังขึ้นทำเอาทุกคนที่เดินขวักไขว่อยู่ในวังต้องชะงักกึกแล้วเหลียวซ้ายมองขวาหาที่มาของเสียง ทุกคนคิดในใจคงไม่แคล้วมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีกเป็นแน่ สิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นต้องผงะกันเป็นแถบๆเมื่อเห็นร่างบางๆของคุณหนูอี้ชิงจอมแก่นกำลังมุ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้!

    “เหวอ...ทุกคนหลบ!” บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายต่างวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น บางคนที่กำลังถือข้าวของอยู่ต่างโยนทิ้งไปแล้วกระโดดหลบอย่างไม่คิดชีวิต

    “อ๊ากกกก ฉันหยุดมันไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยที T^T” อี้ชิงกรีดร้องออกมาอย่างหมดหนทาง นี่มันเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้หรอกนะ รู้เพียงแต่ว่าเมื่อกี๊ขี่เจ้าจักรยานนี่มาดีๆแท้ๆเลย แค่สะดุดก้อนหินก้อนเล็กๆเท่าขี้หมาก้อนเดียว จู่ๆล้อหลังก็ดันหลุดออกจากล้อหน้าซะได้ ร่างเพรียวซึ่งไม่รู้จะทำยังไงก็เลยปั่นจักรยานล้อเดียวอย่างไม่คิดชีวิตและไม่มองหน้าใครพร้อมแหกปากโวยวายไปทั่วทั้งวังแบบนี้ยังไงล่ะ

    ถ้าหยุดปั่นเจ้าจักรยานเฮงซวยนี่มันต้องล้มแน่ๆ

    แล้วเขาก็จะหน้าคะมำ ก้มลงเอาหน้ามุดดินไปทักทายไส้เดือนดิน !

    คุณหนูอย่างเขารับไม่ได้ T_T

    “เฮ้ย...นั่นมันอี้ชิงไม่ใช่หรอ มาเล่นกายกรรมอะไรตรงนี้เนี่ย 0.0

    เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้น อี้ชิงหันไปมองก็พบว่าเป็นจงอินนั่นเองที่กำลังมองอยู่

    “กายกรรมบ้านนายสิ! ช่วยฉันที ฉันลงไม่ได้ กลัวจะตายอยู่แล้ว -0-“ อี้ชิงพูดขอร้องพร้อมๆกับขาสั้นๆของเขากำลังปั่นจักรยานนี่ไปด้วย จงอินทำหน้าคิดหาวิธีสักแป๊บก่อนที่จะวิ่งออกไปอีกทาง

    “นายจะไปไหน กลับมาช่วยฉันก่อนจงอิน...เหวอ~” อี้ชิงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งก่อนจะต้องหันกลับไปบังคับจักรยานเจ้าปัญหาอีกครั้ง ไอ้จงอิน แกทิ้งฉัน TT

    “เดี๋ยวฉันไปเรียกอี้ฟานมาช่วยนะ อย่าเพิ่งไปทำอะไรให้เขาวุ่นวายล่ะ”

    เสียงทุ้มลอยเบาๆมากับสายลมเข้ามากระทบหู แต่วินาทีนั้นอี้ชิงหาได้สนใจไม่! ฮือ...กลัวจนฉี่จะราดแล้ว TT

    นี่มันวันแห่งความโชคร้ายอะไรของอี้ชิงงงงงงงง

     

    ร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มวิ่งมายังจุดเกิดเหตุที่นักรบแห่งตำนานตัวโย่งพอๆกับเขาแจ้งข่าวว่าจอมจุ้นก่อเรื่องอีกแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้อี้ฟานปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว

    “อี้ชิง! นี่เจ้า...ฮึ่ย..จะทำให้ข้าปวดหัวไปถึงเมื่อไหร่กันนะ” อี้ฟานตะโกนเรียกอี้ชิงที่ตอนนี้สติแตกไปเรียบร้อยแล้วพลางวิ่งเข้าไปหาอีกคนอย่างรวดเร็ว เห็นร่างเล็กๆของอี้ชิงปั่นจักรยานทะลุเข้าไปยังห้องเครื่องของแม่ครัวแล้วทำเอานางกำนัลและขุนนางทุกคนที่กำลังลุ้นเหตุการณ์อยู่ข้างนอกใจหายใจคว่ำกันเป็นแถบ

    ตุ๊บ! เพล้ง! โครม!

    เสียงข้าวของตกกระทบพื้นแตกกระจายดังออกมาจากห้องเครื่อง ทำเอาทุกคนเดาได้ลางๆว่าความเสียหายคราวนี้คงจะมีไม่น้อยแน่ๆ แต่สิ่งที่ทำให้บุรุษยิ้มยากอย่างอี้ฟานต้องกลั้นขำนั่นก็คือ ภาพของอี้ชิงที่โผล่พรวดออกมาอีกฟากของประตู ทั้งเนื้อทั้งตัวมอมแมมไปด้วยคราบเครื่องเทศต่างๆนานา คาดว่าคงจะไปชนกับถังกิมจิเข้าแน่ๆ ดูจากเส้นผมที่มีกิมจิติดมาด้วยน่ะนะ

    “แหวะ! เค็ม -0-

    “หึหึ”

    อี้ฟานวิ่งตามอี้ชิงออกไปทันทีเมื่อเห็นว่าร่างบางๆนั่นกำลังจะขี่จักรยานไปก่อเรื่องที่อื่นต่ออีกครั้ง ถึงแม้จะยังขำไม่หายแต่ก็ต้องกลั้นใจหยุดแล้วตามออกไป

    “ก่อเรื่องอีกแล้วนะ เจ้านี่มันตัววุ่นวายจริงๆ”

    “อี้ฟาน!! นายมาแล้ว ช่วยฉันที T^T

    ทันทีที่อี้ฟานวิ่งมาขนาบข้างกับอี้ชิงได้สำเร็จก็พูดแขวะร่างบางทันที ร่างเพรียวเห็นดังนั้นก็แทบโห่ร้องด้วยความดีใจเลยทีเดียวที่พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแล้ว

    “ช่วยยังไง เจ้าก็หยุดมันสิ”

    “ฉันหยุดไม่ได้ กลัวมันล้ม ตอนนี้ขาสั่นไปหมดแล้ว นายต้องช่วยฉันนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมจริงๆด้วย L

    “แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง เฮ้ย!

    “อ๊ากกกก !!

    พูดยังไม่ขาดคำดี อี้ชิงก็ปั่นจักรยานล้อเดียวผลุบหายเข้าไปในห้องเขียนงานของนักศิลป์ซะแล้ว อี้ฟานได้แต่ชะลอความเร็วในการวิ่งลงแล้วอ้อมออกไปเจออี้ชิงอีกฟากประตู ภาพที่เห็นทำเอาอี้ฟานหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพราะตอนนี้สภาพของอี้ชิงไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ไปเล่นซนจนขนมอมแมมไปทั้งตัว เมื่อกี๊ก็โดนกิมจิราดไปแล้วทีนึง คราวนี้ยังจะมาโดนหมึกเขียนภาพจนเละไปทั้งตัวอีก ใครมาเห็นไม่หัวเราะบ้างก็ให้มันรู้ไป

    “หึหึ...เจ้านี่มันมอมแมมเหมือนลูกแมวไม่มีผิด”

    “หยุดหัวเราะแล้วก็ช่วยหยุดจักรยานซักทีสิ! ไม่งั้นฉันจะตีนายให้น่วมไปเลย -3-

    “ลงมาให้ได้ก่อนเถอะ - -“

    “กะ...ก็มัน...ก็กลัวนี่!!! T^T” อี้ชิงตอบออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

    “กระโดดลงมาเลย เดี๋ยวข้าจะรับเจ้าเอง” อี้ฟานตอบอี้ชิงหอบๆเนื่องจากวิ่งตามอี้ชิงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นแบบนี้เขาก็เป็นคนธรรมดาคนนึงนะ เหนื่อยเป็นเหมือนกัน ดังนั้นการทำให้อี้ชิงลงมาจากจักรยานได้เร็วที่สุดถือว่าเป็นเรื่องดี

    “ไม่เอา! ถ้านายเกิดรับฉันพลาดขึ้นมาล่ะ ฉันก็ได้ลงไปจูบพื้นสิ TT

    อี้ฟานลอบถอนหายใจออกมาเหนื่อยๆ นี่เขากำลังคุยอยู่กับเด็กแบเบาะรึไงกัน - -

    “ไม่พลาดหรอก ข้าสัญญา เจ้าจะปลอดภัย” เสียงทุ้มเอ่ยสัญญาออกมาหนักแน่น ส่งผลกระทบทำให้หัวใจดวงน้อยๆของคนฟังถึงกับสั่นไหวไปโดยปริยาย

    “แต่...ฉันก็ยังกลัวอยู่ดีอะ” ถึงแม้ว่าร่างเพรียวจะอุ่นใจขึ้นมามากก็ตาม แต่แล้วมันก็ยังไม่กล้าที่จะกระโดดลงไปอยู่ดี ถ้าเกิดกระโดดลงไปแล้วดันพลาดหัวไปฟาดกับก้อนกรวดล่ะ มันจะต้องเจ็บแสบทรมานแน่ๆ

    “เลือกเอา..จะเสี่ยงกระโดดลงมาหาข้า หรือว่าเจ้าจะขี่ลงไปในสระ - -

    ห้ะ!! สระน้ำหรอ 0.0

    เมื่ออี้ชิงหันหน้าไปมองก็แทบจะตกใจหงายหลัง เพราะเบื้องหน้าคือสระขนาดย่อม ตกลงไปถึงแม้จะไม่ลึกมากมายแต่คงไม่มีใครคิดพิเรนทร์อยากตกลงไปให้เปียกเล่นหรอกนะ

    “งะ..งั้น ฉันจะกระโดดละนะ ><

    เมื่อตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงต่อไปดีได้แล้ว ร่างเพรียวของอี้ชิงก็ทำใจอยู่ซักพักก่อนจะหลับตาปี๋ ปล่อยมือออกจากคันรถแล้วกระโดดลอยตัวหวือไปหาคนตัวสูง ในใจเตรียมตัวเจ็บตัวเผื่อเอาไว้หากอี้ฟานวิ่งมารับไม่ทัน ร่างเล็กลอยไปปะทะกับอกกว้างก่อนจะกลิ้งลงไปกองกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ แขนแกร่งโอบรอบเอวคอดและใช้แขนกันหัวอี้ชิงไว้กันกระแทก

    “บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

    เสียงทุ้มกระซิบข้างหูร่างที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน จนกระทั่งร่างเพรียวรู้สึกตัวว่าปลอดภัยแล้วจึงพยักหน้างึกงักอยู่ในอ้อมกอดเขาเบาๆเชิงว่าไม่เป็นไร

    “ฉันยังไม่ตายใช่มั๊ย T^T

    “งั้นข้าลองเขกหัวเจ้าดูสักทีดีรึไม่ ถ้าไม่เจ็บแสดงว่าเจ้าตายแล้ว - -

    “อ้ะ! อย่าเด็ดขาดนะ ฉันแค่อุทานเฉยๆไม่ต้องทำจริง”

    นิ้วเรียวชี้หน้าชายหนุ่มอย่างคาดโทษก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่งปัดฝุ่นออกจากตัว ใบหน้าหวานเหยเกเนื่องจากตอนนี้มอมแมมไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมขาเจ้ากรรมก็ยังไม่หายสั่นอีกต่างหาก

    จะบอกอีกคนไปก็กลัวเสียฟอร์ม....

    “ลุกไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว มอมแมมยิ่งกว่าลูกแมวเล่นโคลนขนาดนี้ใครเห็นเข้าคงหัวเราะไปสามวันสามคืนแน่”

    อี้ฟานเอ่ยเสียงดุก่อนจะลุกขึ้นยืนมองตัวปัญหาที่ตอนนี้นั่งขาสั่นอยู่บนพื้น คงจะกลัวจนขยับไม่ไหวเลยสินะ

    “ก็เดี๋ยวก่อนสิ คนมันตกใจจะให้ทำอะไรปุบปับได้ยังไง -3-

    “เจ้านี่มันขยันก่อเรื่องจริงๆ ข้าจะพาเจ้ากลับห้องไปเปลี่ยนชุดเอง”

    “เฮ้ย! จะทำอะไรของนาย ปล่อยฉันลงเลยนะ อายคนอื่นเขา! -/////-

    “อายก็เงียบสิ แหกปากโวยวายแบบนี้คนอื่นเขาก็จะมองแต่เจ้าให้อายกว่าเดิมแน่ๆ หึหึ”

    เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กชักช้าไม่ได้ดั่งใจ อีกทั้งอี้ฟานยังต้องเข้าประชุมกับรัชทายาทเพื่อหารือเรื่องการรบอีกจึงมีเวลาโอ้เอ้ไม่มากนัก เขาจึงจัดการช้อนอี้ชิงขึ้นมาอุ้มในท่าเจ้าสาวก่อนจะพากลับไปยังห้องของเจ้าตัว ซึ่งรายนั่นใช่ว่าจะอยู่เงียบๆซะที่ไหน โวยวายตลอดทางจนเข้ามาถึงห้องของอี้ชิงในที่สุด

     

    หลังจากผ่านเรื่องระทึกขวัญ(?)ได้ไม่นาน เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่โดยสาวใช้ส่วนตัวของอี้ชิง ร่างเพรียวก็กลับมานั่งจุมปุกอยู่ในห้องของตัวเองโดยมีคุณพ่อจำเป็นอย่างอี้ฟานพูดกรอกหูอบรมมาได้ร่วมชั่วโมงกว่าๆแล้ว เรื่องนี้จะให้โทษใครได้ล่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดนี่นา โถ่..... ( . .)

    “นี่...อี้ฟาน ขอบใจนายมากนะที่มาช่วยฉันไว้น่ะ ถ้าไม่ได้นายคงจะไม่รอดแน่ๆ”

    “วันหลังเจ้าก็อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีกสิ เจ้าจะอยู่นิ่งๆซักวันไม่ก่อเรื่องไม่ได้เลยรึไง”

    “แล้วใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะเป็นแบบนี้! ขอโทษได้มั๊ยเล่า.. -3-

    อี้ฟานถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอื้อมมือมายีผมนุ่มเล่น นี่ไม่โกรธแล้วใช่มั๊ยเนี่ย วินาทีนั้นอี้ชิงรู้สึกว่าโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่อยากเป็นภาระถ่วงเขาไว้หรอกนะ...

    เขาไม่ได้กำลังเป็นตัวถ่วงอี้ฟานใช่มั๊ย...?

    เขาไม่ได้กำลังทำให้อี้ฟานลำบากใจใช่รึเปล่า?

    “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เจ้าไม่ได้ผิดนี่” เสียงทุ้มพูดออกมาเมื่อเห็นว่าอี้ชิงเงียบไป

    “อี้ฟาน ฉันกำลังเป็นตัวถ่วงนายรึเปล่า ฉันทำให้นายลำบากรึเปล่า นาย...รู้สึกรำคาญฉันมั๊ย?”

    ปากเจ้ากรรมดันพูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ออกไปจนหมดสิ้น มือเรียวของอี้ชิงเอื้อมไปจับมือของอี้ฟานแน่นราวกับว่ามันคือแหล่งสร้างกำลังใจชั้นดีให้มีกำลังใจอยู่ต่อไป นานอยู่หลายนาทีเลยทีเดียวที่คนตัวสูงเงียบไปจนชักจะถอดใจและยอมรับว่าเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเขา

    “เจ้าไม่ได้เป็นตัวถ่วงหรืออะไรที่ไม่ดีสำหรับข้า เพราะตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในชีวิตของข้า ข้าถึงได้รู้จักรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกครั้ง ข้าอยากจะอยู่ดูแลเจ้าอย่างนี้ตลอดไป...จะได้รึไม่”

    สิ่งที่ได้ยินมันทำให้อี้ชิงต้องหันกลับไปมองหน้าอี้ฟานอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่กำลังถ่ายรายการสาระแนอยู่รึไง!

    “ดูแลฉันอย่างนั้นหรอ? นายล้อเล่นรึเปล่า ฉันไม่ขำนะ...”

    “เห็นว่าข้ากำลังล้อเล่นอยู่อย่างนั้นรึ ที่ผ่านมาข้าอาจจะแสดงออกมาว่าเย็นชากับเจ้ามากมาย แต่ข้าไม่เคยเลยที่จะละเลยเจ้าซักครั้ง หากเป็นคนอื่นข้าคงเฉยเมยเสียไม่สนใจ แต่เป็นเพราะเจ้า...เสียงของเจ้าเข้ามาปั่นป่วนข้า ใบหน้าของเจ้าเข้ามารบกวนข้าทุกครั้งที่นอนฝัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำถึงแม้มันจะดูน่าปวดหัวไปบ้าง แต่ข้าก็ไม่ได้รังเกียจที่จะดูแลเจ้า ข้าสัญญาว่าข้าจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด และข้าคิดว่าข้าคงจะหลงรักเจ้าเสียแล้ว”

    อี้ฟานพูดเสร็จก่อนจะหันหน้าหนีไปมองพื้นซะอย่างนั้น ตั้งแต่ที่ได้พบเจอกับเขามา นี่เป็นประโยคแรกที่ได้ยินอี้ฟานพูดยาวที่สุด และตอนนี้เขาคงจะอายที่สุดละมั้ง แก้มแดงแจ๋เลย

    “ฉัน..บางทีก็ไม่ได้อยากทำตัววุ่นวายหรอกนะ แต่เป็นเพราะบางทีนายไม่สนใจฉัน จะพูดว่าฉันเรียกร้องความสนใจก็ได้ ก็ฉันอยากจะคุยกับนายให้มากๆนี่นา ถึงแม้จะทะเลาะกับนายบ่อย แต่ความจริงแล้วในใจของฉันไม่ได้อยากทะเลาะเลยนะ แค่ไม่ได้เจอนายวันเดียวทำเอาฉันแทบบ้า (  . .)ฉันคงจะหลงรักนายเหมือนกันละมั้ง”

    เกิดอาการใบ้กินกันชั่วคราวเมื่ออี้ชิงกับอี้ฟานพูดความในใจออกไป ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เงียบ..จนได้ยินเสียงหัวใจของทั้งสองฝ่ายที่กำลังเต้นรัวเป็นจังหวะเดียวกัน

     

    เต้นรัวด้วยความดีใจที่ทั้งสองฝ่ายต่างคิดตรงกัน....

    แต่ก็รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่หัวใจมันเต้นแรง...

     

    “แต่ฉันคิดว่าเราคงจะรักกันไม่ได้ ฉันกับนายเราไม่เหมือนกัน ฉันก็มีที่ของฉันอยู่อีกโลก ส่วนโลกของนายอยู่ตรงนี้...ถ้าซักวันนึงฉันต้องกลับไปยังที่ๆฉันจากมา แล้วฉันจะทำใจเรื่องนายได้ยังไงอี้ฟาน....” อี้ชิงตอบออกไปพร้อมกับน้ำตาใสๆไหลรื้นออกมาจากขอบตา นี่เป็นความจริงข้อหนึ่งซึ่งจะมองข้ามไม่ได้ ถึงแม้จะดีใจที่ต่างคิดตรงกัน แต่ถ้ารักกันไม่ได้ เรื่องทุกอย่างที่สร้างมาก็หมดความหมายไปทันทีอยู่ดี

    แค่ลองจินตนาการดูก็ทำใจไม่ได้แล้ว.....

    “มันไม่เกี่ยวหรอกว่าอนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไร แค่ตอนนี้เรามีความสุขก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ...อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีความสุข ความรู้สึกดีๆต่อกัน เรื่องของวันข้างหน้าก็คือวันข้างหน้า จะเก็บเอามาคิดตอนนี้ให้มันเป็นทุกข์ทำไมกัน”

    อ้อมกอดอบอุ่นของอี้ฟานทำเอาอี้ชิงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว แขนแกร่งของเขาโอบกอดเอาไว้ราวกับให้คำมั่นสัญญาว่าต่อจากนี้เขาจะอยู่ข้างๆเสมอ น้ำเสียงหนักแน่นและจริงใจของเขาทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นั่นสินะ...อี้ฟานพูดถูก เรื่องของอนาคตเก็บมาคิดตอนนี้มันก็ปวดหัวเปล่าๆ ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตต่อไปเถอะ

    “งั้นตอนนี้เราก็มาคบกันเถอะ  ดีมั๊ย? J” อี้ชิงพูดออกไปพลางยกยิ้มหลังจากเช็ดน้ำตาลวกๆแล้วเงยหน้าสบตากับเขา ซึ่งอี้ฟานก็พยักหน้าตอบกลับมาอย่างรวดเร็วไม่แพ้กันว่า

    “ตกลง ข้ากับเจ้าเราเป็นคนรักกันแล้วนะ J” เพียงแค่นั้นอี้ชิงก็โผกอดอี้ฟานแน่นด้วยความดีใจ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศก

    อนาคตช่างมัน...ถึงเวลานั้นค่อยหาทางแก้ไขเอาก็แล้วกัน

    ปัจจุบันนี้รู้แค่ว่า...เขาเป็นแฟนอี้ฟาน และอี้ฟานก็เป็นแฟนของเขา แค่นั้นพอ <3

    ความรัก..ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็คือความรักอยู่ดี ถึงแม้จะต้องมาร้องไห้เสียใจภายหลังก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังได้รู้จักคำว่ารัก คำๆนี้จะสอนเราให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบฉบับของเราเอง

     

    Yifan Said…

     

    ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน....

    ทุกครั้งยามที่เดินไปไหนมาไหนเขามักจะมีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามตลอด เขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

    ทุกครั้งที่ทำงานหนัก มักจะได้ยินเสียงของใครบางคนกระซิบว่าให้พักผ่อนอยู่เสมอ...

    เสียงของใครคนนั้น...เสียงของพี่เจี้ยนหลัว

    บ่อยครั้งที่เขาคิดว่าคงจะคิดไปเองหรือว่าหูคงจะเพี้ยนไป แต่มันเกิดขึ้นหลายครั้งจนไม่สามารถจะหลอกตัวเองได้แล้วว่ามันเป็นเพียงเสียงในส่วนลึกๆของใจที่ยังคิดถึงพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้ว

    ไหนจะตอนที่เขาบังเอิญเห็นคนที่หน้าเหมือนพี่เจี้ยนหลัวอีกเล่า...หลังจากวันนั้นมาเขาก็เหมือนจะเห็นพี่ของเขาอีกประมาณสองสามครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเวลาเดินตามหากลับพบเพียงความว่างเปล่าทุกครั้ง เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ แล้วที่เห็นมันคืออะไร...ผีงั้นหรอ?

    เป็นไปได้ไหมว่าพี่เจี้ยนหลัวจะยังมีชีวิตอยู่

    จะขอเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันถูกต้อง

    ไม่ว่ายังไง...เรื่องนี้ต้องได้รับการพิสูจน์

    คิ้วเรียวบนใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรกำลังขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ทุกสิ่งที่อี้ฟานคนนี้ทำ มันจะต้องไม่เสียเปล่า สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมานานจะต้องถูกเปิดเผย หลังจากกลับมาจากห้องของบลูแล้วเขาก็กลับมาคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังอยู่ในห้องของตัวเอง ไม่ว่าสิ่งๆนั้นที่กำลังจะเจอมันจะเป็นอะไรเขาก็ไม่กลัว ร่างสูงเรียกทหารในหน่วยของตัวเองไปทำงานลับๆตามคำสั่งของเขา

    “มีอะไรให้ข้ารับใช้รึขอรับท่านแม่ทัพ”

    “เจ้าจงไปสืบให้ข้า ในวังหลวงนี้มีคนที่ชื่อเจี้ยนหลัวหรือไม่ จงนำข่าวมาบอกให้เร็วที่สุด ฝากด้วยล่ะ”

     

    วิหารร้างกลางป่า...

     

    เสียงกรีดร้องเสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้นอย่างทรมานท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เหล่าหญิงสาวบริสุทธิ์คนแล้วคนเล่าต่างต้องสังเวยชีวิตให้กับพิธีกรรมอันแสนจะทารุณของแม่มดร้าย คำร้องขออ้อนวอนน่าสงสารเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้นางแม่มดร้ายสงสารปล่อยชีวิตได้ เลือดสีข้นแต่ละหยดถูกใช้เป็นของดื่มกินแทนน้ำเปล่าเพื่อเป็นยาบำรุงความสาวและความสวยของนาง ทุกคนต่างจบชีวิตลงด้วยความทุกข์ทรมาน แต่แล้วแม่มดก็ยังไม่พอใจอยู่ดี

    “ทำไมกัน...เหตุใดข้าถึงได้ชราลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เลือดบริสุทธิ์ของหญิงสาวชาวบ้านไม่สามารถทำให้ข้าคงความงามนานเท่าเดิมได้ ยิ่งใกล้วันสุริยุปราคาเท่าใด ข้าก็ยิ่งต้องการเลือดของหญิงสาวมากขึ้นเท่านั้น”

    อีกทั้งพลังของนางก็ยังลดถอยลงไปเยอะพอสมควรจึงไม่สามารถใช้อำนาจมนตราได้อย่างไร้ขีดจำกัดดังเช่นเมื่อก่อน อีกทั้งเวทย์มนตร์ก็ยังเสื่อมลงง่ายอีกต่างหาก การสังเวยเลือดหญิงบริสุทธิ์ก็เช่นกัน เดิมทีแค่อาทิตย์ละสองคนก็เพียงพอต่อการทำพิธี แต่เดี๋ยวนี้ต้องใช้วันละคนเลยทีเดียว

    บ่งบอกถึงอนาคตข้างหน้า...ไม่ข้าก็พวกโชซอน ที่จะต้องแหลกไปข้าง!

    ทุ่มแรงกายแรงใจทุกอย่างเพื่อศึกๆนี้ ทำทุกวิถีทางเพื่อได้ครอบครองสิ่งที่ปรารถนา

    “ข้าจะต้องทำสิ่งใด.....”

    นางแม่มดเดินไปยังแท่นพิธีกรรมพลันร่ายคาถาทำพิธี พลันก็เกิดพายุหมุนขึ้นในวิหาร หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งตกลงมาต่อหน้านาง หนังสือเปิดไปยังหน้าคาถาต้องห้าม สระน้ำสีเลือดตรงหน้าก็เกิดภาพคน 6 คนขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ลู่หาน แบคฮยอน คยองซู อี้ชิง ยูริ โฉมงามแห่งโชซอน และ...เจี้ยนหลัว ทาสผู้ซื่อสัตย์ของนางนั่นเอง

    “ในที่สุด...ข้าก็พบแล้ว วิธีแห่งความงามชั่วนิรันดร์ของข้า ฮ่าๆๆๆ”

    นิ้วเรียวยาวแห้งกร้านไล้ไปตามตัวอักษรในหนังสือเล่มหนาด้วยความสนใจอย่างปิดไม่มิด มหาคาถาวิถีความงาม มนตราที่สามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นโฉมงามหนึ่งเดียวในโลกหล้าและอ่อนวัยตราบนานเท่านาน บุรุษใดได้พบเห็นเป็นต้องสยบให้กับความงามอันไร้ที่ติ เป็นพิธีกรรมที่ต้องทำในวันสุริยุปราคาเต็มดวงเท่านั้น สิ่งที่นางต้องไปหามาเป็นวัตถุดิบนั้นมีอยู่ 108 อย่างด้วยกัน แต่ที่เป็นวัตถุดิบหลักมีอยู่ 5 อย่างเท่านั้น อย่างแรก พลังวิญญาณสองคน อย่างที่สอง เลือดบริสุทธิ์ของคนที่สาม อย่างที่สาม น้ำตาของคนที่สี่ และอย่างสุดท้าย...หัวใจของคนที่ห้า หากสิ่งสำคัญเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้ากับนางเมื่อไหร่ วินาทีนั้น นางจะไม่ตกเป็นรองใครอย่างเด็ดขาด!

    ใบหน้าซีดเผือดเพราะไม่ได้ถูกแสงอาทิตย์มานานของนางแม่มดแสยะยิ้มชั่วร้ายเมื่อสิ่งที่ตนเองต้องการอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม เสียงแหลมหัวเราะลั่นไปทั่วบริเวณทำให้สัตว์น้อยใหญ่พากันหวาดกลัว นางแม่มดกวาดมือเรียกลูกแก้วใสมาถือไว้ในมือ ดวงตาแดงก่ำราวกับเหยี่ยวผู้หิวโหยจ้องเข้าไปในลูกแก้วแล้วท่องคาถา ปรากฏภาพของรัชทายาทและองค์ชายของโชซอนอยู่ในนั้น ภาพของชายทั้งสองที่นางคอยเฝ้ามองค่อยๆเติบโตตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่ม

    “อีกไม่นานหรอกองค์รัชทายาทโยซอบ องค์ชายชานยอล หากข้าทำพิธีมหาคาถาวิถีความงามสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกท่านจะต้องตกอยู่ในอำนาจความงามของข้า....ไม่มีใครจะคู่ควรกับข้าเท่าพวกท่านทั้งสองอีกแล้ว เราสามคนจะครองบัลลังก์อาณาจักรโชซอนด้วยกันตราบนานเท่านาน...ที่รักของข้า หึหึ”

     

    “เพราะข้าจะครอบครองเจ้าทั้งสอง ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ทั้งกายและใจพวกเจ้า จะต้องตกอยู่ในกำมือของข้าแต่เพียงผู้เดียว ใครที่มันบังอาจมายุ่งกับพวกเจ้า ข้าจะไม่เอาไว้แน่!!



     

    ******************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×