ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Last Wizard

    ลำดับตอนที่ #5 : เจ้าชายจากความมืด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 80
      0
      14 ก.พ. 48

    ณ  ดินแดนที่อยู่ไกลออกไป...  ไกลออกไป...  ณ  แผ่นดินคู่ขนานที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ บนฟากฟ้าที่ถูกฉาบด้วยสีดำอมแดงมีเพียงจันทร์เสี้ยวที่เห็นเป็นขีดเส้นสีเหลืองสาดแสงสีออกแดง  ป่ากว้างไกลสุดสายตารกชัฏและมืดครึ้ม  ลำต้นไม้สูงใหญ่และหงิกงอเป็นเกลียวน่าเกลียดมีตะไคร่น้ำเกาะเห็นเป็นแผ่นหนา  และเลื้อยพันห้อยระย้าลงมาตามกิ่งก้านเป็นสายยาว พื้นดินเปียกแฉะเป็นหลุมเละ  เพราะไม่มีแสงใดเคยส่องลงมาถึง สัตว์อสรพิษร้ายนับร้อยชนิดอาศัยที่แห่งนี้เป็นที่พำนัก  และใจกลางป่านี้เองเป็นที่ตั้งของอาณาจักรเฮเดสคาร์



    กำแพงหินหนาสูงสิบเมตรล้อมรอบพื้นที่หลายร้อยตารางไมล์  ปราสาทสีนิลหลังงามตั้งตระหง่านเงื้อมอยู่บนยอดเขาตัดซึ่งภายในสิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาประหลาดกำลังวิ่งวุ่นสับสนวุ่นวายเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่  ๓๑  ตุลาคม  ...งานฉลองการกลับคืนสู่แหล่งอาหารชั้นยอดที่พวกเขาเรียกมันว่าดินแดนมนุษย์



    ร่างในชุดเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำสนิทคอปกตั้งเดินอาดๆ  มาตามทางเดินหินอ่อนปูพรมสีแดงสด  ด้านหลังมีพรายปิศาจสาวรูปงามสี่ตนวิ่งตามติดเพื่อคอยรับใช้ดูแลความสะดวกสบายของชายหนุ่มโดยเฉพาะเรื่องบนเตียงที่พวกเธอล้วนแล้วแต่ถูกคัดสรรมาอย่างดีจนแน่ใจได้ว่าจะสนองตอบต่อความต้องการได้อย่างไม่มีวันเบื่อ    



    “ พวกเจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ ”  ยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงไล่เมื่อมาหยุดลงหน้าประตูบานใหญ่  รอจนแน่ใจว่าระเบียงตลอดทั้งทางเดินเหลือเพียงตนจึงเงี่ยหูยาวแหลมฟังสรรพเสียงภายหลังบานประตู  เสียงครางกระเส่าที่คุ้นเคยดังแว่วมาเป็นระยะ  เขาจับที่เคาะทองเหลืองที่เป็นตัวงูพันรอบห่วงเหล็กเคาะเบาๆ  ลงบานประตูสามครั้ง  “ ข้าเองท่านพ่อ ”



    เจ้าของเสียงใสส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด และหัวเราะคิกเบาๆ  ก่อนเสียงแหบต่ำจะดังแทรกขึ้นมาให้ได้ยินชัดเจน  “ เข้ามา ”   บานประตูเหวี่ยงตัวเปิดออกช้าๆ  และปิดลงในทันทีที่เขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา  



    เบื้องหลังประตูเป็นห้องกว้างตรงมุมหนึ่งมีเตียงนอนสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่  ม่านที่คลุมเตียงถูกดึงลงมาทำให้เห็นเพียงเงาลางๆ  ของเอวบางร่างเล็กแต่อวบอัดหกร่างที่กำลังเกาะเกี่ยวอยู่บนร่างสูงใหญ่  



    ชายหนุ่มก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ไปเหยียบเอาเสื้อผ้าที่ถูกถอดกองเป็นทางไปตามพื้น  



    ร่างหนึ่งผละมาแหวกชายผ้าม่านข้างหนึ่งรวบไปผูกไปไว้ที่เสา  เธอเป็นปิศาจสาวที่มีผิวสีแดงเพลิง  ผมหยิกเป็นลอนสีน้ำตาลยาวถึงสะโพกที่กลมมนได้รูป  หน้าอกอิ่มอวบสวยที่ชายใดได้มาเห็นก็อดไม่ได้ที่จะอยากสัมผัสบีบเคล้าให้หนำใจ  เธอขยิบตายั่วยวนและส่งจูบให้ทีนึงเมื่อเห็นสายตาของเขามองสำรวจร่างกายที่เปล่าเปลือยของเธอ  ก่อนจะตะกายกลับขึ้นไปบนเตียงและซบหน้าลงซุกไซ้กับอกกว้าง



    ชายสูงวัยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงมีเพียงกางเกงหนังรัดรูปสีดำคลุมร่าง  ในขณะที่สาวสวยสายพันธุ์ผสมที่กำลังลูบเลียร่างกำยำทั้งหกนางนั้นไม่มีอาภรณ์ติดกายเลย  



    เจ้าปิศาจโบกมือให้สาวๆ  ออกไปเมื่อเห็นว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวยืนอ้ำอึ้งไม่พูดอะไรสักที  “ มีอะไรก็ว่ามา ”  น้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะพลางลุกขึ้นนั่งหมิ่นๆ  ที่ขอบเตียง



    “ ข้ามีเรื่องปรึกษาท่านพ่อ  ” เจ้าชายดำพูดเบาๆ  สองมือรวบอย่างสำรวมไว้เบื้องหน้า  “ เรื่องงานพิธีลงนามรับรองพันธะสัญญาเลือด  ข้าต้องการถามท่านพ่อว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ”  



    กิเกลฟ์ยกมือขึ้นลูบเขาโค้งงอนที่บิดเป็นเกลียวเล่นก่อนตอบ  “ ไม่มีอะไรนี่...  มันเป็นพิธีกรรมที่บรรพบุรุษของเราทำสืบเนื่องกันมานานนับพันปีแล้ว  ”



    “ แต่เนื้อมนุษย์เป็นอาหารชั้นเลิศของเรานะท่านพ่อ ”



    กิเกลฟ์เลิกคิ้วขึ้นสูง “ ทุกวันนี้โรงครัวก็มีให้เจ้ากินอิ่มหนำดีไม่ใช่รึ ”



    “ ข้าไม่ได้หมายถึงซากศพแบบนั้นท่านพ่อ!!  ข้าหมายถึงที่สดๆ  ยังมีชีวิต  ยังมีวิญญาณ  ท่านเข้าใจไหมท่านพ่อ ”  



    “ เจ้ากำลังจะบอกอะไรข้ารึฮิวเมริจ ”



    “ ข้าอยากให้ท่านทำลายพันธะสัญญาเลือด   ฉีกคัมภีร์สันติภาพทิ้งปลดปล่อยชาวเราให้เป็นอิสระแล้วพวกเราปิศาจจะได้ออกอาละวาดในดินแดนมนุษย์ให้เต็มที่!! ”



    “ นั่นเจ้าไปเอาความคิดโสมมแบบนี้มาจากไหน!!! ”  กิเกลฟ์ตวาด “ อย่าให้ข้าได้ยินอีกเป็นครั้งที่สองเชียวนะว่ามันออกมาจากปากเจ้า  คำพูดของเจ้าจะทำให้เจ้าพวกกระหายเลือดหิวสงครามได้ใจแล้วพากันออกไปให้วุ่นวายไปหมด  ...เราจะเสียการปกครอง  และเจ้าก็น่าจะรู้ว่าสองสิ่งนี้มีอานุภาพขนาดไหน  ใครก็ตามที่ริฝ่าฝืนเลือดในกายจะเดือดจนแห้งเหือดและหัวใจจะถูกบีบจนแหลกเหลว  ร่างกายสูญสลายไม่เหลือแม้เพียงเถ้าธุลี  ”



    “ ท่านมันก็มัวคิดเสียแบบนี้  ทำไมท่านไม่ลองคิดวางแผนการดัดหลังคำสาปนั่นเสียล่ะ ”



    “ ข้าไม่เห็นทางใด และไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำ  ...และข้าก็ขอเตือนว่าอย่าได้ริลองเพราะข้าเห็นผู้ที่สังเวยชีวิตให้กับความคิดแบบนี้มามากแล้ว ”



    “ นั่นเพราะแผนการของพวกมันไม่รัดกุมและโง่เขลาเกินไปน่ะสิ ”



    “ ฮิวเมริจ...  เจ้า... ”

        

    “ ท่านอาจมองไม่เห็นทาง   แต่สำหรับข้าแล้วมันสว่างชัดเจนอยู่ตรงหน้า ...ทางที่จะทำให้ชาวเราเป็นอิสระ  ” นัยน์ตาสีทองหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์  “ ท่านก็รู้ว่าพันธะนั่นจะหมดน้ำยาเมื่อผู้นำหรือตัวแทนที่กระทำแม้เพียงผู้เดียวสิ้นชีวิต ”



    “ แล้วไง ”  กิเกลฟ์ถาม  “ เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าจะส่งคนไปฆ่าเจ้าพวกนั้นรึ  ...เป็นความคิดที่โง่สิ้นดีเลยกว่าที่เจ้าพวกนั้นจะตายเจ้าได้ถูกคำสาปปลิดชีพเสียก่อนน่ะสิ”



    “ แต่ข้ามีวิธีที่จะลงมือโดยไม่เป็นอะไรท่านพ่อ   และข้าจะเป็นคนลงมือเองด้วย  ”



    “ วิธีอะไร  ”  กิเกลฟ์หรี่ตาลงด้วยความสงสัยแต่แล้วนัยน์ตาก็เบิกโพลงขึ้นด้วยพอจะมองเห็นวิธีที่ว่านั่น  “ ฮิวเมริจ!  เจ้า!...  ”  เขาผุดลุกขึ้นจากเตียงรวดเร็วแต่นั่นก็สายไปเสียแล้วเมื่อมือเรียวแผ่กรงเล็บยาวออกจิกลงตรงกลางหน้าอกแล้วควักเอาหัวใจที่ยังเต้นตุบๆ  ออกมา  



    เจ้าปิศาจคว้าไหล่ร่างตรงหน้า  ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด  เขาพยายามรีดเค้นคำพูดออกจากปาก  แต่มันก็ได้แต่อ้าค้างไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา  ฮิวเมริจกดนิ้วลงบนก้อนเนื้อในมือช้าๆ  ค่อยๆ  ใช้เล็บจิกทีละนิดๆ  ก่อนจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ  แล้วกลืนกินเข้าไป  ทำให้ร่างสูงตรงหน้ากระตุกเกร็งแล้วล้มลงแน่นิ่งทันที



    ฮิวเมริจใช้ปลายเท้าเตะพลิกร่างที่กองอยู่แทบเท้าออกไป  พลางร้องเรียกแม่ทัพแห่งโลกปิศาจ “ ควอร์ซิส! ”  



    ร่างในชุดเกราะเหล็กสีดำแซมประดับผ้าคลุมไหล่ด้วยขนกาสีดำสนิทปรากฏกายขึ้นแทบจะในทันที  “ มีอะไรให้ข้ารับใช้ครับ ” พร้อมกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าและเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ  ร่างของเจ้าปิศาจที่ถูกควักหัวใจออกมานอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้าเจ้าชายดำ



    “ ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ”  ฮิวเมริจสั่งการทันทีไม่รอช้า  “ เตรียมกองทัพและลูกๆ  ของข้าให้พร้อมเราจะไปเยี่ยมดินแดนมนุษย์กัน ”



    ควอร์ซิสน้อมรับคำสั่งอย่างว่าง่าย  เขายืดตัวขึ้นพลางปัดปอยผมดำยาวที่ตกระใบหน้าซีกซ้ายซึ่งถูกผนึกไว้ด้วยหน้ากากเงินออกไป  ก่อนจะหายไปในทันทีพร้อมกับเสียงชายเสื้อคลุมโบกสะบัด



    ฮิวเมริจเหม่อมองร่างไร้วิญญาณอย่างสมเพชอยู่เนิ่นนานก่อนจะยกมือขึ้นแลบเลียลิ้มรสเลือดพ่อบังเกิดเกล้า  มันช่างให้รสชาติที่หวานหอมยิ่งนัก



    เสียงเห่าหอนของหมาป่าวิญญาณสัตว์เลี้ยงแสนรักของฮิวเมริจดังโหยหวนก้องมาตามลมราวกับจะร่วมยินดีกับเจ้านาย  และเป็นการร่วมบรรเลงเพลงสวดส่งวิญญาณเจ้าปิศาจผู้ล่วงลับในคราเดียวกัน

                                                                         ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ เมื่อคืนหลับสนิทเลยล่ะสิ  ”



    “ ก็...  ฮะ  ” เฟอร์โรเรนตอบพลางหันไปมองชายที่นั่งพิงกรอบหน้าต่างดูขอบฟ้าที่เริ่มเป็นสีม่วงจากแซมแดงด้วยท่าทีงงๆ  กับคำทักทายที่ดูแหม่งๆ



    ซิริอัสหันมายิ้ม  เขาดีดตัวขึ้นจากกรอบหน้าต่างก่อนจะคว้าสัมภาระของตัวเอง “ ดีแล้ว...  งั้นก็รีบไปเถอะเดี๋ยวจะตกเรือเสียก่อน ”  พูดจบก็จับหัวลูกชายเขย่าด้วยความหมั่นไส้แล้วจึงเดินนำออกประตูไป  



    “ หวังว่าเจ้าคงยังจำข้อตกลงระหว่างเราได้ ”  ซิริอัสกระซิบเบาๆ  หลังจากเดินผ่านประตูโรงแรมที่เด็กยกกระเป๋าคนเดิมยืนดูทั้งสองเดินผ่านไปอย่างอาลัย  แล้วเห็นเฟอร์โรเรนหันไปโบกไม้โบกมือขยิบตาให้อย่างอารมณ์ดี  เด็กหนุ่มหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกแล้วรีบโบกมือตอบอย่างกระตือรือร้น  



    เฟอร์โรเรนสะดุ้งแล้วหันมาสบตาซิริอัส  หากแต่ในแววตาทะเล้นยังไม่มีวี่แววสำนึกผิดสักนิด  “ ข้าก็ไม่ได้พูดหรือโดนตัวเขาสักหน่อยนี่ฮะ ”  เขาเถียงกลายๆ



    “ ก็ลองเจ้าไปรุ่มร่ามกับใครสิ ”  ซิริอัสว่า  “ ถึงพ่อมดจะมีเอกลักษณ์ต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นให้เห็นชัดจากนัยน์ตาสีน้ำเงินสด  แต่พวกเขาก็มีหลายร้อยวิธีที่จะซ่อนเร้นมันแม้ไม่ใช้เวทมนตร์  ...และพวกเขาก็จะรู้ได้ทันทีว่าเจ้าเป็นอะไรเพียงแค่สบตา  ”  



    “ แต่ถ้าข้าไม่ใช้มันก็ไม่ปรากฏไม่ใช่หรือฮะ ” เขาหมายถึงจุดแสงสีน้ำเงินที่กระพริบวาบขึ้นในแววตาทุกครั้งที่ใช้เวทมนตร์  



    “ ข้าหมายถึงพ่อมดที่รู้จักเฟอร์รัน ...สายตาเจ้าน่ะทำยังไงมันก็ปิดซ่อนไม่มิด ...เจ้าฟังข้าพูดอยู่รึเปล่าเนี่ย!! ”  ดวงตาคมตวัดมองอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเด็กสาวหยุดยืนและเหม่อมองเข้าไปในตรอกแคบๆ  ข้างถนน  ซิริอัสเดินย้อนมายืนเคียงข้างแล้วเพ่งมองเข้าไปในความมืดสลัวก่อนเหลือบมองประกายความอ่อนโยนที่ฉายชัดขึ้นในดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังผมม้า  “ อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ!...  ต่อให้มันเป็นแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ  ที่ใกล้ตายก็เถอะ ” เขาเตือนเพราะสายตาแบบนี้แหละที่เขากังวล  มันเป็นสายตาแบบเดียวกับชายที่ชื่อเฟอร์รัน  วีกส์  เมื่อยามที่เขาเดินท่องไปตามเต็นท์ทหารกลางดึกเพื่อเยียวยาคนเจ็บทั้งที่ตัวเองลุกแทบไม่ไหว  และสุดท้ายเขาต้องกลับมาทำแผลให้ตัวเองเพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงพอ  ...สายตาที่เป็นห่วงชีวิตศัตรูมากกว่าชีวิตของตนเอง...  ซิริอัสไม่นึกแปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาถึงได้เป็นที่รักของสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งแผ่นดิน และภายใต้ความแสบทะเล้นนั้นเฟอร์โรเรนเองก็มีในสิ่งที่พ่อของเขามี  



    “ ไปเถอะ ” เขาเร่งเพราะมองยังไงเขาก็เห็นเพียงความว่างเปล่าในความมืด  แต่ผู้ถูกเรียกยังคงไม่ขยับ



    “ แล้วถ้ามันไม่ใช่ลูกหมาล่ะ ” ว่าแล้วก็วิ่งผลุบเข้าไปในตรอกแคบก่อนที่       ซิริอัสจะคว้าตัวไว้ได้ทัน  



    ซิริอัสส่ายหน้าอย่างระอาทั้งที่กระตุกมุมปากยิ้มอย่างอดไม่ได้  “ เรน... ” เขาร้องเรียกแต่เจ้าของชื่อก็ขัดขึ้นเสียก่อน



    “ ท่านพ่อมาช่วยข้าหน่อยฮะ ” น้ำเสียงนั้นฟังดูร้อนรน  “ มี...  เอ่อผู้หญิงฮะเขาป่วยมาก...  ลมหายใจแผ่วขาดห้วงเหมือนกำลังจะตาย  ข้าต้องเอาเธอออกไปจากตรงนี้มันมืดจนข้าไม่รู้ว่าควรเริ่มรักษาตรงไหน ”



    “ เรน!!  ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่า...  ”  คำพูดถูกหยุดลงแค่ตรงนั้นเมื่อร่างบางหิ้วปีกร่างหนึ่งออกมาจากซอกตึกอย่างยากเย็น  



    ...ร่างที่แม้แต่สายตาคมของเขาเองก็มองไม่เห็นว่าคืออะไร



    “ ข้ารู้ฮะท่านพ่อ...  แต่ข้าทิ้งเธอไปไม่ได้...  ท่านช่วยข้าหน่อยได้ไหมฮะ ”



    “ เรน ”  ซิริอัสเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่งแววตาคมยังตื่นตะลึงไม่หาย    “ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรวางมันลงแล้วรีบไปจากตรงนี้  ...นี่เป็นคำสั่ง!!  ” เสียงในตอนท้ายเกือบเป็นตวาด



    “ แต่... ”



    “ ข้าไม่เห็นร่างที่เจ้าว่า ”  ซิริอัสพูดรัวเร็ว  ดูเหมือนว่ามันเป็นเหตุผลที่ให้ความกระจ่างทั้งหมด  “ วาง...  แล้วมาหาข้า ”   ฝ่ามือแข็งแรงล้วงเข้าใต้เสื้อคลุม



    เฟอร์โรเรนก้มลงมองร่างสูงโปร่งในอ้อมแขนอย่างไม่เชื่อสายตา  ก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมสีทองสว่างเจือน้ำตาลยาวเลยไหล่ที่ปรกหน้าออกไป  เผยให้เห็นดวงหน้าขาวนวลหวานใส และใบหูเรียวแหลมที่เป็นหนึ่งในลักษณะสำคัญของเอลฟ์ เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคม  “ ท่านต้องไม่เชื่อแน่ท่านพ่อ...  ว่าที่อยู่ในอ้อมแขนข้าเป็นใคร... ” เขาพูดช้าๆ  น้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นสุดขีด

                                                                   ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    เมื่อรู้ว่าหมดหนทางที่จะห้าม  สิ่งเดียวที่ทำได้คือปล่อยวางและให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุดแม้จะเป็นการทำอย่างเสียไม่ได้ก็ตาม



    ซิริอัสปล่อยให้เฟอร์โรเรนพาร่างนั้นขึ้นเรือมาด้วยถึงแม้จะลำบากหน่อยแต่ก็ไม่ยากเย็นอะไรเพราะเรือที่พวกเขาจองไว้นั้นขนส่งเฉพาะมนุษย์จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้า  



    “ รู้สึกตัวแล้วเหรอ ”  ซิริอัสถามในขณะที่นั่งคร่อมเก้าอี้เข้าหาพนักในห้องพักบนเรือ  พลางเฝ้ามองเฟอร์โรเรนทำอะไรสักอย่างกับร่างที่ไม่ว่าพยายามอย่างไรตนก็มองไม่เห็น  แล้วเห็นเจ้าตัวชะงักไป



    “ เปล่าฮะ ”  เฟอร์โรเรนหันมาตอบเร็วๆ  เขากำลังปลดกลัดเสื้ออันบนของเสื้อตัวในสีเขียวเข้มออกเพื่อให้พรายสาวที่หายใจรวยรินหายใจได้คล่องขึ้น  แล้วเขาก็ได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด  “ ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อยน่ะฮะ  ...ว่าเป็น ‘เขา’  ไม่ใช่  ‘เธอ ’...  ”      ซิริอัสเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม  “ คือ...  เขาสวยมากเลยฮะ  จนข้า... สวยมากมาก  ”



    “ ไม่ต้องชื่นชมไอ้ตัวเขียวนี่ให้ข้าฟังหรอกน่า...  ให้พรายชอบมนุษย์เถอะข้าต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ  ถึงได้หลวมตัวร่วมมือกับเจ้า  แล้วเจ้าก็คงไม่ลืมสัญญานะว่าเมื่อใดที่เขาฟื้นเจ้าจะไม่ยุ่งกับเขาอีก ”  



    “ ฮะ ”  เฟอร์โรเรนรับคำเขากำลังปลดกลัดเสื้ออันที่สองเมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับสายสร้อยเส้นบางสีออกน้ำตาลที่ดูเหมือนจะทำจากต้นเถาวัลย์  และห้อยจี้ใสรูปหยดน้ำที่ข้างในผนึกดอกไม้สีขาวกลีบบางใสห้ากลีบที่บิดเป็นเกลียวตรงปลาย  ห่อหุ้มเกสรรูปหยดน้ำสีเหลืองสามอันที่อยู่ตรงกลางไว้  มันเป็นดอกไม้ที่สวยมากและเขาแน่ใจว่าไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน



    เมื่อซิริอัสเอ่ยปากเตือนเป็นครั้งที่ห้าสิบเก้าในรอบสามสิบนาทีด้วยประโยคเดิมๆ ว่า “ พรายมีพลังในการรักษาที่พ่อมดยังทาบไม่ติด  ”  เฟอร์โรเรนจึงต้องจำใจผละออกจากเตียงไปรับลมทะเลข้างนอก   ก่อนที่ซิริอัสจะปิดประตูตามหลังทิ้งให้พรายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายอยู่เพียงลำพัง

                                                                    ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ อือ...  ” เสียงครางต่ำลอดออกมาจากมุมปากเมื่อร่างโปร่งยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่น เนื้อตัวบิดเร่าด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด  ในขณะที่ภาพฝันกำลังแสดงให้เห็นความทรงจำเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินทางออกจากที่พำนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มา  



    ณ ลานกว้างข้างลำน้ำตกกลางป่าลึก   สายน้ำเย็นซัดสาดกระทบก้อนหินที่มีดอกไม้เล็กสีขาวออกเหลืองนวลชูช่อแซมอยู่ในพรมหญ้ามอสสีเขียวสด  ฟองน้ำกระเซ็นขึ้นในอากาศกระทบกับแสงแดดอ่อนๆ  ที่ทอลอดมาตามกิ่งก้านของลำต้นไม้สูงใหญ่เห็นเป็นแสงสายรุ้งอ่อนหวานน่ารัก  ถึงแม้เสียงน้ำตกจะดังแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจกลบเสียงหวานสองเสียงที่กำลังทุ่มถียงกันได้



    “ ท่านทำแบบนั้นไม่ได้นะท่านเอลาเทล ”   ร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าหวานอย่างอิสตรีหากซ่อนความสง่าเคร่งขรึมหยิ่งทระนงเยี่ยงชายชาตรีไว้พูดด้วยเสียงอันดังอย่างทรงอำนาจ  จนภูตจิ๋วสองตนที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างเรือนผมสีน้ำตาลทองยาวถึงสะโพกและม้วนหยักเป็นลอนใหญ่ๆ  ตรงปลายสะดุ้งแล้วขยับปีกใสกลางหลังบินชนกันสับสนวุ่นวาย  “ ท่านจะไปยังดินแดนมนุษย์ไม่ได้  ”



    “ ทำไมจะไม่ได้ท่านอีรียา  ”  อีกร่างที่สวยสง่าไม่แพ้กันและสูงกว่าเล็กน้อยถามกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า  เขาเบื่อเต็มทนแล้วกับการเลี้ยงดูโอ้ประโลมเหมือนไข่ในหิน...  เป็นคุณชายที่วันๆ  ได้แต่นั่งๆ  นอนๆ  รอคอยให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์  “ เพราะมันขัดกับเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษเรางั้นหรือ  ....ถ้าเช่นนั้นท่านก็สบายใจได้เพราะข้ามิได้ต้องการผูกมิตรกับมนุษย์ เพียงแต่ข้าต้องการทำในสิ่งที่ควรทำเมื่อสิบหกปีก่อนต่างหาก ”



    “ ข้ารู้...  และข้าก็ได้ตระเตรียมพรายหนุ่มฝีมือดีไว้พร้อมแล้วเพื่อทำการนี้โดยเฉพาะ ” พร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับพรายสองตนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้เบื้องหลังให้ก้าวออกมา  ทั้งสองตนมีร่างกายที่ล่ำสันกว่าเอลาเทลมาก  เพราะเป็นถึง 2 ใน  4  องครักษ์ประจำตัวท่านอีรียาและตอนนี้ทั้งคู่ก็อยู่ในชุดพร้อมออกเดินทาง



    “ แล้วข้าล่ะ ”



    “ ท่านเพียงแค่เฝ้ารอก็พอ ”



    “ รอ!!  ...ข้าเบื่อคำๆ  นี้จัง  ” เอลาเทลยกมือขึ้นกอดอกแม้จะรู้ว่าเสียมารยาทต่อผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์   อีรียาส่งสัญญาณมือให้พรายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังไปได้  ทั้งสองค้อมศีรษะลงต่ำและกำลังจะก้าวออกไป  เมื่อมีดสองเล่มลอยหวือเฉียดแก้มไปปักลงบนลำต้นไม้ใหญ่เบื้องหลัง   ทิ้งรอยกรีดเป็นเส้นบางมีเลือดไหลซิบไว้บนแก้มที่เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก  ในขณะที่ปากแผลเริ่มสมานตัวปิดอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือแม้รอยในเสี้ยววินาที



    “ ท่านเอลาเทล ” อีรียากรีดเสียงร้อง  “ ท่าน... ”



    “ มอร์เนีย!...  กลอเรีย!...   ถ้าเจ้าขยับแม้ก้าวเดียวข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าชั่วชีวิตที่เป็นอมตะนี่เลย ...และเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น! ”เอลาเทล หันกลับมาสบตาอีรียา       “ ขออภัยที่เสียมารยาทแต่ข้ารอมา 16  ปีแล้วและไม่อาจรออีกต่อไป ” เขาค้อมศีรษะลงต่ำก่อนจะเดินผ่านร่างเล็กที่สั่นสะท้านเพื่อตัดตรงออกจากป่า  



    “ ท่านรู้สถานะตนเองหน่อยสิท่านเอลาเทล ”  เสียงของอีรียาเครือต่ำ



    ลมพัดมาเบาๆ  ทำให้ใบไม้สั่นไหวก่อนใบที่แห้งเหี่ยวจะปลิดขั้วล่วงหล่นลงบนพื้นหญ้านุ่มสีเขียวสด  ร่างเล็กทรุดกายลงนั่งอย่างอ่อนแรงพลางถอดสร้อยประดับหน้าผากรูปหยดน้ำที่ผนึกใบไม้สีส้มออกวางในฝ่ามือ  และใช้ปลายนิ้วไล้อย่างโหยหา  



    กลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูกเหมือนกับจะปลอบประโลมความเจ็บช้ำในหัวใจ    ถัดจากน้ำตกออกไปเล็กน้อยกิ่งของลำต้นโอ๊กสูงใหญ่ที่ซ่อนกายครึ่งหนึ่งไว้ในเชิงผาสูงขยับเบาๆ  พร้อมกับเสียงแหบพร่าที่ก้องแว่วมาตามลม  “  ต้นไม้ถ้าไม่ผ่านวันเวลา  และเครื่องทดสอบจะออกดอกงดงามได้อย่างไร... ”



    “ แต่ดอกไม้นั่นเบ่งบานเพียงแค่ในเซโรไอรี่  ...กลิ่นหอมอาจจืดจางลงตามระยะทาง  ข้ากลัวว่าเขาอาจไม่หวนกลับคืนเหมือนพ่อของเขา  ”



    “ เอนเทลอาจเป็นแค่ต้นหญ้าเล็กๆ  แต่พิษสงนั้นร้ายนักด้วยกลิ่นหอมหวานที่ผู้ได้สัมผัสไม่อาจลืมชั่วชีวิต  ...ท่านเจ้าแห่งพรายจะเกรงกลัวไปใยถึงแสนไกลแค่ไหนแต่สายลมจะนำพาความหอมละมุนและส่งผ่านความห่วงใยจากท่านไปถึงเขาแน่นอน ”



    “ ข้าวิงวอนขอให้เป็นเช่นนั้น ”



    สายลมพัดต้องยอดโอ๊กให้เอนไหวเบาๆ  เหมือนกับจะให้คำมั่นสัญญา

    .......................................................................................................................



    เปลือกตาขยับเปิดขึ้นช้าๆ  ก่อนจะกระพริบปริบด้วยความสนเท่ห์ในภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า  ร่างบางขยับลุกขึ้นช้าๆ  พลางยกมือขึ้นเสยผมที่เลื่อนลงระใบหน้าและค้างไว้อย่างนั้น  เขาชันเข่าขึ้นและยกมืออีกข้างขึ้นกุมหน้าอก  ความรู้สึกอึดอัดยังไม่จางหายไปดีนักแต่ก็บรรเทาลงมาก  นิ้วเรียวไล้จี้รูปหยดน้ำที่หน้าอกมันให้สัมผัสเย็นเยียบแต่กลับอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด



    “ ฟื้นแล้วเรอะ ”  



    เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่มุมหนึ่งปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ความทรงจำถึงสถานภาพปัจจุบันหลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับสายน้ำ  ...เขาสลบไปเพราะความอ่อนแรงที่จากบ้านมาไกล  ...และใครบางคนช่วยเขาเอาไว้  



    พรายหนุ่มหันขวับไปตามที่มาของเสียงพร้อมกับสอดมือเข้าที่ข้างเอว



    “ ใจเย็นๆ  ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า ”  ร่างสูงยืนพิงช่องกราบเรือ สองมือยกขึ้นกอดอกในท่าสบายๆ เขารู้ว่าพรายหนุ่มตื่นแล้วเพราะผ้าห่มขยับร่นลงมา “ จนกว่าเจ้าจะโผล่ ‘หาง’ ออกมาข้าให้สัญญาเลย ”  นัยน์ตาคมหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์



    พรายหนุ่มขยับนิ้วเรียวกุมกระชับรอบมีดสั้น  ชายที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่   แต่ก่อนที่จะได้คิดทำอะไรร่างสูงใหญ่ก็กระโจนขึ้นคร่อม  มือหยาบกร้านกำทับรอบมือที่กุมดาบแล้วชักออกมาจ่อคอเจ้าของที่ถูกตรึงอยู่กับเตียง  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง  ...มนุษย์ผู้นี้มองเห็นเขาหรืออย่างไร...



    “ อย่าเล่นตุกติกกับข้า  ข้าไม่ชอบ! ”   ซิริอัสก้มกระซิบจนหน้าเกือบชิด         “ ไหนลองบอกมาซิท่านพราย  ว่าเพราะเหตุอันใดเล่าที่ทำให้ท่านต้องลำบากออกจากที่พำนักมาถึงถิ่นมนุษย์  ” แม้จะมองไม่เห็นแต่สัมผัสจากมือที่กุมอยู่  ทำให้เขาจินตนาการถึงรูปร่างเล็กบางของร่างที่กดไว้ได้ในทันที



    “ แล้วเกี่ยวอะไรกับมนุษย์อย่างท่าน ”  เมื่อเอลาเทลมองสบร่างตรงหน้าเต็มตาก็ดูเหมือนว่าความสงสัยที่คั่งค้างอยู่ในใจจะละลายลงในพริบตา   ...เขานี่ช่างเลือกเป็นลมได้ถูกที่เสียจริง



    “ ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับท่านอีรียา  ”



    “  ท่านผู้นั้นเป็นผู้ปกครองแห่งข้า ”



    “ แล้วเขาส่งท่านออกมาทำไม ”  น้ำเสียงเรียบสงบส่อแววคาดคั้นชวนอึดอัด  “ อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้...  ข้ารู้ว่าเจ้าไม่รามือแน่จึงจะขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าคิดแม้แต่จะสัมผัสเขาด้วยปลายเล็บ  ...แค่ต้องเป็นศัตรูกับพรายน่ะข้าไม่กลัวหรอก ”  ซิริอัสขยับกายยืดขึ้น



    “ ท่านมันก็แค่ตาแก่หวงลูกเท่านั้นแหละ ”

    พนันได้เลยว่าเอลาเทลไม่รู้ว่าคำพูดนั้นแทงใจดำซิริอัสเข้าอย่างจัง  เพราะถ้าเขารู้คงไม่กล้าเอ่ยออกมาแน่ด้วยว่ามันให้ผลลัพธ์ที่ทำให้เขาไม่ชอบใจเอาเลย  



    ซิริอัสกดใบมีดแนบคอแน่นขึ้นอีก  “ อย่ากวนโอ๊ยข้า  ...ท่านพรายอ่อนหัด ”

        

    ถึงตาซิริอัสผงะบ้างเมื่อพรายหนุ่มใช้เพียงแค่มือข้างเดียวผลักอกเขาจนหงาย  สะบัดหลุดจากพันธนาการแล้วกลิ้งลงจากเตียงมายืนในท่าเตรียมพร้อม  “ อย่าเรียกข้าเช่นนั้น ”  เขาพูดเย็นๆ  



    ซิริอัสกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนมือไปกุมที่ด้ามดาบข้างเอว  เขากำลังจะชักมันออกมาเมื่อประตูห้องเปิดผางออกและต้นตอของการวิวาทก็ก้าวเข้ามา  ในมือข้างหนึ่งถือถาดเงินใส่ขนมปังเนยสดหลายก้อนและเหยือกกระเบื้องใบใหญ่ที่บรรจุนมสดไว้เต็ม  



    “ อาหารเย็นฮะท่านพ่อ ”  คำพูดสะดุดอยู่แค่นั้น  เฟอร์โรเรนกวาดตามองไปรอบๆ  ห้องที่ผ้าปูเตียงยับยู่ยี่  พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่คมดาบมันวาวในมือพรายหนุ่ม   “ เกิดอะไรขึ้นฮะ ”  เขาหันไปถามซิริอัส



    พรายหนุ่มตวัดดาบในมือเก็บใส่ซองหนังข้างเอว  “ ไม่มีอะไรหรอกข้าแค่ตกใจที่เห็น...  ” หรี่ตามองไปที่ซิริอัสเร็วๆ  “ มนุษย์ก็เท่านั้น ”  เขาจงใจเน้นคำนี้เป็นพิเศษก่อนจะหันมาสบตาเด็กสาวตรงหน้า  “ ท่านคือเฟอร์โรเรน  วีกส์ บุตรชายของท่านเฟอร์รัน  วีกส์สินะ ” เฟอร์โรเรนพยักหน้ารับงงๆ  ในขณะที่ซิริอัสยังคงนิ่งเงียบไม่ว่าอะไร  “ ข้าเป็นพรายจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีนามว่าเอลาเทล และข้าต้องขอขอบคุณท่านมากที่โปรดช่วยชีวิตข้าไว้  ” ค้อมศีรษะลงต่ำ



    “ ท่านรู้จักชื่อข้าได้อย่างไร ” เฟอร์โรเรนถามพลางวางถาดลงบนโต๊ะข้างเตียง



    “ ไม่ต้องกังวล...  ข้าเป็นมิตรมิใช่ศัตรู  ...ข้าเป็นเพื่อนเก่าของพ่อท่าน  และมาเพื่อตามหาท่าน ”



    “ ตามหาข้า...  ทำไม... ”



    ดวงตาคู่สวยเหลือบมองร่างสูงทางหางตาอีกครั้งจึงตัดสินใจได้  “ ไม่มีเหตุผลใดท่านเฟอร์โรเรน   มันเป็นเพียงผลพลอยได้จากการมาร่วมงานลงนามก็เท่านั้น ”



    เฟอร์โรเรนขมวดคิ้ว  “ คนเดียวน่ะหรือ ”



    เอลาเทลกรีดยิ้มกว้าง

                                                                      ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ แนบเนียนมากขอชมเชย ”  ซิริอัสพูดลอดไรฟันเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคนหลังจากออกอุบายไล่เฟอร์โรเรนออกจากห้องได้สำเร็จ  เขานึกเจ็บใจในตัวเองไม่น้อยที่พลาดไปเพราะทันทีที่พรายหนุ่มพูดธุระเสร็จเจ้าลูกชายตัวดีของเขาก็ออกปากเป็นมั่นเหมาะเชิญชวนให้เดินทางไปด้วยกัน



    “ ขอบคุณท่านซิริอัส ” เอลาเทลน้อมรับ  “ แต่ข้านึกสงสัยนักว่าเพราะเหตุใดท่านจึงคิดพาเขาไปที่ฟีเลซวิล ”



    “ ข้าจะพาเขาไปเยี่ยมพ่อบังเกิดเกล้าน่ะสิ ”



    “ ท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ  วังหลวงต้องวุ่นวายแค่ไหนท่านก็รู้  ผู้คนจากทั่วสารทิศจะหลั่งไหลมาร่วมงาน  ท่านไม่กลัวเขาเป็นอันตรายหรือไง ”  



    “ เพราะอย่างนี้ไงถึงได้เปิดโอกาสให้ลอบเข้าไปได้โดยง่าย ”  เว้นวรรคเล็กน้อยก่อนตัดสินใจถามคำถามที่คาใจอยู่นานออกไป  “ ทำไมท่านไม่บอกเขา ”



    “ เรื่องอะไร ”



    “ สัญญานั่น...  ทั้งที่ท่านทำได้แท้ๆ  แต่ทำไมไม่เล่าให้เขาฟังกลับโกหกไปอีกเรื่อง  มีแผนอะไรกันแน่  ”  

    พรายหนุ่มส่ายหน้า “ ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ”

                                                                         ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรรึเปล่า ”  เอลาเทลพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่มที่แอบพิงถังไม้อ่านหนังสือเล่มหนาอยู่  “ ตั้งแต่วันที่พบกันท่านก็แทบไม่ได้ปริปากพูดกับข้าเลย  ...ถ้าการติดตามของข้ามันทำให้ท่านลำบากใจ  ข้าจะแยกไปทันทีที่ลงจากเรือ ”



    เฟอร์โรเรนกลั้นหายใจเพื่อชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกไป  “ ข้าไม่อยากทรยศต่อคำสัญญามากไปกว่านี้ ”  เขาสบตาพรายหนุ่มแล้วลอบถอนหายใจ  “ ข้าให้สัญญากับท่านพ่อไว้สี่ข้อ  ว่าจะไม่เปิดเผยตัวจริง  ไม่พูดกับใคร  ไม่สบตา  ไม่แตะต้องตัว  และไม่ใช้เวทมนตร์...  ข้าผิดไปแล้วสาม  แล้วยังชวนเจ้าร่วมทางอีกทั้งที่รู้ว่าท่านพ่อไม่ชอบแค่ไหน  ”  



    “ ถ้าอย่างนั้นแล้วท่านช่วยข้าไว้ทำไม ”



    “ ข้าทิ้งท่านไม่ได้ ”  เฟอร์โรเรนปิดหนังสือแล้วหันมาเผชิญหน้ากับพรายหนุ่มเต็มตัว “ ท่านบาดเจ็บ...  แล้วบังเอิญข้าช่วยท่านได้  ข้าก็เลยต้องช่วย ”



    “ ท่านไม่ระแวงว่าข้าจะเป็นศัตรูเลยหรือ ”



    “ ระแวงสิ  ...แต่ข้าบอกแล้วไงว่าทิ้งท่านไม่ได้ ”



    ดวงตาของพรายหนุ่มเบิกกว้าง  ร่างตรงหน้าไม่ละม้ายบุคคลที่คุ้นเคยในความทรงจำแม้สักนิดแต่เขากลับเห็นภาพของคนผู้นั้นซ้อนทับขึ้นชัดเจนในตัวเด็กหนุ่ม



    “ พอท่านบอกว่าเป็นเพื่อนท่านพ่อข้าก็เลยวางใจ  และก็คิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าจะทำความรู้จักเอาไว้  ”



    “ ท่านเชื่อคำพูดข้า ”



    “ แล้วข้ามีเหตุผลที่จะปฏิเสธไหมล่ะ ” เฟอร์โรเรนถามกลับซื่อๆ  “ ข้าคิดว่าท่านไม่โกหกข้า  อย่างน้อยในแววตาของท่านก็บอกข้าเช่นนั้น ”  



    “ และเจ้าก็โชคดีมากที่เลือกเชื่อถูกคน ”  เอลาเทลยิ้ม



    เกิดเสียงเอะอะขึ้นที่ดาดฟ้าทั้งสองผุดลุกขึ้นยืนรวดเร็วตามสัญชาติญาณ   เสียงของหนักตกกระทบตามมาด้วยเฮลั่น   เรือสั่นโคลงไปข้างหนึ่งด้วยแรงกระแทก ก่อนที่เสียงกรีดร้องด้วยความตระหนกจะตามมาพร้อมกับเสียงโลหะดังกระทบกันเป็นจังหวะ



    เฟอร์โรเรนพุ่งไปที่ช่องกราบเรือทางด้านที่เอียงแล้วมองออกไป



    เรือใบลำใหญ่แล่นมาจอดขนาบข้าง  และโยงกันด้วยเชือกผูกตะขอราวสิบเส้นที่เหวี่ยงข้ามมาเกี่ยวไว้กับกราบเรือ  ร่างกำยำผิวสีน้ำตาลในชุด

    กะลาสีมีดาบยาวเหน็บที่เอวไต่ข้ามมาอย่างชำนาญ  ที่ยอดเสากระโดงเรือ  ธงสีดำปักดิ้นเงินรูปหัวกะโหลกโบกสะบัดรับลมทะเล



    “ โจรสลัด ” เฟอร์โรเรนพูดรัวเร็วแล้วออกวิ่งไปตามทางเดินเพื่อกลับไปที่ห้อง  แต่เขาเพิ่งจะวิ่งมาได้ครึ่งทางเท่านั้นเมื่อร่างสูงใหญ่ตกทะลุพื้นเรือลงมายืนจังก้าเบื้องหน้า  มีขวานอันเขื่องอยู่ในมือทั้งสองข้าง  หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความสะใจ  เขาเคี้ยวมวนบุหรี่ที่คาบอยู่ตรงมุมปากหยับๆ  พร้อมกับขยับยกขวานคู่เงื้อขึ้นเหนือหัว



    เฟอร์โรเรนอาศัยน้ำหนักตัวที่เบาและร่างกายที่เพรียวกว่ากระโดดหลบใบขวานที่จามลงมาได้ในเสี้ยววินาที  ใช้จังหวะที่ร่างสูงล้มถลำมาข้างหน้าใช้ฝ่ามือยันเข้ากับศีรษะแล้วเหวี่ยงตัวตีลังกาข้ามไปยืนด้านหลังก่อนจะออกวิ่งเต็มฝีเท้า



    “ เรน”  ร่างคุ้นตาวิ่งมาตามทางเดินฉุดเอาตัวเฟอร์โรเรนหลบไปด้านหลังก่อนจะฟาดแค่ฝ่ามือเดียวเข้าที่กกหูตรงจุดสำคัญ  ทำให้ร่างใหญ่สลบเหมือดไปในทันที  



    “  ท่านพ่อ! ข้า... ”



    “ ข้าอยากให้เจ้าอยู่ในห้อง ”  ซิริอัสพูดอย่างรู้ทัน  “ ถ้าพวกมันรู้ว่าเจ้าเป็นใครบางทีอาจมีงานฉลองอีกรอบหลังจากที่ข้าไล่เจ้าพวกนี้ลงจากเรือไปแล้ว ”



    “ แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าท่านเป็นใคร  มันก็จบเห่อยู่ดี ”



    “ เพราะงั้นไงข้าถึงจะฝากมันไว้กับเจ้า ”  พูดพลางโยนดาบที่ติดกายอยู่เสมอแม้เวลานอนส่งให้  



    เฟอร์โรเรนรับสิงห์ซ้ายไปด้วยท่าทีหวั่นวิตก “ แล้ว... ”  



    “ ข้าไม่ได้ใช้มันตอนประลองเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มา ” ซิริอัสขยิบตาให้ “ ขาข้าอาจพิการแต่ข้าก็ไม่ได้ใช้มันจับดาบสักหน่อย ”  พูดจบก็ออกวิ่งไปที่บันไดเพื่อขึ้นสู่ดาดฟ้าเรือ  



    เฟอร์โรเรนกอดสิงห์ซ้ายไว้แน่น  ลังเลว่าควรทำตามคำสั่งดีหรือฝ่าฝืนตามออกไป  เขาก้มลงมองดาบศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขน  อัญมณีรูปดาบสีดำสนิทบนฝักเป็นประกายกล้าขึ้นแล้วเขาก็ตัดสินใจได้  และกำลังจะออกวิ่งเมื่อพรายหนุ่มก้าวเข้ามาขวางทางเอาไว้



    “ ข้าคิดว่าท่านควรฟังที่พ่อสั่งนะ ”



    “ แต่ว่า...  ”



    “  ข้างบนมีนักดาบรับจ้างคุ้มกันเรือตั้งเยอะ  ...ท่านอยู่เฉยๆ  แล้วปล่อยให้พวกเขาจัดการเถอะ ”



    เฟอร์โรเรนไม่ว่าอะไรเพียงแต่ขยับดาบในมือ

                                                                          ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    ไม่น่าเชื่อเลยว่าซิริอัสจะสามารถขยับกายตวัดดาบได้อย่างคล่องแคล่วราวกับร่ายรำทั้งที่ต้องแกล้งแสดงบทบาทชายชราขาพิการไปด้วย  เขาจัดการกับโจรสลัดที่ร่างกายใหญ่โตกว่าที่โถมเข้าใส่คนแล้วคนเล่าโดยอาศัยแค่ดาบสั้นคู่  



    ร่างหนึ่งปรากฏกายเงียบเชียบขึ้นทางด้านหลัง  เขาเป็นชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำอางด้วยร่างเล็กเพรียวลม  หากในมือถือดาบยาวที่ใบมีดกว้างกว่าปกติถึงห้าเท่าและเจาะรูคล้องห่วงเหล็กไว้หลายรู  



    เขาตวัดดาบใส่ซิริอัสแทนคำทักทายซึ่งซิริอัสก็ทักตอบด้วยการใช้ดาบสั้นเพียงเล่มเดียวในมือซ้ายที่ถือตั้งฉากออกข้างลำตัวรับไว้ด้วยท่าทีสบายๆ  และสวนกลับทันทีด้วยดาบในมือขวาที่ตวัดเข้าที่หน้า  ร่างเล็กหงายตัวหลบไปได้เส้นยาแดงผ่าแปดเมื่อคมดาบร่อนผ่านปลายจมูกไปนิดเดียว   เขาตีลังกากลับหลังและยืดตัวขึ้นยืนอีกครั้ง  รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นบนเรียวปากด้วยความถูกใจที่เจอคู่ปรับเหมาะมือ



    ร่างเล็กแลบลิ้นเลยมุมปากแล้วกัดเอาไว้  นัยน์ตาหรี่ลงอย่างคนกระหายหิวในการฆ่า ซิริอัสกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มให้แทนคำตอบรับคำท้า

    หลังจากการดวลตัวต่อตัวดำเนินไปได้เพียงสองนาทีซิริอัสก็เหลืออาวุธในมือเพียงข้างเดียวเพราะเจ้าดาบเล่มโตนั่นคมกริบ  และเจ้าของก็มีเรี่ยวแรงมหาศาลจนไม่น่าเชื่อ  หลังจากการสะบัดเพียงครั้งเดียวใบมีดที่เขายกขึ้นตั้งรับก็หักร่อนไปปักลงบนพื้นอย่างง่ายดายเหมือนกับหัวมันฝรั่ง  ลำแขนขวาจึงถูกมีดถากเป็นทางยาว  เลือดสีแดงฉานไหลเปรอะเสื้อแขนยาวที่ขาดกระจุย



    ร่างเล็กเดินวนไปรอบๆ  ตัวเขาด้วยท่าทีรื่นเริงแต่จิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมานั้นส่งผลให้ขนอ่อนหลังคอลุกเกรียวได้ง่ายๆ  ก่อนจะกระโจนเข้าใส่อีกครั้งด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความสนุกในของเล่นชิ้นใหม่



    การโจมตีครั้งที่สามหักดาบเล่มที่สองของเขาไป  คราวนี้เขาเบี่ยงตัวหลบดาบได้ฉิวเฉียดแต่ก็ถูกรองเท้าบู๊ตยันโครมกลับหลังเข้าที่ท้องน้อยกระเด็นไปไกลหลายเมตร  เจ็บจนร้องไม่ออก  และก่อนที่จะทันได้ผ่อนลมหายใจออกคมดาบก็แหวกผ่านอากาศลงมาตรงหน้า  ...ช้าไปเสียแล้วที่จะหลบ  ซิริอัสยกสองแขนขึ้นตั้งรับ  



    คมดาบหยุดลงก่อนถึงลำแขนของเขาไม่ถึงเซ็น  เมื่อดาบเล่มหนึ่งสอดเข้ามารับไว้แทน  เจ้าของดาบคลุมกายด้วยเสื้อคลุมสีมอซอและดึงฮู้ดขึ้นคลุมหน้าไว้  เขาออกแรงผลักกลับและโยนดาบในมือให้ซิริอัสที่รับไปด้วยความงุนงง  แต่เมื่อฝ่ามือสัมผัสกับด้ามดาบที่คุ้นเคยเขาก็รู้สึกได้ทันทีถึงชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้า  



    ร่างในเสื้อคลุมก้าวหลบไปด้านข้างเพื่อให้ทั้งคู่มีที่ว่าง  และถอยไปเฝ้าดูไม่ไกลนัก



    ร่างเล็กโคลงศีรษะเล็กน้อยอย่างนึกสงสัยแต่ฉีกยิ้มกว้างออกมาแทบจะในทันทีเมื่อเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของซิริอัส  



    “ มาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า ”  ซิริอัสว่าพร้อมกับควงดาบในมือก่อนจะชี้ตรงไปยังหน้าอกของร่างตรงหน้าพร้อมกับสลัดคราบชายขาเป๋ทิ้งในทันที



    “ ไม่นึกว่าเจ้าจะยังมีดีซ่อนอยู่อีกนะเนี่ย ” ร่างเล็กกระซิบเมื่อคมดาบของทั้งสองโถมเข้าปะทะกันและต่างก็ออกแรงยันกันไว้  “ ดูท่าดาบเล่มที่ท่านได้มาใหม่นี่จะไม่ใช่ดาบธรรมดานะ  ถึงสามารถรับดาบของข้าได้สูสีถึงเพียงนี้ ...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของด้วยล่ะนะว่าจะใช้งานมันได้ดีแค่ไหน  และฝีท่านก็ไม่ธรรมดาเลย  มันทำให้ข้านึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยประมือด้วยเมื่อนานมาแล้ว ”



    ร่างเล็กตวัดดาบกลับพร้อมกับกระโดดตัวลอยขึ้นสูงหมายจะพิชิตด้านบน   แต่ซิริอัสก็สามารถหลบได้ง่ายดายที่แกล้งทำให้ดูยุ่งยากด้วยการหงายหลังลงเอามือยันพื้นแล้วเตะเท้าเปลี่ยนทางดาบก่อนจะใช้ขาอีกข้างประกบเข้าแล้วหนีบเหวี่ยงมันลงกับพื้น  ผลักมือที่ยันอยู่ดีดตัวขึ้นแล้วหมุนตัวเตะกลับหลังเต็มแรงเข้าที่ท้องเจ้าของดาบที่เซถลาตามแรงเหวี่ยงกระเด็นลอยไปไกลหลายเมตรเป็นการเอาคืนเมื่อครู่



    ร่างเล็กยันกายขึ้นได้แทบจะในทันทีจนซิริอัสนึกชื่นชมในความอึดและแอบเสียดายเล็กๆ  ที่นักดาบฝีมือดีแบบนี้มาเป็นโจร  ถ้าเข้ารับราชการล่ะก็ตำแหน่งรองแม่ทัพคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นและคงทำเอาเขาหลับไม่เป็นสุขแน่ด้วยระแวงว่าจะโดนเลื่อยลงจากเก้าอี้



    รอยยิ้มเยียบเย็นฉายลงบนเรียวปากที่มีเลือดไหลเป็นทาง   ร่างเล็กใช้ปลายนิ้วปาดเลือดและแลบลิ้นเลียอย่างวิกลจริต  แต่ยังจ้องตรงมายังซิริอัสไม่วางตา  



    “ ยอด...  ยอดมาก...  ท่านจะยอมบอกข้าได้ไหมท่านนักดาบ  ว่านามของท่านไพเราะสักเพียงไหนเผื่อว่าลูกน้องข้าถามว่าเพิ่งฆ่าใครไปข้าจะได้บอกชื่อท่านถูก ”



    “ เป็นเกียรติแย่แล้วท่านจอมโจร ” ซิริอัสกระซิบตอบพลางยกดาบขึ้นในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง   “ ข้ามันก็แค่พ่อค้าดาบที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น  ”



    ร่างเล็กโจนเข้าใส่อีกครั้ง  ซิริอัสเห็นว่าได้เวลาเผด็จศึกแล้วเพราะปล่อยเวลาผ่านไปเนิ่นนานเต็มที  เขาวิ่งเขาหาเต็มฝีเท้าและใช้ปลายเท้าจิกพื้นหยุดตัวไว้ในวินาทีสุดท้ายเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงดันลำตัวให้ตีลังกาลอยพุ่งไปข้างหน้าในขณะที่ตวัดดาบเข้าแนบข้างตัวลดแรงปะทะกับมวลอากาศก่อนจะดึงกลับมาและฟาดใส่เป้าหมายที่ยืนนิ่งเหมือนกับรอรับอยู่แล้ว  โดยการยกดาบตั้งขึ้น



    การจู่โจมของซิริอัสนั้นไม่พลาดเป้า  สิงห์ซ้ายฟันลงเต็มๆ  ที่ร่างเล็กซึ่งอาศัยความกว้างของดาบรับไว้โดยใช้เพียงส่วนปลาย  ถึงจะเป็นการเพิ่มแรงกระแทกเข้าสู่ลำตัวแต่ก็ช่วยผ่อนอำนาจการโจมตีได้มาก  ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งสิงห์ซ้ายได้   มันแสดงให้เห็นเขี้ยวเล็บที่แพรวพราวด้วยการปัดคมดาบที่รับไว้ออกง่ายดาย  โดยไม่เสียจังหวะการจู่โจม



    ดาบเล่มใหญ่หลุดออกจากมือลอยกระเด็นไป  ร่างในชุดเสื้อคลุมที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เบี่ยงศีรษะหลบเล็กน้อยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่คมดาบเฉียดแก้มชนิดฉิวเฉียดจนรู้สึกได้ถึงความเย็นของใบมีด   ลอยหวือไปปักคาที่เสากระโดงเรือสั่นเป็นลูกคลื่น



    ซิริอัสลงพื้นอย่างสวยงาม  สิงห์ซ้ายที่กำมั่นในมือเปื้อนเลือดเล็กน้อย  เขายืดตัวขึ้นและหันกลับไปมองร่างเล็กที่ยังยืนนิ่งด้วยความพิศวง  ...เขาแน่ใจว่าเล็งไม่พลาดและจังหวะเมื่อครู่ก็สมบูรณ์แบบแต่ร่างเล็กกลับได้แค่แผลถากที่ลากยาวตั้งแต่หัวไหล่จนถึงเอวเท่านั้น  ...คนผู้นี้สามารถหลบจุดสำคัญได้หมดในเสี้ยววินาที !!



    “ ฮ่าๆ... ”  เขาหัวเราะเสียงดังกึกก้องแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับซิริอัสก่อนจะยกมือขึ้นผิวปากเป็นสัญญาณให้ลูกน้องล่าถอย  พร้อมกับกระโดดตีลังกาลงไปยืนอยู่บนหัวเรือของตนที่ปลดพันธนาการออกจากเรือขนส่งเตรียมตีลำออกห่างเกือบจะทันทีที่สิ้นคำสั่ง  “ วันนี้ข้าแพ้แต่สักวันต้องมาเอาคืนแน่  ...ว่าแต่ท่านจะไม่ยอมบอกหน่อยรึว่าเจ้าของดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้มีนามว่ากระไร ” พร้อมกับหัวเราะลงคออย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง



    ซิริอัสเดินไปกระชากดาบออกจากเสา  สังเกตเห็นว่ามันมีรอยร้าวจางๆ  ที่ปลายแล้วโยนมันกลับคืนให้เจ้าของที่รับไปพาดบ่าไว้ด้วยท่าทีกวนๆ  พร้อมกับยักคิ้วให้     “  ชื่อข้าเป็นเพียงสัตว์สี่ขาข้างถนนแต่เจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี  ”  เขาบอกยิ้มๆ



    ร่างเล็กผิวปากเปรี๊ยวอย่างนึกทึ่ง  และขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง  “ แล้วพบกันใหม่จ้าท่านพ่อค้าดาบ~ ”



    “ หนอยแน่ะ !!  ไม่น่าปล่อยมันให้หนีไปได้เลย ”  นักดาบรับจ้างคุ้มกันเรือที่อยู่ไม่ไกลจากเขากำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ  ก่อนจะหันไปสั่งให้คนอื่นๆ  ช่วยกันตรวจดูความเสียหาย  และเมื่อสังเกตเห็นเขาจึงถามขึ้นด้วยความห่วงใย  “ ยังปลอดภัยดีใช่ไหมครับท่านฮาร์ริส ”  



    ซิริอัสแสร้งทำสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด  “ ใครก็ได้ตามหลานสาวให้ข้าที...  ท่าทางโรคเก่าจะกำเริบเสียแล้ว  ”  ว่าพลางกุมมือลงบนขาข้างซ้ายที่จู่ๆ  ก็กลับมาเป๋กระเผลกอีกครั้ง



    นักดาบคนนั้นเข้ามาช่วยพยุง  “ แต่ข้าว่าน่าจะทำแผลที่แขนก่อนนะครับ ...ลำบากท่านฮาร์ริสจริงๆ  ที่ต้องให้มาช่วยแบบนี้  แต่แหม!!   ฝีมือท่านนี่คนขาดีอย่างข้ายังอายเลย ”



    ซิริอัสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ ข้าก็แค่ผ่านโลกมามากกว่าเจ้าหน่อยแหละพ่อหนุ่ม ” หันไปขยิบตาให้ร่างใต้เสื้อคลุมที่ยกมือขึ้นกอดอกอย่างนึกทึ่งในบทบาทที่แสดง

                                                                        ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    เมื่อเรือเทียบท่าที่แลนดิสในอีกสามวันต่อมาซิริอัสก็กลายเป็นขวัญใจของผู้โดยสารทั้งลำที่ฝากฝีมือช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาเอาไว้   เขาได้รับอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพจากคนนับสิบ  และแอบเห็นในตอนนั้นเองว่ามีคนอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาขอบคุณเฟอร์โรเรนเช่นกัน



    “ สารภาพมาซิว่าตอนข้าสู้อยู่ที่ดาดฟ้าเรือเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ”  ซิริอัสกระซิบถามเสียงแผ่ว



    “ ความแตกจนได้สิ  ” เฟอร์โรเรนยิ้มกว้างรับความผิดอย่างยินดี

                                                                        ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ จากแลนดิสคงใช้เวลาอีกวันครึ่งกว่าจะถึงเบอร์เรียน่า ”  ซิริอัสบอกพลางชี้ให้ดูป้ายแผนที่ที่ตั้งอยู่ข้างทาง   “ เพราะเราจะเลี่ยงเส้นทางหลักลัดเลาะไปตามชายป่า  ...มันจะช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้โดยไม่ต้องเสี่ยงว่าจะพบคนแปลกหน้า ”



    เฟอร์โรเรนพยักหน้ารับรู้และเหลียวมองข้ามไหล่ไปยังพรายหนุ่ม  “ ท่านพ่อนี่หัวแหลมจริงๆ  เอลาเทลจะได้รู้สึกดีขึ้นด้วยเพราะได้อยู่กับธรรมชาติ  ”



    “ มันไม่ได้มีเอี่ยวกับหมอนี่เลยนะ  ...ข้าแค่ไปในทางที่ควรไป ”



    “ แหมๆ!...  แค่นี้ทำปากแข็ง ”



    “ เจ้าลูกบ้านี่!! ” ซิริอัสชูหมัดใส่ร่างเพรียวที่แลบลิ้นปลิ้นตาวิ่งหนีไปรอบๆ



    ณ  มุมมืดข้างซอกตึกที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนักร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทกำลังเฝ้าดูทั้งสามเดินเลี้ยวมุมถนนเพื่อตัดเข้าสู่ป่า  แสงแดดอ่อนๆ  ที่ทอดลำมากระทบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม  ฉายให้เห็นรอยยิ้มหยันบนเรียวปากสีซีด  เสื้อคลุมสะบัดเบาๆ  ครั้งหนึ่งแล้วร่างสูงก็หายลับไป

                                                                         ~Ж Ж=== ===Ж Ж~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×